เอ่ยถึงอาหารวีแกน (Vegan) แล้วหลายๆ คนอาจจะนึกร้องยี้อยู่ในใจว่า มันต้องไม่อร่อย หน้าตาดูไม่น่ากิน และมีแต่ผักแน่ๆ ใช่มั้ยครับ แต่ผมอยากจะบอกว่าเดี๋ยวนี้อาหารวีแกนนั้นพัฒนาไปไกลมากๆ หลายๆ ร้านทำอาหารวีแกนออกมาได้หน้าตาดีและรสชาติดีมากครับ โดยเฉพาะร้านในเครือของ Veganerie (วีแกนเนอรี่) ซึ่งถือว่าเป็นร้านอาหารวีแกนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงยังมีชื่อเสียงในระดับนานาประเทศด้วยครับ
ผมให้ดูหน้าตาอาหารบางส่วนของร้าน Veganerie Street (วีแกนเนอรี่ สตรีท) วงเวียนใหญ่ ซึ่งเป็นสาขาที่พึ่งเปิดใหม่ล่าสุดของเครือ Veganerie ครับ บอกเลยว่าหน้าตาดีมาก เห็นแล้วแบบน้ำลายไหล อยากลองทานเลยครับ ยิ่งไปกว่านั้นภายในร้านเค้ายังมีเมนูอาหารให้เลือกทานเกือบ 200 เมนูเลย!! บอกเลยว่าเยอะจริงจัง และครอบคลุมหลายประเภทมากๆ ครับ





โปรโมชั่นพิเศษช่วงนี้
ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2565 ทุกท่านที่ทานอาหารที่ร้าน Veganerie Street วงเวียนใหญ่ ตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป พร้อมกับแจ้งโค้ดว่า “WIFE300” จะได้รับเมนู “Skinny Sweet Sundae” มูลค่า 145 บาท ฟรี 1 ที่ทันทีครับ ซึ่งผมบอกเลยว่าเมนูนี้เป็นของหวานที่อร่อยมาก และหากเราเลือกสั่งอาหารดีๆ รวมแล้วค่าอาหารประมาณ 300 นิดๆ และได้เมนูนี้แถมฟรี 1 ที่ ก็เหมือนกับทางร้านลดราคาให้เราเกือบ 50% แล้วครับ คุ้มมากๆ ^^

ใครสนใจหรืออยากจะลองทานอาหารวีแกนซักครั้ง หรือเป็นคนที่ทานอาหารวีแกนอยู่แล้ว ผมแนะนำให้หาโอกาสไปลองทานร้านนี้เลยนะ อร่อย เมนูหลากหลาย และทานแล้วรู้สึกคุ้มราคาครับ
หมายเหตุ : โปรโมชั่นนี้เฉพาะสาขาวงเวียนใหญ่ และการนั่งทานที่ร้านเท่านั้นนะครับ

อาหารวีแกน (Vegan) คืออะไร?
ก่อนที่จะเข้าสู่การรีวิวร้าน Veganerie Street แบบเต็มๆ ผมอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับคำว่าวีแกนก่อนว่ามันคืออะไรครับ เพราะผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนมากที่เข้าใจผิดหรือสับสนอยู่
วีแกน ไม่ใช่เจ ไม่ใช่มังสวิรัติ!!
แม้ทั้ง 3 อย่างนี้จะเป็นรูปแบบการทานอาหารแบบที่ไม่มีเนื้อสัตว์ผสมเหมือนกันก็ตาม แต่มันก็มีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันพอควรครับ โดยอาหารวีแกนนั้นจะเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ 100% รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกิดจากการเบียดเบียนสัตว์ด้วยครับ เช่น นม, เนย, ชีส, ไข่, น้ำผึ้ง หรือแม้กระทั่งอาหารในกลุ่มเจลาตินที่ทำมาจากไขกระดูกของสัตว์ ก็จะไม่มีผสมในอาหารวีแกนเลย
นอกจากนี้อาหารวีแกนยังสามารถที่จะมีพวกผักกลิ่นฉุนต่างๆ ที่ไม่สามารถใส่ในอาหารเจได้ เช่น กระเทียม, ต้นหอม เป็นต้น รวมไปถึงคนที่ทานอาหารวีแกน หรือที่เราเรียกว่า “ชาววีแกน” นั้น ยังสามารถทานเครื่องดื่มมึนเมาหรือแอลกอฮอล์ได้ด้วยครับ เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้มีการเบียดเบียนสัตว์นั่นเอง ^^

ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับชาววีแกนที่เคร่งมากๆ แล้ว นอกจากรูปแบบอาหารที่เค้าทานจะไม่มีการเบียดเบียนสัตว์แล้ว ในการใช้ชีวิตต่างๆ ของเค้าก็จะยึดหลักตามนี้หมดเลยครับ ตั้งแต่การงดใช้เสื้อผ้า, กระเป๋า, สิ่งของ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่เกิดจากการเบียดเบียนสัตว์ รวมไปถึงเครื่องสำอางบางประเภทที่มีการทดลองกับสัตว์ต่างๆ ก่อนที่จะออกมาวางจำหน่าย ชาววีแกนก็จะไม่ใช้เลยครับ
เป็นยังไงครับ รายละเอียดต่างๆ มันลึกมากกว่าที่เราคิดใช่มั้ยครับ แต่สำหรับคนทั่วๆ ไปอย่างเรานั้นก็ไม่ต้องเครียดไปนะ แค่เรารู้ว่าอาหารวีแกนมันคืออะไร มีอะไรใส่ได้บ้าง ใส่ไม่ได้บ้าง และรู้ว่าเดี๋ยวนี้อาหารวีแกนมันอร่อยกว่าที่คิดก็พอแล้วครับ

ทำไมต้อง Veganerie
จริงๆ แล้วร้านอาหารวีแกนในไทยนั้นก็มีหลายร้านเหมือนกันครับ แต่สำหรับใครที่อยากจะเปิดใจลองทานอาหารวีแกนดู ผมอยากให้มาเริ่มลองที่ร้านนี้ก่อนเลยครับ รับรองว่าคุณจะรู้สึกดีอย่างแน่นอน เพราะร้าน Veganerie นั้นมีจุดเด่นหลายอย่างดังนี้เลยครับ
- เป็นร้านอาหารวีแกนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดมานานกว่า 7 ปี และมีสาขามากถึง 6 สาขา ได้แก่ พร้อมพงษ์, สีลม, สยามพารากอน, เอ็มควอเทียร์, นานา และวงเวียนใหญ่
- เป็นร้านที่กำเนิดมาจากครอบครัวที่ทานวีแกนจริงๆ ดังนั้นเค้าจะเข้าใจและรู้ในเชิงลึกว่าอาหารวีแกนที่ดี รสชาติอร่อย มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นเป็นอย่างไรครับ
- มีเมนูอาหารให้เลือกทานเกือบ 200 เมนู และมีการคิดค้นเมนูใหม่ๆ ขึ้นมาตลอด
- รสชาติอาหารดี อร่อยถูกปาก หน้าตาการจัดจานดี และผมคิดว่าหลายๆ คนหากได้ลองทานแล้วต้องประทับใจแน่นอนครับ
- คุณภาพวัตถุดิบดี และราคาสมเหตุสมผล
- อาหารบางเมนู ทางร้านสามารถที่จะปรุงเป็น Gluten Free (GF) หรือ เจ ได้ โดยจะมีการระบุรายละเอียดให้เราเห็นในเมนูนั้นๆ อย่างชัดเจนครับ
- มีโปรโมชั่นที่น่าสนใจ โดยตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2565 ทุกท่านที่ทานอาหารที่ร้าน Veganerie Street วงเวียนใหญ่ ตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป พร้อมกับแจ้งโค้ดว่า “WIFE300” จะได้รับเมนู “Skinny Sweet Sundae” มูลค่า 145 บาท ทันทีครับ (โปรโมชั่นนี้เฉพาะสาขาวงเวียนใหญ่ และการนั่งทานที่ร้านเท่านั้นนะครับ)

เอาล่ะ รู้ข้อมูลคร่าวๆ ที่จำเป็นแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาไปอ่านรีวิวเต็มๆ ของร้าน Veganerie Street วงเวียนใหญ่แล้วครับ โดยร้านนี้ถือเป็นสาขาใหม่ล่าสุดของเครือ Veganerie เลย พึ่งเปิดให้นั่งทานที่ร้านเมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เองครับ
ที่ตั้ง, การเดินทาง และภาพรวมของร้าน
ร้าน Veganerie Street (วีแกนเนอรี่ สตรีท) วงเวียนใหญ่นั้นเป็นร้านสาขาที่ 5 ของเครือ Veganerie ครับ โดยตอนแรกสาขานี้เค้าเปิดบริการเฉพาะ Delivery เป็นหลักเท่านั้น แต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาทางร้านได้มีการขยายพื้นที่ชั้น 2 เพิ่มเติม เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการนั่งรับประทานอาหารที่ร้านครับ โดยพื้นที่บริเวณชั้น 2 นี้ จะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนะ มีทั้งหมด 5-6 โต๊ะ รองรับได้ประมาณ 15 คนครับ

หน้าตาร้านจะเป็นแบบนี้นะครับ ส่วนตำแหน่งที่ตั้งของร้านนั้นจะอยู่ที่บริเวณสี่แยกบ้านแขก หัวมุมถนนประชาธิปกครับ โดยถ้าเราเห็นหน้าตาและชื่อร้านแบบนี้ก็แสดงว่ามาถูกที่แล้วครับ
ที่อยู่ร้าน : 314 ถนน ประชาธิปก แขวง วัดกัลยา เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600
Google Map : https://goo.gl/maps/op6JRv8W4V6e24sq5
เวลาเปิดปิด : 09.30-22.00 น. (เปิดบริการทุกวัน)
Tel : 02-4668589

ส่วนวิธีการเดินทางไปร้านแบบที่สะดวกที่สุดก็ตามนี้เลยครับ
รถยนต์ส่วนตัว : จอดรถที่ Big C อิสรภาพ และเดินไปทางสี่แยกบ้านแขกประมาณ 200 เมตร ร้านจะอยู่บริเวณหัวมุมพอดีครับ
รถไฟฟ้า : ลงสถานี MRT อิสรภาพ จากนั่นนั่งจักรยานยนต์รับจ้างหรือ Taxi ต่อ
รถประจำทาง : ปอ. 40, ปอ.56 หรือรถเมล์แดงสาย 21
Taxi : ระบุว่าไปสี่แยกบ้านแขก บริเวณหัวมุมถนนประชาธิปกครับ

เมนูอาหารที่ทาน
นี่เป็นเมนูอาหารที่ผมกับต๋งได้ลองทานทั้งหมดครับ โดยอาหารแต่ละจานนั้นต้องบอกว่าใหญ่ คุ้มราคามากๆ อีกทั้งวัตถุดิบแต่ละจานก็ดี รสชาติอาหารก็ปรุงอร่อยถูกปากทั้งหมดเลยครับ เรียกว่าเป็นร้านที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดที่มีต่ออาหารวีแกนไปเลย เพราะเดี๋ยวนี้อาหารวีแกนนั้นอร่อย มีการพัฒนาไปจากเดิมมากจริงๆ ครับ
- Meatless Ball Pasta 270 บาท
- Veganerie Cheese Burger 310 บาท
- Cheesy Tonkatsu Curry Rice 255 บาท
- Veganerie Pad Ka Prow 169 บาท
- Kimchi Dumplings 180 บาท
- Vegan Cauliflower Wings 175 บาท
- Vegan Fried Chicken & Fries Combo 210 บาท
- Chia Pudding 220 บาท
- Flat Belly 180 บาท
- Strawberry Cheesecake Frappe 175 บาท
- Mango Milkshake 165 บาท
- Fruity Delight Waffles 185 บาท
- Skinny Sweet Sundae 145 บาท
ทั้งนี้ราคาอาหารและเครื่องดื่มดังกล่าวจะเป็นราคา net แล้ว ไม่มีบวกอะไรเพิ่มนะครับ และทุกคนสามารถดูเมนูเต็มๆ ของร้าน Veganerie Street วงเวียนใหญ่ ได้ที่นี่เลยครับ

รสชาติอาหาร
เริ่มกันที่ “Meatless Ball Pasta” นะครับ เมนูนี้จะเป็นสปาเกตตี้มีทบอลโฮมเมด แต่ในชื่อเมนูภาษาอังกฤษเค้าจะใช้คำว่า Meatless นะครับ เพราะว่าในมีทบอลของเค้านั้นมันไม่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์เลย โดยส่วนประกอบหลักๆ ของมีทบอลนี้จะเป็นเห็ดชิตาเกะ, อัลมอนด์ และถั่วแดงครับ รสชาติถือว่าดีเลยครับ เนื้อแน่นทานง่าย ส่วนเส้นสปาเกตตี้ก็ทำมาได้ดี พอมารวมกันเข้ากับมีทบอล, ซอสมะเขือเทศ และพาเมนซานที่ทำจากเห็ดแชมปิญองและมะม่วงหิมพานต์แล้ว ก็เลยทำให้ทุกอย่างกลมกล่อมลงตัวครับ
รสชาติของจานนี้จะอร่อยแบบเนิบๆ ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้เลี่ยนนะครับ เรียกว่าอร่อยทานสบาย อิ่มได้ 1 มื้อพอดีครับ



“Veganerie Cheese Burger” หรือเรียกง่ายๆ ว่าชีสเบอร์เกอร์ครับ เพียงแต่ไส้เบอร์เกอร์ตรงกลางนั้นจะทำมาจากเห็ดชิตาเกะ, อัลมอนด์ และถั่วแดง ซึ่งก็คือสูตรเดียวกับมีทบอลจานเมื่อกี้นั่นเองครับ ส่วนชีสที่เค้าใส่ก็จะเป็นชีสแบบวีแกน และขนมปังที่ประกบบนล่างจะก็เป็นขนมปังโฮลวีทเพื่อสุขภาพครับ

สำหรับผมแล้วผมชอบเมนูนี้เลยนะ ขนมปังเค้าอร่อย หอมกำลังดี ส่วนไส้เบอร์เกอร์ตรงกลางก็อร่อย เนื้อแน่น รสชาติของเห็ดและถั่วแดงชัดมากครับ ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะอยู่ที่แต่ละคนชอบด้วย ถ้าเป็นคนที่ชอบทานเห็ดและถั่วแดงอยู่แล้วน่าจะถูกใจ แต่ถ้าใครไม่ค่อยชอบส่วนผสม 2 อย่างนี้ก็ควรต้องเลี่ยงครับ
อ้อ และผมบอกไว้ก่อนนะว่าขนาดเบอร์เกอร์เค้าใหญ่มากๆ และเค้าจะเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอีก 1 อย่างนะครับ โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาเป็นอะไรระหว่างเฟรนฟรายด์, มันหวานอบ หรือสลัด ซึ่งผมเลือกมาเป็นมันหวานอบครับ รสชาติอร่อยดี ส่วนถ้าใครดูแล้วไม่ค่อยชอบไส้เบอร์เกอร์ที่เป็นถั่วและเห็ดแบบนี้ แต่ก็ยังอยากทานเบอร์เกอร์อยู่ ทางร้าน Veganerie Street เค้าก็มีเมนูเบอร์เกอร์แบบอื่นๆ ให้เลือกอีกนะ

“Cheesy Tonkatsu Curry Rice” หรือข้าวแกงกะหรี่ชีสทงคัตซึ หนึ่งในเมนูใหม่ของร้านในช่วงนี้ครับ การจัดจานต่างๆ ถือว่าดีเลย ส่วนปริมาณก็ถือว่าให้เยอะครับ และสำหรับในด้านรสชาตินั้นส่วนตัวผมชอบนะ แกงกะหรี่เค้าจะเป็นรสกลางๆ ไม่ได้รสจัดหรือเผ็ดมากจนเกินไป ซึ่งผมเข้าใจว่ามันเป็นลักษณะของอาหารวีแกนอยู่แล้วที่รสชาติจะไม่ได้จัดจ้านครับ ส่วนทงคัตซึที่อยู่ด้านบนนั้นเห็นทางร้านเค้าแจ้งว่าเค้าใช้เป็น Plant-Based ทูน่าครับ ดังนั้นลักษณะผิวสัมผัสของมันจึงนุ่ม เคี้ยวง่าย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังทานเนื้อปลาอยู่ครับ


“Veganerie Pad Ka Prow” หรือข้าวกะเพราวีแกนสูตรพิเศษ หนึ่งในเมนูอาหารตามสั่ง อาหารจานเดียวที่หลายๆ คนชอบ คิดอะไรไม่ออก เลือกไม่ถูก สั่งกะเพรามา 1 จาน จบครับ!!
สำหรับรสชาติของจานนี้ถือว่ามีความจัดจ้านกว่าเมนูอื่นๆ พอควร มีความเผ็ดและได้กลิ่นของกระเพราชัดเจน (ที่นี่เค้าใช้เป็นกระเพรากรอบด้วยครับ ดีมากเลย) ส่วน Texture ของเนื้อที่เค้าใส่มานั้น อันนี้ผมต้องบอกตามตรงครับว่ามันจะไม่ได้เหมือนกับเนื้อสัตว์จริงๆ หรือเนื้อ Plant-Based ที่เราเคยทานมาก่อน ทานแล้วรู้เลยว่าไม่ใช่เนื้อสัตว์ แต่ว่ารสชาติดี อร่อย เข้ากับกะเพราและเครื่องต่างๆ ที่เค้าใส่มาครับ
เมนูนี้แนะนำครับ คิดอะไรไม่ออก เดินเข้าร้านนี้สั่งเมนูนี้ได้เลย ง่ายดีครับ

“Kimchi Dumplings” นี่คือหนึ่งในเมนูที่ผมประทับใจมากเป็นลำดับต้นๆ ของวันนี้ครับ มันคือเกี๊ยวซ่ากิมจิที่รสชาติดีมาก ขนาดปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทานกิมจิ เพราะไม่ค่อยชอบรสเปรี้ยวๆ ของมัน แต่สำหรับเมนูนี้ผมยังต้องยอมเลยครับ ทางร้านปรุงกิมจิมาได้ดี อร่อยกลมกล่อม ไม่ได้มีรสเปรี้ยวนำโดดขนาดนั้น และเมื่อมันสอดไส้ในแป้งเกี๊ยวซ่าที่นุ่มกำลังดี ก็เลยทำให้ทุกอย่างลงตัวมากครับ
ใน 1 จานจะมีเกี๊ยวซ่า 5 ลูกนะครับ ราคา 180 บาท ซึ่งสูงกว่ากะเพราจานเมื่อกี้อีก แต่ถ้าถามผมว่ายอมจ่ายมั้ย สำหรับเมนูนี้ผมยอมจ่ายครับ และหากครั้งหน้าผมกลับไปทานที่ร้านนี้อีก นี่จะเป็นหนึ่งในเมนูที่ผมต้องเลือกสั่งอย่างแน่นอนครับ

“Vegan Cauliflower Wings” เมนูที่หากใครรู้ส่วนประกอบของมันแล้วอาจจะต้องร้องวร้ายยย เอาอะไรมาให้ทานเนี่ย แต่บอกเลยว่าหากคุณเปิดใจลองสั่งมาทาน นี่จะเป็นอีกหนึ่งเมนูที่คุณประทับใจแน่ๆ ครับ

ลักษณะของเมนูนี้จะเป็นการเอากะหล่ำดอกมาคลุกกับซอสต่างๆ ให้มีคล้ายคลึงกับการทำ Buffalo Wings และรสชาติที่ได้มานั้นผมต้องบอกว่าอร่อยมากครับ กะหล่ำมีความนุ่มกำลังดี เคี้ยวง่าย ส่วนซอสที่ราดก็อร่อยลงตัวโดยที่ไม่ต้องมีรสอะไรที่จัดจ้านมากครับ
เมนูนี้แนะนำเต็ม 2 มือเลยครับ อร่อยจริงจัง และอร่อยจนหมดเป็นจานแรกๆ ของวันนี้เลย ^^

“Vegan Fried Chicken & Fries Combo” ไก่ทอดกับเฟรนฟรายส์นั่นเองครับ เพียงแต่เมนูนี้เค้าจะเอาเห็ดมาทอดแทนไก่ครับ ลักษณะของเนื้อเห็ดจะมีความแน่นพอควร ส่วนในการเสิร์ฟนั้นเค้าจะจัดเสิร์ฟพร้อมกับซอสอีก 3 ชนิดครับ

ส่วนตัวผมรู้สึกเฉยๆ กับเมนูนี้ที่สุดครับ โดยรวมรสชาติดีนะ แต่ถ้าเทียบกับเมนูอื่นๆ ที่เหลือแล้ว เมนูอื่นทำให้ผมว้าวและรู้สึกประทับใจกว่าครับ


“Chia Pudding” เมนูนี้เป็นหนึ่งในเมนูอาหารเช้าที่ทางร้านบอกว่าคนชอบทานกันเยอะมากเลยครับ ในด้านปริมาณนั้นต้องบอกว่าทางร้าน Veganerie Street เค้าให้มาเยอะมาก สมราคา รับรองว่าทานคนเดียวหมดชามอิ่มแน่นอนครับ ส่วนในด้านรสชาตินั้นผมก็ว่าดีเลยนะ ทานง่ายมาก ทานได้เรื่อยๆ และไม่รู้สึกสะดุดกับส่วนประกอบไหนเลยครับ

สำหรับเมนูนี้ส่วนประกอบหลักๆ ก็จะมีเมล็ดเจีย, นมถั่วเหลือง, กีวี, สับปะรด, อัลมอนด์, กราโนล่า แล้วก็ซอสสตรอเบอร์รี่ครับ ที่สำคัญเมนูนี้เป็นแบบ Sugar Free ไม่มีการเติมน้ำตาลด้วยนะ ทุกอย่างหวานอร่อยจากวัตถุดิบเลยครับ

มาในส่วนของเครื่องดื่มกันบ้างครับ วันนี้พวกเราลองทั้งหมด 3 เมนู เริ่มจากเมนูแรก “Flat Belly” ซึ่งเป็นเมนูที่ผมสั่งเองครับ ลักษณะของเมนูนี้จะเป็นการเอามิกซ์เบอร์รี่, สับปะรด, กล้วย, มิ้นท์, ไลม์, หญ้าหวาน และโยเกิร์ตถั่วเหลืองมาผสมกัน รสชาติที่ได้ต้องบอกว่าดีเลยนะ เป็นน้ำผลไม้ที่มีความเข้มข้นสูง แต่ทานง่าย อีกทั้งมีระดับความหวานที่กำลังดี ไม่ได้มากจนเกินไปครับ
หมายเหตุ : Flat Belly คือแก้วซ้าย ที่สีออกชมพูๆ นะครับ

แก้วต่อมาเป็นของเพื่อนผมครับ “Mango Milkshake” ลักษณะโดยรวมจะเหมือนน้ำมะม่วงปั่นกับนม จากนั้นก็ท็อปปิ้งด้วยซอสมะม่วงที่ไม่หวานมาก และมะม่วงสุกอีกหลายชิ้นครับ สำหรับแก้วนี้เพื่อนผมบอกว่าดื่มแล้วสดชื่นดีครับ ทานแล้วประทับใจเลย

และแก้วสุดท้ายเป็นของต๋งครับ “Strawberry Cheesecake Frappe” หรือถ้าแปลแบบง่ายๆ ก็คือการเอาสตรอเบอร์รี่ชีสเค้กมาปั่นนั่นแหละครับ รสชาติเหมือนมากๆ ดูดขึ้นมาครั้งแรกถึงกับคิดว่ากำลังทานเค้กอยู่เลยครับ
ใครชอบทานสตรอเบอร์ชีสเค้กและชอบความแปลกใหม่ควรสั่งเลยครับ ส่วนส่วนประกอบที่สำคัญของเมนูนี้ก็ได้แก่ ไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ครัมเบิ้ล, ครีมชีสจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์, สตรอเบอร์รี่, นมถั่วเหลือง น้ำตาลทรายแดง, แครกเกอร์ แล้วก็วิปครีมมะพร้าวครับ

ปิดท้ายกันด้วยของหวานครับ วันนี้มีทั้งหมด 2 เมนู และผมต้องขอบอกก่อนครับว่าต้นกำเนิดแรกของร้าน Veganerie นั้น มาจากร้านที่ทำเบเกอรี่และของหวานเป็นหลักครับ ดังนั้นของหวานและขนมของร้านนี้จึงเป็นอะไรที่อร่อยมาก และถือว่าเป็นจุดเด่นสำคัญอย่างนึงของเค้าเลย
เมนูของหวานจานแรกที่ผมทานก็คือ “Fruity Delight Waffles” ครับ โดยเมนูนี้จะเป็นวอฟเฟิลที่ทำจาก Flaxseed (เมล็ดลินิน) 2 ชิ้น เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมและวิปครีมมะพร้าว จากนั้นก็มีผลไม้สดอย่างสตรอเบอร์รี่, กีวี และกล้วยล้อมรอบ ในด้านการจัดจานถือว่าสวยเลยครับ ส่วนในด้านรสชาติและปริมาณนั้นส่วนตัวผมคิดว่าอร่อยคุ้มกับราคา 185 บาท โดยเฉพาะวอฟเฟิลนั้นอร่อยกรอบมากๆ ครับ


ของหวานอย่างที่สอง “Skinny Sweet Sundae” เมนูนี้จะเป็นบราวนี่ที่ท็อปปิ้งด้วยไอศกรีมวีแกนที่มีขนาดลูกไม่ใหญ่มากนัก พร้อมด้วยซอสบลูเบอร์รี่, วิปครีมมะพร้าว และสตรอเบอร์รี่สดครับ ส่วนตัวผมชอบรสชาติเลยนะ ทานแล้วอร่อยถูกปากทั้งบราวนี่และไอศกรีมเลย ที่สำคัญโดยปกติแล้วเมนูนี้ทางร้านจะจำหน่ายที่จานละ 145 บาท แต่ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2565 ทุกท่านที่ทานอาหารที่ร้าน Veganerie Street วงเวียนใหญ่ ตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป และแจ้งโค้ดว่า “WIFE300” จะได้รับเมนูนี้ทานฟรีๆ 1 ที่ทันทีครับ บอกเลยว่าคุ้มมากๆ และผมอยากให้ทุกคนลองเปิดใจไปทานกันครับ อาหารร้านนี้อร่อย หลากหลาย และคุ้มราคาจริงๆ
หมายเหตุ : โปรโมชั่นนี้เฉพาะสาขาวงเวียนใหญ่ และการนั่งทานที่ร้านเท่านั้นนะครับ

เอาล่ะ มาถึงตรงนี้ผมคิดว่าทุกคนน่าจะพอเห็นภาพของร้านอาหารวีแกนที่ชื่อว่า Veganerie Street (วีแกนเนอรี่ สตรีท) กันแล้วใช่มั้ยครับ ว่ามันน่าสนใจแค่ไหน หน้าตาอาหารเป็นยังไง และราคารับได้มั้ย ซึ่งส่วนตัวผมกับต๋งนั้นพวกเรารู้สึกประทับใจกับร้านนี้พอควรเลยครับ และมันทำให้พวกเรารู้สึกดีกับอาหารวีแกนเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก เพราะอาหารแต่ละจานนั้นเค้าปรุงมาได้ดี อร่อยถูกปากหมดเลยครับ

ส่วนนี่เป็นบรรยากาศการทานอาหารวันนี้ของผมกับต๋งในรูปแบบคลิปวีดีโอนะครับ ใครที่สนใจก็กดดูได้เลย ส่วนคนที่ต้องการไปทานอาหารที่ร้าน หากขับรถส่วนตัวไปนั้นผมแนะนำให้จอดรถที่ Big C อิสรภาพ และเดินต่อไปทางสี่แยกบ้านแขกอีกประมาณ 200 เมตรนะครับ เดินแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ใช้เวลาไม่มากครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิด ก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : Veganerie
Tel : 02-4668589
Website : https://www.veganerie.co.th/
LINE : @veganerie
IG : Veganerie
Tiktok : Veganerie.Official
เวลาเปิดบริการ : 09.30 น. – 22.00 น. (เปิดทุกวัน)
