สวัสดีทุกคนครับ หลังจากที่เมื่อปีที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่อุทยานย่าติง (Yading Nature Reserve) ประเทศจีนมาในช่วงเดือนตุลาคม และได้เขียนบทความเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนั้นไว้ตามลิงก์นี้ YADING NATURE RESERVE : ในวันที่ใบไม้เปลี่ยนสี กับธรรมชาติประเทศจีนที่สวยงามตระการตา ผมก็พบว่ามีคนให้ความสนใจเข้ามาอ่านและอยากจะไปเที่ยวที่อุทยานแห่งนี้เป็นจำนวนมากเลยครับ

และวันนี้หลังจากที่การเดินทางครั้งแรกของผมกับย่าติงได้ผ่านมาเกือบ 1 ปีเต็ม ผมก็ได้ย้อนกลับไปที่อุทยานสวรรค์แห่งนี้อีกครั้ง โดยในการเดินทางครั้งนี้ของผมแม้จะเป็นการเดินทางในช่วงเดือนเดียวกันกับปีที่ผ่านมา แต่ก็มีเรื่องราวและทิวทัศน์ที่ต่างไปจากเดิมเยอะเหมือนกัน และถ้าใครพร้อมแล้วก็ตามไปอ่านบันทึกระหว่างการเดินทางสู่อุทยานย่าติงในครั้งนี้ของผมกันได้เลยครับ!!!

Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ

สิ่งที่เหมือนเดิม

อันดับแรกเรามาดูสิ่งที่เหมือนเดิมระหว่างทริปนี้กับทริปก่อนของผมกันดีกว่าครับ โดยการเดินทางสู่อุทยานย่าติง ประเทศจีนทั้ง 2 ทริปของผม มันมีสิ่งที่คล้ายๆ กันดังนี้

1. ผมยังคงเดินทางไปพร้อมกับ Tripchillchill ทริปถ่ายภาพท่องเที่ยว ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ที่เน้นพาไปถ่ายรูปที่สวยๆ ตามสถานที่ที่ไปยากๆ หรือสถานที่ที่คนไม่ค่อยไปกันครับ โดยในการเดินทางในทริปนี้นอกจากเราจะมีรถส่วนตัวตลอดทริปแล้ว เรายังมี Local Guide ชาวจีนที่คอยดูแลช่วยเหลือเราทุกอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะคนจีนส่วนใหญ่รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ต่างๆ ของประเทศนี้ยังมีปัญหาในเรื่องของการสื่อสารภาษาอังกฤษครับ สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูปหรือกำลังสนใจทัวร์ลักษณะนี้อยู่ก็ลองแวะเข้าไปดูโปรแกรมต่างๆ ของเค้าได้ที่ Tripchillchill Fanpage หรือที่ https://www.tripchillchill.com/ ได้เลยครับ ในแต่ละปีเค้าจะมีการเปิดทริปหลายเส้นทางและหลายประเทศเลย

2. ตลอดทริปของผมยังคงเดินทางด้วยรถปรับอากาศขนาดใหญ่ของทางทัวร์เป็นหลัก ดังนั้นต้องขอสารภาพตามตรงเลยว่าหากใครจะถามการเดินทางไปย่าติงด้วยรถสาธารณะ ผมคงไม่สามารถตอบได้จริงๆ ครับ เพราะผมไม่เคยมีประสบการณ์เลย T_T

3. จำนวนวันในการเดินทางของผมยังคงใช้เวลาใกล้เคียงเดิมคือ 10 วัน และผมยังเริ่มต้นการเดินทางไปกลับคล้ายๆ เดิม คือออกจากไทยไปลงที่สนามบินเฉินตูจากนั้นก็นั่งรถปรับอากาศเดินทางต่อไปที่อุทยานย่าติงและนั่งรถกลับมาที่นครเฉินตูอีกครั้งเพื่อเดินทางกลับไทย โดยการเดินทางแบบนี้มีข้อดีคือ เราจะได้เห็นทิวทัศน์สวยๆ ระหว่างการเดินทางมากมาย รวมทั้งยังได้ช่วยให้ร่างกายเราได้ค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับภูมิประเทศของเขตนั้นของประเทศจีนที่มีความสูงกว่าประเทศไทยมาก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญและเราไม่ควรมองข้ามเลยครับ โดยตลอดการเดินทางไปอุทยานย่าติงนั้นเราจะมีเวลาประมาณ 3-4 วันเพื่อให้ร่างกายเราปรับตัวให้คุ้นกับความสูงของพื้นที่ตั้งแต่ความสูงประมาณ 2,700 เมตรจากระดับน้ำทะเลไปจนถึงความสูงประมาณ 4,700 เมตรจากระดับน้ำทะเลครับ

สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม

เอาล่ะ ดูในเรื่องของสิ่งที่เหมือนเดิมไปกันแล้ว คราวนี้เรามาดูเรื่องของสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมกันบ้างดีกว่า เพราะถ้าทุกอย่างมันเหมือนเดิมก็ไม่รู้จะเขียนบทความใหม่เพิ่มอีกทำไมเนอะ โดยสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างทริปนี้กับทริปที่ผ่านมาของผมก็มีดังนี้เลยครับ

1. แม้ผมจะออกเดินทางในช่วงเดือนตุลาคมคล้ายๆ กับทริปเมื่อปี พ.ศ. 2561 แต่ครั้งนี้ผมออกเดินทางในระหว่างวันที่ 12-21 ตุลาคม 2562 ซึ่งเร็วกว่าทริปที่ผ่านมาอยู่ประมาณ 9 วัน โดยหากจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้วลักษณะของภูมิประเทศที่ผมน่าจะได้เห็นมันน่าจะไม่ต่างจากเดิมมาก คือผมน่าจะได้เห็นอุทยานย่าติงที่มีภูเขาหิมะสวยๆ และมีต้นไม้เปลี่ยนสีที่มีใบสีเหลืองเต็มไปหมด แต่ธรรมชาติก็คือธรรมชาติครับ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะควบคุมหรือคาดเดาได้ และนั่นก็ทำให้ปีนี้ผมกับเพื่อนๆ ต้องน้ำตาตกในเบาๆ เนื่องจากต้นไม้ส่วนใหญ่ในอุทยานย่าติงยังคงไม่เปลี่ยนใบเป็นสีเหลือง ส่วนภูเขานั้นยังคงมีความสวยงามตระการตาและมีหิมะปกคลุมแล้วตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ อย่างไรก็ตามแม้ใบไม้จะยังไม่เปลี่ยนสีเหมือนที่คิด แต่ภาพที่พวกผมได้เห็นนั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเราหายเหนื่อยจากการเดินทางครับ

2. แม้จำนวนวันในการเดินทางของผมจะใกล้เคียงกับของเดิมแต่เส้นทางในการเดินทางรวมทั้งสถานที่พักค้างคืนของผมก็ต่างออกไปจากเดิมหลายส่วน และนั่นก็ทำให้ผมได้ไปในที่ใหม่ๆ ได้เห็นวิวใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเดิม โดยแผนการเดินทางของผมในทริปนี้ตลอด 10 วันก็เป็นดังนี้เลยครับ

วันที่ 1 : กรุงเทพ – เฉิงตู
         วันที่ 2 : เฉิงตู – คังติ้ง
         วันที่ 3 : คังติ้ง – ชินตูเฉียว – หลี่ถัง
         วันที่ 4 : หลี่ถัง – รี่หว่า
         วันที่ 5 : รี่หว่า – ย่าติง
         วันที่ 6 : ย่าติง – เต้าเฉิง
         วันที่ 7 : เต้าเฉิง – ถากง
         วันที่ 8 : ถากง – มูเก๋อโช่ว – คังติ้ง
         วันที่ 9 : คังติ้ง – เฉิงตู
         วันที่ 10 : เฉิงตู – กรุงเทพ

3. อุทยานย่าติงในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงภายในหลายสิ่งมาก ทั้งเรื่องของการสร้างทางเดินไม้และบันไดในหลายๆ จุด ทำให้เราสามารถเดินทางขึ้นทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสีได้ง่ายขึ้นและเหนื่อยน้อยลงกว่าที่ผ่านมา นอกจากนี้เค้ายังมีการสร้างห้องน้ำในระหว่างเส้นทางการเดินเพิ่มขึ้นมาด้วย และนั่นก็ทำให้พวกเราไม่ต้องอั้นยาว 7-8 ชั่วโมง หรือไม่ต้องแอบไปปลดทุกข์ตามสุมทุมพุ่มไม้แล้วครับ ><

และตอนนี้เราก็รู้สิ่งที่เหมือนและสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างสองทริปที่ผมเคยไปอุทยานย่าติงมาเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราไปดูไฮไลท์เด่นๆ ของทริปนี้ รวมถึงเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่ต้องการจะเดินทางไปที่อุทยานย่าติงกันดีกว่าครับ

ไฮไลท์ที่เที่ยวระหว่างการเดินทาง

สำหรับการเดินทางไปย่าติงที่คนไทยนิยมกันนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 เส้นทางหลักๆ คือ การนั่งเครื่องบินไปลงที่คุนหมิงจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่อุทยานย่าติง โดยการเดินทางแบบนี้จะมีข้อดีคือมีรถสาธารณะให้บริการหลายช่วงแล้วก็สามารถวางแผนเที่ยวลี่เจียง, แชงกรีล่า และภูเขาหิมะมังกรหยกเข้าไปกับทริปได้ ส่วนเส้นทางที่ 2 คือการเดินทางไปจากเมืองเฉินตูซึ่งเป็นมหานครที่ใหญ่มากอีกแห่งของประเทศจีน โดยเส้นทางที่ 2 นี้จะมีข้อดีคือใช้เวลาเดินทางบนรถน้อยกว่า เส้นทางโดยรวมดีกว่า รวมทั้งสามารถวางแผนเที่ยวระหว่างทางได้หลากหลายรูปแบบกว่าครับ

และด้วยความที่ผมเคยไปแต่เส้นทางที่ 2 คือออกจากนครเฉินตู ดังนั้นวันนี้ผมก็เลยจะขอสรุปสถานที่เที่ยวระหว่างทางที่น่าสนใจหากเราเดินทางออกจากนครเฉินตูเพียงอย่างเดียวนะครับ โดยสถานที่ที่ผมว่าน่าสนใจก็มีดังนี้

1. เมืองคังติ้ง

เมืองคังติ้งถือเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจากเมืองเฉินตูมากนัก รวมทั้งยังเป็นเมืองที่มีสนามบินด้วย แต่ว่าสนามบินของเมืองคังติ้งนั้นจะเป็นสนามบินที่สูงใช้ได้เลยครับ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมไม่แนะนำให้ทุกคนบินตรงมาลงที่นี่ เพราะแม้จะประหยัดเวลาในการเดินทางแต่ราคาตั๋วเครื่องบินก็สูงกว่ารวมทั้งยังเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกายเราด้วยครับ โดยภายในเมืองคังติ้งนี้จะมีวัดเก่าแก่รวมทั้งมีเส้นทางเดินชมเมืองที่สวยงามมากอยู่ หากใครมีเวลาว่างก่อนพระอาทิตย์ตกซัก 2-3 ชั่วโมง ลองเดินเล่นดูนะครับ รับรองว่าคุณจะได้ภาพสวยๆ หรือความประทับใจเพียบ

2. อุทยานมูเก๋อโช่ว

อุทยานมูเก๋อโช่วคือหนึ่งในอุทยานทางธรรมชาติของประเทศจีนที่มีความยิ่งใหญ่และความสวยงามมาก โดยอุทยานแห่งนี้จะอยู่ไม่ห่างจากเมืองคังติ้งมากนัก แต่ด้วยความใหญ่โตของอุทยานรวมทั้งเส้นทางไปที่ยังคงมีความยากลำบากอยู่ ดังนั้นหากใครที่คิดจะมาที่นี่ควรจะต้องเผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 5-6 ชั่วโมงนะครับ และผมบอกเลยว่าคนที่ชอบการถ่ายภาพต้องประทับใจที่นี่แน่ๆ โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมที่เราจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีกับภูเขาหิมะพร้อมๆ กัน

3. Zheduoshan Guanxuetai

หลังจากที่เราออกจากเมืองคังติ้งแล้วคราวนี้เส้นทางที่เราเจอส่วนใหญ่จะเป็นการขึ้นลงภูเขาสูงตลอด รวมทั้งต้องผ่านยอดเขาหลายลูกที่มีความสูงมากกว่า 3,500 เมตร ซึ่งต้องบอกว่าทิวทัศน์ต่างๆ นั้นจะมีความสวยงามมากโดยเฉพาะบริเวณจุดที่เรียกว่า Zheduoshan Guanxuetai ซึ่งเป็นจุดที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 4,298 เมตร บอกเลยว่าใครได้มาที่จุดนี้ในวันที่หิมะเยอะๆ แดดดีๆ คุณจะประทับใจมากเลยครับ

ส่วนนี่เป็นภาพของวิวทิวทัศน์อื่นๆ ที่เราจะได้เห็นระหว่างทางการนั่งรถขึ้นลงเขาต่างๆ ครับ ภูเขาหิมะสุดลูกหูลูกตานี่มันสวยจริงๆ

4. ซินตูเฉียว

ซินตูเฉียวเป็นเมืองที่หลายๆ คนยกให้เป็นสวรรค์ของนักถ่ายภาพ เพราะที่นี่เป็นเมืองที่มีใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามมาก แต่น่าเสียดายที่ผมมาที่เมืองนี้สองครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เจอใบไม้เปลี่ยนสีแบบพีคๆ ซักทีเลยครับ T_T แต่อย่างไรก็ตามวิวที่ผมได้เห็นนั้นก็ถือว่าสวยงามมากแล้ว โดยเฉพาะวิวมุมสูงที่ได้เห็นหลังจากที่เดินขึ้นเขาเล็กๆ ภายในเมืองนี้ครับ ใครที่มีแรงและเวลาผมแนะนำให้เดินขึ้นไปดูนะครับ โดยเฉพาะช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้ตกแสงมันสวยมากเลยครับ ^^

5. หลี่ถัง

หลี่ถังเป็นเมืองที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากแต่เป็นเมืองที่มีทิวทัศน์สวยงามมาก โดยเฉพาะวิวพาโนรามาใกล้ๆ กับ Litang Monastery เป็นอะไรที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยครับ ใครที่ชอบถ่ายรูปควรจะต้องมาที่เมืองนี้เลย และสิ่งที่คุณควรจะต้องทำก็คือการถ่ายรูปดาวในตอนกลางคืนรวมถึงการถ่ายภาพแสงเช้าตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า รับรองว่าฟินแน่ๆ แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนนะครับว่าใครที่จะมาถ่ายรูปในสองช่วงเวลานี้ควรต้องเตรียมอุปกรณ์กันลมกันหนาวมาดีๆ ด้วย เพราะอากาศมันจะหนาวมากกกกกกกกกก T_T

6. ถากง

ถากงเป็นเมืองขนาดเล็กที่มีจำนวนประชากรไม่มากนัก แต่ที่เมืองแห่งนี้ก็มีเสน่ห์หลายอย่างที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและจากทั่วโลกอยากเข้าไปสัมผัส โดยเฉพาะความงามของทิวทัศน์ต่างๆ รอบเมือง, ความงดงามและความอลังการของ Tagong Monastery และ The Golden Roof Monastery นอกจากนี้ที่เมืองแห่งยังมีวิถีชีวิตของชาวทิเบตที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมต่างๆ ของตัวเองไว้เป็นอย่างดีให้เราดูอีกด้วย ใครที่มีเวลาและสามารถจัดแผนเที่ยวตัวเองให้ผ่านเมืองนี้ได้ก็อย่าพลาดที่จะมานะครับ

7. Yellow Dragon Old Market (Huanglongxi)

แนะนำที่เที่ยวแบบที่เป็นธรรมชาติแล้วก็วัดวาต่างๆ ไปเยอะแล้ว ที่เที่ยวระหว่างทางที่สุดท้ายที่ผมว่าน่าสนใจและอยากจะพูดถึงก็เลยขอเป็นสถานที่ที่เอาใจคนชอบช้อปปิ้งอย่าง Yellow Dragon Old Market แล้วกันครับ โดย Yellow Dragon Old Market หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Huanglongxi (หวงหลงซี่) นั้น คือตลาดโบราณเก่าแก่ที่อยู่ห่างจากเมืองเฉินตูไม่มากนัก ที่นี่จะมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ให้เราเดินดูและถ่ายรูปมากมาย รวมทั้งยังมีแม่น้ำขนาดใหญ่ให้เรานั่งเรือชมวิวได้ด้วย นอกจากนี้ภายในตลาดแห่งนี้ยังมีขนม, อาหารอร่อยๆ และของที่ระลึกจำหน่ายเพียบ บอกเลยว่าทั้งขาช้อป, ขากิน และขาถ่ายรูปล้วนต้องชอบที่นี่แน่ๆ และบอกไว้เลยนะครับหากใครอยากจะมาเดินเล่นที่นี่ควรจะต้องเผื่อเวลามาเดินอย่างน้อยซัก 2-3 ชั่วโมงนะครับ ไม่งั้นคุณเดินไม่ครบแน่ๆ ><

เรื่องราวที่ควรรู้ภายในอุทยานย่าติงและการเตรียมตัวที่สำคัญ

หลังจากที่เราได้รู้จักกับสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจระหว่างการเดินทางจากเมืองเฉินตูไปยังอุทยานย่าติงแล้ว คราวนี้เรามาดูเรื่องราวที่เราควรรู้ภายในอุทยานแห่งนี้รวมถึงการเตรียมตัวที่สำคัญก่อนที่เราจะเดินทางไปกันดีกว่าครับ โดยผมได้ทำการสรุปออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้นะครับ

  • อุทยานย่าติงนั้นมีพื้นที่กว้างขวางมากและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย ดังนั้นเราจึงควรจะต้องมีเวลาอย่างน้อย 2 วันในการมาเที่ยวที่นี่ ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับโดยออกไปนอนโรงแรมข้างนอกอุทยาน หรือเลือกที่จะนอนค้างคืนที่หมู่บ้านย่าติงเพื่อเป็นการประหยัดเวลาในการเดินทางก็ได้ครับ แต่ต้องบอกให้ทราบก่อนนะครับว่าที่พักในหมู่บ้านย่าติงส่วนใหญ่นั้นจะไม่ได้หรูหราอะไรมากนัก จะออกแนวเป็น Guest House ที่เป็นห้องนอนรวม ห้องน้ำรวมซะมากกว่า และหากใครอยากจะหาที่พักดีๆ ในหมู่บ้านย่าติงที่เป็นห้องส่วนตัว มีห้องน้ำในตัว ผมก็ต้องบอกว่ามันพอมีอยู่เหมือนกันครับ แต่ราคาของมันก็จะสูงมาก โดยในช่วงที่เป็น High Season นั้นราคาจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท/ห้อง/คืน เลยทีเดียว @_@
  • สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่าสนใจภายในอุทยานย่าติงก็ได้แก่ ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake), ทะเลสาบห้าสี (Five Colors Lake), ทะเลสาบน้ำนม (Milk Lake), ทะเลสาบกบ (Frog Lake), ทุ่งหญ้าชงกู่, ทุ่งหญ้าลั่วหลง, วัดชงกู่ และหมู่บ้านย่าติง โดยทุกคนสามารถดูแผนที่คร่าวๆ ของการเดินทางภายในอุทยานย่าติงได้ตามภาพด้านล่างนี้เลยครับ
  • ในการเดินทางจากหมู่บ้านย่าติงไปยังทุ่งหญ้าชงกู่และทุ่งหญ้าลั่วหลงซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินเท้าไปยังทะเลสาบไข่มุก, ทะเลสาบห้าสีและทะเลสาบน้ำนมนั้นจะมีรถบริการครับ โดยเราจะต้องจ่ายค่ารถเพิ่มเองนอกเหนือจากค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานย่าติง แต่หากใครที่ต้องการประหยัดก็สามารถที่จะเดินไปเองได้ครับ แต่เชื่อผมเถอะว่ายอมเสียค่ารถบริการดีกว่า มันเซฟพลังงานและเวลาให้เราได้เยอะมากๆ คุ้มกับเงินที่เราจ่ายไปอย่างแน่นอน
  • การเดินเท้าจากทุ่งหญ้าลั่วหลงไปยังทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสีนั้นจะมีระยะทางไปกลับรวม 10.6 กิโลเมตร โดยเส้นทางการเดินใน 3 กิโลเมตรแรก จะเป็นเส้นทางราบกึ่งขึ้นเนินเล็กๆ ที่ยังไม่ชันมากนัก ส่วนเส้นทางช่วง 2 กิโลเมตรหลัง จะเป็นทางชันที่ต้องเดินขึ้นเขาอย่างต่อเนื่อง และช่วง 300 เมตรสุดท้าย ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นไปยังทะเลสาบห้าสีนั้นจะเป็นทางเดินขึ้นที่ชันมาก ซึ่งถึงแม้ทางประเทศจีนจะมีการปรับปรุงเส้นทางการเดินในหลายจุดให้เราเดินง่ายขึ้น มีบันไดคอยช่วยบ้างในบางจุด แต่ด้วยความที่เราไม่คุ้นชินกับระดับความสูง 4,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลแบบนี้ มีออกซิเจนเบาบางแบบนี้ รวมทั้งยังมีสัมภาระต่างๆ ที่เราต้องแบกด้วย ดังนั้นสิ่งที่เราควรจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะไปที่นี่ก็คือสภาพร่างกายที่ผ่านการออกกำลังกายมาบ้างครับ เพราะพอเราไปถึงที่นั่นแล้วเราจะเหนื่อยง่ายมากๆ รวมทั้งยังหายใจไม่ค่อยทันด้วย
  • อาการเหนื่อยที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินขึ้นไปยังทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสีนั้น จะไม่ใช่ลักษณะความเหนื่อยแบบที่เหงื่อไหลเป็นหยดๆ นะครับ แต่จะเป็นอาการเหนื่อยอันเนื่องมาจากการที่หัวใจของเราทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดและออกซิเจนให้มากกว่าปกติ เพราะระดับออกซิเจนที่มีอยู่ในบริเวณนั้นจะน้อยกว่าตอนที่เราใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยมาก และนั่นก็คือสาเหตุว่าทำไมเราเดินได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดนั่งพักแล้วนั่นเอง
  • สำหรับคนที่คิดว่าสภาพร่างกายตัวเองไม่ค่อยพร้อมซักเท่าไหร่ ผมแนะนำว่าอย่าแบกของขึ้นไปเยอะเกินความจำเป็นนะครับ รวมทั้งอาจจะต้องยอมเสียเงินนั่งม้าในระยะทาง 3 กิโลเมตรแรก (ราคาประมาณ 330 หยวน/เที่ยว) เพื่อเซฟพลังงานและเวลาให้กับเรา โดยระยะเวลาโดยเฉลี่ยสำหรับบุคคลทั่วๆ ไป ในการเดินขึ้นทะเลสาบน้ำนมแบบที่ไม่นั่งม้านั้นจะอยู่ที่ประมาณ 3.5 – 4 ชั่วโมง ส่วนระยะเวลาในการเดินลงนั้นน่าจะประมาณ 1.5 -2 ชั่วโมงครับ แต่ถ้าใครแข็งแรง สภาพร่างกายสมบูรณ์ก็จะใช้เวลาที่น้อยกว่านี้
  • สำหรับเส้นทางการเดินไปยังทะเลสาบไข่มุกซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากทุ่งหญ้าชงกู่นั้น จะเป็นเส้นทางการเดินที่ง่ายกว่าเส้นทางไปทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสีมาก เพราะเป็นการเดินขึ้นบันไดเหล็กที่มีความแข็งแรง และมีจุดให้นั่งพักตลอดทาง ส่วนระยะเวลาในการเดินขึ้นจะอยู่ที่ 1.5 – 2 ชั่วโมง และระยะเวลาในการเดินลงจะอยู่ที่ 45 นาทีครับ (ระยะทางในการเดินจากทุ่งหญ้าชงกู่ไปยังทะเลสาบไข่มุก ประมาณ 1.5 กิโลเมตร, ไป-กลับ ประมาณ 3 กิโลเมตร) โดยบริเวณทุ่งหญ้าชงกู่นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีความสวยงามมาก ดังนั้นผมแนะนำว่าให้เผื่อเวลาเดินถ่ายรูปและสัมผัสธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้ด้วยอย่างน้อยซัก 1 ชั่วโมงนะครับ
  • เนื่องจากอุทยานย่าติงและเส้นทางการเดินทางในทริปนี้ของเรานั้นจะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ขนาดแค่ที่เมืองเฉินตูที่เรานั่งเครื่องบินมาถึงยังมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,700 เมตร และในระหว่างทริปเรายังต้องไปสัมผัสความสูงที่ 4,500 เมตรจากระดับน้ำทะเลด้วย ดังนั้นจึงมีโอกาสที่หลายคนจะเกิดอาการ High Altitude Sickness หรือกลุ่มโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ในภาวะที่มีออกซิเจนน้อยได้ ผมจึงขอแนะนำให้ทุกคนที่มีแผนจะเดินทางไปที่นี่พยายามเช็คร่างกายของตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหัว มึนศีรษะ อ่อนเพลีย หรือไม่ ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรรีบพักผ่อนหรือสูดออกซิเจนกระป๋องทันที และในการเดินทางไปควรจะต้องมีการเตรียมยา Diamox ติดตัวไปด้วย เพราะยานี้จะสามารถช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้ครับ แต่ทั้งนี้เราจะต้องทานยาให้ถูกต้องตามที่แพทย์แนะนำ รวมถึงยานี้จะไม่สามารถให้คนที่แพ้ซัลฟาทานได้
  • แม้ที่ผ่านมาผมจะเขียนว่าการไปที่นี่นั้นมีความเสี่ยงหลายอย่าง รวมทั้งเป็นการเที่ยวที่เหนื่อยและต้องใช้พลังกายและใจเป็นอย่างมาก แต่มันก็ไม่ใช่สถานที่ที่ไปยากขนาดนั้นครับ นักท่องเที่ยวทั่วๆ ไปสามารถที่จะไปพิชิตทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสีได้อย่างสบาย หากมีการเตรียมตัวล่วงหน้าไว้เป็นอย่างดี ไม่เชื่อก็ลองดูภาพด้านล่างนี้สิครับ หนุ่มสาวชาวจีนยังสามารถขึ้นไปถ่ายภาพ Pre Wedding ที่บริเวณทะเลสาบน้ำยมได้อย่างชิลๆ เลย ><
  • อุทยานย่าติงนั้นสามารถเที่ยวได้หลายเดือน แต่ช่วงที่คนนิยมไปมากๆ ก็คือ ช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีครับ ส่วนช่วงที่คนไปน้อยที่สุดก็คือช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม เพราะเป็นช่วงที่สภาพอากาศไม่ดี รวมทั้งความสวยงามของธรรมชาติน้อยกว่าในช่วงเดือนอื่นๆ
  • สภาพอากาศในเดือนตุลาคมที่อุทยานย่าติงและมณฑลเสฉวนนั้นจะเป็นการเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หลายๆ เมืองเริ่มจะมีหิมะตกและมีอุณภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียสจนถึงติดลบ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนและเช้ามืดจะเป็นช่วงที่อากาศหนาวมาก ใครที่มีแผนจะเดินทางไปช่วงนี้ก็เตรียมอุปกรณ์ในการกันหนาวไปให้ดีๆ นะครับ
  • ในเรื่องอาหารการกินส่วนใหญ่ อาหารที่อยู่ในมณฑลนี้จะเป็นอาหารที่เน้นผักแล้วก็มีความมันพอควรครับ นอกจากนี้เค้ายังมักจะใส่ควาเจียวหรือหมาล่าลงไปในอาหารส่วนใหญ่ด้วย ดังนั้นใครที่คิดว่าจะมีปัญหากับการทานอาหารลักษณะนี้ ผมแนะนำให้เตรียมอาหารแห้งอย่างน้ำพริก, ขนมปัง, มาม่า หรืออาหารสำเร็จรูปอื่นๆ ที่สามารถกินกับข้าวต้มหรือข้าวสวยได้จากไทยไปเยอะๆ นะครับ
  • Internet ในประเทศจีนนั้นจะมีการบล็อคไม่ให้เราใช้งาน Google หรือ Social Media อย่าง Facebook, Youtube หรือ line ได้ ดังนั้นเพื่อความสะดวกของเราและป้องกันปัญหาเรื่องของการติดต่อกับคนอื่นๆ ที่ไทยไม่ได้ เราควรจะโหลดแอพพลิเคชั่น VPN หรือซื้อซิมมือถือจากประเทศไทยไปด้วยครับ ซึ่งผมขอแนะนำอย่างหลังมากกว่าเพราะมันสะดวกกว่าเยอะ โดยปัจจุบันนี้เราสามารถใช้งานได้ทั้ง True Travel Sim หรือ AIS Sim2Fly ได้ และเราจะสามารถเล่น Social Media ต่างๆ ได้ตามปกติเลย แต่ทั้งนี้ในบางช่วงของการเดินทางนั้นก็อาจจะไม่มีสัญญาณบ้างนะครับ เพราะต้องเข้าใจด้วยว่าเรากำลังเดินทางไปที่ที่มันเป็นธรรมชาติและอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากครับ
  • เพื่อความปลอดภัย เราควรให้ทุกคนในทริปโหลด App WeChat ไว้ติดตัวด้วย เพราะนี่คือโปรแกรมแชทที่ประเทศจีนนิยมใช้กันเป็นอย่างมาก รวมทั้งเรายังสามารถใช้งานโปรแกรมนี้ผ่าน Free Wifi ต่างๆ ในประเทศจีนได้ด้วย
  • การขอ Visa เข้าประเทศจีนนั้น ค่อนข้างจุกจิกในเรื่องของเอกสารอยู่พอควร ดังนั้นถ้าใครอยากขอแล้วผ่านสบายๆ ในครั้งเดียว ไม่ต้องเดินทางไปขอหลายรอบก็สามารถอ่านวิธีการขอ Visa จีน ได้ที่นี่เลยครับ

และเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพความสวยงามของอุทยานสวรรค์ย่าติงนี้แบบเต็มที่ ดังนั้นในช่วงท้ายของบทความนี้ผมก็เลยจะโพสต์ภาพสถานที่ต่างๆ ในอุทยานย่าติงให้ทุกคนดูแบบจุใจเลยนะครับ โดยผมจะแบ่งภาพเป็นหัวข้อย่อยๆ ไว้ ทุกคนดูแล้วจะได้รู้ว่าแต่ละภาพมันอยู่ตรงไหนครับ

หมู่บ้านย่าติง

(สูง 3,980 เมตรจากระดับน้ำทะเล)
หมู่บ้านย่าติง (Yading Village)
หมู่บ้านย่าติง (Yading Village)
หมู่บ้านย่าติง (Yading Village)

ทุ่งหญ้าชงกู่

(สูง 3,900 เมตรจากระดับน้ำทะเล)
ทุ่งหญ้าชงกู่
ทุ่งหญ้าชงกู่
ทุ่งหญ้าชงกู่
ทุ่งหญ้าชงกู่
ทุ่งหญ้าชงกู่
ทุ่งหญ้าชงกู่
ทุ่งหญ้าชงกู่
ทุ่งหญ้าชงกู่
วัดชงกู่

วังชงกู่

วัดชงกู่
วัดชงกู่
ย่าติง
วัดชงกู่
วัดชงกู่

ทะเลสาบไข่มุกและทิวทัศน์ระหว่างทาง

(สูง 4,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล)
ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake)
ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake)
ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake)
ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake)
ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake)
ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake)

ทุ่งหญ้าลั่วหลง

(สูง 4,180 เมตรจากระดับน้ำทะเล)
ทุ่งหญ้าลั่วหลง
ทุ่งหญ้าลั่วหลง
ทุ่งหญ้าลั่วหลง
ทุ่งหญ้าลั่วหลง
ทุ่งหญ้าลั่วหลง
ทุ่งหญ้าลั่วหลง
ทุ่งหญ้าลั่วหลง
ํYading

ทางเดินระหว่างไปทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสี

ํYading
ํYading
ํYading
ํYading
ํYading
ํYading
ํYading
ํYading
ย่าติง
ย่าติง
ย่าติง
ย่าติง
ย่าติง
ย่าติง
ย่าติง
ย่าติง

ทะเลสาบน้ำนม

(สูง 4,600 เมตรจากระดับน้ำทะเล)
ทะเลสาบน้ำนม
ทะเลสาบน้ำนม
ทะเลสาบน้ำนม
ทะเลสาบน้ำนม
ทะเลสาบน้ำนม

ทะเลสาบห้าสี

(สูง 4,700 เมตรจากระดับน้ำทะเล)

ทะเลสาบห้าสีทะเลสาบห้าสีทะเลสาบห้าสีทะเลสาบห้าสีทะเลสาบห้าสีทะเลสาบห้าสีและทั้งหมดนี้ก็คือภาพของสถานที่ต่างๆ ในอุทยานย่าติงที่ผมได้มีโอกาสถ่ายมาครับ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจากที่ทุกคนอ่านบทความนี้จบแล้วทุกคนจะรู้จักกับอุทยานย่าติง (Yading Nature Reserve) มากขึ้น รวมทั้งได้รับข้อมูลที่ทำให้คุณสามารถเตรียมตัวไปทริปนี้ได้ดีขึ้นกว่าเดิมครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ หากสงสัยหรือต้องการข้อมูลอะไรก็สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป