สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผม นาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะพาทุกคนไปรู้จักกับไลน์อาหาร Sunday Brunch ของห้องอาหาร Amaya Food Gallery (อมาญา ฟู้ด แกลเลอรี่) ชั้น 4 โรงแรม Amari Watergate (อมารี วอเตอร์เกท) ไลน์ซันเดย์ บรันช์อีกที่นึงที่ผมว่ามีความหลากหลายของอาหารมาก มีคุณภาพอาหารที่ดี รวมไปถึงมีราคาหลังหักโปรโมชั่นที่ย่อมเยาอีกด้วยครับ ใครที่กำลังมองหาไลน์ Sunday Brunch เกรดโรงแรมที่ราคาต่อหัวไม่เกิน 1,000 บาท/คน ก็ตามผมกับต๋งไปที่นี่พร้อมๆ กันได้เลยครับ
และเพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน ผมก็เลยขอสรุปจุดเด่นคร่าวๆ ของไลน์ Sunday Brunch ห้องอาหาร Amaya Food Gallery ชั้น 4 โรงแรม Amari Watergate มาให้ทุกคนอ่านก่อนเนิ่นๆ ตามนี้นะครับ และเดี๋ยวเราค่อยตามไปเจาะลึกในแต่ละไลน์อาหารกันต่อ โดยจุดเด่นของที่นี่ในความเห็นของผมก็มีดังนี้ครับ
  1. ห้องอาหารกว้างมาก สามารถจุคนได้ประมาณ 420-450 คนเลยทีเดียว
  2. มีไลน์อาหารเยอะถึง 8 สเตชั่น ไล่ครบเลยทั้งซีฟู้ด, อิตาลี, ญี่ปุ่น, อินเดีย, ไทยและเพื่อนบ้าน, ปิ้งย่าง, สลัดกับชีส แล้วก็ของหวาน เรียกว่าเราอาจจะต้องไปกินอาหารที่นี่ถึง 3 ครั้ง ค่อยจะกินหมดครบหมดทุกเมนูครับ ><
  3. อาหารคุณภาพดี อร่อยถูกปาก โดยเฉพาะซีฟู้ดกับของหวาน ขาปูทั้งใหญ่ หวาน และเนื้อเยอะมากกกก ส่วนของหวานก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง เน้นแนวไทยเป็นหลัก เช่น ขนมครก, เฉาก๊วย, ทับทิมกรอบ, มันแกงบวด โดยแต่ละอย่างหน้าตาดูน่ากินมากครับ
  4. มีหอยนางรมให้เลือกทานหลายสายพันธุ์
  5. มีฟัวกราส์ให้กินไม่อั้น แถมเป็นฟัวกราส์ที่ผมว่าหนา รสชาติดี กินได้เรื่อยๆ ไม่เลี่ยนด้วย
  6. ได้สิทธิ์กินล็อบสเตอร์คนละครึ่งตัว โดยเราสามารถเลือกปรุงได้หลายแบบเลยทั้งนึ่ง, ย่าง หรืออบชีส
  7. พนักงานบริการดี
  8. มี Kids Corner ขนาดใหญ่ให้เด็กๆ ได้เล่น และที่นี่เด็กอายุต่ำกว่า12 ปี ทานอาหารฟรี ไม่มีขั้นต่ำนะคร้าบบบ
  9. สามารถนั่งกินได้ยาวๆ 3 ชั่วโมงครึ่ง ตั้งแต่เวลา 12.00 – 15.30 น.
  10. ราคาไม่แรง และถือว่าคุ้มค่ามาก โดยราคาปกติสำหรับการทานแบบไม่รวม Soft Drink จะตกอยู่ที่ 1,500 บาท++ ต่อคน ส่วนราคาการทานแบบที่รวม Free Flow Soft Drink นั้นจะตกอยู่ที่ 1,690 บาท++ ต่อคน แต่ทางห้องอาหารกำลังมีโปรโมชั่นมา 4 จ่าย 2 สำหรับคนที่มีบัตร True Red Card หรือ True Black Card อยู่ ซึ่งเมื่อคำนวนหักโปรโมชั่นแล้วจะทำให้ราคาแบบไม่รวม Soft Drink เหลืออยู่เพียง 963 บาท net ต่อคนเท่านั้น และแบบที่รวม Free Flow Soft Drink แล้วจะตกอยู่ที่ 1,187 บาท net ต่อคน ซึ่งถือว่าเป็นราคา Sunday Brunch ที่ถูกและคุ้มค่ามากที่นึงเลยครับ ส่วนใครที่ไม่มีบัตร True ก็จะมีส่วนลด 15-20% สำหรับบัตรเครดิตบางใบครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
สำหรับการเดินทางมายังห้องอาหารและโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ยากครับ ที่ตั้งของโรงแรม Amari Watergate จะอยู่ตรงประตูน้ำ ตรงข้ามกับห้าง Platinum (แพลทตินั่ม) เลย ใครที่มาไม่ถูกก็ดูแผนที่ตามด้านล่างนี้เลยได้นะครับ โดยคนที่ขับรถส่วนตัวมานั้นผมว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนัก……นอกจากรถติด T_T เพราะโรงแรมจะอยู่ติดกับถนนเพชรบุรีตัดใหม่เลย สามารถมองเห็นได้ง่าย ที่จอดรถเยอะและจอดรถค่อนข้างง่าย โดยเมื่อเราจอดรถเสร็จแล้วก็ให้เรากดลิฟท์ไปยังชั้น 4 และเดินเข้าไปโรงแรมเพื่อไปยังห้องอาหาร Amaya Food Gallery ได้เลยครับ
หมายเหตุ : หากใครมาใช้บริการที่ห้องอาหาร จะสามารถประทับตราบัตรจอดรถได้ 4 ชั่วโมงครับ
ส่วนคนที่เดินทางมาแบบไม่มีรถส่วนตัวนั้นก็ต้องชั่งใจหน่อยนะครับว่าจะมาด้วยรถเมล์, รถ Taxi, BTS หรือ Airport Link โดยถนนเส้นนี้ก็มีรถเมล์วิ่งผ่านหลายสายเลย ส่วน BTS ที่ใกล้ที่สุดก็คือสถานีราชเทวี และสถานี Airport Link ที่ใกล้ที่สุดก็คือสถานีราชปรารภครับ
ภาพนี้เป็นภาพหน้าตาของโรงแรมครับ ตัวตึกจะอยู่ตรงข้ามกับห้าง Platinum และด้านข้างจะอยู่ติดกับ City Complex (ซิตี้ คอมเพล็กซ์) สองแหล่งชอปปิ้งชื่อดังย่านประตูน้ำครับ รับรองว่าหาไม่ยาก เดินวนๆ อยู่แถวนั้นแป๊บเดียว เดี๋ยวก็เจอโรงแรมครับ
ที่ด้านหน้าของโรงแรมจะมีคาเฟ่ที่ชื่อว่า Cascade ให้บริการอยู่ครับ เป็นคาเฟ่ที่ให้บริการทั้งเครื่องดื่ม, เบเกอรี่ และอาหารคาวหวาน บรรยากาศโดยรวมๆ ดูน่านั่งดี มีทั้งพื้นที่อินดอร์แบบติดแอร์ แล้วก็แบบเอาท์ดอร์ที่ให้เรานั่งชมบรรยากาศด้านนอกชิลๆ ด้วย ใครที่ได้มีโอกาสผ่านไปแถวนั้นก็สามารถแวะไปใช้บริการได้ครับ
ส่วนใครที่ไปถึงโรงแรมก่อนเวลาที่ห้องอาหารจะเปิดบริการ ก็สามารถไปนั่งรอที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมได้ ล็อบบี้เค้ากว้าง และมีที่นั่งสวยๆ เยอะดีครับ
และเมื่อถึงเวลาที่ห้องอาหาร Amaya Food Gallery เปิดบริการ Sunday Brunch แล้ว เราก็ตรงดิ่งไปที่หน้าห้องอาหารกันได้เลยครับ โดยห้องอาหารนี้จะอยู่ที่ชั้น 4 ด้านหน้าห้องอาหารมีการตกแต่งที่สวยงามดี รวมทั้งมีที่นั่งเล็กๆ ให้คนที่มาถึงก่อนได้นั่งรอด้วยครับ
สำหรับในเรื่องราคาอาหาร Sunday Brunch ของห้องอาหาร Amaya Food Gallery นั้น โดยปกติจะแบ่งออกเป็น 3 ราคาดังนี้นะครับ
ราคา 1,500 บาท ++ ต่อคน : จะเป็นราคาสำหรับการทานอาหารและน้ำเปล่า โดยน้ำเปล่านั้นเราสามารถขอเติมได้เรื่อยๆ ครับ
ราคา 1,690 บาท ++ ต่อคน : จะเป็นราคาสำหรับการทานอาหาร รวมไปถึงการทานเครื่องดื่ม Soft Drink, น้ำเปล่า, ชา, กาแฟ แบบ Free Flow ที่สามารถเติมได้เรื่อยๆ ครับ
ราคา 2,150 บาท ++ ต่อคน : จะเป็นราคาสำหรับการทานอาหาร รวมไปถึงการทานเครื่องดื่มพิเศษต่างๆ แบบ Free Flow ครับ
ทั้งนี้ในช่วงนี้ทางห้องอาหารกำลังมีโปรโมชั่นพิเศษมา 4 จ่าย 2 สำหรับคนที่มีบัตร True Red Card และ Black Card อยู่ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมแนะนำให้ทุกคนหาคนที่มีบัตร True Card และรวมกันไปให้ครบ 4 คนเพื่อใช้โปรโมชั่นนี้ให้ได้ เพราะมันจะคุ้มค่ากว่าเดิมมากๆ โดยเมื่อเราคำนวนหักโปรโมชั่นแล้วจะทำให้ราคาการทานแบบไม่รวม Soft Drink เหลืออยู่เพียง 963 บาท net ต่อคนเท่านั้น ส่วนแบบรวมเครื่องดื่ม Soft Drink จะตกอยู่ที่ 1,187 บาท net ต่อคน ซึ่งเป็นราคาการทาน Sunday Brunch ที่คุ้มมากๆ ส่วนใครที่ไม่มีบัตร True Card ก็จะมีส่วนลด 15-20% สำหรับบัตรเครดิตต่างๆ ครับ โดยเราสามารถตรวจสอบข้อมูลโปรโมชั่นกับทางห้องอาหารก่อนไปใช้บริการได้ เนื่องจากโปรโมชั่นเหล่านี้มักจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ
หมายเหตุ : เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี สามารถทานอาหาร Sunday Brunch ที่ห้องอาหารนี้ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเลยนะครับ ส่วนใครที่อายุเกิน 12 ปี ก็คิดราคาเหมือนผู้ใหญ่ครับ
ลักษณะภายในของห้องอาหาร Amaya Food Gallery นั้น จะมีเลย์เอาท์ที่ค่อนข้างแตกต่างจากห้องอาหารหลายๆ ที่อยู่พอควรครับ โดยเลย์เอาท์ของเค้าจะเป็นรูปหลายเหลี่ยมที่เว้นพื้นที่ตรงกลางเอาไว้ ส่วนไลน์อาหารก็จะถูกวางอยู่ตามจุดต่างๆ ที่ล้อมรอบรูปหลายเหลี่ยมตรงกลางนี้ และเมื่อเรามองลงไปด้านล่างก็จะสามารถมองเห็นล็อบบี้ของโรงแรมได้อย่างชัดเจนครับ
จำนวนที่นั่งของห้องอาหารแห่งนี้มีประมาณ 420-450 ที่ ซึ่งถือว่าเป็นห้องอาหารที่มีขนาดใหญ่มากแห่งนึงเลยครับ ลักษณะโต๊ะเก้าอี้จะมีความหลากหลาย และมีความแตกต่างไปตามโซนของสเตชั่นนั้นๆ เช่น เก้าอี้ทรงสูง, โต๊ะเก้าอี้หลากสีสัน, โต๊ะที่ตรงกลางสามารถหมุนได้ เป็นต้น ถือว่าเป็นการสร้างสีสัน ความแปลกตา และไม่ทำให้คนที่มาทานอาหารบ่อยๆ รู้สึกเบื่อได้ดีเลยครับ
นอกจากนี้ที่ห้องอาหาร Amaya Food Gallery ยังมี Kids Corner หรือสถานที่ให้เด็กเล็กๆ เล่นอย่างเพลินเพลินใจอีกด้วย โดยพื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างกว้าง สามารถให้เด็กเล่นพร้อมกัน 10-15 คนได้อย่างสบายๆ รวมไปถึงทางห้องอาหารยังเอาใจคุณพ่อคุณแม่และน้องๆ หนูๆ ด้วยการจัดโต๊ะรับประทานอาหารไว้ใกล้ๆ โซนนี้ และมีการจัดอาหารสำหรับเด็กๆ เช่น ไอศกรีม, ป็อบคอร์น, เฟรนช์ฟรายด์, ไส้กรอก, ขนมหวาน วางไว้ใกล้ๆ อีกด้วย เรียกว่าเอาใจกลุ่มครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆ อย่างเต็มที่เลย
สำรวจลักษณะที่นั่งและสภาพห้องอาหารไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราไปเริ่มไล่ดูไลน์อาหารในแต่ละสเตชั่นกันดีกว่า และเนื่องจากสเตชั่นอาหารของที่นี่จะมีลักษณะเรียงกันเป็นวงกลม ดังนั้นผมก็เลยจะขอไล่จากสเตชั่นแรกที่อยู่ทางขวามือหลังจากที่เราเดินเข้าไปในห้องอาหารก่อนนะครับ และหลังจากนั้นผมจะพาทุกคนเดินวนไปเรื่อยๆ จนถึงสเตชั่นสุดท้าย ซึ่งสเตชั่นแรกนั้นจะเป็นสเตชั่นของอาหารไทยและอาหารเพื่อนบ้าน โดยกลุ่มอาหารเพื่อนบ้านที่เด่นชัดที่สุดในวันที่ผมไปนั้นก็คืออาหารจีนครับ
ที่สเตชั่นนี้จะมีอาหารเด่นๆ ก็คือ น้ำพริก, ผัดไทยกุ้งสด, ส้มตำ, ต้มยำ, ยำต่างๆ, อาหารไทย 5-6 อย่าง แล้วก็กลุ่มอาหารจีนอย่างติ่มซำ, ซุป, หมูหัน, หมูแดง, หมูกรอบ และเป็ดย่าง
โดยอาหารที่ผมได้ชิมในวันนั้นก็ได้แก่ ผัดไทยกุ้งสด, ฉู่ฉี่ปลาแซลมอน, ต้มยำ, ส้มตำ แล้วก็หมูหัน, หมูแดง, หมูกรอบ และเป็ดย่างครับ รสชาติแต่ละอย่างในความเห็นผมก็ตามนี้เลยครับ
ผัดไทยกุ้งสด : เส้นหนียวนุ่ม รสชาติกลมกล่อม อร่อยกำลังดี สามารถกินได้ทุกเพศทุกวัย ส่วนใครที่เป็นสายชอบทานอะไรรสจัด เผ็ดๆ หน่อย อาจจะต้องขอเครื่องปรุงเพิ่ม ในจานจะมีกุ้งสดมาให้ 2 ตัว ความสดของกุ้งดี ถือว่าเป็นผัดไทยในโรงแรมที่รสชาติดีที่นึงเลยครับ และผัดไทยของที่นี่นั้นจะเป็นการผัดแบบจานต่อจาน ผัดก็ต่อเมื่อมีคนสั่งเท่านั้นนะครับ
ฉู่ฉี่ปลาแซลมอน : ชิ้นใหญ่และสดดี ส่วนรสชาตินั้นอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้จัดจ้านหรือแซ่บมากนัก
ต้มยำ : ในส่วนของต้มยำนี้ เราสามารถบอกทางเชฟได้นะครับว่าอยากให้ใส่เนื้อสัตว์ประเภทใดลงไปบ้าง เพราะเป็นการทำแบบถ้วยต่อถ้วย ซึ่งเท่าที่ผมสั่งมาทางเชฟก็จัดกุ้งและปลาหมึกมาให้เยอะเลย ส่วนรสชาตินั้นถือว่าเป็นต้มยำที่รสจัด แต่ไม่ได้เผ็ดมากครับ เรียกว่าเป็นรสชาติที่คนส่วนใหญ่น่าจะทานกันได้
ส้มตำ : รสชาติอยู่ในเกณฑ์ดี สะอาดสะอ้าน ดูน่าทานครับ หากใครอยากทานแบบรสจัดๆ หน่อยก็สามารถบอกทางพ่อครัวได้ เพราะเมนูนี้ก็เป็นการทำแบบจานต่อจานเหมือนกัน
กลุ่มหมูหัน, หมูแดง, หมูกรอบ และเป็ดย่าง : อันนี้ผมขอพูดรวมๆ เลยนะครับ เพราะรสชาติดีหมดเลย ถูกปากผมทุกรายการ โดยเฉพาะเป็ดย่างและหมูแดง ผมชอบมาก ส่วนหมูหันนั้นในจานมีหูเยอะดีครับ ใครที่ชอบทานหูหมูคงถูกใจกัน
ภาพรวมสำหรับผมในกลุ่มอาหารไทยและเพื่อนบ้าน ผมว่าทางห้องอาหาร Amaya Food Gallery ทำมาได้ดีเลยนะครับ มีเมนูที่น่าสนใจหลายอย่าง หลายๆ เมนูก็เป็นการทำแบบ Made to order จานต่อจาน ทำให้ความอร่อยเหนือกว่าหลายๆ ที่ รวมทั้งเรายังสามารถสั่งรสชาติในแบบที่เราต้องการได้ด้วย แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่กระเพาะของผมกับต๋งมันจำกัด ก็เลยทำให้พวกเราอดชิมไปหลายเมนูเหมือนกัน โดยเมนูที่ผมกับต๋งเสียดายสุดที่ไม่ได้ลองชิมก็คือกลุ่มติ่มซำ เพราะตอนแรกเราตั้งใจว่าจะลองเต็มที่แต่สุดท้ายก็ชิมไม่ไหวจริงๆ ก็เลยต้องขอบายไป T_T
หมายเหตุ : สำหรับการสั่งอาหารที่เป็นการ Made to order นั้น วิธีการสั่งก็ง่ายๆ เพียงแค่เราเอาหมายเลขโต๊ะของเราไปยื่นให้กับพนักงานเท่านั้นครับ โดยบางสเตชั่นทางพนักงานก็อาจจะมีการถามข้อมูลเพิ่มนิดหน่อยว่าต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เราก็บอกความต้องการของเราไปได้เลยครับ
อ้อ….จุดเด่นที่ผมประทับใจมากๆ ของไลน์อาหารของ Amaya Food Gallery นั้นก็คือ อาหารส่วนใหญ่ของเค้าจะมีการติดชื่ออาหารและประเภทของวัตถุดิบไว้อย่างชัดเจนแทบทุกรายการเลยครับ เช่น หมู, ไก่, เนื้อ, เป็ด, ซีฟู้ด หรือ ฮาลาล ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่ดีและสร้างความสบายใจให้กับแขกที่มาทานมากๆ
มาต่อกันที่สเตชั่นต่อไปครับ ดูเผินๆ เหมือนซุ้มนี้จะมีแค่สเตชั่นเดียว แต่จริงๆ แล้วเค้ามีถึง 2 สเตชั่น ได้แก่ ปิ้งย่าง (Grilled Station) และอาหารอินเดียครับ
ในส่วนที่เป็นปิ้งย่างหรือ Grilled Station นั้น จะประกอบไปด้วยบรรดาอาหารเนื้อๆ ทั้งหลาย ตั้งแต่ Roasted Prime Rib, ผัดและอาหารที่มีเนื้อเป็นส่วนประกอบ 4-5 อย่าง, ขนมปัง แล้วก็ไฮไลท์ที่สุดของสเตชั่นนี้นั่นก็คือบรรดาเนื้อ, หมู, กุ้งแม่น้ำ, กั้ง, ปลาหมึก, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ และแซลมอน ที่เราสามารถสั่งให้ทางเชฟไปปรุงสุกให้เราทานได้ไม่อั้น โดยเนื้อนั้นจะมีอยู่ 2 ส่วนด้วยกันคือ Tenderloin และ Sirloin ครับ
เชฟเค้าจะปรุงกันที่สเตชั่นให้เราเห็นกันชัดๆ เลย ใครอยากกินมากน้อยเท่าไหร่ก็จัดไปได้เต็มที่ รอไม่นานก็ได้กินแล้วครับ โดยที่สเตชั่นนี้เค้าจะมีซอส, น้ำจิ้ม รวมถึงเครื่องเคียงให้เราตักหลายอย่าง ใครชอบสไตล์ไหนก็เลือกเอานะครับ
สำหรับผมที่สเตชั่นนี้ผมได้ลองทานมา 4-5 อย่าง ตามนี้นะครับ
Roasted Prime Rib : เนื้อสีสวย ความสุกอยู่ในระดับเหมาะสม ไม่เหนียว รสชาติโอเคเลยครับ
สเต็กเนื้อ : จากที่ผมลองชิมทั้ง Tenderloin และ Sirloin พบว่ารสชาติอยู่ในระดับกลางๆ ครับ หอมกลิ่นควัน แต่ขาดความนุ่มไปนิด
แซลมอน : รสชาติดีครับ แซลมอนสด ใครที่อยากทานอะไรที่ไม่หนักมาก นี่เป็นตัวเลือกที่ดีเลย
กุ้งแม่น้ำ : ทั้งรสชาติ, ขนาดและความสดอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้ประทับใจอะไรมากครับ
ต่อกันที่สเตชั่นอาหารอินเดียที่อยู่ติดกันเลยนะครับ เมนูอาหารมีให้เลือกทานหลายอย่างเลยจนผมต้องถามทาง PR ว่าทำไมมีเยอะจัง และก็ได้คำตอบว่าห้องอาหารแห่งนี้มีชาวอินเดียหรือผู้ที่มีเชื้อสายแขกมาทานกันเยอะ ดังนั้นทางโรงแรมก็เลยมีการเพิ่มอาหารในส่วนนี้มากขึ้นครับ
ผมกับต๋งได้ลองทานมา 5-6 อย่าง ทั้งนาน, ไก่อบเครื่องเทศแบบต่างๆ แล้วก็ปลา ซึ่งรสชาติของเมนูที่ผมได้ทานในวันนั้นต้องบอกว่าอร่อยและถูกปากกว่าที่คิดเลยครับ แป้งนานอบกระเทียมนั้นดีมาก ส่วนไก่กับปลานั้นก็อร่อย เนื้อไก่นุ่มกำลังดีเลย และถึงแม้ว่าเราจะเห็นสีของเครื่องเทศนั้นเด่นชัดมากจากภายนอก แต่พอได้ลองชิมดูแล้วก็จะพบว่ารสชาติไม่ได้มีความแรงของเครื่องเทศขนาดนั้นครับ เรียกว่าเครื่องเทศหอมอยู่ในระดับที่กำลังดีเลย
ใครที่ชอบทานอาหารอินเดีย หรือกำลังมองหาไลน์ International Buffet ที่มีอาหารอินเดียหลายประเภทหน่อย ลองดูที่นี่เป็นตัวเลือกได้เลยครับ
ต่อกันที่ซุ้มถัดไปครับ ซุ้มนี้จะประกอบไปด้วย 2 สเตชั่นเหมือนกัน นั่นก็คือ ซีฟู้ด และอาหารญี่ปุ่น
ในส่วนของซีฟู้ดนั้นจะมีอาหารประเภท Seafood on ice เยอะเลยครับ ตั้งแต่ปูอลาสก้า, กั้ง, หอยนางรม, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์, กุ้ง, ปลาหมึก, Black Mussel, หอยหลอด (Razor Clam) , White Clam และหอยแครง (Cockle)
หมายเหตุ : ล็อบสเตอร์ที่เห็นอยู่ในไลน์นั้นจะเป็นล็อบสเตอร์ที่เตรียมไว้สำหรับการปรุงสุกครับ
สำหรับหอยนางรมในวันที่ผมไปนั้นจะมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ได้แก่ Irish Oyster, Korea Oyster และ French Oyster ใครที่ชอบทานหอยนางรมคงจะถูกอกถูกใจกันพอควรเลย
ซึ่งจากปริมาณของอาหารทะเลที่ทางห้องอาหารจัดมาให้ขนาดนี้ ผมว่ามันเป็นการจัดไลน์อาหารที่จัดเต็มและเอาใจคนที่ชอบทานซีฟู้ดมากระดับนึงเลยครับ ผมเดินดูรอบแรกถึงกับตาลาย มีให้เลือกทานเยอะจริงๆ ส่วนในเรื่องของเครื่องเคียงและน้ำจิ้ม เค้าก็จัดมาให้เต็มที่ไม่แพ้กัน โดยน้ำจิ้มซีฟู้ดของที่นี่จะเป็นรสจัดจ้าน เผ็ดและเปรี้ยว คนไทยสามารถทานได้อย่างถูกปากเลยครับ
ผมกับต๋งในวันนั้นได้ลองทานอาหารประเภท Seafood on ice ไปหลายรายการเลย โดยทางห้องอาหารเค้าจัดใส่ภาชนะสวยๆ แบบนี้มาให้ ใหญ่ จัดเต็ม อลังการ และหนักมากครับ ต๋งลองยกไปทีนึง แทบจะไม่ขยับเลย @_@
รสชาติของอาหาร Seafood on ice แต่ละรายการที่ผมกับต๋งได้ทานวันนั้นต้องบอกว่าดีมากครับ อาหารส่วนใหญ่สด และรสชาติดีมาก ไม่มีความเค็มเข้ามาปนเลย โดยเมนูที่ผมกับต๋งเห็นตรงกันว่าเป็น The Best ก็คือ ขาปูอลาสก้าที่ทั้งใหญ่ สด หวาน และทานง่ายสุดๆ วันนั้นพวกผมก็เลยจัดกันไปเยอะมากครับ ><
และอีกสองเมนูที่พวกผมว่าเด็ดไม่แพ้กันก็คือ หอยนางรม และกั้ง โดยกั้งของที่นี่มีไข่ด้วยนะครับ ส่วนเมนูอื่นๆ ที่ผมไม่ได้พูดถึงนั้น ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทั้งหมดครับ เอาเป็นว่าถ้าใครได้มาทานแล้วเจอคุณภาพอาหารซีฟู้ดแบบที่ผมกับต๋งได้ทานในวันนั้น น่าจะรู้สึกฟินและคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปอย่างแน่นอน
เรามาต่อกันที่สเตชั่นถัดไปเลยนะครับ นั่นก็คือสเตชั่นอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ในซุ้มเดียวกันกับอาหารซีฟู้ด โดยอาหารในโซนนี้จะไม่ได้มีอะไรให้เลือกทานมากครับ จะมีซูชิ 5-6 อย่าง แล้วก็ซาชิมิอย่างแซลมอน, ซาบะ, ไข่หวาน แล้วก็ปูอัด รสชาติและคุณภาพของอาหารในสเตชั่นนี้ผมให้อยู่ในระดับธรรมดา ไม่ได้มีอะไรน่าประทับใจเป็นพิเศษ ใครที่ไม่ได้อยากทานอาหารประเภทนี้มาก ผมแนะนำให้เก็บท้องไปกินอาหารที่สเตชั่นอื่นดีกว่าครับ
มาตะลุยกินกันต่อที่สเตชั่นถัดไป โดยสเตชั่นนี้จะเป็นของหวานและผลไม้ครับ แต่ทุกคนอย่าพึ่งตกใจไปนะว่าอาหารคาวหมดแล้วเหรอ ยังครับ……อาคารคาวยังเหลือให้เราทานอีกมากมายทั้งอิตาลี, สลัด, ชีส, ล็อบสเตอร์ และฟัวกราส์ แต่ด้วยการที่ผมพาเดินวนไล่ตามตำแหน่งที่ตั้งก็เลยต้องขออนุญาตเล่าถึงสเตชั่นนี้ก่อนครับ
ที่สเตชั่นของหวานและผลไม้นั้นก็มีของตามชื่อเลยครับ โดยในส่วนของของหวานจะมีทั้งเค้ก, พุดดิ้ง, ไอศกรีม, เครป และของหวานไทยๆ อย่างน้ำแข็งไส, ขนมครก, มันแกงบวด, เฉาก๊วย, วุ้น, ขนมกล้วย, ข้าวต้มมัด จนไปถึงทับทิมกรอบ หน้าตาของหวานแต่ละอย่างน่ากินมาก เห็นแล้วน้ำลายไหลเลย
นี่เป็นหน้าตาของขนมไทยๆ ที่ผมเล่าให้ฟังครับ รสชาติหลายอย่างดีเลยครับ
โดยไฮไลท์ของกลุ่มขนมหวานไทยในความรู้สึกของผมนั่นก็คือ ขนมครกแล้วก็น้ำแข็งไสครับ เพราะก่อนที่ผมจะไปทานอาหารที่นี่ไม่กี่วัน ผมก็บ่นๆ อยู่ว่าอยากกินขนมครกอร่อยๆ พอได้ไปเจอขนมครกอยู่ในไลน์อาหารแบบนี้ก็เลยรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ เพราะมันหาได้น้อยมากจริงๆ ที่จะมีขนมชนิดนี้อยู่ในไลน์อาหารของโรงแรมครับ
ส่วนน้ำแข็งไสนั้นเป็นอะไรที่ผมว่าทาง Amari Watergate และ Amaya Food Gallery ทุ่มทุนมาก เค้าจัดเป็นรถเข็นเฉพาะเลย มีเครื่องให้เราเลือกใส่มากกว่า 10 อย่าง นอกจากนี้น้ำหวานที่มีให้เราราด ก็มีให้เลือกใส่ถึง 5-6 ชนิดด้วยกัน เรียกว่าจัดเต็มมากๆ ครอบครัวไหนที่พาเด็กไปด้วย เด็กๆ น่าจะมาวนเวียนอยู่แถวรถคันนี้นี่แหละครับ ><
ส่วนนี่เป็นจุดที่ทำเครปครับ เป็นการสั่งทำแบบ Made to order มีไส้ให้เลือกหลากหลาย โดยไส้ที่ผมจำได้แน่ๆ ก็มีช็อคโกแลต แล้วก็ฝอยทองครับ วันนั้นผมสั่งช็อคโกแลตมาทาน แป้งบางกรอบ สีสวยและหอมดี ส่วนไส้นั้นทางคนทำก็ใส่ช็อคโกแลตมาให้เข้มข้นเลยครับ
ส่วนของหวานชนิดอื่นๆ ที่ผมว่าน่าสนใจอีกก็ได้แก่ ช็อคโกแลตฟองดู แล้วก็ไอศกรีม โดยทั้งสองอย่างนี้มีของให้เลือกทานเยอะเหมือนกัน อย่างไอศกรีมวันที่ผมไปนั้นก็มีทั้งหมด 4 รส ได้แก่ มะพร้าว, งาดำ, เสาวรส และมะนาว รวมทั้งมีทอปปิ้งให้เลือกใส่หลายชนิด ผมกับต๋งเองได้ลองจัดมาครบทุกรสและมีความคิดเห็นตามนี้ครับ
รสมะพร้าว : เนื้อเนียนดี แต่รสชาติให้ความรู้สึกเหมือนกะทิมากกว่าเนื้อมะพร้าวครับ
รสงาดำ : หอมกลิ่นงาดำ และเนื้อเนียนเช่นเดียวกัน ใครชอบงาดำลองชิมดูนะครับ
รสเสาวรส : เป็นเสาวรสแบบเชอร์เบทนะครับ รสชาติโอเค กินแล้วช่วยแก้เลี่ยนได้ดีพอควร
รสมะนาว : เป็นไอศกรีมแบบเชอร์เบทเช่นเดียวกัน รสชาติเปรี้ยวนำ กินแล้วให้ความรู้สึกที่สดชื่นและสามารถแก้เลี่ยนได้ดีเช่นเดียวกัน
อ้อ ในส่วนของไอศกรีมนั้น เราเลือกได้นะครับว่าจะตักใส่ถ้วยหรือโคน แต่วันที่ผมไปนั้นผมคิดว่าโคนที่เค้าทำทิ้งไว้แอบนิ่มไปหน่อย กินแล้วไม่ค่อยประทับใจ ผมก็เลยเน้นการตักใส่ถ้วยมาทานมากกว่าครับ
ปิดท้ายสเตชั่นนี้กันด้วยผลไม้ครับ โดยผลไม้ของเค้าจะมีการแยกออกเป็นรถเข็นอีกคัน และจะยังไม่ได้มีการผ่าออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ทางพนักงานจะทำการผ่าก็ต่อเมื่อมีคนไปสั่งครับ ใครอยากทานอะไรก็สามารถแจ้งได้เลย มีให้เลือกทานหลายอย่างมาก และคุณภาพโดยรวมถือว่าดีเลยครับ
มาต่อกันที่สเตชั่นถัดไปครับ คราวนี้เราจะกลับมากันที่อาหารคาวอีกครั้ง แต่ว่าจะไม่ใช่อาหารคาวแบบที่หนักมากนะครับ เพราะสเตชั่นนี้จะเป็นกลุ่มสลัด, ผัก, Cold Cuts และชีส ใครที่เป็นสายสุขภาพก็มาที่สเตชั่นนี้ได้เลย ของกินหลากหลายอย่างมาก
คุณภาพโดยรวมจากที่ผมลองเดินๆ ดู ผมว่าน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีนะครับ การจัดเรียงต่างๆ รวมทั้งหน้าตาดูดีเลย แต่ทั้งนี้ผมไม่ขอฟันธงรสชาตินะครับ เพราะวันนั้นผมกับต๋งอิ่มมากจนทำให้พวกเราแทบไม่ได้ทานของในหมวดนี้กันเลย T_T
นี่เป็นหน้าตาของชีสต่างๆ ครับ ถือว่าเป็น Cheese Corner ขนาดใหญ่เลย มีชีสประมาณ 10 ชนิดได้ ทั้ง Camembert, Blue, Paemesan, Edam, Cream, Mozzarella, Gouda, Cheddar และ Brie ใครที่ชอบทานชีสลักษณะนี้ก็แวะมาตักไปชิมได้ครับ
ส่วนนี่เป็นพวกทอปปิ้งแล้วก็เครื่องเคียงต่างๆ ที่มีอยู่ในโซนนี้ครับ หน้าตาหลายอย่างดูน่ากินดี โดยเฉพาะพวกผลไม้อบแห้ง
นอกจากนี้ที่สเตชั่นนี้ก็ยังมีพวกเครื่องดื่มพิเศษไว้บริการด้วยนะครับ สำหรับใครที่ทานราคา 2,150 ++ ต่อคน หรือคนที่ต้องการสั่งมาดื่มแบบเป็นแก้วก็ลองแวะเวียนมาดูหรือสอบถามกับทางพนักงานได้ครับ
และแล้วตอนนี้ผมก็พาทุกคนเดินทางมาถึงสเตชั่นสุดท้ายของไลน์อาหาร Sunday Brunch ห้องอาหาร Amaya Food Gallery แล้วครับ โดยสเตชั่นนี้ก็คืออาหารอิตาลีนั่นเอง
ที่สเตชั่นนี้นอกจากจะมีพาสต้าและพิซซ่าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอาหารอิตาลีแล้ว เค้ายังมีล็อบสเตอร์และฟัวกราส์บริการด้วยนะครับ โดยในส่วนของพิซซ่าจะเป็นแบบแป้งบางกรอบ และพาสต้าจะเป็นการ Made to order สามารถเลือกเส้น และการปรุงรสได้หลายแบบเลย โดยวันนี้ผมสั่งมาเป็นสปาเกตตี้คาโบนาร่าครับ รสชาติดี ซอสเข้มข้น เส้นสุกและนิ่มกำลังดี แต่ขนาดของจานผมว่าใหญ่ไปหน่อยครับ หากใครไปแค่สองคนเจอจานนี้เข้าไปก็คงโดนตัดกำลังไปเยอะพอควร ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ทางห้องอาหารปรับลดขนาดลงอีกนิดจะดีมากเลย
ส่วนนี่เป็นพิซซ่าครับ จะเป็นแบบแป้งบางกรอบและอบใหม่ๆ ตรงนั้นเลย มีสองสามหน้าให้เราเลือกทาน แต่รายการนี้ผมไม่ได้ชิมนะครับก็เลยไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง
นอกจากนี้ที่สเตชั่นนี้ยังมีออเดอร์พิเศษที่เราสามารถสั่งได้อีก 2 อย่างด้วยครับ นั่นก็คือ ล็อบสเตอร์และฟัวกราส์ โดยล็อบสเตอร์นั้นจะมีการจำกัดสิทธิ์ในการทานที่คนละครึ่งตัว โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้เชฟปรุงแบบไหนระหว่างนึ่ง, ย่าง หรืออบกระทียม รวมไปถึงเลือกซอสได้ด้วยว่าจะเอาซอสอะไร ระหว่างซอส X.O., ซอสเนยกระเทียม, ซอสฮอลแลนเดซ และซอสสไปซี่ชิลลี่
ยังไงก็ลองเลือกดีๆ นะครับว่าจะจับคู่อะไรกับอะไรดี และเมื่อจับคู่เสร็จแล้วก็ส่งใบรายการให้พนักงานได้เลย เดี๋ยวทางเชฟจะจัดการปรุงรสให้เราและซักพักทางพนักงานจะนำมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะครับ
สำหรับวันนี้ผมเลือกทานเป็นล็อบสเตอร์อบชีสพร้อมซอสเนยกระเทียม และล็อบสเตอร์ย่างซอส X.O. ครับ รสชาติของทั้งสองรายการนั้นดีเลย อร่อยถูกปากทั้งคู่ ขนาดของล็อบสเตอร์ก็ใหญ่ ความสดก็ดี ถือว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากสำหรับการทานอาหาร Sunday Brunch ในราคาเท่านี้ครับ
ส่วนเมนูฟัวกราส์นี่เป็นอะไรที่ดีมาก เพราะเมนูนี้เราสามารถที่จะสั่งเท่าไหร่ก็ได้ ไม่อั้นเลยครับ โดยฟัวกราส์ของที่นี่จะมาเสิร์ฟพร้อมกับขนมปัง การตกแต่งจานสวยงาม ขนาดของชิ้นก็กำลังดี ไม่เล็กจนน่าเกลียด โดยคนที่อ้าปากกว้างๆ ได้น่าจะสามารถกินหมดได้ในหนึ่งคำ แต่ถ้าใครต้องการรักษากิริยาก็สามารถแบ่งเป็นสองคำทานได้ครับ
รสชาติโดยรวมของฟัวกราส์ที่นี่นั้นดีเลยครับ นุ่มละลายนิดๆ ที่สำคัญกินแล้วไม่รู้สึกเลี่ยนด้วย โดยส่วนหนึ่งที่ช่วยตัดเลี่ยนได้ดีก็คือซอสที่ราดมาด้านบน และขนมปังที่รองมาด้านล่าง โดยขนมปังด้านล่างนั้นจะเป็นขนมปังกรอบนะครับ ใครที่ชอบทานฟัวกราส์แล้วได้มีโอกาสไปทานอาหารที่นี่ก็อย่าลืมสั่งนะครับ อยากทานเท่าไหร่ก็สั่งมาได้เต็มที่เลย
และตอนนี้ผมกับต๋งก็พาทุกคนไปรู้จักทุกซอกทุกมุมของไลน์อาหาร Sunday Brunch ห้องอาหาร Amaya Food Gallery (อมาญา ฟู้ด แกลเลอรี่) ชั้น 4 โรงแรม Amari Watergate (อมารี วอเตอร์เกท) กันครบเรียบร้อยแล้ว และเพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมก็เลยขอสรุปการรีวิวออกมาเป็นหัวข้อต่างๆ ดังนี้นะครับ
วันที่รับประทาน : วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2561
ช่วงเวลา : 12.00 – 15.30 น.
จำนวน : 2 คน
รสชาติอาหาร : รสชาติทั้งอาหารคาวและหวานที่ผมได้ทานในวันนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยครับ แทบไม่มีเมนูไหนที่ผมรู้สึกว่าแย่เลย อาหารส่วนใหญ่รสชาติจะอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง, ดี และดีมาก โดยเมนูที่ผมชอบมากก็ได้แก่ ล็อบสเตอร์, ฟัวกราส์, ผัดไทย, หมูหัน, หมูแดง, หมูกรอบ, เป็ดย่าง แล้วก็อาหารกลุ่ม Seafood on ice โดยเฉพาะขาปูอลาสก้าครับ รายการหลังนี่ผมนั่งกินจนถึงตอนห้องอาหารจะปิดเลย ><
ความหลากหลายของอาหาร : ด้วยจำนวนอาหารที่มากถึง 8 สเตชั่น ครอบคลุมทั้งไทย, จีน, อินเดีย, อิตาลี, ปิ้งย่าง, ซีฟู้ดส์ รวมไปถึงของหวานที่หลากหลายรูปแบบ ก็น่าจะเป็นอะไรที่ทำให้ผมกล้าพูดกับทุกคนอย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่าไลน์อาหารที่นี่มีความหลากหลายจริงๆ โดยบางประเภทอาหารอาจจะมีให้เลือกทานน้อยหน่อย เช่น ไลน์อาหารญี่ปุ่น แต่ในไลน์อื่นๆ ที่เหลือผมว่าทางห้องอาหารจัดมาให้เต็มมากในระดับราคาแบบนี้ครับ
ความสะอาดของร้านและบรรยากาศโดยรวม : ในเรื่องของบรรยากาศของห้องอาหารนั้นผมว่าทาง Amaya Food Gallery จัดมาได้ดีเลยนะครับ ห้องกว้าง พื้นที่เยอะ เพดานสูง การจัดโต๊ะเก้าอี้แต่ละโซนก็มีความหลากหลายและมีความแตกต่าง ทำให้คนที่ไปใช้บริการรู้สึกถึงความแปลกใหม่และไม่จำเจ ส่วนในเรื่องของความสะอาดนั้นก็ทำมาได้ดีเช่นเดียวกัน เพราะทุกๆ วันอาทิตย์หลังจากที่ไลน์ Sunday Brunch ปิดบริการ ทางห้องอาหารแห่งนี้จะมีการ Deep Cleaning ทำความสะอาดกันแบบทุกซอกทุกมุมกันทุกอาทิตย์เลยครับ
การบริการของพนักงาน : อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยครับ พนักงานพูดจาสุภาพ บริการรวดเร็วดี ทั้งการเก็บจาน, เสิร์ฟ รวมไปถึงการเติมเครื่องดื่ม
ความสะดวกของการเดินทาง : จุดนี้อาจจะเป็นจุดที่ทำให้ห้องอาหารแห่งนี้ไม่เป็นที่รู้จักเท่าที่ควร เพราะด้วยทำเลที่ตั้งของโรงแรมที่ไม่ได้ใกล้รถไฟฟ้า BTS, MRT หรือ Airport Link มากนัก ทำให้คนที่ไม่มีรถอาจจะไม่สะดวกในการเดินทางไปซักเท่าไหร่ ส่วนคนที่มีรถส่วนตัวก็อาจจะรู้สึกเบื่อนิดๆ กับการขับรถไปย่านนี้ในช่วงเวลาเร่งด่วนครับ แต่อย่างไรก็ตามหากเราเผื่อเวลาในการเดินทางซักนิด หรือใช้บริการรถเมล์, Taxi หรือมอเดอร์ไซด์รับจ้างเข้าช่วย ห้องอาหารแห่งนี้จะทำให้คุณไม่รู้สึกเสียดายเลยที่เดินทางมาครับ
ความคุ้มค่า : ถ้ามองที่ราคาเต็มแบบไม่มีโปรโมชั่นที่ 1,500 บาท++ ต่อคน (รวมน้ำเปล่า) หรือ 1,690 บาท ++ ต่อคน (รวม Free Flow Soft Drink) ผมก็ต้องพูดตรงๆ ครับว่ายังรู้สึกไม่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปซักเท่าไหร่ เพราะหากเราคำนวณ Vat 7% และ Service Charge 10% เข้าไปแล้ว ราคาต่อคนจะพุ่งไปที่ 1,800-2,000 บาทต่อคนเลย ซึ่งในพิกัดราคานี้ผมว่ามีอีกหลายตัวเลือกเลยที่น่าสนใจกว่าให้เราพิจารณาครับ แต่ถ้าเราสามารถรวบรวมสมาชิกได้ครบ 4 คน และมีบัตร True Card แล้วใช้โปรโมชั่นมา 4 จ่าย 2 ราคาต่อคนสำหรับการทานแบบที่รวมน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวจะเหลืออยู่เพียง 963 บาท net เท่านั้น ส่วนใครที่ต้องการทานเครื่องดื่ม Soft Drink แบบ Free Flow ก็จะอยู่ที่คนละ 1,187 บาท net ซึ่งผมว่าทั้งสองราคานี้มันเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากครับ เพราะการที่จะหาไลน์ Sunday Brunch ที่มีอาหารหลากหลายแบบนี้ คุณภาพแบบนี้ การบริการแบบนี้ มีล็อบสเตอร์กับฟัวกราส์ให้ทานแบบนี้ ในราคาประมาณ 1,000-1,200 บาทต่อคน มันเป็นอะไรที่หาได้ค่อนยากมากเลยครับ
สรุป : ใครที่กำลังมองหาไลน์ Sunday Brunch ที่ราคาไม่แรง, มีคุณภาพอาหารที่ดี, มีประเภทอาหารให้เลือกทานหลากหลาย, ห้องอาหารกว้าง สวยงาม นั่งสบาย, มีล็อบสเตอร์และฟัวกราส์ให้กิน, ของหวานมีความแปลกใหม่, ไลน์อาหารอินเดียเยอะ, ไม่เน้นกินอาหารญี่ปุ่น, พนักงานบริการดี, มี Kids Corner ให้ลูกๆ เล่น สามารถรวบรวมสมาชิกให้ครบ 4 คนได้และมีบัตร True Card ห้องอาหารแห่งนี้เป็นตัวเลือกนึงที่คุณควรนำมาพิจารณาเลยครับ แต่ถ้าใครที่ต้องการเน้นทานอาหารที่คุณภาพพรีเมี่ยมสุดๆ, ต้องการกินล็อบสเตอร์ไม่อั้น, เดินทางสะดวก ใกล้ BTS หรือ MRT และอยากได้ความรู้สึกในการทานอาหารที่คุ้มค่ามากแม้ต้องจ่ายด้วยราคาเต็ม ไม่ใช้โปรโมชั่นใดๆ ห้องอาหารนี้คงยังไม่ตอบโจทย์ที่คุณต้องการครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจของผมกับต๋งก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ ส่วนผู้ที่สนใจหรือต้องการสอบถามข้อมูลต่างๆ ของห้องอาหารแห่งนี้เพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
Facebook : Amaya Food Gallery
Facebook : Amari Watergate Bangkok
Tel : 02-6539000
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราในวันที่ลองใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากนี้ได้ครับ