เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา หลายคนคงจะรู้สึกได้ใช่มั้ยครับว่าเพจ ภรรยาหา สามีใช้ นั้นค่อนข้างจะเงียบมาก นั่นก็เพราะว่าผมกำลังเดินทางไปสำรวจโลกที่อินโดนีเซียอยู่ครับ โดยมีจุดหมายปลายทางในทริปนี้ที่สำคัญอยู่ 3 ที่ ได้แก่ บาหลี, คาวาอีเจี้ยน และภูเขาไฟโบรโม่
ก่อนการเดินทางผมคาดหวังไว้มากๆ ว่าจะได้ภาพดีๆ กลับมาฝากทุกคน เพราะคนที่เดินทางก่อนหน้าผมประมาณ 1 อาทิตย์นั้นต่างก็ได้ภาพสวยๆ กลับมาทั้งนั้น แต่เหมือนว่าฟ้าจะไม่เป็นใจ ฟ้าอยากจะกลั่นแกล้งคนหน้าตาดีอย่างผม ก็เลยทำให้ตลอด 6 วัน 5 คืนของผมกับเพื่อนๆ นั้นเจอฝนตกและสภาพอากาศที่ไม่ดีเลย ซึ่งแน่นอนว่ากล้องของผมนี่นอนสงบอยู่ในกระเป๋ากล้องที่ชื้นแฉะยาวๆ เลยครับ T___T
แต่เอาเถอะ การเดินทางกับธรรมชาตินั้นแม้เราจะเตรียมตัวไปดีแค่ไหนแต่เราก็ไม่สามารถได้สิ่งที่ต้องการ 100% และเมื่อเราเดินทางจบแล้วต่อให้ไม่ได้รูปโดนใจ ยังไงเราก็ต้องมีเรื่องอะไรๆ มาฝากกันบ้างล่ะ สำหรับทริปนี้ของผมเริ่มจากการนั่งเครื่องบินจากดอนเมืองไปลงที่สนามบินบาหลี (ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง 15 นาที โดยเวลาที่บาหลีจะเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) จากนั้นผมก็เที่ยวในบาหลี 2 วัน โดยมีเป้าหมายหลักๆ คือ Tanah Lot, Bratan และวัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ (Pura Tirta Umple) ซึ่งก็อย่างที่บอกไปว่าสภาพอากาศนั้นไม่เป็นใจให้ผมเลยซักวัน ฝนตกอย่างต่อเนื่องตลอดแบบไม่ขาดสายเลย T_T
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ


หลังจากนอนที่บาหลี 2 คืน ผมก็เดินทางต่อไปยังเกาะชวาเพื่อไปยังคาวาอีเจี้ยนและโบรโม่ โดยการนั่งเรือเฟอรี่ไปพร้อมๆ กับรถที่เราเช่ามา ใช้เวลาในการนั่งเรือประมาณ 45 นาที (หลังจากข้ามไปที่เกาะชวาแล้ว เวลาที่นั่นจะกลับมาเท่ากับประเทศไทยแล้วนะครับ)

เมื่อถึงเกาะชวาผมก็นั่งรถต่อยาวๆ อีก 4 ชั่วโมงเพื่อไปยังคาวาอีเจี้ยน จากนั้นก็รีบเข้านอนเพื่อที่จะเตรียมตัวเดินขึ้นคาวาอีเจี้ยนตอนประมาณตี 2 ซึ่งก่อนที่ผมจะมานั้นก็ได้ยินเสียงร่ำลือเกี่ยวกับความโหดของเส้นทางนี้อยู่พอควรว่ามันโหดมาก แต่พอผมได้มาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วก็พบว่าเส้นทางความยาว 3 กิโลเมตร ความชัน 550 เมตรเส้นทางนี้นั้นไม่ได้โหดมากมายอย่างที่คิด ผมว่าสำหรับคนที่ออกกำลังกายบ่อยๆ และไม่เจออุปสรรคเรื่องฝนอย่างกลุ่มผมก็น่าจะสามารถเดินถึงยอดสบายๆ ในเวลาเพียงชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น แต่ถ้าเจอฝนตกหนักตลอดเส้นทางแบบผมก็อาจจะมี 2 ชั่วโมงได้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและรองเท้าของแต่ละคนด้วย
สำหรับเวลาที่เหมาะสมที่เราควรจะต้องไปถึงบนยอดคาวาอีเจี้ยนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน หากใครที่ต้องการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอย่างเดียวก็ขึ้นไปถึงราวๆ ตี 5 ก็ได้ครับ แต่หากใครที่ต้องการจะลงไปดู Blue Flame ที่หุบเขาด้านล่างด้วย ผมว่าควรจะต้องไปถึงตั้งแต่ตี 4 และเส้นทางจากยอดเขาลงไปดู Blue Flame นี่แหละที่ผมว่าโหดของจริง เส้นทางชัน แคบ มืด และค่อนข้างที่จะอันตรายจนอาจทำให้เราสามารถพลัดตกเขาได้หลายจุดเลย ดังนั้นเราต้องค่อยๆ เดินและเตรียมไฟฉายไปให้พร้อม และถ้าจะให้ดีควรเป็นไฟฉายแบบคาดหัวครับ มือของเราทั้งสองข้างจะได้ว่างๆ พร้อมที่จะคว้าหรือเกาะอะไรได้ง่ายๆ
ของที่ต้องเตรียมสำหรับคาวาอีเจี้ยน
1. ไฟฉายคาดหัว
2. รองเท้า Trekking หรือรองเท้าที่สามารถเกาะพื้นได้ดี
3. เสื้อผ้ากันหนาวที่สามารถสู้กับความหนาวในระดับ 5-10 องศาได้
4. หน้ากากกันกลิ่นกำมะถัน รวมทั้งแว่นตา (อันนี้สำคัญมากๆ โดยเฉพาะคนที่จะลงไปดู Blue Frame ถ้าจะให้ดีลงทุนใช้ของดีๆ อย่าง 3M เลย มันช่วยเราได้มากจริงๆ)
5. ร่างกายที่ผ่านการออกกำลังกายมาบ้าง หรือไม่ก็ไม้ Trekking Pole
ทั้งนี้สำหรับใครที่คิดว่าเดินไม่ไหวแน่ๆ เราสามารถแก้ไขได้ด้วยเงินประมาณ 1,000,000 รูเปี๊ยะ หรือประมาณ 2,600 บาท โดยเงินก้อนนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างรถ Taxi 3 ล้อเข็นพาเราขึ้นไปจนถึงยอด ซึ่งถ้าใครจะเดินลงไปดู Blue Flame ต่อก็ต้องเดินลงไปต่อเองนะครับ…และผมบอกเลยว่าขาลงน่ะว่ายากแล้ว แต่ขาขึ้นเนี่ยยากกว่าหลายเท่านะครับ ><
ปล. สำหรับใครที่คิดว่าเดินไหว แต่แบกของไม่ไหวก็สามารถจ้างลูกหาบได้ครับ ราคาต่อคนประมาณ 250,000 รูเปี๊ยะหรือประมาณ 700 บาท


หลังจากสะบักสบอมจากคาวาอีเจี้ยนแล้ว เป้าหมายต่อไปที่หลายคนมักจะไปต่อก็คือชมภูเขาไฟโบรโม่ ซึ่งการเดินทางจากคาวาอีเจี้ยนไปยังโบรโม่นั้นต้องนั่งรถยาวๆ ประมาณ 6-7 ชั่วโมงได้ ซึ่งตรงนี้แหละคือเวลาพักผ่อนของเรา โดยจุดชมวิวที่สวยๆ ของภูเขาไฟโบรโม่ในช่วงประอาทิตย์ขึ้นนั้นจะมี 2 จุด เรียกว่า View Point 1 และ View Point 2
การเดินทางไป View Point 1 นั้น จะต้องนั่งรถจิ๊บหรือมอเตอร์ไซด์ไปเท่านั้น รถตู้หมดสิทธิ์นะครับ โดยรถจิ๊บจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อเราไปถึงปลายทางแล้วก็ต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปอีกราวๆ 5 นาที เรียกว่าเดินสบายๆ ไม่โหดมาก แต่จุดที่โหดก็คือจุดนี้จะมีพื้นที่ในกางขาตั้งกล้องเพื่อถ่ายรูปมุมสวยๆ ได้แค่ประมาณ 30-40 ขาเท่านั้น ดังนั้นเหล่าช่างภาพส่วนใหญ่จึงมักจะมาทนหนาวกันตั้งแต่ตี 3 เพื่อให้ได้มุมที่ดีที่สุด
ซึ่งผมบอกเลยว่าอากาศตรงนั้นมันหนาวมากกกกกกก ยิ่งวันไหนเจอลมแรงๆ นี่ถึงกับต้องมีวิ่งไปหลบหาที่ผิงไฟกับชาวบ้านแถวนั้นเลยครับ











สำหรับจุด View Point 2 นั้น จะเป็นมุมที่ต่ำกว่า เราสามารถนั่งรถตู้ไปได้โดยใช้เวลาเดินทางแค่ 15 นาทีเท่านั้น จุดนี้เราจะเห็นภูเขาไฟทั้ง 3 ลูกอย่าง Batok | Bromo | Semeru ชัดเจนมากๆ ซึ่งทำให้หลายๆ คนนิยมมาชมวิวกันที่จุดนี้กัน แต่ว่าข้อเสียของจุดนี้ก็คือระยะทางที่นั่งรถมาจากที่พักมานั้นใกล้ก็จริง แต่เราต้องเดินเท้าขึ้นเนินและบันไดต่ออีก 700 เมตร หรือราวๆ 30 นาทีได้ ซึ่งบอกเลยว่าใครที่ขาเดี้ยงมาก่อนแล้วอาจจะเดินไม่ไหวได้ครับ




หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว กิจกรรมที่เราไม่ควรพลาดก็คือการไปชมปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ที่ยังคงไม่ดับและมีควันลอยขึ้นมาตลอดวันอย่างใกล้ชิด!! ซึ่งเป็นอะไรที่ตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจและแอบน่ากลัวอยู่นิดๆ ครับ สำหรับเส้นทางการเดินทางก็ไม่ยากนักโดยเฉพาะคนที่จ้างม้า เพราะจะช่วยเราประหยัดเวลา ประหยัดพลังงานแถมมีภาพถ่ายสวยๆ ไว้อวดเพื่อนด้วย แต่สำหรับคนคนที่ไม่จ้างหรือว่าเป็นคนที่กลัวม้านั้นก็ต้องเดินฝ่าแดดขึ้นเนินลงเนินกันไปล่ะครับ ระยะทางไม่ไกลมาก น่าจะใช้เวลาเดินประมาณ 20-30 นาทีได้





เอาล่ะ ก่อนจะจบรีวิวคร่าวๆ แต่แอบยืดยาวฉบับนี้กันไป ผมขอทิ้งท้ายเกร็ดเล็กน้อยๆ ไว้บอกทุกคนที่สนใจจะไปดังนี้ก่อนนะครับ
1. รถที่อินโดนีเซียนั้นติดมากกกก เพราะถนนส่วนใหญ่จะเป็น 2 เลน ดังนั้นแม้เส้นทางแต่ละที่จะไม่ไกลกันมาก แต่ผมบอกเลยว่าอย่างน้อยคุณจะต้องนั่งอยู่บนรถ 2 ชั่วโมงได้ ส่วนเส้นทางไหนไกลๆ ยาวๆ ก็มี 5-6 ชั่วโมง ดังนั้นสำหรับใครที่นอนบนรถยากก็ควรจะต้องพึ่งยานอนหลับหรือหมอนรองคอดีๆ ไม่งั้นคุณจะรู้สึกเบื่อสุดๆ อย่างแน่นอน แถมยังจะเพลียเพราะพักผ่อนไม่เพียงพออีกด้วย
2. การใช้ Internet ที่อินโด คุณสามารถหาซื้อซิมของอินโดได้ แต่สำหรับผม ผมเลือกใช้ซิมของ True Travel Sim ที่ซื้อจากไทยไป เพราะสะดวก ประหยัด ใช้งานง่าย โดย Package ที่ผมใช้นั้นจะราคา 399 บาท สามารถใช้ในประเทศเป้าหมายได้ถึง 8 วัน มีความเร็วสูงสุด 4G จำนวน 4GB ถ้าใช้ครบจะตัดเป็นความเร็วต่ำแทนครับ (สำหรับใครที่อยากอ่านรีวิวเต็มๆ ของ True Travel Sim Asia นี้ก็คลิกที่นี่ได้เลยครับ)
3. อาหารที่อินโดนีเซียนั้นจะเน้นที่ไก่เป็นหลักเลย อาจจะมีปลาบ้างแต่ก็ค่อนข้างหาได้ยาก ส่วนเนื้อนั้นหาได้ยากสุดๆ เลย ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่กินไก่ก็คงต้องหาน้ำพริกหรืออาหารแห้งจากไทยไปเป็นตัวช่วยแล้วล่ะครับ แต่สำหรับผมนั้นกินได้หมดและไม่เจอปัญหาอะไรในการทานอาหารที่นั่นนะครับ ทานได้อร่อยทุกมื้อเลย ฮา
4. ใครที่จะเอาเสบียงจากไทยไป อย่าพกอะไรที่เป็นหมูไปเด็ดขาดนะครับ เดี๋ยวจะเข้าประเทศเค้าไม่ได้เด้อ
5. สำหรับคนที่รู้สึกว่าการไปเที่ยวที่นี่แอบวุ่นวาย คือมีความอยากไปแต่ไม่อยากติดต่อหาที่พัก, ไกด์, รถ หรืออะไรต่างๆ นานาเอง ผมแนะนำว่าซื้อทัวร์ไปก็ดีนะครับ มันจะทำให้ชีวิตการเที่ยวรูทนี้ของคุณสะดวกสบายขึ้นเยอะ โดยใครที่สนใจเส้นทางนี้ก็ลองดูรายละเอียดของทริปนี้เพิ่มเติมได้ที่เพจ Tripchillchill ทริปถ่ายภาพท่องเที่ยว ได้เลยครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ ได้เลยครับ และผมขอทิ้งท้ายรีวิวนี้ด้วยรูประหว่างการเดินทางในทริปแล้วกันนะครับ เผื่อจะสามารถสร้างแรงบันดาลให้ทุกคนออกไปท่องเที่ยวแบบผมได้บ้าง ><

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป