หลังจากที่ผมกับต๋งได้มีโอกาสไปเที่ยวฟุกุชิมะ (Fukushima) ด้วยตัวเองมา รวมทั้งได้ตะลอนไปเมืองต่างๆ ภายในจังหวัดนี้ 6-7 วันด้วยกัน พวกเราก็ลงความเห็นว่าเมืองไอซึวากามัตซึ (Aizu-Wakamatsu) ถือเป็นเมืองที่น่าเที่ยวอันดับต้นๆ ของจังหวัดนี้เลย ด้วยความที่เมืองแห่งนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่ มีสถานที่เที่ยวมากมายทั้งแนวท่องเที่ยวธรรมชาติ, แนวประวัติศาสตร์, แนวโบราณสถาน, แนววิถีชีวิต จนไปถึงแนวชีวประวัติบุคคลสำคัญ เอาเป็นว่าแหล่งท่องเที่ยวในเมืองนี้มีมากมายชนิดที่หลายๆ คนสามารถที่จะเที่ยว 3-4 วันได้อย่างสบายๆ เลยครับ
ส่วนตัวผมเองนั้นก็ได้วางแผนการเที่ยวที่เมืองแห่งนี้ไว้ที่ประมาณ 2 วันครึ่ง โดยแบ่งแผนการท่องเที่ยวออกเป็นตามนี้นะครับ
วันที่ 1 : หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณโออูจิจูคุ (Ouchi Juku) และจุดชมวิวที่ Tono Hetsuri
วันที่ 2 : ปราสาทซึรุกะ (Tsuruga Castle), สุสาน 19 ซามูไรเสือขาว Byakkotai, เจดีย์โบราณ Sazaedo, คฤหาสน์ซามูไร Aizu-bukeyashiki และปิดท้ายด้วยการไปแช่ออนเซ็นที่ Higashiyama Onsen
วันที่ 3 : จุดชมวิวเส้นทางรถไฟ Tadami Line และเที่ยวเมืองคิตะคาตะ (Kitakata) ซึ่งเป็นเมืองแห่งราเมนและสาเก
โดยแผนเที่ยวเกือบ 3 วันเต็มนี้เป็นเพียงสถานที่เที่ยวที่เราคิดว่าน่าสนใจและเหมาะสมกับ Life Style ของผมกับต๋งที่สุดครับ และรายชื่อพวกนี้ก็ยังไม่ใช่สถานที่เที่ยวทั้งหมดในเมืองนี้นะครับ มันยังเหลือให้เที่ยวอีกเยอะเลยครับ ^^
เอาล่ะ ตอนนี้ถ้าพร้อมแล้วเราไปลุยเที่ยวเมือง Aizu-Wakamatsu กันดีกว่า โดยจุดเริ่มต้นของเราในวันนี้คือการเดินทางจากสถานี Aizu-Wakamatsu เพื่อไปยังสถานี Yunokami Onsen เพื่อไปยังหมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณโออูจิจูคุ (Ouchi Juku) ซึ่งผมแนะนำเลยว่าหากใครมีแผนจะเที่ยวเมือง Aizu-Wakamatsu ตั้งแต่ 2 วันขึ้นไปและตั้งใจจะไปหมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณโออูจิจูคุ ควรจะหาซื้อบัตร Aizu Gurutto Card ไว้ครับ เพราะบัตรนี้จะสามารถใช้เดินทางในเขตเมืองนี้ได้แบบไม่จำกัดถึง 2 วันเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถไฟหรือการนั่งรถบัสภายในเมือง โดยราคาของบัตรนี้สำหรับผู้ใหญ่คือ 2,670 เยน ส่วนของเด็กคือ 1,340 เยน และสถานที่สามารถซื้อบัตรนี้ได้ก็คือที่ JR Ticket Office ของสถานี Koriyama, สถานี Aizu-wakamatsu, สถานี Inawashiro และสถานี Kitakata
หมายเหตุ : สามารถดูข้อมูลการใช้งานบัตร Aizu Gurutto Card รวมทั้งจุดจำหน่ายเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้ https://www.aizukanko.com/kk/aizucard/buy.htm นะครับ หรือหากใครคำนวนดูแล้วว่าซื้อบัตรนี้ไม่คุ้มก็เลือกซื้อเป็นตั๋วรถบัสแบบ 1 วัน เพื่อเที่ยวในเมืองในราคา 500 เยน/คน แทนก็ได้ครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากจังหวัดฟุกุชิมะ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
อ้อ….ด้วยความที่เมืองไอซึวากามัตซึแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งซามูไร ดังนั้นสถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างภายในเมืองก็เลยจะมีความเกี่ยวข้องกับซามูไรหรือญี่ปุ่นในสมัยก่อนเยอะเหมือนกันครับ ส่วนสัญลักษณ์ของเมืองนี้จะเป็นเจ้าวัวแดงแบบที่เห็นในรูปข้างล่างนี่แหละครับ และไม่ว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนในเมืองนี้เจ้าวัวแดงนี่จะไปโผล่อยู่แทบทุกที่เลย ^^
สำหรับการเดินทางจากสถานี Aizu-Wakamatsu ไปยังสถานี Yunokami Onsen นั้นจะใช้เวลาประมาณ 40 นาที และมีค่าใช้จ่าย 1,030 เยน/เที่ยว ดังนั้นหากเรานั่งรถไฟไปกลับก็ราคา 2,060 เยนแล้ว ผมก็เลยแนะนำว่าให้ซื้อ Aizu Gurutto Card เลย รับรองว่าได้ใช้จนคุ้มแน่ๆ โดยลักษณะของสถานี Yunokami Onsen นั้นจะเป็นสถานีเล็กๆ ที่มีความน่ารักตั้งแต่ของตกแต่งภายในสถานีที่ให้ความรู้สึกว่าอยู่ในบ้านญี่ปุ่นโบราณ, ร้านขายขนมที่ได้บรรยากาศเมืองในอดีต จนถึงการมีออนเซ็นให้เราแช่เท้าฟรีๆ
นี่เป็นหน้าตาของออนเซ็นที่ให้เราแช่เท้าฟรีครับ จะอยู่ข้างๆ สถานีเลย ขนาดของบ่อนั้นใหญ่มากสามารถแช่พร้อมกันได้เกิน 20 คน ส่วนระดับความร้อนนั้นก็คือว่าสูงใช้ได้โดยเฉพาะสำหรับคนไทยอย่างพวกเราที่ไม่ค่อยชินกับการได้แช่น้ำร้อนแบบนี้ แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วดูเค้าชิวๆ มาก สามารถเอาเท้าลงไปแช่ได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ต้องมีการชะงักหรือลังเลอะไรเลย @_@
อ้อ ถึงออนเซ็นบริเวณข้างสถานีนี้เค้าจะเปิดให้ใช้บริการฟรี แต่ก็มีจุดรับบริจาคเงินอยู่ข้างๆ นะครับ หากใครอยากจะบริจาคก็สามารถหยอดเงินลงไปได้เลย นอกจากนี้ภายในสถานีแห่งนี้ก็ยังมีตู้ล็อคเกอร์ขนาดเล็กอยู่ เผื่อใครมีกระเป๋าเล็กๆ ติดมาด้วยแล้วไม่อยากจะแบกไปเที่ยวที่หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณด้วยก็สามารถที่จะฝากไว้ก่อนได้
สำหรับการเดินทางจากสถานี Yunokami Onsen ไปยังหมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณโออูจิจูคุนั้นก็ง่ายๆ พอเราออกจากสถานีก็ให้เราเลี้ยวซ้ายแล้วเดินไปตามทางจะเห็นจุดรอรถบัสอยู่ โดยจะมีอัตราค่าบริการอยู่ที่ 500 เยน/คน/เที่ยว หรือเราจะเลือกซื้อเป็นตั๋ววันที่นั่งกี่รอบก็ได้ที่ราคา 1,000 เยน/คน ซึ่งตั๋วทั้งสองแบบนี้สามารถซื้อบนรถได้เลย รวมทั้งยังสามารถของตารางเวลาการให้บริการของรถที่พนักงานได้ด้วย ซึ่งผมแนะนำให้ขอไว้เลยนะครับ เราจะได้ไม่พลาดรอบรถเพราะหากพลาดไปทีนึงต้องรออีกเป็นชั่วโมงเลย
หมายเหตุ : ตารางเวลารถบัสนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาล ดังนั้นอาจจะต้องทำการเช็คใหม่อีกครั้ง โดยในช่วงฤดูหนาวนั้นรถบัสจะมีบริการเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้นครับ
รถบัสใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็พาเรามาถึงที่โออูจิจูกุ โดยจุดที่จอดรถนั้นจะเป็นบริเวณถนนสายหลัก ซึ่งเจ้าหน้าที่บนรถจะพาเราเดินต่อไปอีกประมาณ 200 เมตรเพื่อไปยังหมู่บ้านและแจ้งเราว่าในการขึ้นรถบัสกลับไปยังสถานีนั้นให้เรากลับไปรอรถตรงจุดเดิม ที่สำคัญอย่าลืมดูเรื่องเวลารถในแต่ละรอบด้วยเพื่อที่จะได้ไม่พลาดเที่ยวรถไป
สำหรับประวัติโดยคร่าวของหมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณโออูจิจูกุนั้นก็คือในสมัยเอโดะ ถนนเส้นที่ผ่านหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ถือเป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมและการค้าที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาจักรไอสึ (Aizu city) และเมืองอิไมชิ (Imaichi) ดังนั้นหมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งที่พักระหว่างทางที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีครบทั้งอาหารและที่พัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเส้นทางสายใหม่หลายๆ สายก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งสะดวกสบายกว่า ทั้งประหยัดเวลากว่า จนทำให้มีคนที่ผ่านหมู่บ้านแห่งนี้น้อยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นหมู่บ้านร้าง จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2524 ทางญี่ปุ่นก็ได้เข้ามาดูแล บูรณะ ปรับปรุงและขึ้นทะเบียนหมู่บ้านนี้ให้เป็นเขตอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างอันทรงคุณค่าของชาติ โดยในปัจจุบันหมู่บ้านโบราณเหล่านี้มีความสวยงามสมบูรณ์มาก และบ้านหลายๆ หลังได้ปรับมาเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านค้าขายสินค้าพื้นเมือง ร้านอาหารและที่พักแบบญี่ปุ่นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งก็ถือว่าได้ผลเลยครับ เพราะปัจจุบันนี้มีนักท่องมาเยี่ยมชมหมู่บ้านนี้มากกว่า 1 ล้านคนต่อปีเลยครับ
สำหรับจุดที่ไม่ควรพลาดเลยกรณีที่เรามาหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือการเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวบริเวณสุดถนน ซึ่งเราจะสามารถมองเห็นบ้านโบราณที่มุงหลังคาทรงหญ้าคาหนาๆ กว่า 40 หลังเรียงรายกันสองฝั่งถนนและกินระยะทางถึง 500 เมตรเลย โดยข้างๆ จุดชมวิวจะมีศาลเจ้าเล็กๆ ที่เงียบสงบแต่ดูขลังมากๆ ตั้งอยู่ด้วยครับ
หลังจากชมวิวที่จุดชมวิวเสร็จแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาเดินเล่นภายในหมู่บ้านกันแล้วครับ โดยตลอด 2 ข้างทางจะมีร้านที่ขายของต่างๆ เต็มไปหมดทั้งของกินและเครื่องใช้ ซึ่งหนึ่งสิ่งที่ถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คือร้านราเมนสุดอร่อย แต่บังเอิญว่าพวกผมนั้นกินข้าวกันมาก่อนแล้วก็เลยไม่ได้ชิม ก็เอาเป็นว่าใครที่มีแผนจะมาที่นี่ก็เผื่อท้องมาลองชิมราเมนของที่นี่ดูนะครับ
และสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆ ในการเที่ยวหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ การที่เค้าขายน้ำเย็นด้วยกระบวนการทางธรรมชาติด้วยการเอาขวดน้ำไปปล่อยให้กระแสน้ำเย็นในลำธารสองข้างถนนไหลผ่าน แค่มองเห็นก็รู้สึกเย็นชื่นใจแล้วครับ ยิ่งได้ลองเอามือกับขวดน้ำลงไปแช่ดูเองแล้วก็ยิ่งพบว่ามันเย็นชื่นใจจริงๆ ^^
และด้วยความที่หมู่บ้านแห่งนี้มีความสวยงามมาก จนน่าจะทำให้หลายๆ คนเพลินเพลินกับการถ่ายรูปได้ 1-2 ชั่วโมงอย่างสบายๆ แต่ผมอยากจะบอกว่าหากคุณมีการเตรียมตัวดีๆ อย่างเช่นการนำเอาชุดยูกาตะมาใส่เดินเล่นและถ่ายรูปด้วย รับรองว่าทริปนี้ของคุณจะฟินและทำให้เพื่อนคุณหลายๆ คนอิจฉาตาร้อนไปเลยครับ
หลังจากที่เราเดินเที่ยวชมบรรยากาศต่างๆ ในหมู่บ้านโออูจิจูคุจนหนำใจแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราต้องไปขึ้นรถบัสกลับไปยังสถานี Yunokami Onsen เพื่อไปยังสถานี Tono Hetsuri ต่อ ซึ่งจริงๆ แล้ว 2 สถานีนี้อยู่ใกล้กันมากๆ นั่งรถไฟเพียงแค่ 5 นาทีก็ถึง แต่กว่าที่รถไฟจะมาแต่ละรอบนั้นก็รอต้องรอนานพอดูเหมือนกันครับ ดังนั้นเช็ครอบเวลารถบัสและรถไฟดีๆ นะครับ จะได้ไม่ต้องไปนั่งรอนาน @_@
สำหรับจุดชมวิว Tono Hetsuri นั้นจะอยู่ห่างจากสถานี Tono Hetsuri ประมาณ 3-400 เมตร และเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงมากๆ แห่งนึงของจังหวัดฟุกุชิมะเลย โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนของทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวแวะมาชมความงามของภูเขา, หน้าผา, ลำธาร และสีสันของต้นไม้กันอย่างมากมาย แต่สำหรับในช่วงเดือนอื่นๆ ก็จะมีนักท่องเที่ยวไม่มากเท่าไหร่เพราะโทนสีที่เราเห็นจะมีแค่โทนสีเขียวเท่านั้นครับ
หลังจากที่ชมวิวสวยๆ และสูดบรรยากาศบริสุทธิ์ที่ Tono Hetsuri จนชุ่มปอดแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาที่ผมกับต๋งจะเดินทางกลับไปยัง Aizu-Wakamatsu เพื่อเตรียมตัวสำหรับการตะลุยเมืองแห่งซามูไรในวันพรุ่งนี้ต่อแล้วครับ แต่แน่นอนว่าถ้าพวกเราสองคนได้ไปเที่ยวที่เมืองไหนพวกเรามักจะไม่พลาดในการหาของอร่อยๆ ทาน และวันนี้ร้านที่พวกเราเลือกฝากท้องเป็นการปิดท้ายก่อนนอนก็คือร้านอาหารเล็กๆ ที่อยู่ตรงข้ามกับโรงแรม Aizu Washington ที่เราพัก และผมขอบอกเลยว่าถึงจะเป็นร้านเล็กๆ จนแทบจะมองหาหน้าร้านไม่เห็น มีแค่ไม่กี่โต๊ะ แต่เรื่องรสชาติกับความคุ้มค่านั้นถือว่าดีงามเลยครับ
สำหรับราคาอาหารในมื้อนี้ทั้งหมดก็ 1,500 เยนเอง โดยแบ่งเป็นข้าวหน้าหมูทอด ราคา 1,000 เยน ส่วนราเมนชามใหญ่ยักษ์นั่นแค่ 500 เยนเองครับ
อ้อ….ผมมีเรื่องเล่าทิ้งท้ายนิดนึงเกี่ยวกับการทานอาหารในมื้อนี้ นั่นก็คือตอนที่ผมกำลังมีปัญหากับการสั่งอาหารในร้านเพราะร้านเค้ามีแต่ภาษาญี่ปุ่นล้วนแถมไม่มีรูป และเจ้าของร้านแทบจะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็เกิดเรื่องนึงที่ทำให้ผมประทับใจมากๆ ก็คือมีผู้ชายชาวญี่ปุ่นโต๊ะข้างๆ เข้ามาช่วยเหลือผมด้วยการแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ จนเราทั้งสองคนได้ทานอาหารอร่อยๆ ในราคาคุ้มค่าแบบนี้ โดยผู้ชายชาวญี่ปุ่นคนนี้เป็นคนโตเกียวที่เดินทางมาทำธุระที่เมืองนี้พอดี และนี่ถือเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกดีและหลงรักประเทศนี้ขึ้นมาอีกหลายเท่าตัวเลยครับ
และทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองของผม ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ โดยทุกท่านสามารถติดตามทุกเรื่องราวของผมกับต๋งแบบรวดเร็วทันใจได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” และสามารถชมคลิปการเดินทางในวันนี้ของเราได้ที่ด้านล่างเลยครับ
แล้วอย่าลืมมาติดตามการท่องเที่ยวของผมต่อในรีวิวหน้านะครับ เพราะทั้งฟุกุชิมะและไอซึวากามัตซึยังมีอะไรให้เราค้นหา ยังมีอะไรให้เราเที่ยวอีกเยอะเลย!! ลุยๆๆๆ เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองแสนสนุกและไม่น่ากลัวอย่างที่คิดครับ เตรียมข้อมูลดีๆ แล้วจัดกระเป๋าออกไปตะลุยเลย!!
หมายเหตุ : สำหรับใครที่อยากจะอ่านเรื่องการเช่าชุดยูกาตะจากไทยเพื่อไปตะลุยญี่ปุ่นว่ามันดีงามและคุ้มค่าแค่ไหน ก็กดอ่านที่นี่ได้เลยครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป