และวันนี้ก็เป็นวันที่ 3 แล้วที่ผมและต๋งได้มาเที่ยวอยู่ในเมืองไอซึวากามัตซึ (Aizu-Wakamatsu) จังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) ครับ โดยวันนี้พวกเราตั้งเป้าที่จะไปชมความสวยงามของรถไฟสาย Tadami Line สายรถไฟที่ว่ากันว่ามีความสวยงามของวิวสองข้างทางที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น และด้วยความที่เที่ยวของรถไฟสายนี้ที่ออกจากเมือง Aizu-Wakamatsu นั้นจะมีเพียงวันละ 6 เที่ยวเท่านั้น ดังนั้นพวกเราก็เลยต้องรีบออกจากที่พักตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อไปขึ้นรถไฟเที่ยวแรกที่สถานี Aizu-Wakamatsu ตอน 6.00 น. ครับ
หลังจากที่เราขึ้นรถไฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ใช้เวลาประมาณ 90 นาที นั่งชมวิวสองข้างทางที่สวยงามของรถไฟสาย Tadami Line ไปเรื่อยๆ และต้องบอกว่าการที่เราตัดสินใจรีบมาขึ้นรถไฟเที่ยวแรกสุดแบบนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากๆ เพราะวิวสองข้างทางในตอนเช้านี่สวยงามมาก แถมผู้คนบนรถไฟก็ยังน้อยสุดๆ อีกด้วย
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากจังหวัดฟุกุชิมะ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
และในที่สุดตอนประมาณ 7.30 น. เราสองคนก็เดินทางมาถึงสถานี Aizumiyashita ซึ่งเป็นเป้าหมายของเราในวันนี้ และหลังจากที่เราเดินออกจากสถานี เราก็เดินไปขึ้นรถบัสที่จอดรออยู่ที่ด้านหน้าของสถานี โดยรถบัสนี้จะพาเราไปส่งที่บริเวณจุดพักรถของจุดชมวิวรถไฟสาย Tadami Line โดยมีค่าบริการคนละ 500 เยนครับ
หมายเหตุ : รถบัสที่ว่านี้จะหน้าตาเหมือนรถตู้ธรรมดาๆ และจะมีบริการเฉพาะวันจันทร์ – วันเสาร์ เท่านั้น ส่วนวันอาทิตย์และวันหยุดของญี่ปุ่นจะไม่มีบริการครับ โดยรถเค้าจะจอดรอที่หน้าสถานีเลย และเวลาในการบริการนั้นจะมีเพียงแค่วันละ 1 รอบเท่านั้น คือออกจากสถานี Aizumiyashita ตอน 7.30 น. และออกจากจุดชมวิวรถไฟสาย Tadami Line ตอน 10.30 น. โดยจะใช้เวลาในการนั่งรถประมาณ 10 นาที ซึ่งหากใครไปช่วงเวลาอื่นนอกเหนือจากนี้ก็คงเดินเท้าในระยะประมาณ 3 กม. แทนครับ T_T
และนี่เป็นหน้าตาของจุดพักรถบริเวณ Mishima Juku Roadside Station ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆ กับจุดชมวิวรถไฟสาย Tadami Line และแม่น้ำทาดามิ โดยที่จุดนี้จะมีห้องน้ำ, ร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อให้เราหาซื้อของกินเล็กๆ น้อยๆ ไว้กินระหว่างรอชมวิวอยู่ด้วยครับ สำหรับเวลาเปิดปิดของร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ก็ตามนี้เลยครับ
ร้านสะดวกซื้อ : 8.00 – 19.00 น.
ร้านอาหาร : 10.00 – 17.00 น.
นอกจากนี้ที่บริเวณนี้ยังมีจุดชมวิวสวยๆ ที่เราสามารถมองเห็นวิวและธรรมชาติที่สดชื่นแบบ Panorama ได้อีกด้วย
เอาล่ะ หลังจากที่เราดูวิวสวยๆ เข้าห้องน้ำห้องท่า และซื้อของอร่อยๆ ไว้กินเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาที่เราจะเดินทางต่อไปยังจุดชมวิวของรถไฟสาย Tadami Line แล้ว โดยวิธีการเดินทางก็คือให้เราเดินจากร้านสะดวกซื้อไปตามทางเดินเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้างของถนนใหญ่ครับ โดยเค้าจะมีป้ายบอกทางและแผนที่บอกไว้อย่างชัดเจน
ซึ่งจากแผนที่จะเห็นว่าจุดที่เราสามารถชมวิวสวยๆ พร้อมกับสะพานที่รถไฟต้องวิ่งข้ามได้นั้นจะมีอยู่ 3 จุด ได้แก่ จุด B, C และ D ซึ่งแต่ละจุดนั้นจะไม่ได้ไกลกันมากครับ เดินไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว โดยจุดที่ผมคิดว่าสวยงามที่สุดและเหมาะแก่การชมวิวที่สุดก็คือจุด B ซึ่งเป็นจุดแรกที่เราจะเจอ เพราะจุดนี้จะอยู่ไม่สูงจนเกินไป สามารถมองเห็นรถไฟได้ชัดเจนกว่าจุดอื่น รวมทั้งบรรยากาศก็ร่มรื่นกว่าจุดอื่นด้วยครับ แต่จุด B นั้นก็มีข้อเสียเหมือนกันคือเราจะเห็นเงาสะท้อนของสะพานได้ไม่ครบนะครับ เพราะบริเวณเงาด้านซ้ายของสะพานจะถูกแนวเขาบังไว้เล็กน้อย
สำหรับการเดินทางจากร้านสะดวกซื้อไปยังจุด B, C และ D นั้นจะเป็นการเดินเท้าขึ้นบันไดเรื่อยๆ แต่ความสูงและจำนวนขั้นก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงมากนัก เดินซัก 10-15 นาทีก็ถึงจุด D ซึ่งเป็นจุดบนสุดแล้ว โดยภาพด้านล่างนี้จะเป็นภาพบรรยากาศตามจุดต่างๆ ที่ผมถ่ายระหว่างการเดินขึ้นไปที่จุด D ครับ และสะพานสีม่วงที่เราเห็นในรูปนั้นคือสะพานที่ชื่อว่าไดอิจิ เคียวเรียว (Daiichi Kyouryou) นั่นเอง
ส่วนนี่เป็นบรรยากาศบริเวณจุด D ซึ่งเป็นจุดสูงสุดครับ จะเห็นได้เลยว่าที่จุดนี้จะเห็นภาพในมุมสูงและกว้างกว่าจุดอื่นๆ รวมทั้งสามารถเห็นเงาสะท้อนของสะพานแบบครบๆ ไม่มีส่วนไหนหายไป แต่ข้อด้อยของจุดนี้ก็คือหากใครไม่มีเลนส์เทเลที่สามารถซูมได้ไกลๆ ขนาดของรถไฟจะเล็กกว่าจุดอื่น รวมทั้งพื้นที่นี้จะเป็นพื้นที่ที่ไม่มีต้นไม้สูงๆ บังแดดเลยครับ หากวันไหนอากาศร้อนๆ แดดแรงๆ ก็คงไม่เหมาะที่จะมานั่งรอตรงนี้ซักเท่าไหร่ แต่ว่าโชคดีที่วันที่ผมไปนั้นอากาศดีมาก มีแค่แดดอ่อนๆ ผมกับต๋งก็เลยนั่งกินข้าวและขนมอร่อยๆ ฆ่าเวลาระหว่างที่รอรถไฟวิ่งข้ามสะพานครับ
เราใช้เวลานั่งกินข้าวเพื่อรอรถไฟไม่นานก็พบว่าใกล้ได้เวลาที่รถไฟจะวิ่งผ่านสะพานแล้ว เราจึงเคลื่อนตัวกลับมายังจุด B เพื่อหามุมสวยๆ ในการถ่ายภาพ และไม่ต้องแปลกใจนะครับที่คุณจะเห็นช่างภาพชาวญี่ปุ่นมารอถ่ายรูปอยู่ที่จุดนี้กันหลายคนเลย แถมแต่ละคนก็มากันแบบอุปกรณ์จัดเต็มทั้งนั้น ><
สำหรับเวลาที่รถไฟจะวิ่งผ่านสะพานนี้นั้นเราสามารถเช็คจาก Hyperdia ไว้ล่วงหน้าได้เลยครับ โดยให้เราดูเวลาของรถไฟที่วิ่งระหว่างสถานี Aizunishikata และสถานี Aizuhinohara ซึ่งเป็นสถานีที่ตั้งอยู่คนละฝั่งของสะพาน Daiichi Kyouryou และผมแนะนำให้ทุกคนเช็คเวลาของรถไฟโดยสลับชื่อของทั้งสองสถานีเป็นสถานีตั้งต้นเลยนะครับ เพราะส่วนมากแล้วรถไฟสองขบวนนี้มันจะมาเวลาไล่ๆ กัน ทำให้เราสามารถไปรอทีเดียวแล้วถ่ายภาพได้ถึงสองครั้งเลย แต่ถ้าใครไปถึงที่นั่นแล้วไม่สามารถเช็คเวลาของรถไฟได้หรือไม่แน่ใจเวลาว่าที่เรามีนั้นถูกต้องหรือเปล่า ก็ลองสอบถามคนที่อยู่แถวๆ นั้นได้เลยครับ เพราะที่จุดนั้นมักจะมีช่างภาพชาวญี่ปุ่นมารอถ่ายรูปอยู่ที่บริเวณนั้นอยู่เป็นประจำ แต่ละคนนั้นใจดีมากๆ แถมข้อมูลเป๊ะสุดๆ เลยครับ ^^
หมายเหตุ : Update ข้อมูลเมื่อเดือนตุลาคม 2561 พบว่าทางจังหวัดฟุกุชิมะได้มีการทำป้ายบอกเวลาที่รถไฟจะวิ่งผ่านบนสะพานมาติดไว้ทุกจุดแล้วครับ ทำให้เราสามารถดูข้อมูลได้ง่ายและสะดวกกว่าเดิมมากเลย
และในที่สุดรถไฟปู๊นๆ ก็มาแล้ววววววววว และก็อย่าลืมนะครับว่าบางช่วงเวลาเราจะสามารถมองเห็นรถไฟวิ่งบนสะพาน Daiichi Kyouryou ได้ถึง 2 รอบครับ แต่จะวิ่งมาคนละด้านกัน ซึ่งส่วนใหญ่ทั้ง 2 รอบนี้จะมีระยะเวลาห่างกันประมาณ 5-10 นาที ดังนั้นดูรอบแรกจบแล้วก็อย่าพึ่งรีบกลับนะครับ ให้รอดูรอบสองด้วย
หมายเหตุ : สำหรับใครที่รอดูรถไฟข้ามสะพานที่จุด D จะสามารถมองเห็นรถไฟข้ามแม่น้ำได้ถึง 2 สะพานเลย แต่อีกสะพานนึงจะอยู่ไกลมาก อาจจะมองเห็นยากซักหน่อยนะครับ
เป็นยังไงล่ะครับ สวยมากๆ เลยใช่มั้ยล่ะครับ แต่ผมอยากจะบอกว่าที่จุดชมวิวแห่งนี้จะมีความสวยงามมากกว่านี้อีกในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตอนปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน แล้วก็ช่วงหิมะตกในเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ครับ หากใครได้ไปช่วงนั้นผมบอกเลยว่ายิ่งฟินกว่านี้ไปอีกระดับเลย
ผมให้ดูภาพที่ผมถ่ายที่จุดชมวิวแห่งนี้ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนะครับ โดยภาพเซ็ตนี้ผมถ่ายในวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2561 ซึ่งเป็นการกลับไป Fukushima รอบที่ 3 ของผมกับต๋ง โดยห่างจากครั้งนี้ประมาณ 14 เดือนครับ
มันสวยงามและมีสีสันมากกว่าในช่วงฤดูร้อนเยอะเลยใช่มั้ยครับ ใครที่อยากเห็นภาพแบบนี้ก็แพลนกันมาให้ถูกช่วงนะครับ ^^
เอาล่ะ กลับมาที่ฤดูร้อนครั้งนี้ของเราต่อดีกว่า หลังจากที่ผมกับต๋งชมความงามของรถไฟขณะวิ่งผ่านสะพานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาที่เราทั้งคู่จะเดินทางกลับเมือง Aizu-Wakamatsu กันแล้วครับ ซึ่งการเดินทางจากจุดพักรถไปยังสถานี Aizumiyashita นั้น เราจะสามารถทำได้หลายวิธีเลยทั้งการเดินเท้าบนระยะทางประมาณ 2.6 กม. (ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที), การนั่งรอรถบัสรอบ 10.20 น.และ 13.20 น. (มีบริการเฉพาะวันหยุดเท่านั้น) หรืออีกทางก็คือการให้ทางร้านสะดวกซื้อช่วยเรียก Taxi มารับครับ
แต่วันนี้ผมกับต๋งโชคดีมากเพราะเราเจอคนญี่ปุ่นใจดีแถวๆ จุดพักรถ และเค้าอาสาจะไปส่งเราที่สถานีรถไฟ Aizu-Wakamatsu เลย เนื่องจากเค้าต้องไปทำธุระแถวนั้นอยู่แล้ว
.
.
.
โอ้ยยยย….น้ำตาจะไหล คนญี่ปุ่นนี่นิสัยดีมากๆ เลยครับ มีน้ำใจกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจริงๆ และด้วยความที่เรามีคนขับรถมาส่งที่สถานีรถไฟ Aizu-Wakamatsu แบบนี้ ก็เลยทำให้เราสามารถประหยัดเวลาจากแผนลงไปได้เยอะมาก และทำให้เราทั้งคู่สามารถที่จะไปเที่ยวที่อื่นต่อได้อีกครึ่งวันครับ ซึ่งผมกับต๋งก็ได้เลือกที่จะไปเที่ยวที่เมืองคิตะคาตะ (Kitakata) เมืองซึ่งว่ากันว่าเป็นเมืองแห่งสาเกและราเมน โดยเมื่อพวกเรานั่งรถไฟไปถึงสถานี Kitakata ก็เจอกับการตั้งพร็อพเก๋ๆ แบบนี้เพื่อให้พวกเราถ่ายภาพอวดเพื่อนๆ เลยครับ ><
สำหรับภาพรวมของเมืองคิตะคาตะนั้นจะเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมือง Aizu-Wakamatsu ครับ โดยใช้เวลาในการนั่งรถไฟแค่ 15 นาทีเท่านั้นเอง โดยจุดที่ทำให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาตินั่นก็คือที่นี่มีวัตถุดิบที่เหมาะสมหลายอย่างก็เลยทำให้ก่อเกิดเป็นสาเกและราเมนที่ขึ้นอยู่ของประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะคิตะคาตะราเมนนั้นว่ากันว่าคือ 1 ใน 3 ราเมนของญี่ปุ่นที่ห้ามพลาดที่จะลองชิมเลยครับ
และด้วยความที่เมืองนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของราเมนเป็นอย่างมาก อีกทั้งคนในเมืองนี้ยังกินราเมนกันแทบจะทั้งวันดังนั้นก็เลยทำให้มีร้านราเมนในเมืองนี้มากว่า 150 ร้านครับ!!! ซึ่งนับว่าสูงมากๆ เมื่อเทียบกับขนาดและจำนวนของประชากรเมืองนี้ เยอะจนมีนักท่องเที่ยวมาตระเวนชิมราเมนอร่อยในเมืองนี้ได้เป็นสิบวัน เยอะจนต้องทำให้ที่เมืองนี้มีการทำแผนที่และคู่มือการกินราเมนออกมาแจกกันเลย โดยเราสามารถขอรับคู่มมือนี้ได้ที่ Information Center ของสถานี Kiatakata ได้เลยครับ ภายในเล่มจะมีแผนที่ร้านราเมนเด็ดๆ ในเมือง, ภาพเมนูเด่น, เบอร์โทร และข้อมูลต่างๆ ครบถ้วน นอกจากนี้เรายังสามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ Information Center ได้อีกด้วยว่าแนะนำให้กินร้านไหนดี เจ้าหน้าที่เค้าใจดีสุดๆ เลย เพราะเค้าอธิบายและแนะนำเราด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วไม่พอ พออธิบายจบยังให้ขนมแซมเบ้ (Sembei) อร่อยๆ เรามากินอีกหลายชิ้นด้วย ^^
ส่วนการเที่ยวอื่นๆ ในเมืองคิตะคาตะนั้น เนื่องจากเวลาของผมมีน้อยจึงเลือกที่จะเที่ยวแค่ 2 ที่ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่นั่นก็คือที่ Kai Residence แล้วก็ที่พิพิธภัณฑ์สาเกครับ โดยการเดินทางภายในเมืองแห่งนี้นั่นสะดวกง่ายดายมากๆ เพราะมีรถบัสที่ออกจากสถานี Kiatakata และผ่านจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจภายในเมืองอยู่แล้ว โดยมีค่าใช้จ่ายคนละ 200 เยน/คน สำหรับผู้ใหญ่ และ 100 เยน/คน สำหรับเด็ก หรือใครจะซื้อเป็นตั๋ว 1 Day Pass ที่ขึ้นลงได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวก็ได้ที่ราคา 500 เยน/วัน สำหรับผู้ใหญ่ และ 300 เยน/วัน สำหรับเด็ก
สำหรับผมเอง ผมเลือกที่จะนั่งแค่เที่ยวเดียว 200 เยน เพื่อไปลงที่ Kai Residence และหลังจากนั้นก็จะเดินเที่ยวต่อไปเรื่อยๆ เพราะดูจากขนาดของเมืองแล้วสามารถเดินได้สบายๆ ครับ แถมแต่ละจุดที่ผมจะไปนั้นก็ยังไม่ไกลกันด้วย การเดินนอกจากจะได้สัมผัสความเป็นเมืองคิตะคาตะได้ถึงแก่นแล้ว ยังสามารถช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้อีกด้วยครับ ^^
หมายเหตุ : ที่เมืองแห่งนี้มีร้านเช่าจักรยานสำหรับปั่นเล่นภายในเมืองด้วยนะครับ ร้านจะอยู่แถวๆ สถานีเลย ค่าเช่าก็ไม่แพง เพียง 500 เยน/คัน/วัน เท่านั้นเองครับ
เราใช้เวลาเดินทางจากสถานี Kitakata ไม่นาน รถบัสก็พาเรามาถึงหน้า Kai Residence หนึ่งในสถานที่เที่ยวที่สำคัญของเมืองนี้ที่ทางเจ้าหน้าที่ประจำ Information Center บอกว่าห้ามพลาดเด็ดขาด โดยใครที่กลัวลงไม่ถูกป้าย พอขึ้นรถก็ให้เอาแผนที่เที่ยวของเมืองหรือรูปสถานที่ให้เจ้าหน้าที่บนรถดูได้เลยครับ เดี๋ยวถ้าใกล้ๆ ถึงแล้วเค้าจะบอกให้เราเตรียมตัวลงเอง ^^
จุดเด่นสุดๆ ของ Kai Residence ก็คือชมฟรีครับ!! เอ้ย ไม่ใช่ จุดเด่นของที่นี่ก็คือเป็นที่ที่ใช้รับรองแขกในสมัยอดีต มีความสวยงามมากๆ และยังมีห้องขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่าห้องขนาดเสื่อทาทามิ (Tatami) 51 ผืนอีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่ามันเป็นห้องที่กว้างมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
พอเราชม Kai Residence เสร็จ เราสองคนก็แว้บไปเติมพลังและชิมของอร่อยๆ ที่ร้านหมายเลข 10 ตามแผนที่ชิมราเมนที่ได้รับมา เพราะว่าตำแหน่งของร้านอยู่ไม่ไกลจาก Kai Residence มาก เดินแป๊บเดียวก็ถึง แต่ว่าร้านนี้เราสองคนยังไม่ได้จัดราเมนนะครับ เราเลือกที่จะลองชิมเกี๊ยวซ่ากับข้าวหน้าแกงกะหรี่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมนูยอดฮิตของร้านนี้ก่อน ส่วนราเมนเดี๋ยวเราค่อยไปจัดอีกร้านนึง จะได้ชิมอะไรที่หลากหลายหน่อย ^^
พอเติมพลังเสร็จก็ได้เวลาตระเวนเที่ยวกันต่อ โดยจุดหมายที่เราจะไปครั้งนี้ก็คือพิพิธภัณฑ์สาเกซึ่งจะอยู่ระหว่างทางเดินจาก Kai Residence ไปร้านราเมนหมายเลข 22 กับ 23 พอดี แต่ว่าทางเข้าของพิพิธภัณฑ์สาเกเนี่ยแอบหาลำบากเหมือนกั พอดูตาม Google Map ก็ไม่ค่อยตรง ก็เอาเป็นว่าลองดูตามจุดที่ผมทำกรอบสีแดงไว้ในแผนที่ดูนะครับ ตำแหน่งของพิพิธภัณฑ์จะอยู่แถวๆ นั้นแหละครับ
หน้าตาของพิพิธภัณฑ์จะเป็นแบบนี้ครับ ส่วนเวลาเปิด-ปิดคือ 9.00-16.30 น. และเราสามารถเข้าชมได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ
ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีการแสดงเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวกับการผลิตสาเก รวมทั้งประวัติความเป็นมา และกระบวนการต่างๆ โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายภาษาญี่ปุ่นให้กับผู้ที่สนใจฟังด้วย ส่วนเราคนไทยผู้ฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องก็เดินชมเอาเองตามอัธยาศัยครับ
และเมื่อชมพิพิธภัณฑ์เสร็จแล้ว ก็ถึงเวลา Ramen Time กันซักที โดยร้านที่เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะไปชิมคิตะคาตะราเมนนั้นก็คือร้านหมายเลข 23 ในแผนที่ แต่พอเราไปถึงหน้าร้านก็ต้องตกใจผงะถอยหลังไป 5 ก้าว เพราะแม้จะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่คนที่ยืนต่อแถวรอกินที่หน้าร้านก็ยังยาวเหยียดมาก และหลังจากที่เราลองประเมินความเร็วในการขยับของแถวด้วยสายตาคร่าวๆ แล้ว ก็คาดว่ามื้อนี้จะต้องรอไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงแน่ๆ
ดังนั้นเราสองคนก็เลยเปลี่ยนแผนไปกินร้านหมายเลข 22 ซึ่งอยู่ข้างๆ กันแทน โดยร้านนี้ทางเจ้าหน้าที่ที่ Information Center ก็บอกว่ามีฝีมือใกล้เคียงกัน แต่จำนวนคนต่อแถวสั้นกว่ากันเกินครึ่งได้ครับ
และหลังจากการยืนรออยู่ประมาณ 30 นาที เราสองคนก็ได้ชิม Kitakata Ramen อันขึ้นชื่อ โดยราคาของราเมนร้านนี้จะอยู่ที่ 600 – 1,000 เยน แล้วแต่ว่าจะสั่งแบบไหน อย่างใครที่สั่งเป็นชาชูก็จะได้หมูชาชูที่เยอะมากจนแทบไม่เห็นเส้นราเมนเลย ส่วนผมเลือกสั่งแบบธรรมดาก็ได้หมูชาชูมา 4 ชิ้นครับ
หมายเหตุ : สำหรับจุดเด่นของคิตะคาตะราเมนนั้นก็คือเส้นที่แบนอวบเป็นลอนคลื่น ส่วนน้ำซุปดาชิก็เป็นรสโชยุซึ่งสกัดมาจากปลานิโบชิหรือกระดูกหมู โดยร้านส่วนใหญ่ในเมืองนี้จะมีแต่เมนูภาษาญี่ปุ่นและไม่มีภาพประกอบ ดังนั้นใครที่จะเข้าไปชิมก็ต้องเตรียมตัวดีๆ ทั้งการนำรูปภาพไปแสดงให้ดูหรือการเปิด Google Translate ครับ
และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวการเดินทางของผมกับต๋งในวันนี้ครับ แล้วพบกับการเดินทางของผมกับต๋งในจังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ ของการกินและเที่ยวได้ที่ Facebook Fanpage “ภรรยาหา สามีใช้” นะครับ ส่วนใครที่อยากจะดูบรรยากาศการท่องเที่ยวของผมกับต๋งในวันนี้ในรูปแบบของภาพเคลื่อนไหวก็สามารถกดดูที่คลิปด้านล่างได้เลย หรือถ้าใครที่อยากจะอ่านเรื่องราวของสถานที่เที่ยวอื่นๆ ในเมือง Aizu-Wakamatsu ก็สามารถอ่านได้ตามลิงก์ข้างล่างเลยครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านจนจบ สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป