Home Travel สรุปเรื่องควรรู้ก่อนไปเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเอง ปี 2567

สรุปเรื่องควรรู้ก่อนไปเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเอง ปี 2567

สรุปเรื่องควรรู้ก่อนไปเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเอง

เมื่อปลายเดือน มี.ค. 67 ผมกับภรรยาได้มีโอกาสไปเที่ยวปักกิ่ง (Beijing) ประเทศจีน มาเป็นเวลา 7 วันครับ โดยเราได้มีการทำแผนเที่ยวแบบละเอียดสุด ๆ ให้ทุกคนอ่านแล้วตามลิงก์ข้างล่างนี้ ใครสนใจก็ลองอ่านดูนะ ในนั้นจะบอกหมดเลยทั้งแผนเที่ยว, ค่าใช้จ่าย, วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุด และแอพมือถือจำเป็นที่เราควรต้องมีติดไว้ รับรองว่าใครอ่านจบสามารถเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเองได้เลยครับ

▪ แจกแผนเที่ยวปักกิ่ง 5 วันเต็ม เก็บไฮไลท์ครบ อ่านจบเที่ยวเองได้เลย ไม่ต้องง้อทัวร์!!

ส่วนในบทความหรือรีวิวที่ทุกคนกำลังอ่านอยู่นี้ มันจะเป็นเหมือนส่วนเสริมเติมเต็ม หรือพวกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คนที่สนใจจะไปเที่ยวปักกิ่งได้อ่านเพิ่มเติมครับ ยังไงก็ลองอ่านดูนะ มีประมาณ 60 เรื่องได้ครับ

แจกแผนเที่ยวปักกิ่ง 5 วันเต็ม

▪️ ที่ปักกิ่งจะมีสนามบินนานาชาติที่ใช้บินระหว่างประเทศอยู่ 2 แห่งนะครับ คือ PEK และ PKX โดยทั้ง 2 สนามบินนี้ตั้งอยู่กันคนละฟากของเมืองเลย และห่างกันมากกว่า 80 กม. อีกครับ ดังนั้นใครมีแผนจะเดินทางไปปักกิ่งก็ดูชื่อสนามบินที่ตัวเองขึ้นและลงให้ถูกต้องนะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าไปผิดที่เอา

▪️ สนามบิน PKX หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Beijing Daxing International Airport นั้น จะเป็นสนามบินที่ใหม่และใหญ่กว่านะครับ ขนาดสนามบินคือใหญ่มาก ๆ แต่ว่าสนามบินนี้จะอยู่ไกลตัวเมืองปักกิ่งกว่า โดยถ้าจะเปรียบเทียบง่าย ๆ สนามบิน PKX นั้นก็เหมือนสนามบินสุวรรณภูมิของไทยนั่นแหละครับ

▪️ ที่สนามบิน PKX นั้น จะมีจุดให้บริการน้ำดื่มร้อนเย็นฟรีหลายจุด รวมถึงมีห้องน้ำให้อาบน้ำด้วยนะ

▪️ ทั้งสองสนามบิน (PEK และ PKX) จะมีรถไฟความเร็วสูงเข้าออกตัวเมืองปักกิ่งทั้งคู่ครับ ทำให้สะดวกและประหยัดเวลาไปได้เยอะมาก โดยค่าโดยสารจากสนามบิน PEK ไปยังปักกิ่งจะอยู่ที่ 25 หยวน/เที่ยว ส่วนจากสนามบิน PKX ไปยังปักกิ่งจะอยู่ที่ 35 หยวน/เที่ยว ครับ

▪️ โดยปกติแล้วรถไฟความเร็วสูงเข้าออกสนามบินทั้งสองแห่งนี้จะเปิดบริการในช่วง 6.00 น. – 23.00 น. โดยประมาณนะครับ แต่ยังไงถ้าใครมีแผนจะเดินทางจริง ๆ ก็สามารถไปดูเวลาเป๊ะ ๆ ได้ที่แอพ Metroman China ได้เลยครับ

▪️ คนไทยเข้าออกจีนในช่วงฟรีวีซ่านี้ง่ายและสะดวกมาก เตรียมไปแค่พาสปอร์ตกับข้อมูลโรงแรมที่เราพักคืนใดคืนนึงก็พอ (ชื่อโรงแรม, ที่อยู่) และเมื่อเราถึงสนามบินที่จีนแล้วก็แค่กรอกใบ Arrival card, สแกนนิ้ว เป็นอันจบครับ

วิธีการเดินทางเข้าจีนช่วงฟรีวีซ่า

▪️ การเที่ยวในปักกิ่งด้วยตัวเองโดยไม่ง้อทัวร์ไม่ได้ยากเกินไปนะครับ ยิ่งคนที่มีสกิลในการเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเองมาพอควรแล้วยิ่งสบาย เพียงแต่ว่าอาจจะต้องเผื่อใจเรื่องการเดินเยอะนิดนึงครับ เพราะมันต้องเดินเยอะพอควรเลย

▪️ ห้องน้ำสาธารณะในปักกิ่งเท่าที่ผมเจอมานั้นดีทุกที่ครับ สะอาด และแทบไม่เจอจุดไหนที่มีปัญหาเลย และต่อให้เป็นสถานที่เที่ยวที่มีคนเยอะแค่ไหนเค้าก็ดูแลในส่วนนี้ได้ดีมาก โดยตลอด 7 วันที่ปักกิ่งพวกเราเข้าห้องน้ำที่นอกโรงแรมทุกรูปแบบรวมกันน่าจะเกิน 100 ครั้งได้ เจอเคสที่เปิดไปแล้วเจอคนทิ้งบอมบ์ไว้แค่ 2-3 ครั้งเท่านั้นเองครับ (สำหรับเรื่องกลิ่นนั้น อาจจะมีบางที่ที่มีกลิ่นนิด ๆ นะครับ แต่ความสะอาดดีเลย)

ห้องน้ำใน Universal Beijing Resort

▪️ ภายในสถานีรถไฟฟ้าที่ปักกิ่งจะมีห้องน้ำแค่บางที่นะครับ และเท่าที่ผมเข้ามาก็ยังไม่เจอปัญหาอะไรนะ

▪️ แม้ความสะอาดของห้องน้ำสาธารณะโดยรวมของเค้าจะดีแล้วก็ตาม แต่ว่าก็ยังมีคนจีนอยู่อีกกลุ่มนึงที่มักจะเข้าห้องน้ำโดยที่เปิดประตูทิ้งไว้ หรือไม่ได้ล็อคประตูนะครับ (มีทั้งผู้หญิงและชายเลย)

▪️ ลักษณะห้องน้ำสาธารณะที่ปักกิ่งจะมีทั้งแบบนั่งยองและนั่งปกติ โดยสถานที่บางแห่งก็จะมีป้ายบอกและแบ่งชัดเจนเลยว่าห้องไหนเป็นแบบไหน แต่ว่าบางที่จะเป็นแบบนั่งยองล้วนนะครับ (แม้กระทั่งในห้างบางที่ก็เป็นแบบนั่งยองล้วน)

▪️ ภายในประเทศจีนนั้นเราจะหาสายฉีดชำระในห้องน้ำได้ยากมาก ๆ ครับ ตามโรงแรมดี ๆ ยังแทบหาไม่เจอเลย ดังนั้นฝึกใช้ทิชชู่เช็ดกันให้ชินนะ

▪️ โดยมากแล้วในห้องน้ำสาธารณะเค้าจะไม่มีทิชชู่ให้นะครับ จะเจอทิชชู่แค่บางที่ เช่น สนามบิน, Universal เป็นต้น ดังนั้นเราควรจะต้องมีการพกทิชชู่ติดตัวไว้ด้วยครับ

ห้องน้ำในพระราชวังต้องห้าม

▪️ ในปักกิ่งและประเทศจีนนั้น ระบบแผนที่ในมือถือที่ดีที่สุดคือ Baidu นะครับ แต่ว่ามันจะเป็นภาษาจีนเป็นหลักเลย ทำให้หลายคนไม่สะดวกใช้ซักเท่าไหร่ ส่วน Google Map นั้นบอกเลยว่าไม่ค่อยเวิร์ค และไม่แนะนำให้ใช้เท่าไหร่ครับ

▪️ สำหรับคนที่ใช้ iPhone สามารถใช้ Applemap ดูแผนที่และการเดินทางต่าง ๆ ได้นะครับ มันใช้งานได้ดีระดับนึงเลย

▪️ สำหรับคนที่ใช้ Android แนะนำให้โหลดแอพ Metroman China และแอพ Map.me นะครับ มันเอาไว้ดูการเดินทางและรถไฟฟ้าได้สะดวกดี และตัวแอพเป็นภาษาอังกฤษด้วยครับ (แอพ Metroman China เวลาใช้อาจจะต้องรอดูโฆษณานิดนึงนะ)

พระราชวังต้องห้าม ปักกิ่ง

▪️ การใช้จ่ายเงินที่ปักกิ่งนั้นสามารถใช้ได้ทั้งเงินสด, Alipay (ผูกบัตรเครดิต / บัตร Travelcard), Truewallet และแอพ K Plus ครับ

▪️ ผมเที่ยวปักกิ่งมา 7 วัน สามารถใช้เงินสดได้มากกว่า 95% มีแค่ร้านสะดวกซื้อบางที่กับตู้เติมเงินเท่านั้นที่บังคับใช้วิธีสแกนจ่ายครับ

▪️ เรื่องใช้เงินสดแล้วทางร้านต้องทอนเศษเล็กเศษน้อย ผมลองใช้มาเกิน 10 ร้าน ทางเค้าก็สามารถทอนได้หมดนะครับ พวกเหรียญก็ทอนได้ แค่อาจจะทอนช้าหน่อย เพราะบางทีเค้าจะเก็บเงินสดแยกไว้อีกที่นึงครับ

▪️ เวลาจ่ายเงินผ่าน Alipay โดยการผูกบัตรเครดิต / บัตร Travel Card เกินครั้งละ 200 หยวน มันจะมีการชาร์จค่าใช้จ่ายเพิ่ม 3% นะครับ ดังนั้นเวลาที่จะจ่ายเงินซื้ออะไรก้อนใหญ่ให้ใช้เป็นเงินสดก็ดีครับ หรือจะจ่ายผ่าน Truewallet กับ K Plus ก็ได้ มันจะไม่มีการชาร์จ แต่ว่าอาจจะต้องเทียบเรทดี ๆ นะครับ

โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph's Church) ปักกิ่ง

▪️ ระบบรถไฟฟ้า (ซับเวย์) ในปักกิ่งดีมากครับ มีเกือบ 20 สายเลย และครอบคลุมการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ค่ารถไฟฟ้าก็ยังถูกมาก ๆ ด้วย นั่งไกล ๆ เป็นชั่วโมงก็จ่ายแค่ 30-35 บาทเท่านั้นเองครับ

▪️ คุณภาพรถไฟฟ้าของเค้าดีมาก ภายในรถมีการบอกทิศทางการเดินทาง, ด้านที่ประตูเปิดอย่างชัดเจน รวมถึงมีการพูดเป็นภาษาอังกฤษด้วยครับ ส่วนป้ายต่าง ๆ ในสถานี รวมทั้งป้ายชื่อสถานีก็ล้วนแต่มีภาษาอังกฤษกำกับทั้งหมด

แจกแผนเที่ยวปักกิ่ง 5 วันเต็ม

▪️ สถานีรถไฟฟ้า (ซับเวย์) บางสถานีมีขนาดใหญ่มาก และบางสถานีเวลาที่เราต้องเดินเปลี่ยนสายก็ไกลและต้องใช้เวลาพอควรเลยครับ

▪️ สถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงในปักกิ่งนั้นใหญ่สุด ๆ และคุณภาพของรถไฟฟ้าของเค้าดีงามไม่แพ้ชินคันเซ็นของญี่ปุ่นเลยครับ

▪️ ทุกครั้งที่เราต้องเข้าสถานีรถไฟ, ซับเวย์ จะต้องสแกนกระเป๋าด้วยนะครับ แต่ว่าในส่วนนี้เค้าทำได้รวดเร็วดี ไม่ได้เสียเวลาอะไรมาก และพอเราเข้าซัก 2-3 ครั้งเดี๋ยวก็ชินครับ

▪️ การใช้บริการรถซับเวย์และรถเมล์ในปักกิ่ง ตั้งแต่กลางเดือน พ.ค. 67 เป็นต้นมา เป็นอะไรที่สะดวกมาก เพราะเราสามารถสร้าง QR Code ผ่านแอพ Alipay เพื่อใช้สแกนตอนขึ้นและลงได้เลยครับ (ไม่จำเป็นต้องใช้เบอร์โทรศัพท์จีนในการลงทะเบียนแล้ว) และเดี๋ยวมันจะหักเงินผ่านแอพ Alipay เลย แต่ถ้าใครขี้เกียจเปิดแอพมือถือไปมาก็สามารถซื้อบัตร IC Card “TU Card (Hutong)” แทนได้ครับ ใช้แค่บัตรเดียวจบ แตะเข้าแตะออกรวดเร็วทันใจ และเราสามารถเติมเงินเพิ่มด้วยตัวเองได้ที่ตู้ในสถานีต่าง ๆ ได้เลย โดยเราสามารถหาซื้อบัตรนี้ได้ที่เจ้าหน้าที่ในสถานีซับเวย์ใหญ่ ๆ ครับ แต่ถ้าเอาสะดวกพูดคุยรู้เรื่องสุดก็ที่สนามบินเลยครับ โดยในการซื้อบัตรใหม่นั้นจะมีค่ามัดจำบัตร 20 หยวนนะ และเราจะได้เงินค่ามัดจำพร้อมเงินที่เหลืออยู่ในบัตรทั้งหมดคืนเมื่อเราทำการคืนบัตรครับ

บัตรรถไฟฟ้าปักกิ่ง

▪️ รสชาติอาหารโดยรวมที่ปักกิ่งถือว่าดีเลยครับ น่าจะถูกปากคนไทยส่วนใหญ่ อาหารอร่อย ไม่มันไม่เลี่ยนเกินไป ส่วนพวกหม่าล่าที่เค้าใช้ผสมกับอาหารต่าง ๆ ก็อร่อยกำลังดีครับ

▪️ ค่าอาหารต่อมื้อต่อคนโดยประมาณจะอยู่ที่ 200-250 บาทนะครับ แต่ถ้าใครจะกินเป็ดปักกิ่งหรือหม้อไฟพวกนี้จะราคาสูงขึ้นไปเยอะนะ เฉลี่ยแล้วก็คนละ 800-1,200 บาท/คน/มื้อ ได้ครับ

หม่าล่าหม้อไฟที่ปักกิ่ง

▪️ เป็ดปักกิ่งของที่นี่จะเป็นแบบแล่ทั้งตัว และมีเนื้อติดมาแบบหนา ๆ เลย ส่วนพวกเครื่องเคียงที่เค้าทานนั้นก็จะไม่ค่อยเหมือนกับที่ไทยนะครับ

▪️ ร้านอาหารบางที่จะให้เราสแกนดูเมนูผ่าน Alipay และบางที่ก็จะให้เราจ่ายเงินผ่านแอพตั้งแต่ตอนที่สั่งเลยครับ

เป็ดปักกิ่ง

▪️ พวกน้ำหวานในร้านสะดวกซื้อ ส่วนใหญ่จะราคา 5-6 หยวน/ขวด ส่วนน้ำเปล่าจะราคา 1.5-3 หยวน/ขวด แต่ถ้าเป็นตามสถานที่ท่องเที่ยวจะราคาสูงกว่านี้ครับ

▪️ พวกน้ำหวานตามร้านต่าง ๆ เช่น ชานมไข่มุก, น้ำผลไม้ จะราคาประมาณ 16-20 หยวน (80-100 บาท)

▪️ พวกขนมและเครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ เช่น 7-11, Lawson จะไม่ได้น่ากินเท่าญี่ปุ่นนะครับ โดยของส่วนใหญ่ที่เค้าขายจะเน้นไปที่ถั่วและพวกเนื้อแปรรูปต่าง ๆ

▪️ มารยาทคนจีนส่วนใหญ่ที่ผมเจอตอนนี้ถือว่าดีขึ้นเยอะครับ แทบไม่เจอการแซงคิวแล้ว ยกเว้นคนสูงอายุบางคนที่จะยังมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่

▪️ พฤติกรรมเรื่องการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ และการขากถุยตามพื้น ทั้งสองอย่างนี้ลดลงไปจากเดิมพอควรแล้วครับ แต่ก็ยังมีอยู่นะ อย่างเรื่องการสูบบุหรี่บางจุดที่เค้าห้ามไว้ก็ยังมีคนสูบอยู่บ้าง แต่ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นเค้าก็จะเข้ามาเตือนครับ

▪️ คนจีนส่วนมากจะไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษกันครับ แต่ว่าโดยพื้นฐานแล้วเค้านิสัยดีนะ ถ้าเราถามอะไรเค้าจะยินดีช่วยเหลือมาก ๆ และจะพยายามพูดสื่อสารกับเราแม้จะไม่รู้เรื่องก็เถอะ ดังนั้น Google translate ก็เลยสำคัญมากครับ

Universal Beijing Resort

▪️ เวลาที่ปักกิ่งจะเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง เช่น ตอนนี้ที่ไทย 1 ทุ่ม ที่ปักกิ่งก็จะเป็น 2 ทุ่ม

▪️ เวลาบินจากไทยไปปักกิ่งประมาณ 4 ชั่วโมง 30 นาทีเท่านั้น นั่งแป๊บ ๆ ก็ถึงแล้ว

▪️ ช่วงที่ผมคิดว่าน่าไปเที่ยวปักกิ่งที่สุดคือ ปลายมีนาคมถึงต้นเมษายน (ฤดูใบไม้ผลิ, มีดอกไม้สวย ๆ ให้ดู) และช่วงปลายตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายน (ฤดูใบไม้ร่วง, ใบไม้จะเปลี่ยนสีสวยเลย) โดยทั้งสองช่วงนี้อุณหภูมิโดยประมาณจะอยู่ที่ 5-15 องศาครับ

พระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace)

▪️ ช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม จะเป็นช่วงที่ปักกิ่งหนาวมากครับ และน้ำในทะเลสาบบางที่จะเป็นน้ำแข็งด้วย

▪️ ช่วงวันที่ 1 เม.ย. – 31 ต.ค. ของทุกปีจะเป็นช่วง High Season ของการเที่ยวในประเทศจีนนะครับ บัตรค่าเข้าสถานที่ต่าง ๆ จะมีราคาสูงกว่าช่วง Low season ครับ

เทียนจิน (Tianjin)

▪️ ปักกิ่งเป็นเมืองที่มีการจัดการเรื่องมลภาวะและฝุ่น PM 2.5 ได้ดีพอควร แต่ก็มีบางช่วงเหมือนกันที่มีค่าสูงระดับ 180 หรือทะลุไปที่ 250 เลย แต่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น โดยส่วนนึงมันเป็นเพราะเกิดจากเหตุการณ์ทางธรรมชาติด้วย เช่น พายุทราย เป็นต้น อย่างไรก็ตามใครที่คิดจะไปเที่ยวปักกิ่งก็ควรต้องติดตามเรื่องนี้และเตรียมหน้ากากอนามัยแบบกันฝุ่น PM 2.5 ไปเผื่อด้วยนะครับ

▪️ ปักกิ่งเป็นเมืองที่หาถังขยะได้ง่ายมาก ถนนบางสายนี่แทบจะมีถังขยะทุก 50 เมตร และในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็มีถังขยะเตรียมไว้ให้เยอะมาก

▪️ การท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในพระราชวัง และส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของโบราณ สามารถถ่ายรูปได้อย่างเต็มที่ ไม่มีการห้ามใด ๆ ยกเว้นห้ามใช้แฟลชเท่านั้น

พิพิธภัณฑ์นาฬิกา พระราชวังต้องห้าม

▪️ พระราชวังต่าง ๆ และพิพิธภัณฑ์ในปักกิ่งมักจะหยุดวันจันทร์นะครับ ดังนั้นวางแผนการท่องเที่ยวดี ๆ นะ

พระราชวังต้องห้าม ปักกิ่ง

▪️ บริเวณรอบ ๆ จัตุรัสเทียนอันเหมินจะเป็นจุดที่มีการตรวจตราเรื่องความปลอดภัยเยอะมาก ทั้งการสแกนกระเป๋าและพาสปอร์ตที่มากกว่าปกติ ดังนั้นเวลาที่เราไปเที่ยวแถวนี้มันจะใช้เวลาต่อคิวนานนิดนึงครับ

จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square)

▪️ ในปักกิ่งจะมีจักรยานให้เรายืมไปใช้งานเยอะมาก จอดอยู่ตามจุดต่าง ๆ เต็มไปหมด และเห็นว่าใช้งานง่ายมากครับ แค่ใช้ผ่านแอพ Alipay โดยมีราคาเริ่มต้นประมาณ 1.5 หยวนเท่านั้น

▪️ การเที่ยวในปักกิ่งเราสบายใจในเรื่องของขโมยได้ครับ ค่อนข้างปลอดภัยเลย แต่สิ่งที่ต้องระวังมาก ๆ ก็คือการข้ามถนนและรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าครับ คนที่นี่ยังขับรถผิดการจราจรกันพอควร และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้านั้นเสียงมันเงียบมากครับ เราจะไม่ได้ยินเสียงเวลาที่มันอยู่ใกล้ ๆ เลย

เทียนจิน (Tianjin)

▪️ พาสปอร์ตคือสิ่งจำเป็นที่เราต้องมีติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะระบบการซื้อตั๋วหรือเข้าออกบางสถานที่ของที่นี่จะใช้การสแกนพาสปอร์ตครับ อย่างบางอย่างที่เราซื้อตั๋วไปจากไทยเรียบร้อยแล้ว พอไปถึงที่นั่นเราก็ยื่นพาสปอร์ตให้เค้าสแกนได้เลย ไม่จำเป็นต้องปริ้นท์อะไรไปครับ

▪️ ขนาด Power Bank ที่ควรพกไปจีนคือ “ไม่เกิน 20,000 มิลลิแอมป์” และต้องมีตัวเลขบอกชัดเจนครับ (ไม่มีการจำกัดจำนวนก้อน) หากใครเอาไปเกิน 20,000 มิลลิแอมป์ต้องไปทำเรื่องที่สนามบินก่อน ซึ่งมันจะยุ่งยากและเสียเวลามาก

▪️ การตรวจร่างกายที่สนามบินจีนเข้มงวดและละเอียดมาก ตรวจแบบแนบเนื้อทุกสัดส่วนของร่างกายเราเลย โดยกรณีที่เราเป็นผู้หญิงเค้าจะมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้หญิงคอยตรวจนะ

กำแพงเมืองจีนด่าน Mu Tian Yu ฝั่งตะวันออก

▪️ การเล่น Internet ที่นั่นแนะนำให้ใช้ Sim2Fly, True Travel Sim หรือเปิดโรมมิ่งไปจากไทยจะดีที่สุดนะครับ เพราะเราจะสามารถใช้ทุกอย่างได้ไม่มีปัญหาอะไรเลย เล่นได้ทุกแอพตามปกติ แต่ถ้าเราไปต่อ WiFi ที่นั่น พวกแอพ Facebook, ig, google ต่าง ๆ พวกนี้จะเล่นไม่ได้นะครับ

▪️ ราคาพวก Sim2fly, True Travel SIM จะอยู่ที่ 399 บาท ใช้ได้ 10 วัน ได้ดาต้า 6gb นะครับ หากเราใช้หมดก่อนก็สามารถเติมเงินเพิ่มผ่านแอพแต่ละค่ายได้เลย

พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City)

ก็จบแล้วนะครับสำหรับเรื่องเด่น ๆ ควรรู้ก่อนการไปเที่ยวปักกิ่งครับ ยังไงขอให้ทุกคนมีความสุขกับการไปเที่ยวปักกิ่ง (Beijing) ประเทศจีนนะ ส่วนท่านใดที่ต้องการจะติดตามเรื่องราวกินและเที่ยวของผมกับต๋งเพิ่มเติม ก็สามารถกดติดตามได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ

พระราชวังต้องห้าม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก