สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผม นาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะพาทุกคนไปรู้จักกับร้าน Ramen Jiro (ราเมนจิโร่) ร้านราเมนที่ผมกับต๋งยกให้เป็นโคตรราเมนที่ชามใหญ่มากกกกก มากจนพวกผมต้องขอยอมแพ้ตั้งแต่กินไปยังไม่ครึ่งชามเลย T_T
สำหรับร้าน Ramen Jiro นั้นเป็นร้านราเมนที่ราคาไม่แพง ให้ปริมาณเยอะมากทั้งเส้น, ผัก และเนื้อหมูชาชู ส่วนในเรื่องของรสชาตินั้นก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี นั่นก็เลยทำให้ร้านนี้กลายเป็นร้านราเมนขวัญใจของชาวญี่ปุ่นที่ทานเยอะมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1969 หรือเกือบ 50 ปีที่แล้วเลยครับ!!
ปัจจุบันนี้ร้าน Ramen Jiro ในญี่ปุ่นนั้นมีหลายสาขามาก โดยสาขาที่ผมจะพาทุกคนไปในวันนี้ก็คือสาขาในเมือง Aizu-Wakamatsu (ไอซึวากามัตซึ) โดยที่ตั้งของสาขานี้อยู่ห่างจากสถานี Aizu-Wakamatsu เพียงแค่ 200 เมตรเท่านั้น เรียกว่าเดินไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงร้านแล้วครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากจังหวัดฟุกุชิมะ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
สำหรับการเดินทางจากสถานี Aizu-Wakamatsu มายังร้าน Jiro Ramen นั้นก็ไม่ยากเลย เราสามารถใช้ google map แล้วเดินตามทางมาเรื่อยๆ ได้อย่างสบาย แต่สำหรับคนที่ไม่มี internet นั้น ผมแนะนำให้เดินตามนี้เลยครับ
-
ออกจากสถานี Aizu-Wakamatsu แล้วเดินตรงมาเรื่อยๆ จนข้ามถนนที่แยกแรก
-
เมื่อเดินข้ามถนนมาเรียบร้อยแล้วให้เราเลี้ยวขวาและเดินไปตามทางเรื่อยๆ จนมองเห็นร้านในภาพแรกอยู่ทางขวามือของอีกฝั่งถนน
-
ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าซอยที่อยู่ตรงข้ามกับร้านในภาพ จากนั้นเราก็จะเห็นหน้าร้าน Ramen Jiro ที่มีป้ายสีเหลืองแบบนี้อยู่ครับ โดยวันเวลาที่เค้าเปิดบริการก็คือ “วันธรรมดา เปิด 2 ช่วง คือช่วงกลางวันตั้งแต่ 11:00 น.–14:00 น. และช่วงเย็นเปิดตั้งแต่ 17:00 น. – 21:00 น. ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์นั้นจะเปิดช่วงกลางวันอย่างเดียวคือตั้งแต่ 11:00 น.– 15:00 น.” ยังไงก็เช็คเวลาให้ดีก่อนที่จะเดินไปที่ร้านนะครับ จะได้ไม่เสียเที่ยว
ภายในร้าน Ramen Jiro สาขา Aizu-Wakamatsu นั้นจะมีที่นั่งทั้งแบบหน้า Counter และที่นั่งแบบโต๊ะญี่ปุ่น โดยสามารถรอบรับคนได้ทั้งหมดประมาณ 30 คน ใครชอบที่นั่งแบบไหนก็จัดไปได้เลย สำหรับวันนี้ผมกับต๋งเลือกนั่งแบบโต๊ะญี่ปุ่นครับ
หลังจากที่เรานั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วสิ่งที่เราจะต้องทำเป็นอันดับต่อไปก็คือไปสั่งอาหารจากเครื่องอัตโนมัติที่อยู่ข้างๆ ประตูทางเข้า โดยเค้าจะมีเมนูให้เราเลือกสั่งหลายรายการเลย แต่ผมต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่าเมนูของทางร้านนี้จะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ไม่มีภาษาอังกฤษเลย @_@
แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ สำหรับคนที่อยากจะกินราเมนพื้นๆ ที่เป็น Signatue ของทางร้านนั้น เพียงแค่เราเลือกสั่งเมนูที่อยู่แถวบนสุดเราก็ได้กินแล้วครับ โดยเมนูซ้ายสุดที่เป็นป้ายสีน้ำเงินราคา 750 เยนนั้นจะได้หมูชาชู 2 ชิ้น ส่วนเมนูอันถัดมาที่เป็นป้ายสีเหลืองราคา 900 เยนนั้น จะได้หมูชาชู 5 ชิ้น ใครอยากกินหมูมากหมูน้อยก็เลือกเอาเลยครับ
เมื่อเราสั่งเสร็จและจ่ายเงินผ่านตู้เรียบร้อย เจ้าเครื่องนี้จะให้ป้ายพลาสติกเรามาตามสีที่เรากดสั่งไปแบบนี้ครับ โดยวันนี้ผมสั่งเป็นราคา 750 เยน 1 ชาม และ 900 เยนอีก 1 ชาม พอเราได้ป้ายแบบนี้จากเครื่องเรียบร้อยก็ให้เราชูให้พ่อครัวดู เค้าจะได้รู้ว่าเราสั่งอะไรบ้าง จากนั้นก็เรากดน้ำดื่มที่อยู่ข้างๆ ตู้นี้แล้วกลับมานั่งจิบน้ำใจเย็นๆ ที่โต๊ะของเราครับ โดยในขณะที่พ่อครัวทำอาหารชามเราอยู่นั้น เค้าจะมีการสอบถามเราว่าจะใส่พวกผักหรือกระทียมเพิ่มหรือเปล่านะครับ โดยเค้าจะยกของต่างๆ ให้เราดู หากเราต้องการใส่ก็ให้พยักหน้า หากไม่ต้องการใส่ก็ส่ายหน้าครับ แต่สำหรับใครที่พอพูดและฟังภาษาญี่ปุ่นออกก็สามารถบอกตามนี้ได้เลยนะครับ
-
Ninniku = กระเทียม
-
Yasai = ผัก (เป็นกะหล่ำปลีกับถั่วงอกต้ม)
-
Abura = ไขมันจากน้ำต้มซุป
-
Karame = เพิ่มความเผ็ด
ผมนั่งรอประมาณ 10 นาที ทางร้านก็นำราเมนทั้ง 2 ชามมาเสิร์ฟให้ครับ ซึ่งแว้บแรกที่เห็นต้องบอกว่าผมตกใจมากครับเพราะแต่ละชามนั้นใหญ่มาก คือชามใหญ่ไม่พอ ภายในชามนั้นยังอัดแน่นมาด้วยเส้น, ผัก, ถั่วงอกและหมูชาชูจนพูนชาม เรียกว่าแค่เห็นก็รู้สึกอิ่มแล้วครับ @_@
ผมให้ดูขนาดของหมูชาชูใกล้ๆ ครับ หมูชาชูแต่ละชิ้นนั้นใหญ่และหนามากกกกก มากจนหลายคนอาจจะกินแค่หมูแล้วอิ่มได้เลย
สำหรับราเมนชามละ 750 เยนและ 900 เยนนั้นจะต่างกันแค่ปริมาณหมูชาชูที่ใส่มาเท่านั้น โดยแบบ 900 เยนจะได้หมูมากกว่า 3 ชิ้น ใครที่อยากจะทานหมูเยอะๆ ก็สั่งแบบ 900 เยนนะครับ แต่สำหรับผมครั้งหน้าผมคงสั่งแค่แบบ 750 เยนพอครับ เพราะผมว่าหมูชิ้นขนาดนี้ ผมกินแค่ 2 ชิ้นก็เพียงพอแล้ว รอบนี้ผมจัดมา 5 แต่กินไปได้แค่ 3 ก็จอดแล้ว @_@
อ้อ รสชาติของหมูชาชูนั้นจะเป็นหมูสามชั้นที่มันๆ เค็มๆ หน่อยนะครับ ใครไม่ชอบทานอาหารลักษณะนี้ก็ไม่ควรเข้าร้านนี้นะครับ เพราะเดี๋ยวจะไม่ถูกปากแล้วทานไม่ได้ ส่วนอื่นๆ ภายในชามที่นอกจากหมูชาชูก็ได้แก่ผักและถั่วงอกที่พูนชาม, ไข่ แล้วก็เส้นราเมนที่อัดแน่นเต็มพื้นที่ด้านล่างของชามครับ
ในส่วนรสชาติของเส้นราเมนและถั่วงอกนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีถูกปากผมและต๋งครับ โดยเฉพาะถั่วงอกนั้นหวานและกรอบมาก ส่วนในเรื่องของน้ำซุปโดยส่วนตัวผมว่าออกเค็มและมันไปนิดครับ ทานเยอะๆ แล้วอาจจะทำให้เลี่ยนและอิ่มเร็วได้
ส่วนในเรื่องของปริมาณที่ทางร้านให้มานั้น ต้องบอกว่าเยอะมาก โดยเส้นราเมนนั้นน่าจะมีประมาณครึ่งนึงของชามได้ ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าผมกับต๋งใช้เวลานั่งทานไปเกือบๆ 30 นาที เราทั้งสองคนสามารถกินไปได้แค่คนละครึ่งชามเท่านั้นก็อิ่มจนไม่สามารถจะยัดอะไรลงไปได้อีกแล้ว ผิดกับคนญี่ปุ่นหลายๆ คนที่มาทานพร้อมๆ กับเราที่สามารถกินหมดได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 15 นาที แถมบางคนยังสั่งชามใหญ่กว่าเราอีกด้วย บอกเลยว่ายอมใจในความเก่ง ความเร็ว และความสามารถในการกินของพวกเค้าจริงๆ ครับ @_@
และด้วยความที่ผมเจ็บใจในการกินราเมนรอบนี้ว่าทำไมผมถึงกินได้น้อยมาก แต่คนญี่ปุ่นคนอื่นๆ กลับกินหมดได้อย่างสบายๆ ผมเลยกลับมาค้นข้อมูลเพิ่มเติมแล้วพบว่าในการทาน Ramen Jiro นั้น เค้ามีเทคนิคพิเศษในการทานที่เรียกว่า 天地返し (Tenchi gaeshi) หรือ Reverse Top and Bottom ซึ่งวิธีการทำนั้นก็ง่ายๆ คือพอเราได้ราเมนมาแล้ว ก็ให้เราเอาตะเกียบคีบเส้นราเมนส่วนนึงที่อยู่ด้านล่างชามขึ้นมาพาดไว้บนผักก่อนแล้วจึงค่อยทาน โดยการทำแบบนี้จะเป็นการป้องกันไม่ให้เส้นราเมนนั้นอืดและยังเป็นการทำให้ผักด้านบนนั้นซึมซับรสของน้ำซุปเข้าไปเป็นการเพิ่มรสชาติอีกทางหนึ่งด้วยครับ ซึ่งหากเราไม่ทำแบบนี้ด้วยความที่เป็นราเมนชามใหญ่มาก กว่าที่เราจะทานผักลงไปหมดและคีบเส้นราเมนขึ้นมากินได้นั้น เส้นก็อาจจะอืดเกือบหมดแล้ว และนั่นก็จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับท้องเราไปอีกขั้นครับ ซึ่งหลังจากที่ผมได้รู้เทคนิคแบบนี้แล้วผมก็เลยตั้งใจว่าหากผมได้มีโอกาสไปกิน Ramen Jiro อีก ผมจะลองกินตามวิธีนี้ดูว่าผมจะสามารถกินได้จนหมดหรือกินได้มากกว่าครึ่งชามหรือไม่ครับ ><
ก็จบลงแล้วสำหรับการแนะนำร้าน Ramen Jiro ร้านราเมนที่มีชามโคตรใหญ่ยักษ์ หมูชาชูชิ้นใหญ่สุดๆ และที่สำคัญยังรสชาติดี ราคาไม่แรงด้วย ใครที่สนใจจะไปตามรอยผม อยากกินราเมนแบบนี้ซักครั้งก็ลองค้นดูนะครับว่าเค้ามีสาขาที่ไหนบ้าง ส่วนในเรื่องของการไปหลายคนแล้วขอชามแบ่งมาทานด้วยกันนั้น โดยปกติแล้วคนญี่ปุ่นเองเค้าจะไม่ทำกันครับ แต่ในวันที่ผมไปนั้นที่ร้านก็มีชาวจีนขอชามแบ่งเหมือนกันเพราะเค้าคงรู้ว่ากินไม่หมดแน่ๆ สั่งมาทานคนละชามก็คงเหลือ ดังนั้นหากใครคิดว่ากินไม่หมดแต่อยากจะลองชิมก็ลองบอกทางร้านเค้าดูนะครับ แต่ยังไงก็อย่าแบ่งจนน่าเกลียดเกินไปแบบไป 3 คนแล้วสั่งแค่ 1 ชามแบบนี้ ผมว่ามันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ @_@
อ้อ ผมลืมบอกไปเรื่องนึงคือในการทานอาหารที่ร้านนี้หลังจากที่เราทานเสร็จแล้ว ถ้าเราสังเกตดีๆ เราจะเห็นว่าบนโต๊ะของเรานั้นจะมีผ้าผืนเล็กๆ สีขาวอยู่ ผ้าผืนนี้คือผ้าเช็ดโต๊ะ ซึ่งเราควรจะต้องเอาผ้าผืนนี้เช็ดโต๊ะเราหลังจากที่เราทานเสร็จ จากนั้นก็ยกชามราเมนของเราที่ทานเรียบร้อยแล้วไปวางที่เคาน์เตอร์ของทางร้านด้วยนะครับ ^^
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนจบ สำหรับใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิดก็สามารถติดตามได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้