ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่าเมืองคาวากูจิโกะ ประเทศญี่ปุ่น คือหนึ่งในจุดหมายที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมไปเยือนมากเป็นลำดับต้น ๆ เลย โดยเฉพาะในช่วงวันสงกรานต์ครับ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ก็น่าจะมีด้วยกัน 4-5 ข้อตามนี้เลยครับ
- เมืองคาวากูจิโกะเป็นจุดที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ หรือที่เราเรียกว่า “ฟูจิซัง” ได้อย่างชัดเจนมาก อีกทั้งยังใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวไม่นานด้วย เพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว
- บริเวณเมืองและทะเลสาบคาวากูจิโกะ มีกิจกรรมอะไรให้ทำเยอะมาก ทั้งเดินเล่น, นั่งกระเช้า, นั่งเรือ, พิพิธภัณฑ์ หรือร้านอาหารอร่อย ๆ ครับ
- ที่เมืองแห่งนี้มีสวนสนุก Fuji Q Highland ที่ว่ากันว่าเป็นสวนสนุกที่สนุกที่สุดในญี่ปุ่นตั้งอยู่ด้วย โดยที่สวนสนุกแห่งนี้จะมีเครื่องเล่นที่ติดอันดับโลกอยู่หลายรายการเลยครับ
- คนที่ซื้อ Tokyo Wide Pass สามารถเดินทางจากโตเกียวไปยังเมืองแห่งนี้ได้ โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแม้แต่เยนเดียว ซึ่งถือว่าดีงามกว่าคนที่ซื้อ Japan Rail Pass แบบชนิด 7 วันซะอีก
- ในช่วงสงกรานต์หรือราว ๆ วันที่ 15-20 เม.ย. ของทุกปี มักจะเป็นช่วงที่ซากุระที่คาวากูจิโกะบานสะพรั่งแบบ Full Bloom ครับ และมันทำให้สถานที่แห่งนี้สวยงามมาก ๆ เลยล่ะ
และด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้แหละครับ จึงไม่แปลกเลยที่ในช่วงสงกรานต์ของทุกปีเรามักจะเดินเจอคนไทยในที่แห่งนี้แบบมากมายมหาศาล และหลาย ๆ คนก็มักจะไปเจอคนรู้จักในบริเวณนี้ชนิดที่ว่าต้องแอบรำพึงเบา ๆ ออกมาว่า “อยู่เมืองไทย ทำงานใกล้ ๆ กันไม่เคยเจอซักที แต่ดันมาเจอกันที่นี่ได้แบบที่ไม่ต้องนัดเลย”
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น

ทั้งนี้โดยส่วนตัวแล้วผมกับภรรยาเคยไปเยือนทะเลสาบคาวากูจิโกะในช่วงวันสงกรานต์ถึง 2 ปีติดเลยนะครับ นั่นก็คือช่วงสงกรานต์ปี พ.ศ. 2558 และช่วงสงกรานต์ของปี พ.ศ. 2559 ครับ
โดยในปี 2558 นั้นผมเลือกที่จะนอนค้าง 1 คืน ส่วนปี 2559 ผมเลือกที่เดินทางไปจากโตเกียวแบบไปเช้า-เย็นกลับครับ ซึ่งการเที่ยวทั้ง 2 แบบนี้ต่างก็มีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน โดยการที่เราต้องไปนอนค้างที่เมืองนั้น เราแทบจะไม่สามารถเปลี่ยนแผนการเดินทางได้เลย หรือหากเปลี่ยนได้ก็เป็นเรื่องที่ยากมากครับ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเราต้องทำการจองที่พักไว้ล่วงหน้า ซึ่งที่พักหลาย ๆ ที่นั้นต้องจองล่วงหน้ากัน 3 เดือน หรือ 6 เดือนเลย และบางที่ก็ต้องมีการจ่ายเงินก่อนด้วย ดังนั้นหากถึงวันที่เราจะต้องไปเที่ยวตามแผนแล้วแต่อากาศไม่ดี มองไม่เห็นฟูจิซัง เราก็คงได้แต่ทำใจและร้องไห้น้ำตาซึมเบา ๆ แบบเดียวกับที่ผมเจอในปี 2558 ครับ เพราะปีนั้นนอกจากผมจะเห็นฟูจิซังเพียงแค่แวบเดียวตลอด 2 วัน 1 คืนแล้ว ผมก็ยังเจอฝนตกอีกด้วยครับ T_T
ดังนั้นในปี 2559 ผมจึงวางแผนไปแก้มือใหม่ โดยเลือกเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับจากโตเกียวแทน และผมเลือกไปในวันที่พยากรณ์อากาศบอกว่าฟ้าที่นั่นมันแจ่ม!! ซึ่งการเดินทางแบบนี้มีข้อดีคือเราจะได้เห็นฟูจิซังแน่ ๆ แต่ก็มีข้อเสียคือเหนื่อย และเที่ยวได้น้อยครับ โดยพยากรณ์อากาศที่ผมใช้ดูก็จะเป็น AccuWeather นะครับ ซึ่งเรียกได้ว่าเชื่อถือได้สูงเลย โดยเฉพาะช่วง 5 วันล่วงหน้าครับ
เอาล่ะ เกริ่นมาเยอะแล้ว คราวนี้เราไปดูกันดีกว่าว่าหากเราต้องไปเที่ยวทะเลสาบคาวากูจิโกะในช่วงวันสงกรานต์ หรือช่วงที่ซากุระกำลังผลิดอกอย่างสวยงามนั้น มันมีจุดไหนบ้างที่เราไม่ควรพลาดครับ เพราะผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ไม่เคยไปมาก่อนน่าจะมีอาการงง ๆ พอควรว่าควรไปเที่ยวจุดไหนดี เพราะจุดจอดรถบัสก็มีตั้งหลายจุด เที่ยวแค่วันเดียวจะทันเหรอ ซึ่งผมบอกเลยว่าทันแน่นอนครับ เพราะจุดเด่น ๆ ของมันมีแค่ไม่กี่จุดเอง
โดยอันดับแรกสุดเมื่อเราเดินทางมาถึงสถานีคาวากูจิโกะแล้ว สิ่งที่เราควรจะต้องทำเลยก็คือการไปหยิบแผนที่ท่องเที่ยวของเค้าครับ เพราะในนั้นจะมีเส้นทางของรถบัส รวมไปถึงเวลาและจุดจอดรถบัสในแต่ละจุดให้ครบ ๆ เลย โดยหน้าตาของแผนที่ก็จะประมาณนี้ครับ
หมายเหตุ : ภาพแผนที่นี้ผมเอามาจากเวบนี้นะครับ http://bus-en.fujikyu.co.jp/heritage-tour/detail/id/1/ โดยภาพที่ผมลงจะเป็นการอัพเดทเมื่อปี 2021 ครับ แต่ว่าจะให้ดีผมแนะนำให้ทุกคนกดเข้าไปดูที่ลิงก์ต้นทางอีกทีนะ จะได้เช็คด้วยว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกมั้ยครับ

โดยจากแผนที่ด้านบนเราก็จะเห็นว่าบริเวณทะเลสาบคาวากูจิโกะนั้น จะมีรถบัสชมเมือง (Sight Seeing Bus) อยู่ทั้งหมด 3 สายครับ คือ สายสีแดง, สายสีเขียว และสายสีน้ำเงิน แต่ว่าเส้นที่นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ มักจะไปกันก็คือสายสีแดงครับ โดยรถสายนี้จะวิ่งไปทางทะเลสาบคาวากูจิโกะทางด้านขวามือ และจะมีจุดจอดรถบัสทั้งหมด 20 จุดด้วยกัน และเมื่อถึงจุดที่ 20 แล้ว รถก็จะวิ่งกลับมาตามเส้นทางเดิมครับ
ภาพด้านล่างนี้คือภาพของเส้นทางรถบัสชมเมืองสายสีแดงแบบชัด ๆ นะครับ โดยจุดที่ 1 ซึ่งอยู่บริเวณด้านขวาของภาพ จะเป็นสถานีคาวากูจิโกะ (Kawaguchiko Station) ครับ

ส่วนเรื่องการซื้อ Bus Pass หรือ Pass ต่าง ๆ นั้น แต่ละคนสามารถเลือกซื้อ Pass แบบที่ตัวเองคิดว่าคุ้มค่าที่สุดได้เลยครับ เค้าจะมีจำหน่ายหลายแบบมาก ทั้งแบบที่ใช้สำหรับนั่งรถบัสอย่างเดียว หรือแบบที่ใช้นั่งกระเช้า Rope Way และนั่งเรือชมวิวได้ด้วย หรือใครที่จะไม่ซื้อก็ได้ครับเอาตามที่สะดวกเลย แต่สำหรับตัวผมเลือกซื้อเป็นตั๋วรถบัสแบบ 2 Day Pass ราคา 1,200 เยนต่อคนครับ โดยตั๋วนี้จะสามารถใช้นั่งรถบัสได้ทั้งสายสีแดงและสายสีเขียวได้ถึง 2 วันเต็ม ๆ ดังนั้นคนที่นอนค้างที่นี่ 1 คืนคงคุ้มแน่ ๆ หรือถ้าใครที่ใช้เดินทางแค่วันเดียว แต่มีการขึ้น-ลงรถบัส ประมาณ 5 เที่ยวผมก็ว่าคุ้มแล้วครับ แถมยังได้ความสะดวกด้วย เพราะแค่โชว์ Pass ให้คนขับรถดูตอนลงเท่านั้น เราไม่ต้องควักเงินจ่ายอะไรเลย
จุดเที่ยวรอบทะเลสาบคาวากูจิโกะที่เราไม่ควรพลาด
จุดที่ 1 : จุด Bus Stop หมายเลข 1 ของรถบัสสายสีแดง หรือสถานีคาวากูจิโกะ
ถามว่าทำไมผมถึงคิดว่าจุดนี้ไม่ควรพลาดครับ ทั้งที่เป็นจุดเริ่มต้นแท้ ๆ นั่นก็เพราะในวันที่อากาศดี ๆ วิวจากจุดนี้สามารถมองเห็นฟูจิซังได้สวยมาก ๆ จุดนึงเลยครับ แถมเมื่อลองเดินไปทางซ้ายและขวามือของสถานีเราจะเห็นต้นซากุระสวย ๆ อยู่แถวนั้นหลายต้นเลย
จุดที่ 2 : จุด Bus Stop หมายเลข 9 ของรถบัสสายสีแดง
ณ จุดนี้จะเป็นจุดที่เราสามารถขึ้นได้ทั้งกระเช้า Rope Way เพื่อชมวิวสวย ๆ ของทะเลสาบคาวากูจิโกะในมุมสูง หรือจะนั่งเรือไปชมวิวกลางทะเลสาบก็ได้ครับ นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ก็ยังมีต้นซากุระสวย ๆ หลายต้น รวมทั้งยังมี Soft ice cream ที่อร่อยมากขายด้วย
อันนี้จะเป็นวิวมุมสูงนะครับ ลองดูนะว่าเป็นยังไงบ้าง ดูแล้วรู้สึกอยากจะขึ้นไปชมหรือเปล่าครับ ^^
ทั้งนี้สำหรับการจ่ายเงินขึ้นกระเช้า Rope Way นั้น เราสามารถเลือกได้นะครับว่าจะซื้อแบบขาเดียว หรือจะซื้อแบบขึ้นลงครับ แต่ว่าในช่วงซากุระนั้นมุมที่อยู่ด้านบนนั้นมันจะไม่ค่อยมีต้นไม้ฉากหน้าที่เป็น foreground สวย ๆ ซักเท่าไหร่นะ ดังนั้นผมก็เลยเลือกถ่ายแบบซูมเข้าไปที่ยอดของ Fujisan ตรง ๆ ซึ่งบอกเลยว่า มัน ชัด มาก!!
อ้อ ตลอดเส้นทางการนั่งกระเช้า Rope way นี้ จะมีการเล่านิทานพื้นบ้านที่สุดสนุกมากของญี่ปุ่นเรื่องนึงด้วยนะครับ นั่นก็คือเรื่องของคณตาคุณยาย, กระต่าย และทานุกิ (แรคคูน) ใครอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงลองค้นหาเพิ่มเติมดูนะ วันที่ไปจะได้รู้สึกอินมากขึ้นครับ เพราะเค้ามีการทำรูปปั้นประกอบเนื้อเรื่องแบบนี้ไว้เยอะแยะตลอดเส้นทางเลย
จุดที่ 3 : จุด Bus Stop หมายเลข 12 ของรถบัสสายสีแดง
จุดนี้เป็นอีกจุดที่สามารถเห็นได้ทั้งซากุระ ทะเลสาบ และฟูจิซังครับ ดังนั้นจึงมีโรงแรมและสถานที่พักตั้งอยู่ตรงนี้ค่อนข้างมาก แต่ราคาเท่าที่ผมแอบส่อง ๆ ดูก็แรงไปหน่อยสำหรับกระเป๋าตังค์คนอย่างผมครับ ดังนั้นผมจึงเลือกพักที่อื่นแล้วนั่งรถหรือเดินมาถ่ายรูปแทน ซึ่งบริเวณนี้มันจะมีจุดให้ถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก รวมถึงมีซากุระหลากสีเลย มีทั้งสีชมพูและสีขาวครับ
จริง ๆ แล้วจุดนี้ในช่วงกลางวันควรจะต้องมองเห็นฟูจิซังชัดเจนนะครับ แต่ว่าวันที่ผมไปนั้นยอดฟูจิซังโดนเมฆลอยมาบังอยู่นานมาก ผมก็เลยไม่ได้ถ่ายภาพมา และเลือกที่จะเดินย้อนกลับไปถ่ายรูปใหม่ในตอนกลางคืน ซึ่งก็ได้บรรยากาศและอารมณ์ไปอีกแบบครับ
จุดที่ 4 : จุด Bus Stop หมายเลข 16 ของรถบัสสายสีแดง
จุดนี้เป็นจุดที่ผมชอบมากที่สุดครับ ไป 2 ครั้งก็อยู่ที่จุดนี้นานที่สุดทั้ง 2 ครั้งเลย เพราะมันเป็นจุดที่มีซากุระเยอะมากกกกกก รวมทั้งมีทะเลสาบและฉากหน้าอะไรให้เล่นกับการถ่ายภาพเยอะสุด ๆ เริ่มตั้งแต่ลงรถมาก็จะเจอกับดงต้นซากุระและจักรยานแบบนี้ครับ
แล้วก็วิวแบบนี้ครับ
ในช่วงที่ซากุระ Full bloom นั้น จุดนี้จะเป็นจุดที่มีงานเทศกาลเล็ก ๆ ด้วยนะครับ ทั้งขายของกินและก็การ light up ในตอนกลางคืนด้วย โดยจำนวนต้นซากุระริมทะเลสาบในจุดนี้จะเยอะมาก ๆ ไม่ว่าเราจะเดินเลี้ยวไปทางซ้ายหรือขวาก็จะเห็นต้นซากุระเพียบเลยครับ แถมที่พื้นก็ยังมีดอกไม้สีชมพู ๆ น่ารัก ๆ แซมเป็นระยะด้วย
มาดูซากุระกันแบบเน้น ๆ ดีกว่าครับว่ามันเยอะและสวยงามแค่ไหน และด้วยความที่มันเยอะนี่แหละ มันก็เลยทำให้ผมสามารถหา foreground มาใส่ข้างหน้าฟูจิซังได้ง่ายมาก ๆ ครับ
นอกจากนี้จุดนี้ยังเป็นอีกจุดที่สามารถถ่ายภาพ portrait สวย ๆ ได้อีกด้วยครับ ผู้หญิงสวย ๆ กับต้นไม้สวย ๆ เข้ากั๊น เข้ากันเนอะ ^^
ส่วนช่างภาพสาย landscape ที่จริงจัง จุดนี้เราสามารถเดินลงไปจากแนวต้นซากุระเพื่อไปถ่ายภาพใกล้ ๆ กับทะเลสาบแบบนี้ได้เลยครับ เดินลงไปไม่ยาก มีช่างภาพชาวญี่ปุ่นเดินไปหลายคนเลย แล้วก็หากใครโชคดีก็จะสามารถได้ฉากหน้าดี ๆ อย่างหงส์ด้วยนะ แต่ผมดวงไม่ดีก็เลยอดไปครับ ได้แต่ภาพแบบนี้มาแทน T_T
จุดที่ 5 : จุด Bus Stop หมายเลข 20 ของรถบัสสายสีแดง หรือ Natural living center
จุดนี้จะเป็นจุดสุดท้ายของรถบัสสายสีแดงครับ มีห้องน้ำบริการ รวมทั้งมีขนม เครื่องดื่ม ของที่ระลึกขายด้วย โดยในปีแรกที่ผมไปนั้นผมเจอฝนก็เลยได้ภาพแบบนี้มาครับ T__T
และนี่ปีถัดมาผมไปแก้มือใหม่ ทีนี้ได้ฟ้าใสสมใจแล้ว แต่ว่าลานจอดรถไม่ว่างเช่นเดิมแล้วครับ T_T
แต่ไม่เป็นไร ฟ้าเปิด ๆ แบบนี้เราก็ได้วิวสวย ๆ แบบนี้มาแทนครับ
เอาล่ะครับ ตอนนี้ผมก็พาทุกคนไปชมจุดที่น่าสนใจทั้ง 5 จุด จากจุดจอดรถบัสสายสีแดงทั้ง 20 จุดแล้ว แต่ไหน ๆ เราก็มาถึงคาวากูจิโกะทั้งที มันยังมีอีกจุดนึงที่น่าสนใจและสวยมาก ๆ ชนิดที่ไม่ควรพลาดอีกจุดนึงครับ จุดนี้เรียกว่าเป็นหนึ่งใน Signature View หรือมุมมหาชนของเมืองนี้เลย แต่ว่าจุดนี้ต้องอาศัยเวลาในการเดินทาง รวมทั้งพละกำลังในการเดินซักหน่อยนะครับ ทั้งเดินทางราบและเดินขึ้นบันได ซึ่งจุดที่ว่านั้นก็คือ “Chureito Pagoada” หรือเจดีย์แดง 5 ชั้นนั่นเองครับ
จุดที่ 6 : Chureito Pagoda
สำหรับการเดินทางมาเจดีย์แดงนั้น หากเราวางแผนดี ๆ เราจะสามารถนำมารวมกับ 1 Day Trip ไปกลับจากโตเกียวได้สบายมากครับ โดยผมแนะนำว่าให้เราไปเที่ยวรอบทะเลสาบคาวากูจิโกะก่อน จากนั้นช่วงเย็น ๆ เราค่อยมาเก็บที่เจดีย์แดงครับ โดยนั่งรถไฟจากสถานีคาวากูจิโกะมาลงที่สถานี Shimoyoshida จากนั้นก็เดินตามป้ายบอกทางมาเรื่อย ๆ ครับ ซึ่งในช่วงแรก ๆ ของทางเดิน มันก็จะเป็นทางราบตามถนนที่มีวิวสวย ๆ แบบนี้ให้เราดูครับ
จนกระทั่งเมื่อเรามาถึงทางขึ้นเจดีย์ซึ่งเป็นบันไดที่ทอดยาวสูงมาก จุดนี้แหละครับที่ต้องใช้พลังงานมากหน่อย เราต้องเดินขึ้นบันไดราว ๆ 15-20 นาทีได้ แต่ว่าระหว่างทางนั้นก็จะมีจุดให้เราพักและวิวสวย ๆ ให้ดูตลอดครับ
และเมื่อเราเดินทางไปถึงข้างบนตรงเจดีย์แดง 5 ชั้นแล้ว คุณก็สามารถเลือกได้ว่าจะเดินไปทางไหนก่อน ระหว่างด้านขวามือที่มีศาลาให้เรานั่งชมวิวฟูจิซัง พร้อมกับแนวซากุระสวย ๆ แบบนี้ครับ
หรือถ้าใครจะอ้อมไปด้านหลังเจดีย์แดงเพื่อไปยังจุดชมวิวมหาชนสุดสวยแบบนี้ก็ได้ครับ ซึ่งที่มุมนี้ปกติคนส่วนใหญ่จะถ่ายภาพโดยเอาเจดีย์แดงไว้ทางขวามือ และเอาฟูจิซังไว้ด้านซ้ายมือนะครับ แต่เนื่องจากมุมนั้นมีช่างภาพยืนรอถ่ายภาพกันอย่างแน่นขนัดมาก ผมก็เลยเดินเลยถัดออกมาอีกหน่อย และวางเฟรมให้ฟูจิซังมาอยู่ด้านขวามือของภาพแบบนี้แทนครับ
ก็จบลงแล้วนะครับ สำหรับการแนะนำจุดชมซากุระบานสะพรั่งที่คาวากูจิโกะในช่วงสงกรานต์ครับ ใครอ่านแล้วชอบหรือไม่ชอบอย่างไร มีอะไรอยากแนะนำ พูดคุยสอบถาม เชิญได้เต็มที่เลยครับ ส่วนใครที่อยากจะดูภาพของทะเลสาบคาวากูจิโกะและเจดีย์แดงในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ในเดือน พ.ย. ก็สามารถกดดูได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลยครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่าง ๆ ที่รวดเร็วทันใจของผมกับภรรยา ก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
