3 2 1………..โอ้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

.

.

.

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม หลังจากที่ผมได้ก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในแคปซูลที่ชื่อว่า AquaLoop (อควาลูป) ใน Vana Nava Hua Hin Water Jungle (สวนน้ำวานา นาวา หัวหิน) สวนน้ำที่ผมอยากจะไปเล่นมานานมากๆ แล้ว และทริปนี้มันก็ทำให้ผมกับต๋งได้สนุกสุดใจอยากที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้วครับ

ใครที่อยากสนุกแบบเรา หรืออยากจะรู้ว่าสวนน้ำวานา นาวา หัวหินนั้นมีอะไรบ้าง ก็ตามพวกเรามากันได้เลย และเพื่อให้ทุกคนเชื่อว่าเจ้าเครื่องเล่นหรือสไลเดอร์ที่ชื่อว่า AquaLoop นี้มันเสียวจริง ผมจึงขอแนะนำให้ทุกคนกดูคลิปวีดีโอสั้นๆ 7 วินาทีนี้ก่อนที่จะไปอ่านบทความข้างล่างครับ………กดดูแล้วก็อย่าลืมเปิดเสียงด้วยนะ จะได้สัมผัสอารมณ์อย่างเต็มที่ครับ ><

Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ

สำหรับทริปนี้พวกเราสองคนวางโปรแกรมไว้ทั้งหมด 3 วัน 2 คืน โดยสองวันแรกเราจะอยู่ที่สวนน้ำวานา นาวา หัวหินเป็นหลัก ส่วนวันสุดท้ายพวกเราจะเดินทางกลับกรุงเทพโดยผ่านทางราชบุรี เพื่อนำสิ่งของและเงินไปบริจาคให้กับสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา จังหวัดราชบุรีครับ ใครที่อยากจะหาโอกาสไปทำบุญหรือกิจกรรมเพื่อสังคมแบบพวกเราก็สามารถลอกทริปเราคร่าวๆ ตามนี้ได้เลย

Day 1 : กรุงเทพ – หัวหิน ตะลุยสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน วันแรก (นอน Holiday Inn Vana Nava Hua Hin)

Day 2 : ตะลุยสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน วันที่ 2 (นอน Riche Hua Hin Hotel)

Day 3 : บริจาคสิ่งของให้กับสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา จังหวัดราชบุรี

โดยหากใครที่ไม่ได้มีแผนจะเดินทางไปบริจาคสิ่งของก็สามารถที่จะแวะเที่ยวสถานที่อื่นๆ ตามทางได้ทั้งเส้นทางชะอำ, หัวหิน, เพชรบุรี หรือราชบุรี เพราะในโซนนี้มีที่เที่ยวที่น่าสนใจเยอะมากครับ ไม่ว่าจะเป็นเขาวัง, ถ้ำเขาหลวง, ซานโตรินี่, เวเนเซีย, ไร่พันธ์สุข (1000Sook), อุทยานหินเขางู และอื่นๆ อีกมากมาย ใครสนใจแนวไหนก็ลองวางแผนเพิ่มเติมดูนะครับว่าจะไปแวะที่ไหนดี

การเดินทางในทริปนี้ของเรา ทาง Chevrolet ได้ให้โอกาสเรานำรถ Chevrolet Trailblazer Z71 ไปออกทริปในครั้งนี้ด้วย ใครที่สนใจเกี่ยวกับรถคันนี้อยู่ก็สามารถไปอ่านความคิดเห็นของผมที่มีต่อรถคันนี้ได้ในช่วงท้ายๆ ของรีวิวนี้เลยครับ โดยจุดเด่นที่ผมประทับใจมากๆ เกี่ยวกับรถคันนี้และอยากจะพูดถึงเพื่อเป็นน้ำจิ้มก่อนก็คือ

  1. เป็นรถเอนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ที่สามารถพับเบาะแถว 2 และแถว 3 ได้ ซึ่งทำให้รถคันนี้มีพื้นที่ในการเก็บของเยอะมากๆ ครับ

  2. มีกุญแจรถอัจฉริยะที่สามารถสตาร์ทรถจากระยะไกล รวมทั้งเปิดการทำงานของแอร์ภายในรถล่วงหน้าได้ ซึ่งผมว่ามีประโยชน์มากๆ เวลาที่เราจอดรถกลางแจ้ง และอยากจะเดินมาที่รถแล้วขึ้นไปเจอแอร์เย็นๆ ทันที ไม่ต้องไปอบอ้าวเหงื่อไหลไคลย้อยในรถต่อ

  3. มีระบบการทำงานหลายอย่างที่ช่วยทำให้เราขับรถได้สนุกและปลอดภัยขึ้นกว่าเดิมมาก

นี่คือพื้นที่ด้านหลังรถที่สามารถพับเบาะแถว 2 และแถว 3 ลงได้ โดยหากใครจะเลือกพับแค่แถวเดียวก็ทำได้นะครับ แล้วแต่ฟังก์ชั่นการใช้งานของแต่ละคนเลย แต่วันนี้ผมกับต๋งต้องพับทั้งแถว 2 และแถว 3 เพราะของเราเยอะมากกกกกกกก เยอะจนตอนแรกคิดว่าจะใส่ในรถไม่หมด แต่พอเราพับเบาะลงไป 2 แถวก็พบว่ายังมีที่เหลือและสามารถจุของเพิ่มได้อีกพอควรเลยครับ

ให้ดูภาพของทั้งหมดที่ผมกับต๋งขนไปบริจาคกันอีกรอบครับ บอกเลยว่าเยอะมาก ซึ่งของทั้งหมดนี้ผมกับต๋งต้องขอบพระคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ของเราด้วยที่ไว้วางใจเรา และช่วยกันบริจาคเงินผ่านเรามาจนพวกเราได้เงินบริจาครวมทั้งหมด 27,722 บาท โดยพวกเราได้นำเงินไปซื้อของต่างๆ ที่จำเป็นกับสถานสงเคราะห์เป็นจำนวน 12,722 บาท ตามที่ทุกคนได้เห็นในภาพด้านล่างนี้ ส่วนเงินที่เหลืออีกจำนวน 15,000 บาท พวกเราได้นำไปบริจาคให้กับสถานสงเคราะห์เพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นต่อไปครับ

พูดถึงภาพรวมของรถ Chevrolet Trailblazer Z71 ที่เราใช้เป็นพาหนะในทริปนี้กันไปหอมปากหอมคอแล้ว เดี๋ยวเราไปพูดถึงเรื่องของสวนน้ำวานา นาวา หัวหินที่เป็นพระเอกของทริปนี้กันต่อดีกว่า

Vana Nava Hua Hin Water Jungle หรือ สวนน้ำวานา นาวา หัวหิน เป็นสวนน้ำขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มากกว่า 20 ไร่ และมีเครื่องเล่นสุดสนุกมากมาย โดยเครื่องเล่นหลายๆ เครื่องนั้นได้รับการบันทึกหรือรับรองว่ามีความเป็นที่สุดในด้านต่างๆ เช่น สไลเดอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก, สไลเดอร์ที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย, สไลเดอร์ที่มีการเหวี่ยงหมุน 360 องศา พาคุณท้าทายแรงโน้มถ่วงโลกแห่งแรกของประเทศไทย แล้วก็ยังมีเครื่องเล่นอื่นๆ ที่สนุกสนานมากมายไม่แพ้กันครับ โดยทางวานา นาวา หัวหินจะมีการแบ่งเครื่องเล่นออกเป็นประเภทต่างๆ ได้แก่ สไลเดอร์สำหรับผู้ใหญ่, สไลเดอร์สำหรับครอบครัว, โซนสำหรับเด็ก แล้วก็แอดแวนเจอร์โซน ใครที่สนใจอยากดูรายละเอียดก็สามารถคลิกที่นี่เพื่อเข้าไปดูได้เลยครับว่าเค้ามีการแบ่งอะไรไว้ตรงไหนบ้างครับ

แต่ถ้าใครขี้เกียจคลิกลิงก์เข้าไปดูก็สามารถอ่านรายละเอียดข้างล่างนี้ หรือไปดูแผนผังและรายละเอียดที่หน้าสวนน้ำเลยก็ได้ว่าแต่ละเครื่องเล่นอยู่ตรงไหน มีจุดเด่นยังไงบ้าง เค้าจะมีการเขียนบอกไว้ค่อนข้างชัดเจนครับ

  1. Abyss (อะบิส) : สไลเดอร์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลกที่กวาดรางวัลระดับโลกมามากมาย โดยทางวานา นาวา หัวหิน ได้นำเข้าอะบิสเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เรือยางสำหรับ 6 คน จะพาคุณและเพื่อนร่วมแก๊งค์ ดิ่ง! เหวี่ยง! สู่อุโมงค์ยักษ์ด้วยความเร็วกว่า 45 กม./ชม.!!

  2. Boomerango (บูมเมอร์แรงโก้) : สไลเดอร์ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยที่จะพาคุณและผองเพื่อนทั้ง 6 คนสไลด์ด้วยความเร็วก่อนจะเหวี่ยงขึ้นสูงสุดกว่า 20 เมตรด้วยความเร็วกว่า 45 กม./ชม. ในองศาเกือบตั้งฉากกับพื้นก่อนจะดิ่งสู่พื้นน้ำเบื้องล่างด้วยความหวาดเสียวสนุกมันแบบพร้อมหน้า

  3. AquaCourse (อควาคอร์ส) : เครื่องเล่นแห่งแรกของประเทศไทยที่จะเปิดประสบการณ์ความสนุก ท้าทายให้คุณสามารถตอบโต้กับผู้เล่นคนอื่นได้พร้อมกันทุกเพศทุกวัย โดยคุณสามารถเพิ่มระดับการผจญภัยได้ด้วยตัวเอง ทดสอบทักษะการทรงตัวบนเส้นทางแห่งการผจญภัย ท้าทายด้วยสิ่งกีดขวาง และปืนฉีดน้ำที่ยิงโต้ตอบกับผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามเพื่อความสนุกตื่นเต้นเร้าใจให้เกมของคุณสนุกและมันยิ่งขึ้น

  4. Freefall (ฟรีฟอลล์) : หากคุณใจถึง ต้องห้ามพลาดกับการสไลด์ดิ่งด้วยความเร็วสูงกับ “ฟรีฟอล” สไลเดอร์ที่กระตุ้นต่อมอะดรีนาลีนให้พุ่งสูงสุด ด้วยการดิ่งสู่พื้นด้วยความเร็วมากกว่า 60 กม./ชม.

  5. AquaLoop (อควาลูป) : สไลเดอร์แห่งแรกของประเทศไทยที่จะพาคุณสไลด์เหวี่ยงหมุน 360 องศา ท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลก ตื่นเต้นแทบลืมหายใจเมื่อพื้นเปิดสไลด์ดิ่ง เหวี่ยงหมุน 360 องศาด้วยความเร็วสูงสุดมากกว่า 60 กม./ชม. สู่พื้นเบื้องล่าง

  6. Inner-Tube (อินเนอร์ทูป) : สไลเดอร์สำหรับทุกครอบครัวที่จะพาคุณและคู่หูบนห่วงยางคู่ สไลด์ไหลตีโค้งวนลงสู่พื้นน้ำเบื้องล่าง เรียกความตื่นเต้นเสียวว๊าบด้วยความเร็ว 25 กม./ชม.

  7. Rattler (แรทเลอร์) : เครื่องเล่นสำหรับผู้ที่ชอบการสไลด์ไหลตามท่อ ด้วยความสูงกว่า 13 เมตร และความเร็วมากกว่า 25 กม. /ชม. เครื่องเล่นนี้จะพาคุณเสียวว๊าบไปมาในโพรงยักษ์ กระตุ้นความตื่นเต้นถึงขีดสุด ก่อนลงสู่พื้นน้ำเบื้องล่างพร้อมกับผองเพื่อนและครอบครัว

  8. Super Bowl (ซุปเปอร์โบวล์) : ผู้ที่ชื่นชอบการสไลด์บนห่วงยางพร้อมคู่หู ห้ามพลาดที่จะเล่นซุปเปอร์โบวล์ สไลเดอร์ที่จะทำให้คุณหัวใจเต้นแรงเมื่อสไลด์ดิ่งและไต่ขอบไหลวนลงสู่ชามยักษ์สู่สระน้ำเบื้องล่างด้วยความเร็ว 18-50 กม./ชม.

  9. Master Blaster (มาสเตอร์บลาสเตอร์) : สไลเดอร์ที่จะพาคุณสไลด์ดิ่ง ขึ้นลง และลดเลี้ยวไปตามแรงเคลื่อนที่ของตัวคุณและผองเพื่อนด้วยความเร็ว 45 กม./ ชม. ให้ทุกคนได้สนุกตื่นเต้นกันตั้งแต่ต้นทางจนสุดปลายทาง

  1. RainFortress (เรนฟอร์เทรส) : ศูนย์รวมความสนุกของเด็กๆ ที่รวม 7 สไลเดอร์เข้าไว้ด้วยกันในเครื่องเล่นเดียว โดยเด็กๆ จะตื่นเต้นเมื่อเสียงระฆังดังขึ้น และเตรียมกรูกันเข้าสู่ใจกลางเครื่องเล่นรอถังน้ำขนาดใหญ่ยักษ์เทน้ำสาดลงมาสู่ร่างกาย และหลายๆ ครั้งก็ถึงกับมีคนที่ต้องเสียหลักล้มเพราะความแรงของมัน!!

  2. Kiddie Cove (คิดดี้โคฟ) : สระว่ายน้ำสำหรับเด็กที่มีน้ำพุ เครื่องเล่นและสไลเดอร์ขนาดย่อม เพื่อให้เด็กๆ และครอบครัวสามารถเล่นน้ำกันได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัย

  3. Infinity Pool (สระอินฟินิตี้) : เพียงแหวกว่ายเข้าสู่บาร์ในสายน้ำ คุณก็จะสามารถเพลิดเพลินไปกับเครื่องดื่มเย็นๆ ฉ่ำใจจากฟิชเชอร์แมนส์ทาร์เวิร์น พร้อมดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพอันน่าประทับใจของวานา นาวาฟอลล์

  4. Coconut Beach (โคโคนัทบีช) : สระคลื่นเทียมขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 1,600 ตารางเมตร แห่งเดียวของประเทศไทยที่ใช้ทรายจริงโอบรอบสระน้ำ อีกทั้งยังสามารถสร้างคลื่นน้ำให้สูงได้หลายระดับ ตั้งแต่คลื่นเล็กๆ ซัดชายหาดเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการพักผ่อน จนถึงการสร้างคลื่นยักษ์ให้ทุกคนได้สนุกสนานกันสุดใจ โดยบริเวณรอบโคโคนัทบีชจะมีคาบาน่า บีชฮัท และศาลาบริการนวดไทย ไว้บริการเพื่อให้ทุกคนได้นอนพักผ่อน และเพลิดเพลินไปกับการแสดงบนเวทีริมหาด

  5. Vana Nava Falls (วานา นาวาฟอลล์) : น้ำตกจำลองที่สูงที่สุดในเอเชีย โดยมีความสูงมากกว่า 31 เมตร น้ำตกนี้จะทำให้ทุกคนทึ่งไปพร้อมกับการสร้างความสดชื่นไปทั่วสวนน้ำ โดยภายใต้น้ำตกแห่งนี้จะมีถ้ำน้ำตกที่จะพาคุณเชื่อมสู่การพักผ่อนสุดชิลล์ริมหาดทรายที่โคโคนัทบีชอีกด้วย

  6. Lazy River (เลซี่ริเวอร์) : สายน้ำแห่งการผ่อนคลายที่ยาวที่สุดในประเทศไทยโดยมีความยาวมากกว่า 345 เมตร สายน้ำแห่งนี้จะทอดยาวลดเลี้ยวผ่านถ้ำน้ำตก สะพาน ให้คุณได้ล่องลอยและผ่อนคลายไปกับการชมบรรยากาศของสวนน้ำป่าเขตร้อนและสไลเดอร์ระดับโลกทั่วสวนน้ำวานา นาวา อย่างมีความสุข

  7. Vana Wonderland (วานา วันเดอร์แลนด์) : เปิดประตูสู่พื้นที่แห่งความสนุก “วานา วันเดอร์แลนด์” บนพื้นที่กว่า 550 ตร.ม. ที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นหลากสีสันกว่า 10 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นสไลเดอร์ปลาหมึกยักษ์ หรือเครื่องเล่นอื่นๆ ที่คอยฉีดพ่นน้ำเพื่อเรียกเสียงหัวเราะให้กับเด็กๆ และทุกคนในครอบครัวที่ได้มาใช้เวลาแห่งความสนุกร่วมกัน ณ พื้นที่แห่งนี้

  8. Chang Surf Zone (ช้างเซิร์ฟโซน) : เซิร์ฟมันส์เหนือผิวน้ำ! กับช้างเซิร์ฟโซน สถานที่โต้คลื่นจำลองแห่งใหม่ที่สามารถเซิร์ฟท้ากระแสน้ำทั้งเด็กและผู้ใหญ่พร้อมกัน 2 เลนในเวลาเดียวกัน

  9. Ropes Course (โรพคอร์ส) : กิจกรรมท้าวัดใจบนเส้นเชือกบนความสูงจากพื้นดินกว่า 13.4 เมตร ท้าทายให้ทุกคนที่รักการผจญภัยไต่ขึ้นสู่จุดที่สูงที่สุดของโรพคอร์ส นี่ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ผู้ที่รักการผจญภัยทุกเพศทุกวัยไม่ควรพลาด นอกจากนี้ยังเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับการแข่งขันและกิจกรรมสร้างความสามัคคีแบบหมู่คณะอีกด้วย

  10. Climbing Wall (หน้าผาจำลอง) : ท้าวัดกำลังกายใจ! กับหน้าผาจำลอง กิจกรรมผจญภัยปีนป่ายบนหน้าผาสูงกว่า 12.2 เมตร กิจกรรมผจญภัยกลางแจ้งที่สนุกได้ทุกเพศทุกวัย รวมถึงเด็กๆ ก็สามารถร่วมสนุกท้าทายความสูง ทดสอบสมรรถภาพความแข็งแรงของกายใจได้ทุกวัน

  11. Vanadio (วานาดิโอ) : สตูดิโอใต้น้ำระดับมืออาชีพแห่งแรกของประเทศไทย โดยช่างภาพมืออาชีพจากแคนนอน พร้อมทั้งเสื้อผ้าหลากหลายแบบและบรรยากาศโลกใต้น้ำที่เหนือจินตนาการ

หมายเหตุ : สำหรับคนที่ต้องการเล่น Rope Course (โรพคอร์ส) และ Climbing Wall (หน้าผาจำลอง) จะต้องมีการเตรียมรองเท้าผ้าใบเข้าไปในสวนน้ำเองด้วยนะครับ

เอาล่ะ รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องเล่นต่างๆ ภายในสวนน้ำวานา นาวา หัวหินแล้ว คราวนี้เราไปดูดีกว่าว่าที่ตั้งและราคาบัตรผ่านประตูของที่นี่เป็นยังไงบ้าง หลายๆ คนจะได้ตัดสินใจถูกว่าจะไปเที่ยวที่นี่ดีมั้ยครับ

สำหรับที่ตั้งของสวนน้ำวานา นาวา หัวหินนั้น จะอยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงแรม Holiday Inn Vana Nava Hua Hin (ฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน) เลย โดยเราสามารถตาม Google Map หรือแผนที่ด้านล่างนี้ไปได้เลยครับ รับรองว่าไม่มีหลงแน่ๆ

ส่วนเวลาเปิดปิดและราคาบัตรค่าเข้า ณ วันที่ 8 มิ.ย. 61 ก็ตามนี้เลยครับ

เวลาเปิด-ปิด : 10.00 น. – 18.00 น.

วันที่เปิดบริการ : ทุกวัน

ราคาผู้ใหญ่ : 1,200 บาท/คน

ราคาเด็กและผู้สูงอายุ : 800 บาท/คน

ค่าเช่าล็อคเกอร์ : 150 บาท/วัน/ตู้

ค่าเช่าผ้าเช็ดตัว : 100 บาท/วัน/ผืน (เราสามารถนำผ้าเช็ดตัวส่วนตัวเข้าไปเองได้)

หมายเหตุ : บัตรผ่านประตูสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน จะเป็นบัตรที่เราสามารถผ่านเข้าออกประตูสวนน้ำกี่ครั้งก็ได้ใน 1 วัน และเราสามารถเล่นทุกเครื่องเล่นภายในสวนน้ำได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว โดยบัตรผ่านประตูนี้จะยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเรื่องของการเช่าล็อคเกอร์, ผ้าเช็ดตัว หรือการกินอาหารต่างๆ ภายในสวนน้ำ หากใครต้องการซื้อบัตรผ่านประตูที่รวมค่าอาหารกลางวันหรือเย็นด้วยก็สามารถดูราคาได้ตามภาพด้านล่างได้เลยครับ

หลังจากที่ได้เห็นราคาบัตรผ่านประตูกันไปแล้ว ผมเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเกิดอาการลังเลว่าจะไปหรือไม่ไปดี เพราะราคาบัตรค่าเข้าต่อคนก็ถือว่าสูงพอควรเหมือนกัน นอกจากนี้ก็ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก ดังนั้นผมก็เลยมีเคล็ดลับดีๆ ที่จะมาบอกทุกคน เคล็ดลับที่จะทำให้คุณจ่ายเงินค่าบัตรผ่านประตูน้อยลงครับ

เคล็ดลับที่ 1 : เข้าพักที่โรงแรม Holiday Inn Vana Nava Hua Hin (ฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน) โดยสำหรับผู้ที่เข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้เพียงแค่ 1 คืน ก็จะสามารถเข้าสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน ได้ฟรี 2 คน เป็นเวลา 2 วัน คือ ทั้งวัน Check in และวัน Check out ซึ่งถ้าเราไปกัน 2 คนและใช้สิทธิ์เข้าสวนน้ำทั้ง 2 วัน เราก็จะประหยัดเงินค่าบัตรผ่านประตูไป 4,800 บาทเลยครับ!! และผมอยากจะบอกว่าค่าโรงแรม Holiday Inn Vana Nava Hua Hin 1 คืน แบบรวมอาหารเช้า 2 คนแล้ว ราคาบางช่วงอยู่เพียง 4,000 ต้นๆ เท่านั้น ซึ่งถูกกว่าเราซื้อบัตรเข้าสวนน้ำ 2 คน 2 วันอีก แถมยังได้นอนห้องพักดีๆ มีอาหารเช้าดีๆ กินอีกครับ…..บอกเลยว่าโคตรคุ้ม!!!

เคล็ดลับที่ 2 : เข้าพักที่โรงแรมอื่นๆ ที่มีโปรโมชั่นกับทางสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน เช่น Riche Hua Hin Hotel ซอยหัวหิน 12 ที่มีโปรโมชั่นกับแขกที่เข้าพักว่าจะสามารถซื้อบัตรค่าเข้าสวนน้ำได้ในราคาเพียง 950 บาท/คน จากราคาปกติ 1,200 บาท/คน ใครที่ไปกัน 2 คน ก็ประหยัดเงินกันไปได้ 500 บาทแล้วครับ ใครที่มีแผนจะไปเที่ยวสวนน้ำนาวา วานา หัวหิน แต่ไม่อยากพักที่ Holiday Inn Vana Nava Hua Hin ก็ลองเช็คกับโรงแรมอื่นๆ ดูนะครับว่ามีโปรโมชั่นซื้อบัตรค่าเข้าราคาพิเศษหรือเปล่า หากโรงแรมไหนมีก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการเข้าพักครับ ^^

เคล็ดลับที่ 3 : สอบถามโปรโมชั่นต่างๆ กับทางสวนน้ำ โดยโปรโมชั่นต่างๆ จะมีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และบางช่วงก็อาจจะไม่มีครับ แต่ทั้งนี้เพื่อความประหยัดของเรา ก่อนที่เราจะตัดสินใจไปเราควรสอบถามเค้าให้เรียบร้อยก่อน โดยเราสามารถสอบถามได้ทั้งทาง Facebook Fanpage Vana Nava Water Jungle หรือที่เบอร์โทร 032-909606 ได้เลยครับ

และไหนๆ เราก็พูดถึงเรื่องโรงแรมกันแล้ว ผมก็ขออนุญาตพูดเกี่ยวกับเรื่องโรงแรมที่ผมได้เข้าพักในทริปนี้ พร้อมจุดเด่นคร่าวๆ ต่อเลยแล้วกันนะครับ พอจบแล้วเราจะได้คุยกันเรื่องสวนน้ำกันต่อยาวๆ เลย


โรงแรม Holiday Inn Vana Nava Hua Hin

  • ทำเลที่ตั้งอยู่ติดกับสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน สามารถเดินไปเล่นสวนน้ำได้อย่างสบายๆ และหากเหนื่อยเมื่อไหร่ก็สามารถเดินกลับมาพักผ่อนที่ห้องได้อย่างชิลๆ

  • แขกของโรงแรมสามารถเข้าสวนน้ำได้ฟรี ห้องละ 2 คน โดยสามารถเข้าสวนน้ำได้ทุกวันตราบเท่าที่เรายังพักอยู่ที่โรงแรม รวมไปถึงสามารถใช้สิทธิ์นี้ในวันที่เราพึ่งทำการ Check in หรือวันที่เรา Check out แล้วก็ได้

  • ในช่วงที่เราเข้าพักอยู่ที่โรงแรม เราจะได้สายรัดข้อมือ (Wristband) ของทางโรงแรมมา ซึ่งสายรัดนี้จะสามารถเข้าออกสวนน้ำผ่านประตูทางเข้าพิเศษที่อยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมได้ทุกวัน

  • ในกรณีที่ยังไม่ถึงเวลา Check in หรือกรณีที่เรา Check out ออกไปแล้ว แต่เรายังมีความประสงค์จะเข้าสวนน้ำในวันดังกล่าว ทางโรงแรมจะออก Ticket พิเศษมาให้เรา เพื่อให้เรานำไปแลกเป็น Wristband ของสวนน้ำซึ่งจะสามารถผ่านเข้าออกสวนน้ำในวันดังกล่าวได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว

  • แขกของโรงแรมจะได้รับสิทธิ์ใช้ล็อคเกอร์และผ้าเช็ดตัวฟรี โดยที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเช่าเหมือนกับบุคคลทั่วไป ยกเว้นหากเรายังไม่ได้ Check in หรือทำการ Check out ออกมาจากโรงแรมเรียบร้อยแล้ว เราจะได้รับแค่ผ้าเช็ดตัวเท่านั้น ส่วนตู้ล็อคเกอร์จะต้องเสียเงินค่าเช่าเพิ่มที่ 150 บาท/วัน/ตู้

  • เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่มี Facilities ทุกอย่างครบครันมาก ตั้งแต่สระว่ายน้ำชั้น Rooftop ที่บรรยากาศดีสุดๆ , สปา, ฟิตเนส, ซาวน่า, Kids Club, ห้องอาหาร รวมไปถึงการบริการของพนักงานที่ดีมาก พูดจาสุภาพ บริการรวดเร็ว และมีรอยยิ้มให้เสมอๆ

  • อาหารเช้าหลากหลาย และมีคุณภาพกับรสชาติที่ดี

  • ห้องพักกว้างขาง สะอาด บรรยากาศดี ที่นอนนุ่ม และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน

  • ราคาห้องจะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทห้องที่เราพัก รวมถึงวันที่เราเข้าพัก แต่จากที่ผมเคยเช็คราคาพบว่าห้องแบบ Standard Room Mountain View มีราคาเพียง 4,100 บาท/คืนเท่านั้นเองครับ แถมราคานี้ยังรวมอาหารเช้าสำหรับ 2 คนแล้วอีกด้วย เรียกว่าเป็นราคาที่คุ้มค่ามากๆ สำหรับคนที่ต้องการเล่นสวนน้ำ 2 วัน

จองที่พัก Holiday Inn Vana Nava Hua Hin ราคาพิเศษผ่าน Agoda คลิกที่นี่

อ่านรีวิวฉบับเต็มของโรงแรม Holiday Inn Vana Nava Hua Hin คลิกที่นี่

Fanpage : Holiday Inn Vana Nava Hua Hin

Tel. : 032-809999

โรงแรม Riche Hua Hin Hotel (ริชเช่ หัวหิน)

  • เป็นโรงแรม 3 ดาว ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบถ้วน สำหรับการเข้าพัก 1 คืน

  • โรงแรมไม่ได้หรูหรามาก แต่ห้องพักกว้าง สะอาด ที่จอดรถเยอะพอควร มีสระว่ายน้ำ และมีรถ Shuttle Bus บริการรับส่งไปทะเลหรือตลาดหัวหินฟรี

  • โรงแรมอยู่ติดกับถนนใหญ่ ใกล้ๆ กับซอยหัวหิน 12 สามารถมองเห็นโรงแรมได้อย่างชัดเจน

  • โรงแรมอยู่ห่างจากสวนน้ำนาวา วานา หัวหินประมาณ 11 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที

  • มีโปรโมชั่นพิเศษกับทางสวนน้ำ โดยแขกที่เข้าพักที่โรงแรมจะได้รับสิทธิ์ซื้อบัตรค่าเข้าสวนน้ำในราคาพิเศษ 950 บาท/คน จากปกติราคา 1,200 บาท/คน (โปรดสอบถามรายละเอียดกับทางโรงแรมอีกครั้งก่อนจอง)

  • ราคาห้องจะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทห้องที่เราพัก รวมถึงวันที่เราเข้าพัก แต่จากที่ผมเคยเช็คราคาพบว่าห้องแบบ Superior Room (ไม่รวมอาหารเช้า) มีราคาเพียง 850-900 บาท/คืนเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาที่ผมว่าถูกและคุ้มค่ามากสำหรับโรงแรมนี้ครับ ใครที่กำลังมองหาโรงแรมราคาประหยัด ห้องพักโอเค เดินทางสะดวก สามารถดูที่นี่เป็นตัวเลือกได้เลย

จองที่พัก Riche Hua Hin Hotel ราคาพิเศษผ่าน Agoda คลิกที่นี่

หรือสามารถสอบถามข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่

Fanpage : Riche Hua Hin Hotel

Tel. : 032-520887

เอาล่ะ คราวนี้เรากลับมาที่สวนน้ำวานา นาวา หัวหินของเรากันต่อดีกว่าครับ หลังจากที่เราซื้อบัตรผ่านประตูเรียบร้อยแล้ว เราจะได้สายรัดข้อมือหรือ Wristband มา ซึ่งสายรัดข้อมือนี้จะมีความสำคัญกับเรามากเมื่อเราอยู่ในสวนน้ำแห่งนี้ เพราะสายรัดนี้จะใช้สำหรับการผ่านเข้าออกประตูสวนน้ำ, ใช้เปิดปิดล็อคเกอร์, จองรูปถ่าย รวมไปใช้ซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มภายในสวนน้ำ โดย 99% ของร้านในสวนน้ำจะรับเงินผ่าน RFID หรือหักเงินผ่าน Wristband เท่านั้น หากใครต้องการจะซื้ออะไรก็ให้เติมเงินเข้าไปใน Wristband เผื่อไว้ก่อน ถ้าไม่ได้ใช้เราก็ค่อยแลกเป็นเงินคืนตอนที่เราออกจากสวนน้ำก็ได้ครับ

สำหรับประตูทางเข้าและล็อกเกอร์ของแขกที่เข้าพักในโรงแรม Holiday Inn Vana Nava Hua Hin กับบุคคลทั่วไปนั้นจะอยู่กันคนละที่และมีหน้าตาที่ไม่เหมือนกันนะครับ โดยภาพนี้จะเป็นประตูทางเข้าและล็อคเกอร์ของแขกที่เข้าพักในโรงแรมครับ จำนวนล็อคเกอร์จะมีน้อยกว่า ส่วนตำแหน่งนั้นจะอยู่ใกล้ๆ กับประตูทางเข้าจากฝั่งโรงแรมเลย

ส่วนนี่จะเป็นประตูทางเข้าของบุคคลทั่วไป จะมีแถวให้ต่อคิวซื้อบัตร และบอกข้อมูลคร่าวๆ ว่าเครื่องเล่นอะไรจำกัดความสูงที่เท่าไหร่บ้าง

โดยเมื่อบุคคลทั่วไปซื้อบัตรเข้าสวนน้ำเรียบร้อยแล้วก็จะต้องเดินผ่าน Souvenir Shop ทุกครั้งที่เข้าออก ใครที่อยากได้อะไร หรือขาดเหลืออุปกรณ์อะไรก็ไปจับจ่ายใช้สอยที่นี่ได้เลยครับ รวมไปถึงคนที่มีการถ่ายรูปภายในสวนน้ำแห่งนี้และอยากได้รูปตัวเองกลับไปเป็นที่ระลึกก็สามารถมาดูรูปได้ที่นี่เช่นเดียวกัน

เมื่อเราเดินผ่าน Souvenir Shop เรียบร้อย เราก็จะเข้าสู่พื้นที่สวนน้ำวานา นาวา หัวหินกันซักที โดยหากใครที่คิดว่าตัวเองพร้อมแล้วก็สามารถเดินไปเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ภายในสวนน้ำได้เลย แต่สำหรับใครที่ยังไม่พร้อม อยากจะแต่งตัวอะไรซักหน่อยก็ให้เดินเลี้ยวซ้ายไปและเดี๋ยวเราก็จะเจอกับห้อง Locker, ห้องเปลี่ยนชุด และห้องอาบน้ำครับ

โดยล็อคเกอร์ของที่นี่นั้นมีจำนวนที่เยอะมากเลยครับ ดังนั้นผมเลยคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องล็อคเกอร์เต็ม ส่วนวิธีการใช้งานล็อคเกอร์นั้นก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่เราทำตามขั้นตอนนี้เท่านั้นเองครับ

  1. บอกเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ตอนที่เราซื้อบัตรเข้าสวนน้ำว่าเราอยากจะเช่าล็อคเกอร์ด้วย จากนั้นเค้าก็จะทำการเก็บเงินเราไป 150 บาท และทำการสแกน Wristband เราเพื่อให้เรามีสิทธิ์ใช้ล็อคเกอร์

  2. เมื่อเรามาถึงบริเวณตู้ล็อคเกอร์ก็ให้เราเดินไปดูที่จอแต่ละโซนว่ามีตู้ว่างอยู่มั้ย หากมีตู้ว่างอยู่ก็ให้กดคำว่าจองล็อคเกอร์และเอาสายรัดข้อมือของเราไปแสกนที่แถบด้านล่าง

  3. เลือกหมายเลขตู้ที่เราต้องการ โดยตู้ล็อคเกอร์ที่ว่างอยู่จะเป็นตัวเลขสีขาว ส่วนตัวเลขสีแดงจะเป็นตู้ล็อคเกอร์ที่มีคนใช้งานอยู่ในขณะนั้น

  4. ประตูตู้ล็อคเกอร์ที่เราเลือกจะเปิดออก จากนั้นก็ให้เราใส่ของต่างๆ ลงไป และเมื่อเราทำการปิดประตูตู้ ตู้ลอคเกอร์จะถูกล็อคเองโดยอัตโนมัติ

  5. หากเราต้องการเปิดตู้ล็อคเกอร์ก็เพียงแค่กดคำว่าเปิดตู้ที่บริเวณหน้าจอ จากนั้นก็เอา Wristband ไปสแกนที่แถบด้านล่าง ประตูตู้ล็อคเกอร์ที่เราเลือกใช้งานอยู่ก็จะเปิดโดยอัตโนมัติ โดยตราบใดที่เรายังไม่คืนตู้ เราจะสามารถเปิดปิดตู้กี่ครั้งก็ได้ในหนึ่งวัน

  6. สำหรับวิธีการคืนตู้ก็เพียงกดคำว่าคืนตู้บริเวณหน้าจอ จากนั้นก็เอา Wristband ไปสแกนที่แถบด้านล่าง เพียงเท่านี้เราก็จะทำการคืนตู้ดังกล่าว และจะไม่สามารถใช้ล็อคเกอร์นั้นได้อีกครับ

ส่วนใครที่ต้องการใช้ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้านั้น ผมบอกเลยห้องน้ำของที่นี่นั้นดีเลยครับ มีการแยกห้องอาบน้ำและสุขาอย่างชัดเจน โดยห้องอาบน้ำจะมีการแยกส่วนเปียกส่วนแห้งออกจากกัน รวมถึงมีที่แขวนถุงและเสื้อผ้าให้เราถึง 2-3 จุด ทำให้เราสะดวกในการเปลี่ยนเสื้อผ้ามากๆ นอกจากนี้ก็ยังมีแชมพูและครีมอาบน้ำบริการฟรี ส่วนใครที่อาบน้ำเสร็จแล้วต้องการเป่าผมให้แห้ง เค้าก็มีไดร์เป่าผมบริการ เพียงแต่จำนวนไดร์ที่มีอาจจะไม่ได้มากนัก ดังนั้นในบางจังหวะเราก็อาจจะต้องรอคิวหน่อยครับ

เปลี่ยนชุดกันเสร็จแล้ว คราวนี้เราไปตะลุยสวนน้ำกันดีกว่าครับ โดยเพื่อไม่ให้บทความนี้ยาวเกินไป ผมจึงขอสรุปเรื่องที่น่าสนใจภายในสวนน้ำแห่งนี้ไว้ตามนี้เลยนะครับ

  • ภายในสวนน้ำนาวา วานา หัวหิน จะมีเครื่องเล่นทั้งหมด 18 เครื่องเล่น พร้อมกับ 2 จุดที่น่าสนใจ โดย 2 จุดที่น่าสนใจนั้นก็ได้แก่ สตูดิโอถ่ายรูปใต้น้ำ Vanadio ที่เราต้องเสียเงินเพิ่ม กับ Vana Nava Falls น้ำตกจำลองขนาดใหญ่ยักษ์สูงกว่า 31 เมตร ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางสวนน้ำ

  • เครื่องเล่นทั้ง 18 เครื่องเล่นจะกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ และไม่ได้มีการแยกโซนชัดเจนว่าอันไหนเป็นโซนครอบครัว อันไหนเป็นโซนเครื่องเล่นเด็ก หรืออันไหนเป็นโซนสำหรับผู้ใหญ่ เพียงแต่ทุกๆ เครื่องเล่นจะมีป้ายบอกรายละเอียดรวมถึงข้อกำหนดของเครื่องเล่นนั้นๆ อย่างชัดเจนว่ามีข้อบังคับอะไรบ้าง ซึ่งผมแนะนำว่าให้เราอ่านก่อนที่จะเข้าไปเล่นในแต่ละเครื่องจะดีมากๆ ครับ

  • จำนวนคนในสวนน้ำในวันธรรมดาและวันเสาร์อาทิตย์จะแตกต่างกันพอควรครับ โดยวันแรกที่ผมไปคือวันศุกร์นั้น คนน้อยมาก ผมใช้เวลาอยู่ในสวนน้ำเพียงแค่ 2 ชั่วโมงก็สามารถเก็บเครื่องเล่นประเภทสไลเดอร์ได้เกือบครบ เพราะแต่ละเครื่องเล่นไม่ต้องต่อคิวเลย แต่สำหรับการกลับไปเข้าไปเล่นอีกครั้งในวันเสาร์ก็พบว่ามีคนเยอะกว่าพอควร หลายๆ เครื่องเล่นต้องเสียเวลาต่อคิวมากกว่า 15 นาที ดังนั้นใครที่ได้มีโอกาสไปวันธรรมดาก็น่าจะสนุกและฟินกว่าพอควรเลย

  • แต่ละเครื่องเล่นจะมีเจ้าหน้าที่ของสวนน้ำประจำอยู่ตลอด เพื่อดูแลความปลอดภัยและคอยดูว่ามีผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของเครื่องเล่นนั้นๆ หรือเปล่า ซึ่งผมประทับใจในการดูแลของเจ้าหน้าที่แต่ละจุดมากๆ นะครับ เจ้าหน้าที่แต่ละคนอัธยาศัยดี พูดจาสุภาพ รวมทั้งคอยช่วยเหลือในทุกๆ เรื่องได้เป็นอย่างดี

  • เนื่องจากหลายๆ เครื่องเล่นมีความหวาดเสียวมาก รวมทั้งมีข้อกำหนดในเรื่องของน้ำหนัก, ส่วนสูง และสุขภาพของผู้เล่น ซึ่งเจ้าหน้าที่จะคอยตรวจสอบผู้เล่นอยู่เป็นระยะๆ รวมทั้งมีการสอบถามเกี่ยวกับโรคประจำตัวต่างๆ ของเราด้วย ดังนั้นหากใครที่มีโรคประจำตัวอย่างความดันสูง, โรคหัวใจ หรือโรคอื่นๆ ที่อาจจะไม่เหมาะกับการเล่นกิจกรรมที่หวาดเสียวก็ควรจะตอบเจ้าหน้าที่ไปตามตรง และไม่ควรโกรธเจ้าหน้าที่ในกรณีที่เค้าห้ามเราเล่นเครื่องเล่นนั้นๆ นะครับ

  • ในหลายๆ เครื่องเล่นที่เป็นสไลเดอร์นั้นจะมีเจ้าหน้าที่คอยประจำจุดทั้งบริเวณด้านบนและด้านล่าง เพื่อคอยตรวจสอบให้แน่ใจว่าจะมีคนเล่นทีละคน หรือทีละชุดเท่านั้น หากผู้เล่นยังไม่มีการออกจากสไลเดอร์ที่ปลายทางออกด้านล่าง ทางเจ้าหน้าที่จะไม่มีการอนุญาตให้ผู้เล่นชุดใหม่ลงไปโดยเด็ดขาด ซึ่งจากที่ผมได้มีโอกาสสังเกตการทำงานของเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 วัน ผมคิดว่าเค้ามีระบบการทำงานที่ดีและปลอดภัยมากนะครับ ทั้งจำนวนคน, ระบบป้ายแจ้งสถานะความพร้อม, การใช้วิทยุ และการกันไม่ให้ผู้เล่นลงเล่นเมื่อสภาพเครื่องเล่นยังไม่พร้อม

  • การบันทึกภาพและวีดีโอภายในสวนน้ำกรณีที่เราไม่ได้อยู่ในเครื่องเล่นนั้นเราสามารถทำได้อย่างอิสระเลย เพียงแต่เราต้องพึงระวังว่าจะไม่ไปรบกวนสิทธิ์หรือขอบเขตของผู้อื่นที่ไปใช้บริการพร้อมกับเรานะครับ

  • การบันทึกภาพหรือวีดีโอกรณีที่เราเล่นเครื่องเล่นต่างๆ จะทำได้เพียงบางเครื่องเล่นเท่านั้น โดยบางเครื่องเล่น เช่น AquaLoop หรือ Freefall จะไม่อนุญาตให้เราติดอุปกรณ์บันทึกภาพใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนเครื่องเล่นอื่นๆ ที่มีความหวาดเสียวน้อยลงมาหน่อยจะอนุญาตให้ติดกล้องได้ 2 ที่ คือบริเวณสายรัดอก และบริเวณสายรัดข้อมือที่มีความแข็งแรง โดยทางเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้บันทึกภาพโดยการติดกล้องที่สายคาดหัว, ไม้เซลฟี่ หรือการถืออุปกรณ์ต่างๆ ด้วยมือเปล่าโดยเด็ดขาด หากใครต้องการจะบันทึกภาพขณะเล่นก็ให้เตรียมตัวและอุปกรณ์ไปดีๆ นะครับ

  • เครื่องเล่นที่เป็นสไลเดอร์จากที่สูงจะมีทั้งหมด 8 ชนิด ได้แก่ AquaLoop, Freefall, Rattler, Inner-Tube, Super Bowl, Master Blaster, Abyss และ Boomerango โดยเครื่องเล่นเหล่านี้เราจะต้องทำการเดินขึ้นไปบนหอคอยที่สูงประมาณตึก 6-7 ชั้นทุกครั้งก่อนที่จะทำการสไลเดอร์ลงมา ซึ่งหากใครที่ต้องการเล่นหลายรอบก็ให้คูณจำนวนขั้นที่เราต้องเดินขึ้นในวันนั้นไปได้เลยครับ และผมแนะนำว่าเราควรเตรียมร่างกายไปให้ดีๆ เพราะหลายๆ คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย พอเดินขึ้นไปเล่นซัก 5-6 รอบก็มีอาการปวดน่องจนไม่อยากเดินขึ้นแล้วครับ

  • ในบรรดาเครื่องเล่น 8 ชนิดที่เราต้องเดินขึ้นไปบนหอคอยสูงนั้น จะมีเครื่องเล่นอยู่ 4 ชนิดที่เราต้องถือห่วงยางขึ้นไปเองจากด้านล่าง ซึ่งได้แก่เครื่องเล่นที่ชื่อว่า Rattler, Inner-Tube, Super Bowl และ Master Blaster ใครที่อยากจะเล่นเครื่องเล่นเหล่านี้หลายรอบก็ต้องเตรียมกำลังแขนไปถือห่วงยางเพิ่มนอกเหนือจากกำลังขาที่ต้องเดินขึ้นหอคอยด้วยนะครับ

  • เครื่องเล่นอย่าง Rattler, Inner-Tube, Super Bowl และ Master Blaster นั้น จะมีการใช้ลักษณะของห่วงยางที่ต่างกัน ดังนั้นใครที่อยากจะเล่นเครื่องเล่นไหนก็ต้องศึกษาลักษณะของห่วงยางนั้นให้เข้าใจก่อนที่จะถือขึ้นไปบนหอคอย ไม่งั้นเดี๋ยวจะเสียเที่ยว ถือขึ้นไปแล้วอดเล่นเครื่องนั้นนะครับ โดยทางสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน จะมีการติดป้ายบอกไว้ว่าเครื่องเล่นไหนใช้ห่วงยางอะไร แต่หากเราไม่แน่ใจก็สามารถสอบถามกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณนั้นได้เลยครับ

  • ในความคิดเห็นของผม ผมคิดว่าเครื่องเล่นหรือสไลเดอร์ที่มีความหวาดเสียวมากที่สุด และไม่เหมาะกับคนที่ขี้กลัวมีทั้งหมด 3 เครื่องเล่น ได้แก่ AquaLoop, Freefall และ Boomerango ใครที่อยากจะเล่น 3 เครื่องเล่นนี้ ควรจะต้องมีการกล้าและชอบความท้าทายนิดนึงครับ และ 3 เครื่องเล่นนี้ถือเป็นเครื่องเล่นที่ผมชอบที่สุดในสวนน้ำแห่งนี้เลย

  • ส่วนสไลเดอร์อย่าง Rattler, Inner-Tube, Super Bowl, Master Blaster และ Abyss นั้น เป็นเครื่องเล่นที่ผมว่ามีความเสียวอยู่ในระดับกลางๆ สามารถเล่นได้ทุกเพศ ทุกวัย และไม่ได้บีบคั้นหัวใจหรือทำให้ต้องร้องกรี๊ดจนสุดเสียงมากครับ ใครที่ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเล่น 3 เครื่องเล่นอย่าง AquaLoop, Freefall และ Boomerango ได้หรือเปล่า ก็ลองเล่น 5 สไลเดอร์นี้ดูก่อนนะครับว่าไหวมั้ย ถ้าไหวก็ค่อยขยับไปเล่นที่ละตัว โดยเริ่มจาก Boomerango ไปที่ Freefall และจบที่ AquaLoop ซึ่งเป็นเครื่องเล่นที่ผมคิดว่ามีความเสียวมากที่สุดแล้วครับ

  • เครื่องเล่นอย่าง Abyss และ Boomerango นั้น จะมีการจำกัดน้ำหนักขั้นต่ำและน้ำหนักสูงสุดไว้ ดังนั้นก่อนที่เราจะเล่นทางเจ้าหน้าที่จะมีการชั่งน้ำหนักของกลุ่มเราก่อนทุกครั้ง โดยบางครั้งอาจจะต้องลดหรือเพิ่มจำนวนคนให้พอเหมาะกับน้ำหนักที่เค้ากำหนดไว้ แต่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4-6 คน ซึ่งหากใครต้องการจะเล่น 2 เครื่องเล่นนี้ให้มีความหวาดเสียวสุดๆ ก็ต้องพยายามทำให้น้ำหนักโดยรวมของกลุ่มใกล้เคียงกับ Maximum Weight ของเครื่องนั้นมากที่สุด เพราะมันจะทำให้ห่วงยางของเรามีการเหวี่ยงที่แรงและขึ้นสูงมากครับ

  • เครื่องเล่นอย่าง Inner-Tube, Super Bowl และ Master Blaster จะมีห่วงยางให้เราเลือกสองประเภท คือ แบบนั่งคนเดียว หรือแบบนั่งเป็นคู่ โดยกรณีที่เราเลือกใช้ห่วงยางแบบนั่งเป็นคู่นั้น เราต้องให้คนน้ำหนักเบานั่งด้านหน้าและให้หันด้านที่มีคำว่า Front ลงไปในเครื่องเล่นก่อนเสมอ

  • สำหรับใครที่ไม่ชอบความหวาดเสียว ก็จะมีเครื่องเล่นที่สนุกๆ สามารถเล่นได้ทั้งครอบครัวอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น RainFortress, Kiddie Cove, Vana Wonderland และ Aqua Course ใครที่มีลูกเล็กๆ อายุไม่เกิน 12 ขวบ น่าจะสนุกกับเครื่องเล่นเหล่านี้ครับ โดยเฉพาะ RainFortress ผมแนะนำเลยว่าสนุกมาก

  • แต่ถ้าใครเป็นสาย Adventure จ๋าๆ ชอบอะไรลุยๆ มันๆ ก็ต้องนี่เลยกับ 3 เครื่องเล่นอย่าง Ropes Course, Climbing Wall (หน้าผาจำลอง) และ Chang Surf Zone โดยใครที่จะเล่น Ropes Course และ Climbing Wall (หน้าผาจำลอง) จะต้องมีการเตรียมรองเท้าผ้าใบมาเองด้วย ส่วนใครที่จะเล่น Chang Surf Zone เราจะต้องทำการเซ็นเอกสารกับทางสวนน้ำก่อนว่า เรารับทราบว่ากิจกรรมที่เล่นนั้นมีความเสี่ยงสูง อาจจะเกิดอาการบาดเจ็บได้ และหากเกิดการบาดเจ็บขึ้นมาทางสวนน้ำจะไม่รับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใครที่อ่านแล้วรับได้กับเงื่อนไขก็เซ็นแล้วไปลองเล่นได้เลยครับ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี

  • ส่วนถ้าใครเป็นสายชิล หรืออยากจะพักผ่อนร่างกายหลังจากเล่นเครื่องเล่นต่างๆ มาอย่างเมามัน ก็ต้องไป 3 ที่นี้เลย Infinity Pool, Coconut Beach และ Lazy River โดย Infinity Pool จะเป็นบาร์ที่อยู่กลางน้ำ เป็นที่ให้เราได้นั่งพักชิมเครื่องดื่มอร่อยๆ เย็นๆ ส่วน Coconut Beach จะเป็นทะเลเทียมที่มีความกว้างใหญ่ และจะมีการสร้างคลื่นยักษ์ออกมาให้เราเล่นทุกๆ 10 นาที ส่วน Lazy River ก็คือสายน้ำแห่งความขี้เกียจที่จะให้เราได้นั่งลอยตัวไปบนห่วงยาง ลอยไปตามกระแสน้ำเรื่อยๆ เพื่อชมบรรยากาศที่สวยงามของสวนน้ำ พร้อมกับฟังเสียงของสรรพสัตว์ที่แอบซ่อนอยู่ในมุมซ่อนเร้น ทั้ง 3 ที่นี้ผมแนะนำเลยนะครับว่าใครอยากพักผ่อนชิลๆ ควรไปลองครับ

และก็มาถึงเรื่องสุดท้ายที่ผมจะไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือเรื่องอาหารการกินภายในสวนน้ำวานา นาวา หัวหินแห่งนี้ โดยภายในสวนน้ำจะมีอาหารให้บริการหลายอย่างทั้งอาหารจานเดียว, อาหารบุฟเฟ่ต์, ของทานเล่น, เครื่องดื่ม และไอศกรีม โดยจุดบริการของอาหารเหล่านี้จะกระจายตัวไปตามจุดต่างๆ ในสวนน้ำ และการที่เราจะสามารถซื้อได้นั้น เราจะต้องเติมเงินเข้าไปใน Wristband ของเราเสียก่อน ซึ่งผมว่ามันสะดวกและดีมากๆ เลยนะครับ เพราะเราไม่ต้องพกเงินให้วุ่นวาย ไม่ต้องกลัวเงินหาย ไม่ต้องกลัวเงินเปียก และที่สำคัญหากเราใช้ไม่หมดก็สามารถที่จะแลกคืนได้ครับ

ส่วนในเรื่องของราคานั้น ผมก็คิดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้นะครับ คือราคาอาจจะสูงกว่าร้านข้างนอกหน่อย แต่ก็ไม่ได้สูงกว่าเยอะมาก เรียกว่าเป็นราคาปกติสำหรับการเข้าไปในสวนสนุกและสวนน้ำต่างๆ ไม่ได้จ่ายเงินแล้วรู้สึกถูกขูดรีดขูดเนื้อจนเกินไป

อ้อ…หากใครอยากจะกินกาแฟก็สามารถที่จะไปกินที่ร้าน Amazon ได้นะครับ เพียงแต่เราจะต้องจ่ายเป็นเงินสด ไม่สามารถหักเงินผ่าน RFID ได้ โดยเราสามารถที่จะสั่งออเดอร์ผ่านช่องกระจกพิเศษที่ทาง Amazon เปิดไว้ให้สำหรับคนที่อยู่ภายในสวนน้ำก็ได้ หรือเราจะเดินออกไปทางประตูแล้วไปนั่งชิลๆ กินในร้านแล้วค่อยกลับมาในสวนน้ำใหม่ก็ได้ครับ

และตอนนี้ผมก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน ไปจนหมดแล้วครับ ใครที่ยังไม่เคยไปและลังเลอยู่ว่าจะไปดีมั้ยก็น่าจะมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้นแล้ว แต่ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพชัดขึ้นไปอีก ผมเลยเอาคลิปที่ผมถ่ายในสวนน้ำแห่งนี้มาฝากกัน 2 คลิปครับ ใครที่สนใจก็กดดูได้เลย และบอกเลยว่าโดยส่วนตัวแล้วผมประทับใจกับการไปที่นี่มาก และถ้ามีโอกาสก็คงจะกลับไปอีก

หลังจากที่ผมกับต๋งได้ใช้เวลาในสวนน้ำไป 2 วัน และได้กรีดร้องไปจนเสียงแทบแหบแห้ง วันที่ 3 ของทริปเราก็เลยตื่นกันค่อนข้างสาย และเมื่อพวกเราจัดการอาบน้ำแต่งตัว เก็บข้าวข้องต่างๆ เรียบร้อย พวกเราก็ออกเดินทางไปยังสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา จังหวัดราชบุรี โดยพวกเราใช้เวลาเดินทางจากหัวหินไปประมาณ 2 ชั่วโมงได้ครับ

เมื่อเราไปถึงเราก็คุยกับทางเจ้าหน้าที่และทำการลำเลียงของทั้งหมดบนรถเราลงไป ซึ่งจากที่ผมได้พูดคุยกับทางเจ้าหน้าที่ก่อนที่ผมจะมานั้น ทำให้ผมรู้ว่าสถานสงเคราะห์แห่งนี้กำลังขาดแคลนแพมเพิร์สเด็กขนาด XXL, น้ำยาถูพื้น, ยาสระผม และน้ำยาปรับผ้านุ่มอยู่ ผมกับเพื่อนๆ จึงได้รวบรวมเงินและไปซื้อของดังกล่าวรวมถึงของใช้อื่นๆ ที่ทางสถานสงเคราะห์ได้ใช้ รวมเป็นเงินทั้งหมด 12,722 บาทครับ

นี่คือโฉมหน้าของของทั้งหมดที่เรานำมาบริจาคครับ โดยส่วนหนึ่งเป็นของที่พวกเรานำเงินไปซื้อมา และอีกส่วนนึงมีคนบริจาคเป็นสิ่งของมาให้เพิ่มเติมด้วยครับ

ทั้งนี้ผมและต๋งต้องขอขอบพระคุณน้ำใจจากทุกๆ ท่านเป็นอย่างสูงเลยนะครับ เพราะเราก็ไม่คาดคิดว่าจะมีคนร่วมบริจาคกับเรามากมายขนาดนี้ มากจนถ้าเราซื้อของด้วยเงินทั้งหมดที่ได้รับมา เราคงจะขนมาให้สถานสงเคราะห์ไม่หมดแน่ๆ ดังนั้นพวกเราจึงได้บอกให้ทุกๆ คนที่ร่วมบริจาคทราบว่าเราจะนำเงินที่เหลือจากการซื้อของไปบริจาคให้กับสถานสงเคราะห์เพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นต่อไป โดยเงินก้อนนี้มียอดเงินสูงถึง 15,000 บาทเลยครับ T____T ผมซาบซึ้งในน้ำใจของทุกคนจริงๆ ครับ

สำหรับใครที่มีความประสงค์จะไปบริจาคสิ่งของแบบเรากับเพื่อนๆ ผมขออนุญาตให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานสงเคราะห์แห่งนี้เพิ่มเติมดังนี้นะครับ

สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา จ.ราชบุรี ตั้งอยู่ที่ ต.น้ำพุ ห่างจาก อ.เมืองราชบุรี ประมาณ 20 กิโลเมตร ปัจจุบันมีเด็กอยู่ในการดูแลทั้งหมด 182 คน โดยเป็นผู้ชายประมาณ 50 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561) อายุส่วนใหญ่ของเด็กจะอยู่ระหว่าง 7-18 ปี ส่วนสิ่งของที่ทางสถานสงเคราะห์ต้องการในแต่ละช่วงนั้นจะแตกต่างกันออกไป ดังนั้นผมจึงแนะนำว่าใครที่ต้องการจะเข้าไปบริจาคควรจะโทรสอบถามทางกับเจ้าหน้าที่ก่อนทุกครั้งว่าช่วงนั้นขาดอะไรบ้าง แต่ของที่เค้าใช้เยอะมากในทุกช่วงก็คือแพมเพิร์ส Size XXL โดยในรอบนี้ผมได้นำไปบริจาคประมาณ 700 ชิ้น ซึ่งทางสถานสงเคราะห์แจ้งว่าจำนวนขนาดนี้ใช้เพียงไม่กี่วันก็หมดแล้วครับ

ส่วนช่องทางการติดต่อสถานสงเคราะห์ที่สะดวกที่สุดก็คือหมายเลขโทรศัพท์ 092-7896687 นะครับ หากใครที่โทรไปที่หมายเลข 032-735041 หรือ 032-735042 แล้วพบว่าสายไม่ว่างก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะหมายเลขดังกล่าวมักจะมีปัญหา ทำให้ติดต่อไม่ได้ ทางเจ้าหน้าที่จึงอยากจะให้ติดต่อด้วยเบอร์มือถือมากกว่า ใครที่ต้องการจะบริจาคเงิน, สิ่งของ หรือเลี้ยงอาหารกลางวันน้องๆ ก็สามารถติดต่อไปได้เลย แต่ผมแนะนำว่าถ้าใครอยากเลี้ยงอาหารกลางวันน้องๆ ควรจะไปวันธรรมดามากกว่า เพราะวันหยุดเค้าจะมีคนจองคิวไว้พอสมควรแล้วครับ

และนี่ก็ถือเป็นการปิดทริปการเดินทาง 3 วัน 2 คืนของผมกับต๋งที่พวกเรารู้สึกสนุกสนานและอิ่มท้อง อิ่มใจมากๆ เพราะตลอด 3 วันนี้พวกเราได้ทำอะไรแบบที่พวกเราอยากทำจริงๆ ได้เล่น ได้เดินทาง ได้ไปค้นหาและเรียนรู้อะไรที่พวกเราไม่เคยได้ทำมาก่อน นอกจากนี้พวกเราก็ยังได้มีโอกาสทดลองขับรถดีๆ อย่าง Chevrolet Trailblazer Z71 อีกด้วย ใครที่สนใจรถคันนี้อยู่ก็ตามไปอ่านความเห็นของผมที่มีต่อรถคันนี้ได้เลย

จุดเด่นของ Chevrolet Trailblazer Z71

  1. เป็นรถเอนกประสงค์ที่มีดีไซน์สวยทั้งภายในและภายนอก ดูเรียบหรู และไม่น่าจะเชยง่าย

  2. ฟังก์ชั่นการปรับเบาะแถว 2 และแถว 3 ที่ทำให้เพิ่มพื้นที่การเก็บของได้เป็นอย่างมาก โดยการปรับเบาะแถว 2 สามารถปรับได้ถึง 2 แบบ ทำให้เราสามารถบรรจุของได้หลายรูปทรงจนไปถึงของชิ้นใหญ่ที่มีความยาวมากได้อย่างสบายๆ

  3. กุญแจรถอัจฉริยะที่สามารถสตาร์ทรถจากระยะไกลรวมทั้งสั่งให้แอร์ทำงานได้ล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยในสถานการณ์ที่เราจอดรถไว้กลางแดดได้เป็นอย่างดี กดใช้ฟังก์ชั่นนี้ปุ๊บ เดินมาถึงรถ แอร์ก็เย็นฉ่ำพร้อมออกเดินทางต่อทันที

  4. สามารถเลือกได้ว่าจะขับเคลื่อน 2 ล้อหรือ 4 ล้อ โดยหากเลือกขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ก็จะมีให้เลือกทั้งแบบ Hi และ Slow อีกด้วยครับ

  5. ระบบอัจฉริยะต่างๆ ที่ทำให้เราขับรถได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น เช่น เซนเซอร์ด้านหน้าและด้านหลังรถ, ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาบนกระจกมองข้างทั้ง 2 ด้าน, ระบบตรวจวัดและแจ้งเตือนลมยาง, ระบบช่วยเตือนเมื่อขับขี่ออกนอกช่องจราจร, ระบบช่วยการออกตัวเมื่ออยู่บนทางลาดชัด, ระบบช่วยลดแรงเวลาปิดประตูรถคู่หน้า, ที่ปรับน้ำฝนอัตโนมัติ ที่มีความฉลาด สามารถปรับความเร็วได้เหมาะสมกับปริมาณน้ำฝนในขณะนั้น, ระบบเปิดไฟรถอัตโนมัติเมื่อแสงน้อยหรือขับรถในเวลากลางคืน รวมไปจอขนาดใหญ่ที่สามารถทำงานได้หลากหลายทั้งฟังเพลง นาวิเกเตอร์ เชื่อมต่อบลูทูธกับโทรศัพท์ เป็นต้น

  6. พวงมาลัยรถที่ขับแล้วรู้สึกถึงความแม่นยำ และการที่มีฟังก์ชั่นต่างๆ บนพวงมาลัย ทำให้เราสามารถควบคุมการเปิดปิดเพลง, รับสายโทรศัพท์ได้ง่าย และไม่ต้องเอามือออกจากพวงมาลัย

  7. ประหยัดน้ำมัน โดยจากที่ผมขับรถไปทั้งหมดประมาณ 650 กิโลเมตร ผมใช้น้ำมันไปทั้งหมด 50 ลิตร หรือคิดเป็นอัตราการบริโภคน้ำมันที่ 13 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งเป็นอัตราที่ผมรับได้กับรถขนาดนี้ครับ

  8. อัตราการเร่งดี เวลาที่ต้องการเร่งความเร็วหรือแซงรถด้านหน้า สามารถตอบสนองได้รวดเร็ว ไม่เกิดอาการอืดชนิดที่ทำให้เราต้องคอยลุ้น

ซึ่งนอกจากจุดเด่นที่ผมพูดมา 8 ข้อนี้แล้ว Chevrolet Trailblazer Z71 ก็ยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจอีกมากมาย แต่ทั้งนี้การเลือกพิจารณาซื้อรถแต่ละคัน ผมว่ามันมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องมาก ทั้งราคา, ความชอบในด้านดีไซน์, ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบสนองการใช้งานของตัวเอง เป็นต้น ดังนั้นผมว่าคงจะดีกว่าถ้าเราจะไปทดลองขับหรือสัมผัสด้วยตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถแต่ละคัน ก็เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหารถเอนกประสงค์ลักษณะนี้อยู่ และเห็นว่าจุดเด่นของ Chevrolet Trailblazer Z71 ที่ผมพูดมานั้นน่าสนใจก็ลองไปดูตัวจริงที่โชว์รูม หรือไปขอเค้า Test Drive ได้เลยครับ

แต่หากใครที่ยังลังเลอยู่ว่าจะไปดูตัวจริงดีมั้ย หรืออยากรู้ข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับรถคันนี้ ก็ลองดูคลิป 2 คลิปข้างล่างนี้เพิ่มเติมก็ได้ครับ ผมได้ถ่ายคลิปวีดีโอเพื่อให้เห็นส่วนต่างๆ ภายในรถ รวมทั้งพูดจุดเด่นต่างๆ ของรถคันนี้ในความเห็นของผมไว้แล้วครับ

ขอบคุณ Chevrolet สำหรับการสนับสนุน Chevrolet Trailblazer Z71 ในการเดินทางทริปนี้

ขอบคุณ lnwgadget Store ที่ช่วยสนับสนุน GoPro6 สำหรับการบันทึกภาพวีดีโอทุกคลิปในทริปนี้

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบและติดตามผมมาโดยตลอด หากใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวกินและเที่ยวของผมกับต๋งอย่างใกล้ชิดก็สามารถติดตามได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้