Home Travel Nikon X Fuji : เมื่อผมพา Nikon Z6 ไปชมความงามของฟูจิซัง Travel Nikon X Fuji : เมื่อผมพา Nikon Z6 ไปชมความงามของฟูจิซัง By ภรรยาหา สามีใช้ - November 24, 2019 2947 FacebookTwitterPinterestWhatsApp สวัสดีทุกคนครับ เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น 6-7 วัน โดยเน้นการไปที่บริเวณทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchigo Lake) และทะเลสาบรอบๆ เป็นหลัก และทริปนี้ผมก็ได้มีโอกาสเจอภาพสวยๆ รวมทั้งเรื่องราวที่ประทับใจมากมาย ผมก็เลยเอาภาพที่ได้จากทริปนี้มาฝากทุกคนกันครับ ^^ สำหรับทริปนี้ผมเริ่มเดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562 และกลับถึงไทยเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2562 ครับ (นอนที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 5 คืน) โดยวันแรกที่พวกผมไปถึงนั้นก็ได้ทำเช่ารถจากสนามบินฮาเนดะแล้วขับรถตรงไปที่ที่พักในเมืองคาวากุจิโกะทันที ใช้เวลาขับประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้วครับ โดยใครที่ไม่เคยเช่ารถขับที่ประเทศญี่ปุ่นมาก่อนก็สามารถอ่านบทความด้านล่างนี้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้นะครับ แนะนำวิธีจองและการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นด้วยตัวเองอย่างละเอียด!! หลังจากที่พวกผมถึงที่พักและทำการเช็คอินเสร็จเรียบร้อย พวกผมก็ขับรถตรงไปที่หมู่บ้านน้ำใส (Oshino Hakkai) ทันที แต่วันนี้สภาพอากาศภายในหมู่บ้านและบริเวณใกล้เคียงนั้นไม่ค่อยเป็นใจให้พวกผมซักเท่าไหร่ ท้องฟ้ามืดครึ้มและเมฆหนาทึบมากจนมองไม่เห็นฟูจิซัง และถ่ายรูปอะไรออกมาก็ไม่สวยเลย แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้วพวกเราก็ทำได้แต่เดินถ่ายรูปรอบๆ และภาวนาในใจขอให้ท้องฟ้าเปิดในช่วงพระอาทิตย์จะตกดินด้วยเถิดดดดดด แต่ดูเหมือนคำอธิษฐานอ้อนวอนของผมกับเพื่อนๆ จะไม่เป็นผล เพราะหลังจากที่พวกเราเดินถ่ายรูปรอบๆ หมู่บ้านน้ำใสได้เพียง 15 นาที ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มเรื่อยๆ และเริ่มมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องจนพวกเราไม่สามารถถ่ายรูปต่อได้ และต้องเข้าไปหลบฝนในศาลาเล็กๆ ครับ T_T บอกเลยว่าตอนนั้นหนาวก็หนาวเพราะศาลานั้นไม่มีกำแพงอะไรกั้นเลย แถมฝนก็ยังตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นเมื่อผมดูพยากรณ์อากาศก็พบว่าฝนจะตกหนักไปเรื่อยๆ แบบนี้จนถึงหัวค่ำเลยครับ @_@ วินาทีนั้นผมกับเพื่อนๆ เริ่มถอดใจกับการเดินถ่ายรูปที่นี่แล้ว เราก็รอแต่เพียงจังหวะฝนซาแล้วจะเดินออกจากศาลาไปขึ้นรถและขับกลับที่พักกันครับ แต่ๆๆๆๆ เหมือนฟ้าจะเห็นใจพวกผม เพราะหลังจากนั้นไม่นานเม็ดฝนที่ตกหนักเมื่อกี้ก็เริ่มซาลงเรื่อยๆ จนแทบจะหยุดสนิท และเมื่อผมเห็นดังนั้นผมก็เลยชวนเพื่อนๆ เดินต่อไปอีกฟากของหมู่บ้าน เพราะไหนๆ ก็มากันแล้ว ฝนอุตส่าห์หยุดแบบนี้แล้ว ลองสู้อีกซักตั้งจะเป็นไร และนี่คือสิ่งที่พวกผมได้เห็นหลังจากที่เดินไปอีกฟากของหมู่บ้านครับ ภาพของรุ้งสองชั้นขนาดใหญ่ที่ทอดตัวโค้งสวยงามเต็มท้องฟ้า พร้อมกับแสงทองจากพระอาทิตย์ที่สาดส่องทะลุก้อนเมฆมา บอกเลยว่าเป็นภาพที่สวยสุดๆ วินาทีนั้นพวกผมแทบจะหยุดหายใจกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้าเลย และพอตั้งสติกันได้แล้วพวกเราก็หยิบกล้องและมือถือออกมารัวชัตเตอร์กันแบบไม่ยั้งเลยครับ ทุกสิ่งทุกอย่างในนาทีนั้นบอกเลยว่าแทบจะเพอร์เฟ็คลงตัว 100% ทุกอย่าง ขาดก็แต่คุณฟูจิซังขี้อายเท่านั้นที่ไม่ยอมเปิดโฉมหน้ามาให้พวกเราได้เห็นเต็มๆ แต่เท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอมากแล้วครับ มันสวยงามและเหลือเชื่อมากจริงๆ ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้สภาพท้องฟ้ายังแย่มากๆ จนแทบมองอะไรไม่เห็นอยู่เลย และน่าจะหมดหวังกับการถ่ายรูปที่นี่แล้วแน่ๆ แต่พอฝนซาภาพสุดมหัศจรรย์ก็ปรากฏตรงหน้า นี่สินะที่เค้าบอกว่าอย่ายอมแพ้ สู้ต่อไป และฟ้าหลังฝนจะงดงามเสมอ “อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่า แค่ไหนที่เฝ้ารอ” หลังจากที่พวกเราอิ่มเอมกับการถ่ายรูปและแสงเย็นที่หมู่บ้านน้ำใสวันนี้แล้ว พวกเราก็ขับรถกลับที่พักเพื่อไปพักผ่อนกันครับ เพราะพรุ่งนี้เช้าเราจะต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่เจดีย์แดงหรือ Chureito Pagoda กัน แต่ดีหน่อยที่ช่วงที่พวกเราไปนั้นพระอาทิตย์ขึ้นประมาณ 6 โมงนิดๆ พวกเราก็เลยยังไม่ต้องตื่นเช้ามากเหมือนกับเวลาที่ไปในช่วงฤดูร้อนครับ อ้อ ผมลืมบอกไปสำหรับทริปนี้ผมใช้กล้อง Nikon Z6 กับเลนส์ Nikon 24-70mm F4 S, Nikon 50mm F1.8 S และ Nikon 18-35mm F3.5-4.5 G ED พร้อมกับอแดปเตอร์ FTZ เป็นอุปกรณ์หลักในการถ่ายภาพนะครับ และภาพที่ทุกคนได้เห็นในบทความนี้ก็มาจากอุปกรณ์เหล่านี้หมดเลยครับ นี่เป็นภาพที่ผมถ่ายระหว่างที่กำลังเดินขึ้น Chureito Pagoda ในตอนเช้าครับ โดยวันนี้ผมไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไปด้วยก็เลยใช้การบูสต์ ISO สูงๆ เอา ซึ่งจากที่ผมได้ลองใช้งานมาก็พบว่าช่วง ISO 2500-3200 ก็ยังได้คุณภาพที่ผมพอใจอยู่นะครับ ประกอบกับระบบกันสั่นในบอดี้ของกล้อง Nikon Z6 นั้นก็ดีมากๆ ทำให้เวลาที่ผมใช้เลนส์ Nikon 24-70mm F4 ในการถ่ายภาพในที่แสงน้อยๆ นั้น ผมสามารถเอามือเปล่าถือถ่ายได้ที่ Speed Shutter 1/10 วินาทีได้อย่างสบายๆ เลย และนี่เป็นภาพที่ผมถ่ายขณะที่ผมยืนอยู่ด้านหลังของเจดีย์แดงครับ มุมภาพส่วนใหญ่ก็เป็นมุมธรรมดามหาชนทั่วไป เพราะคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะถ่ายยังไงให้แตกต่างจากคนอื่น T_T อ้อ วันที่ผมไปที่นี่นั้นจะเป็นวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 นะครับ ใบไม้ยังไม่ค่อยแดงซักเท่าไหร่ เพราะปีนี้สภาพอากาศที่ประเทศญี่ปุ่นปั่นป่วนหลายอย่าง ก็เลยทำให้ใบไม้แดงหลายๆ ที่แดงช้ากว่าปกติครับ ส่วนนี่เป็นภาพที่ผมถ่ายในขณะที่ผมกำลังเดินลงจากเจดีย์แดงครับ น่าเสียดายนิดหน่อยที่ตอนผมเดินไปถึงประตูโทริอิสีแดงนั้น มีคนกำลังถ่ายภาพ Pre Wedding กันอยู่ และกว่าเค้าจะถ่ายภาพกันเสร็จแสงก็เริ่มแข็ง ถ่ายรูปได้ยากแล้วครับ และนี่เป็นภาพที่ผมที่ประทับใจที่สุดในการมาที่นี่วันนี้ เพราะมันเป็นมุมภาพใหม่ที่ผมพึ่งจะเคยเห็นเลยครับ ^^ และวันนี้เป็นวันที่ฟ้องฟ้าบริเวณทะเลสาบคาวากุจิโกะนั้นใสและเคลียร์มาก ไม่มีเมฆซักก้อนเลย สามารถมองเห็นฟูจิซังได้อย่างเต็มๆ ตา ดังนั้นวันนี้ผมและชาวคณะก็เลยขับรถตระเวณถ่ายรูปรอบๆ ทะเลสาบแห่งนี้จนฟินเลยครับ แต่เมื่อท้องฟ้าไม่ค่อยมีเมฆแบบนี้ เวลาถ่ายภาพปกติมันก็จะดูโล่งๆ ไปหน่อย ดังนั้นเราก็ต้องพยายามหาฉากหน้าหรือ Foreground มาช่วยสร้างความน่าสนใจของภาพกันหน่อยเนอะ และก็เป็นโชคดีของผมที่ช่วงนั้นใบไม้บริเวณทะเลสาบคาวากุจิโกะนั้นเริ่มเปลี่ยนสีกันแล้ว แม้จะยังไม่ 100% แต่มันก็ทำให้ถ่ายภาพได้สนุกและสามารถหามุมอะไรมาถ่ายได้เยอะเหมือนกันครับ หลังจากที่พวกเราฟินสุดๆ กับคุณฟูจิซังบริเวณทะเลสาบคาวากุจิโกะในช่วงเช้า พอตกบ่ายพวกเราก็เลยขับรถไปที่ทะเลสาบยามานะกะ (Yamanaka Lake) เพื่อชมฟูจิซังในอีกมุมนึงบ้าง โดยจุดเด่นของการมาชมฟูจิซังที่ทะเลสาบแห่งนี้ก็คือเราจะเห็นฟูจิซังใหญ่มากกกก แล้วก็หากใครโชคดีก็จะได้ภาพหงส์หรือเป็ดเป็นฉากหน้าด้วยครับ แต่เหมือนวันนี้ผมจะใช้โชคของตัวเองไปหมดแล้วผมก็เลยไม่มีภาพของหงส์ซักใบเลย แถมวันนี้พระอาทิตย์ก็ตกไม่ค่อยสวยด้วยครับ T_T ส่วนภาพด้านล่างนี้เป็นภาพที่ผมถ่ายจากบริเวณจุดชมวิวมุมสูงบริเวณทะเลสาบยามานะกะครับ จริงๆ จุดนี้ถ้าได้มาถ่ายรูปตอนแสงเช้านั้นน่าจะเป็นอะไรที่สวยงามมากๆ แต่ด้วยความที่เวลาของผมนั้นไม่ลงตัวก็เลยต้องมาตอนบ่ายๆ แทน และต้องถ่ายภาพย้อนแสงแบบนี้เอาครับ แต่โดยรวมก็ถือว่าโอเคอยู่ ได้อีกอารมณ์นึงและมุมภูเขาด้านนี้มันก็ดูไม่ค่อยเหมือนฟูจิซังซักเท่าไหร่ด้วยครับ >< หมายเหตุ : ภาพด้านล่างที่ผมถ่ายย้อนแสงมานี้ ผมลองถ่ายมาหลายๆ ค่าแสงและทำการโปรเซสในโปรแกรม Adobe Lightroom ดูนะครับ เพราะผมอยากรู้ว่าย้อนแสงจังๆ แบบนี้ ไฟล์จะนำมาขุดและทำได้แค่ไหน เลนส์จะคมและป้องกันแฟลร์ได้ดีแค่ไหน ซึ่งหลังจากที่ผมได้นำไฟล์ภาพมาทดลองทำแล้ว ผมอยากจะบอกว่ามันทำได้ดีกว่าที่คิดมากเลยครับ สามารถจบได้ในภาพเดียวและปรับแก้ได้มากกว่าที่คิดเยอะเลย และช่วงหัวค่ำของวันนั้นผมกับเพื่อนๆ ก็ขับรถออกจากที่พักเพื่อไปถ่ายภาพฟูจิซังบริเวณทะเลสาบคาวากุจิโกะในตอนกลางคืนครับ และถึงแม้คืนนี้พวกเราจะถ่ายภาพดาวไม่ได้เพราะพระจันทร์สว่างมาก แต่พวกเราก็ได้รูปฟูจิซังกับเมฆรูปทรงประหลาดมาหลายใบเลยครับ ถัดมาเช้าอีกวัน พวกเราตื่นแต่เช้ามืดเพื่อจะไปรอถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นในสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเราประมาณ 45 นาทีครับ โดยตามพยากรณ์อากาศแล้วมีโอกาสสูงที่วันนี้พวกเราจะไม่เห็นฟูจิซังเพราะเมฆหนาทึบมาก แต่พวกเราก็ไม่ถอดใจตัดสินใจตื่นแต่เช้ามืดและขับรถไปตามเส้นทางเรื่อยๆ พร้อมกับใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะตลอดระยะเวลาที่พวกเราขับรถไปนั้นคุณฟูจิซังเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ไปมายังกับนินจาเลยครับ และนี่ก็คือภาพที่พวกเราได้จากการไม่ยอมถอดใจครับ ถือเป็นเช้าอีกวันนึงที่พวกเราฟินมากๆ เลย แต่ก็ดูเหมือนว่าวันนี้ผมกับเพื่อนๆ จะได้ใช้แต้มบุญของวันนี้ไปหมดแล้ว เพราะหลังจากเช้ามืดที่พวกเราแสนประทับใจ พอพวกเราขับรถกลับที่พักจนกระทั่งถึงมืดค่ำของวันนั้น พวกเราก็ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าตาคุณฟูจิซังอีกเลย ดังนั้นวันนี้พวกเราก็ได้แต่เดินถ่ายรูปตามมุมต่างๆ ที่มีใบไม้เปลี่ยนสีเท่านั้นครับ T_T และนี่เป็นภาพที่ผมถ่ายบริเวณอุโมงค์ต้นไม้หรืออุโมงค์ใบเมเปิ้ล (Momiji Kairo) บริเวณทะเลสาบคาวากุจิโกะครับ ผมกับเพื่อนๆ เดินทางไปถ่ายภาพกันตอนค่ำๆ เพราะช่วงที่ผมไปนั้นเค้ากำลังมีการจัดไฟหรือ Light Up พอดี แต่ว่าในวันที่ผมไปนั้นต้นไม้ส่วนมากยังไม่ค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดงซักเท่าไหร่ ก็เลยต้องเลือกมุมถ่ายนิดนึงครับ ถัดมาเช้าอีกวัน (วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562) ผมกับเพื่อนๆ ก็ยังคงวางแผนตื่นกันตั้งแต่เช้ามืดเพื่อที่จะไปรอถ่ายรูปฟูจิซังในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นเหมือนเดิม โดยวันนี้พวกเราตั้งเป้าไปถ่ายรูปกันที่บริเวณทะเลสาบโมโตสุ (Motosu Lake) ซึ่งต้องใช้เวลาขับรถไปจากที่พักประมาณ 45 นาทีครับ และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่พยากรณ์อากาศบอกว่ามีโอกาสสูงที่เราจะไม่เห็นคุณฟูจิซัง และแน่นอนว่าพวกเราก็ดื้อด้านไม่ยอมแพ้ ยังคงขับรถมุ่งไปตามเป้าหมายเดิมที่ได้ตั้งไว้ แต่วันนี้ไม่มีปาฏิหารย์สำหรับพวกเราครับ ท้องฟ้าเมฆหนาทึบ ไม่สามารถมองเห็นฟูจิซังในช่วงที่พระอาทิต์กำลังขึ้นได้เลย จะเริ่มเห็นบ้างก็ตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้วและไม่เห็นเต็มๆ ด้วยครับ T_T แต่ไม่เป็นไร…นี่แหละคือเรื่องปกติของการถ่ายรูปธรรมชาติ มีสมหวัง มีแห้วกันไป และบางครั้งภาพฟูจิซังที่เห็นแบบไม่เต็มกับเรื่องราวระหว่างการเดินทางอาจจะเป็นอะไรที่ล้ำค่ามากกว่าก็ได้ครับ ^^ และหลังจากที่พวกเราขับรถกลับที่พัก เราก็พบว่าวันนี้ที่บริเวณทะเลสาบคาวากุจิโกะนั้นฟ้าใสมาก สามารถมองเห็นฟูจิซังได้แบบเต็มๆ ดังนั้นพวกผมก็เลยรีบเช็คเอาท์และออกไปถ่ายรูปรอบๆ ทะเลสาบคาวากุจิโกะในมุมที่เมื่อวานผมกับเพื่อนๆ ไม่สามารถถ่ายได้ครับ นี่เป็นภาพบริเวณโออิชิ ปาร์ค (Oishi Park) บริเวณศูนย์ Kawaguchiko Natural Living Center ทะเลสาบคาวากุจิโกะครับ จริงๆ มุมนี้ถ้าจะให้สวยควรจะต้องมาช่วงบ่ายๆ หรือเย็นๆ นะครับ เพราะสภาพแสงจะเหมาะสมกับการถ่ายรูปมากกว่า แต่เมื่อวานนี้ผมกับเพื่อนมาแล้วไม่เห็นฟูจิซังเราก็เลยกลับมาใหม่ในตอนเช้า ก่อนที่เราจะเดินทางเข้าโตเกียวกันครับ หมายเหตุ : หลายๆ ภาพด้านล่างนี้เป็นการถ่ายในสภาพที่มีความแตกต่างของแสงระหว่างฉากหน้าและฉากหลังห่างกันมาก แต่จากที่ผมพยายามลองปรับแต่งไฟล์ดูก็พบว่ามันสามารถแก้ไขได้เยอะพอควร และหากใครที่รอจังหวะดีๆ มีการถ่ายที่เนี้ยบกว่านี้ น่าจะได้ภาพที่ดีกว่านี้เยอะเลยครับ ส่วนนี่เป็นภาพบรรยากาศรอบๆ ทะเลสาบคาวากุจิโกะในวันฟ้าใส ก่อนที่พวกผมจะขับรถกลับเข้าโตเกียวกันครับ เสียดายที่พวกผมมีเวลาน้อยไปนิดไม่งั้นน่าจะได้ภาพดีๆ เยอะเลย และหลังจากที่พวกเราขับรถกลับเข้าโตเกียวเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการกินและการกิน บอกเลยว่าอิ่มมากกกกกก >< แต่พวกเราก็ยังคงเหลือเวลาในช่วงเย็นของแต่ละวันเอาไว้ถ่ายรูปด้วยนะครับ โดย 2 จุดหมายที่พวกเราไปถ่ายรูปก็ได้แก่ บริเวณสถานีโตเกียว แล้วก็บนดาดฟ้าของตึกรปปงงิ ฮิลล์ (Roppongi Hills) ใครชอบมุมไหนก็ไปตามรอยพวกเราได้เลยครับ โดยบริเวณดาดฟ้าของตึกรปปงงิ ฮิลล์นั้นจะไม่สามารถใช้ขาตั้งกล้องได้นะครับ และหากวันไหนสภาพอากาศแจ่มๆ ท้องฟ้าใสเคลียร์ เราจะสามารถมองเห็นฟูจิซังจากมุมนี้ได้ด้วย แต่ในวันที่ผมไปนั้นมองไม่เห็นครับ เห็นแค่หัวโผล่มานิดๆ เท่านั้นเอง T_T และทั้งหมดนี้ก็คือการรวบรวมภาพที่ผมรู้สึกประทับใจจากการเดินทางไปญี่ปุ่นทริปนี้ และหากใครมีแผนจะเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงนี้ก็อย่าลืมพิจารณาซิมมือถือของ True อย่าง True Travel Sim Asia หรือ Japan Travel Sim ด้วยนะครับ ทั้งสองซิมนี้ราคาเท่ากันคือ 399 บาท สามารถใช้งานเนตได้ 6GB นานถึง 8 วัน รวมถึงยังสามารถปล่อย Hotspot ได้ด้วย โดยจากที่ผมได้มีโอกาสเอาไปลองใช้งานในทริปนี้มา ผมว่าสัญญาณต่างๆ นั้นโอเคเลยครับ และสำหรับใครที่ยังไม่ค่อยรู้จักซิมนี้เท่าไหร่หรือยังงงๆ กับวิธีการใช้งาน ก็สามารถกดอ่านรีวิวเต็มๆ ได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ True Travel Sim Asia : ซิมดีๆ คู่ใจนักเดินทางผู้ชอบท่องเอเชีย ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และหากใครต้องการติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิด ก็สามารถกดติดตามได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ RELATED ARTICLESMORE FROM AUTHOR สรุปเรื่องควรรู้ก่อนไปเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเอง ปี 2567 แจกแผนเที่ยวปักกิ่ง 5 วันเต็ม เก็บไฮไลท์ครบ อ่านจบเที่ยวเองได้เลย ไม่ต้องง้อทัวร์!! รีวิวพระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) แห่งเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน