สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผมกับต๋งจะพาทุกคนไปลิ้มลองอาหารญี่ปุ่นสุดอร่อยบนถนนราชดำริกัน โดยก่อนอื่นเลยผมต้องขอสารภาพตามตรงว่านี่คือหนึ่งในร้านอาหารที่ผมอยากจะไปลองทานมากๆ ในปีนี้ครับ เพราะภาพแต่ละภาพ รีวิวแต่ละรีวิวที่เขียนถึงร้านนี้ล้วนแต่ดูน่ากินมากๆ โดยเฉพาะภาพของซูชิปลาไหลยาวเหยียดที่สะดุดตาผมตั้งแต่แว้บแรกที่ได้เห็นเลย
หมายเหตุ : ขอขอบคุณภาพประกอบจากเพจ Nama Sushi Bar ครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
และในที่สุดหลังจากการรอคอยมานานฝันของผมก็เป็นจริง โดยผมกับต๋งได้มีโอกาสไปลองทานอาหารที่ร้าน Nama Sushi Bar ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2561 และอาหารมื้อนั้นก็ทำให้เราสองคนประทับใจมาก และเราเชื่อว่าสำหรับคนที่ชอบทานอาหารญี่ปุ่นเกรดพรีเมี่ยมแล้วน่าจะถูกใจกับร้านนี้แน่ๆ เพราะเจ้าของร้านเค้าเลือกสรรแต่วัตถุดิบอย่างดีมาปรุงอาหาร รวมทั้งยังมีการคิดเมนูใหม่ๆ เอง จึงทำให้นอกจากอาหารจะมีรสชาติที่ดีแล้ว หน้าตาของอาหารและส่วนผสมในเมนูส่วนใหญ่ของร้านนี้ยังดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนกับร้านอื่นๆ ด้วยครับ
เอาล่ะ เกริ่นยั่วน้ำลายกันมาพอควรแล้ว คราวนี้เราไปไล่ดูรีวิวเต็มๆ ของร้าน Nama Sushi Bar แห่งนี้กันดีกว่าว่ามันจะสมกับที่ผมบอกทุกคนมั้ย และแน่นอนว่าอันดับแรกสุดนั้นผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับหน้าตาของร้านและที่ตั้งกันก่อนครับ
ร้าน Nama Sushi Bar ตั้งอยู่ในซอยมหาดเล็ก 3 ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ BTS ราชดำริ และอยู่ไม่ห่างจากแยกราชประสงค์กับ Central Word มากนัก โดยตัวร้านจะอยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงแรมอนันตรา บ้านราชประสงค์ (Anantara Baan Rajprasong) ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้าน Nama Sushi Bar นั้นจะสามารถจอดรถในอาคารจอดรถของโรงแรมได้เลยครับ โดยเมื่อเราจอดรถเสร็จแล้วก็ให้เดินออกมาที่หน้าโรงแรมและเลี้ยวซ้าย จากนั้นเราก็จะเห็นร้าน Nama Sushi Bar แบบนี้ครับ
หมายเหตุ : สำหรับคนที่ไม่ได้ขับรถมา สามารถเดินเท้าจาก BTS ราชดำริ หรือจากปากซอยมหาดเล็ก 3 ได้เลย ระยะทางในการเดินถึงร้าน Nama Sushi Bar จะประมาณ 250 เมตรครับ
ลักษณะร้านของ Nama Sushi Bar นั้นจะเป็นอาคาร 1 ชั้นที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ภายในร้านจะมีบริเวณเคาน์เตอร์ที่เชฟใช้ทำอาหารแล้วก็โต๊ะอีกประมาณ 8-9 โต๊ะ ซึ่งผมลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้วน่าจะสามารถรองรับคนได้ประมาณ 40 คนครับ โดยทางร้านเน้นการตกแต่งด้วยสีไม้ ใช้กระจกและสีอ่อนเข้าช่วย ก็เลยทำให้บรรยากาศโดยรวมดูกว้างขวาง ละมุนและน่านั่งมากครับ
และนี่เป็นโซนที่นั่งที่ผมรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษเลยครับ เป็นที่นั่งแบบเคาน์เตอร์บาร์ที่เราจะนั่งหันหน้าออกไปทางกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นพื้นที่สีเขียวๆ ได้ มันดูโล่งและสบายตาดี โดยเฉพาะใครที่ไปช่วงเย็นที่มีแดดอ่อนๆ มันจะเป็นจุดที่นั่งได้ชิลและถ่ายรูปได้สวยมากครับ
และหากใครไม่ชอบนั่งในห้องแอร์ก็สามารถที่จะไปนั่งในพื้นที่ Outdoor ของร้านกาแฟที่อยู่ข้างๆ กันได้นะครับ มันก็จะได้อารมณ์ของการกินอาหารญี่ปุ่นที่แตกต่างออกไปและไม่เหมือนใครดี
สำหรับเวลาในการเปิดบริการของร้าน Nama Sushi Bar นั้น เค้าจะมีการเปิดบริการเป็น 2 ช่วงนะครับ คือช่วงกลางวันและช่วงเย็น ใครสนใจที่จะไปทานอาหารที่นี่ก็ดูเวลากันดีๆ นะครับ
เวลากลางวันเปิด : 11.00 น. – 14.00 น.
เวลาเย็นเปิด : 17.00 น. – 22.00 น.
เอาล่ะครับ รู้ตำแหน่งที่ตั้งร้าน บรรยากาศร้าน และเวลาเปิดปิดกันไปแล้ว ทีนี้ก็ตามไปดูในส่วนของเมนูอาหารกันดีกว่า ซึ่งต้องบอกว่าแว้บแรกที่ผมเห็นเมนูของร้าน Nama Sushi Bar นั้น ผมก็รู้สึกแปลกใจมากๆ เพราะตอนแรกผมคิดว่าร้านนี้จะเน้นขายเฉพาะซูชิและซาชิมิเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมาผมเห็นแต่รีวิวส่วนใหญ่โพสต์แต่ภาพซูชิใหญ่ๆ ยาวๆ แล้วก็รวมถึงชื่อร้านที่ใช้คำว่า Sushi Bar ด้วย แต่ปรากฏว่าจริงๆ แล้วร้าน Nama Sushi Bar แห่งนี้มีอาหารญี่ปุ่นจำหน่ายหลากหลายประเภทมาก และแต่ละเมนูก็ดูน่ากินสุดๆ
นี่เป็นหน้าตาเมนูเค้าครับ เล่มใหญ่หน้าปกแข็งแรงและภาพด้านในสวยมาก เห็นแล้วน้ำลายไหลเลย
ภายในเมนูจะมีการแบ่งอาหารออกเป็นหมวดต่างๆ ได้แก่ ซูชิ (Sushi), ซาชิมิ (Sashimi), ของทานเล่น (Appetizer), สลัด (Salad), โรล (Roll), ข้าวหน้าต่างๆ (Donburi), สเต๊ก (Steak), ของทอด (Agemono), ของย่าง (Yakimono), โซบะ-อุด้ง (Soba-Udon), หม้อไฟ (Nabe) แล้วก็ของหวานกับเครื่องดื่มครับ
ใครสนใจอาหารประเภทไหนเป็นพิเศษก็ลองเลือกดูนะครับ มีแต่เมนูน่าทานทั้งนั้น
ในส่วนของราคาอาหารนั้นต้องบอกว่าโดยรวมๆ แล้วราคาของร้าน Nama Sushi Bar จะอยู่ในระดับเดียวกับร้านอาหารญี่ปุ่นตามห้างที่เรารู้จักคุ้นหูคุ้นตากันดี แต่ก็จะมีบางเมนูเหมือนกันที่ราคาจะสูงกว่าเล็กน้อย เพราะด้วยโพสิชั่นของร้านแล้วร้านแห่งนี้คือร้านอาหารญี่ปุ่นเกรดพรีเมี่ยมที่เลือกสรรแต่วัตถุดีๆ มาปรุงอาหารครับ ซึ่งถ้าใครที่ทานอาหารญี่ปุ่นที่เป็นร้านพรีเมี่ยมอยู่เป็นประจำก็จะรู้สึกว่านี่เป็นราคาปกติที่รับได้เลย และเดี๋ยวพอทุกคนได้ไล่ตามอ่านรีวิวของผมไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเห็นเองว่าราคาหลายๆ เมนูที่ทางร้านตั้งไว้มันสมเหตุสมผลแล้วครับ
ผมให้ดูราคาในส่วนของซูชิและซาชิมิแล้วกันนะครับ จะได้พอประมาณได้ว่าราคาอาหารของร้าน Nama Sushi Bar นั้นประมาณเท่าไหร่ โดยราคาที่เราเห็นในเมนูนั้นจะเป็นราคาที่ยังไม่รวม Service Charge 10% นะครับ
แล้วก็นอกจากเมนูอาหารเล่มใหญ่ๆ ที่ผมเอามาให้ทุกคนดูแล้ว ตอนนี้ทางร้าน Nama Sushi Bar ยังได้มีการทำ Lunch Set หรือเซ็ตชุดอาหารกลางวันออกมาบริการด้วยนะครับ โดยอาหารต่างๆ ใน Lunch Set นี้จะมีราคาที่ย่อมเยาลงมาแต่จะมีการจำหน่ายเฉพาะเวลา 11.00 น. – 14.00 น. เท่านั้นครับ (จำหน่ายทุกวัน)
และสำหรับในส่วนของเครื่องดื่มนั้น นอกจากชาเขียวร้อน/เย็น refill แก้วละ 40 บาทแล้ว ทางร้าน Nama Sushi Bar ยังมีเมนูเครื่องดื่มเด็ดๆ แบบนี้ไว้บริการด้วยนะครับ
โดยในวันนั้นผมกับเพื่อนๆ ได้ลองไปทั้งหมด 4 เมนูด้วยกัน ได้แก่
  1. Okinawa Lava ราคาแก้วละ 65 บาท
  2. Murasaki Imo ราคาแก้วละ 85 บาท
  3. Matcha Honey ราคาแก้วละ 90 บาท
  4. Matcha Chocolate ราคาแก้วละ 90 บาท
ซึ่งหากใครอยากจะเพิ่มท้อปปิ้งอะไรเป็นพิเศษก็สามารถสั่งได้ครับ โดยผมกับต๋งเลือกสั่งไข่มุกเพิ่ม และเราทั้งสองคนก็ตัดสินใจถูกมากเพราะไข่มุกของที่นี่อร่อยมากครับ มันจะเป็นไข่มุกที่เด้งหนึบๆ คล้ายกับเจลลี่ กินแล้วเคี้ยวสนุกมาก ไม่เหมือนกับไข่มุกทั่วๆ ไปที่จะออกไปทางเหนียวหนึบเป็นหลัก แล้วก็ไข่มุกของที่นี่จะมีขนาดกลางๆ ไม่ได้ใหญ่มากด้วย ก็เลยทำให้กินเพลินเลยครับ
รสชาติโดยรวมของเครื่องดื่มทั้ง 4 แก้วนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจนถึงดีมาก โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของมันม่วงและชาเขียว เค้าผสมมาได้เข้มข้นมาก โดยทางร้านได้บอกด้วยว่าหากใครที่อยากกินชาเขียวแบบที่เข้มข้นแบบสุดๆ ก็ให้สั่งเป็น Grand Matcha ที่ราคา 120 บาท/แก้ว เลย รับรองว่าเข้มข้นถึงใจอย่างแน่นอน
อ้อ สำหรับขนาดแก้วของเครื่องดื่มนั้น ขนาดแก้วจะอยู่ในระดับกลางๆ นะครับ คือประมาณมือเรากำพอดี ส่วนความหวานนั้นผมสั่งแบบหวานปกติทั้งหมดและผมคิดว่ามันอยู่ในระดับที่พอดีแล้วครับ แต่ถ้าใครไม่ชอบทานอะไรที่มีรสหวาน ก็ลองสั่งเป็นหวานน้อยมาทานก็ได้ครับ
เอาล่ะครับ รู้จักกับเครื่องดื่มและประเภทอาหารที่ทางร้านเค้ามีบริการกันไปแล้ว คราวนี้เรามาดูอาหารที่ผมกับต๋งและเพื่อนๆ ทานกันในวันนั้นดีกว่า โดยรายการอาหารทั้งหมดที่เราทานก็มีดังนี้เลยครับ
  1. ซาชิมิเซ็ต คนรักแซลมอน (Salmon Crazy Sashimi Set) ราคา 880 บาท
  2. ปลาไหลบอมบ์ (Unagi Bomb) ราคา 480 บาท
  3. โรลปูนิ่ม (Spider Roll) ราคา 450 บาท
  4. โซบะเย็น 3 สี (Sanshoku Soba) ราคา 220 บาท
  5. แซลมอนบลอสซั่ม (Salmon Blossom) ราคา 390 บาท
  6. ไข่ม้วนไส้เมนไทโกะ (Mentaiko Tamago Yaki) ราคา 320 บาท
  7. สลัดปลาเงิน (Shirauo Salad) ราคา 280 บาท
  8. ข้าวหน้ากุ้งเทมปุระ (Ten Don) ราคา 320 บาท
  9. แก้มปลาฮามาจิ (Hamachi Kama Ume) ราคา 680 บาท
  10. เทมปุระเจ้าทะเล (Poseidon Tempura) ราคา 850 บาท
  11. โซบะเส้นปลาหมึกญี่ปุ่น (Ika Somen) ราคา 350 บาท
  12. ข้าวอบหน้าปลาไหลห่อใบโฮบะ (Unagi Hoba Mushi) ราคา 650 บาท
หมายเหตุ : ราคาดังกล่าวยังไม่รวม Service Charge 10% นะครับ
เรามาเริ่มไล่ดูหน้าตาและพูดถึงรสชาติกันทีละรายการเลยนะครับ เริ่มจากซาชิมิเซ็ต คนรักแซลมอน (Salmon Crazy Sashimi Set) รายการนี้ผมบอกเลยว่าใครได้เห็นของจริงต้องบอกว่าคุ้มมากๆ กับราคา 880 บาท เพราะขนาดของจานนั้นใหญ่มาก แถมขนาดของแซลมอนแต่ละชิ้นมันก็ใหญ่และหนามากครับ
ซูมกันให้ดูแบบเน้นๆ ให้เห็นถึงความใหญ่และหนาของเนื้อปลาแบบชัดๆ และก็ตามชื่อเมนูแหละครับว่านี่คือซาชิมิเซ็ตสำหรับคนรักแซลมอน ดังนั้นในจานนี้จึงประกอบไปด้วยแซลมอนล้วนๆ ทั้งเนื้อส่วนปกติ, เนื้อส่วนท้อง, เนื้อแซลมอนเบิร์น, เนื้อแซลมอนสับ แล้วก็ยำแซลมอน และแน่นอนว่าสำหรับคนชอบทานแซลมอนอย่างผมแล้ว ผมรู้สึกปลื้มกับรายการอาหารจานนี้มากโดยเฉพาะแซลมอนเบิร์นและยำแซลมอน โดยการที่ทางร้านได้มีการนำเอายำแซลมอนที่มีรสชาติเผ็ดและเปรี้ยวนิดๆ แบบนี้มาไว้ในจานด้วย มันทำให้เราไม่เลี่ยนและสามารถกินแซลมอนปริมาณเยอะขนาดนี้ได้สบายๆ เลยครับ
จานนี้ผมขอแนะนำเลยว่าใครที่มาทานอาหารที่ร้าน Nama Sushi Bar เป็นครั้งแรก และเป็นคนที่ชอบทานแซลมอนอยู่แล้วควรสั่งมาลองทานเลยครับ ยกเว้นว่าใครที่เป็นคนที่ชอบทานเฉพาะส่วนจริงๆ เช่น อยากกินแต่เนื้อแซลมอนล้วน, อยากกินแต่เนื้อแซลมอนส่วนท้อง หรือไม่อยากทานในส่วนของที่เป็นยำ อันนั้นค่อยสั่งแยกเป็นอย่างๆ จะดีกว่าครับ
ต่อกันที่จานที่สอง ปลาไหลบอมบ์ (Unagi Bomb) เมนูที่พอพนักงานของร้านยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะผมถึงกับน้ำลายไหล เพราะในบรรดาอาหารญี่ปุ่นทั้งหมด ปลาไหลคือประเภทของเนื้อที่ผมชอบทานมากที่สุดเลยครับ ><
เมนูนี้จะประกอบไปด้วยโรลปลาไหลจำนวน 5 ชิ้น แล้วก็มีแซลมอนสับผสมกับไข่กุ้งราดด้วยซอสสไปซี่อยู่บริเวณกลางจาน ส่วนที่บริเวณด้านล่างของจานนั้นก็จะเป็นแป้งทอดกรอบครับ รสชาติของโรลปลาไหลนั้นดีมาก ชิ้นใหญ่ ปลาไหลหอม ส่วนแซลมอนสับตรงกลางนั้นก็ช่วยเพิ่มรสชาติเผ็ดเล็กๆ ให้กับเมนูนี้ได้เป็นอย่างดี และสำหรับใครที่ชอบกินแป้งทอดกรอบแล้ว การได้โกยเอาแป้งทอดกรอบที่อยู่บริเวณด้านล่างของจานนั้นมาคลุกเคล้ากับแซลมอนสับกับซอปสไปซี่ มันช่างเป็นอะไรที่ฟินมากๆ เลย ><
จานที่สาม โรลปูนิ่ม (Spider Roll) โรลปูที่มาพร้อมกับปูนิ่มตัวใหญ่ๆ ด้านบน เก๋ไก๋และผมไม่เคยเห็นที่ร้านอื่นมาก่อนเลย เมนูนี้ผมว่าเหมาะกับการถ่ายรูปไปอวดเพื่อนมากครับ รสชาติโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบสองจานแรกมากกว่า เพราะอย่างที่บอกว่าผมชอบกินแซลมอนและปลาไหลมากครับ แล้วก็เมนูนี้เป็นเมนูที่ผมว่ามันเหมาะสำหรับการสั่งมาทานกันแค่ 1-2 คนมากกว่า เพราะหากมากันเป็นคณะใหญ่ๆ แล้ว มันจะมีปัญหาในการแบ่งกันทานนิดนึง ><
จานที่สี่ โซบะเย็น 3 สี (Sanshoku Soba) เมนูนี้เป็นหนึ่งในเมนูที่ผมว่าดีมากและราคา 220 บาท/จาน ถือว่าไม่แพงเลย เพราะคุณจะได้กินโซบะเย็นสุดอร่อยที่มีเส้นให้ทานถึง 3 แบบด้วยกัน โดยเส้นแต่ละแบบก็จะมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าโดยปกติแล้วผมกับต๋งไม่ค่อยชอบกินโซบะเย็นซักเท่าไหร่ แต่พอเราได้มาลองโซบะเย็น 3 สี ของ Nama Sushi Bar ผมกับต๋งรวมทั้งเพื่อนอีก 2 คนก็เห็นตรงกันเลยว่ามันอร่อยมาก คนที่ชอบทานโซบะเย็นห้ามพลาดที่จะลองเมนูนี้เลยนะครับ
จานที่ห้า จานนี้กลับมาเอาใจคนรักแซลมอนอีกครั้งกับ แซลมอนบลอสซั่ม (Salmon Blossom) เมนูอาหารที่นำเอาแซลมอนเบิร์นมาผสมกับน้ำยำสูตรพิเศษของทางร้าน รสชาติโดยรวมจัดจ้านแต่ก็ไม่ได้เผ็ดมากนัก เรียกว่ากินเพลินๆ ซี้ดซ้าดนิดๆ กำลังดีครับ
ใครที่ชอบกินแซลมอนเบิร์นและอยากลองทานแซลมอนเบิร์นที่มีรสอื่นๆ เข้ามาผสมผสานบ้างต้องลองสั่งจานนี้มาทานครับ แต่ถ้าใครรู้สึกเพียงพอกับ Salmon Crazy Sashimi Set ที่มาเสิร์ฟตั้งแต่จานแรกแล้วก็สามารถข้ามเมนูนี้ไปได้เลย เพราะรสชาติจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่นิดๆ
จานที่หก ไข่ม้วนไส้เมนไทโกะ (Mentaiko Tamago Yaki) อาหารจานนี้จะเป็นไข่ม้วนขนาดใหญ่ที่มีการสอดไส้เมนไทโกะตรงกลาง โดยถ้าเราคีบมันขึ้นมาเราก็จะเห็นไส้ที่อยู่ตรงกลางอย่างชัดเจน แต่ว่า………ผมดันลืมถ่ายรูปมาให้ทุกคนดูครับ T_T
รสชาติของไข่ม้วนนั้นดีมากๆ หนา นุ่ม ละมุนลิ้นและมีความหวานของไข่เล็กๆ ซึ่งเมื่อนำมากินคู่กับไข่ปลาที่มีรสชาติเผ็ดนิดๆ หรือที่เราเรียกว่าเมนไทโกะที่อยู่บริเวณตรงกลางชิ้นแล้ว มันจะเป็นอะไรที่ลงตัวพอดีครับ สำหรับเมนูนี้เป็นเมนูที่ผมคิดว่าทานง่าย เหมาะสำหรับเป็นจานเปิดหรือเอาไว้ล้างรสชาติอาหารจานที่ผ่านมาก่อนที่จะไปลุยชิมจานใหม่ครับ
จานที่เจ็ด สลัดปลาเงิน (Shirauo Salad) จานนี้แทบจะเรียกว่าเป็นลูกเมียน้อยของอาหารมื้อนั้นเลยครับ เพราะในช่วงแรกๆ ทุกคนต่างให้ความสนใจไปลองชิมเมนูอื่นๆ จนหมด และหลงลืมเมนูนี้ไปเลย T_T
แต่หลังจากที่พวกเราทุกคนได้ลองชิมก็พบว่านี่เป็นสลัดที่คุณภาพดีและรสชาติดีจานนึงเลยครับ ผัดสดสะอาด ส่วนปลาเงินที่เป็นพระเอกของสลัดจานนี้ก็อร่อยมากๆ ใครที่เป็นสายสุขภาพน่าจะสั่งมาทานครับ เพราะปลาเงินนั้นเป็นปลาที่อุดมไปด้วยโปรตีนและมีไขมันต่ำ รวมทั้งยังเป็นแหล่งของสารบำรุงร่างกายต่างๆ จนทำให้ปลาชนิดนี้ได้รับฉายาว่า “โสมแห่งสายน้ำ” เลย
จานที่แปด ข้าวหน้ากุ้งเทมปุระ (Ten Don) ข้าวหน้ากุ้งเทมปุระที่มีการจัดจานมาสวยงามจานนี้จะประกอบไปด้วยกุ้งเทมปุระตัวโตๆ ถึง 4 ตัวด้วยกัน โดยกุ้งทั้ง 4 ตัวจะถูกจัดเรียงให้หางมารวมกันด้านบนคล้ายๆ กับลักษณะของเต้นท์หรือกองไฟ แล้วก็มีหอมทอดเป็นตัวรัดกุ้งทั้งหมดนั้นให้คงรูปครับ การจัดจานนั้นดูสวยงามและแปลกใหม่ดี ส่วนกุ้งนั้นก็มีขนาดใหญ่ รสชาติดี การทอดของเชฟก็ไม่อมน้ำมัน โดยรวมๆ แล้วถือว่าเป็นข้าวหน้ากุ้งเทมปุระที่รสชาติดีเลยครับ แต่ในเรื่องความสะดวกก่อนกิน อันนี้ขอหักคะแนนหน่อยนะครับ เพราะกว่าผมกับเพื่อนๆ จะแกะเอากุ้งออกมาจากหอมทอดที่รัดอยู่ด้านบนได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันครับ ><
อ้อ…สำหรับกุ้งที่ทางร้าน Nama Sushi Bar เอามาทำเป็นเทมปุระจานนี้นั้น ทางร้านเค้าเลือกเอากุ้งลายเสือมาทำนะครับ ไม่เหมือนกับหลายๆ ร้านที่เลือกเอากุ้งยืดมาทำ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมราคาของจานนี้จึงดูสูงกว่าข้าวหน้ากุ้งเทมปุระหลายที่ แต่ผมบอกเลยว่าส่วนต่างของราคาไม่กี่บาทแลกกับรสชาติและขนาดของกุ้งที่ต่างกันแบบนี้ หลายๆ คนยอมจ่ายเพิ่มแน่นอนครับ ^^
จานที่เก้า แก้มปลาฮามาจิ (Hamachi Kama Ume) จานนี้เป็นจานที่เพื่อนผมคนนึงชอบมากครับ เค้าบอกว่านุ่มและเนื้อเยอะดี แต่สำหรับผมผู้ซึ่งไม่ค่อยชอบทานแก้มปลาซักเท่าไหร่ก็จะมีความเห็นว่ารสชาติกลางๆ ไปทานแซลมอนกับปลาไหลดีกว่าครับ ><
ก็เอาเป็นว่าอาหารจานนี้ผมว่าน่าจะขึ้นอยู่กับลักษณะความชอบของแต่ละคนพอควร ใครที่เป็นคนชอบทานแก้มปลา หรืออาหารประเภทปลาย่างอยู่แล้วน่าจะถูกใจกันครับ แต่ถ้าใครคิดว่าไม่ใช่แนวนี้ ไม่ค่อยชอบการที่จะต้องงัดแงะเนื้อออกมาทาน ผมว่าเลือกสั่งเมนูอื่นมาทานจะดีกว่าเพราะที่ร้านเค้าก็มีเมนูเด็ดอื่นๆ ให้เราสั่งอีกเพียบเลย
จานที่สิบ เทมปุระเจ้าทะเล (Poseidon Tempura) จานนี้เป็นจานที่มาเสิร์ฟตอนท้ายๆ เลย ซึ่งตอนนั้นผมกับเพื่อนๆ ก็เริ่มอิ่มกันแล้ว แต่พอพวกผมได้เห็นหน้าตาของอาหารจานนี้ใกล้ๆ พวกเราก็มีแรงฮึดขึ้นมาชิมอีกรอบครับ เพราะอาหารนี้มันคือการรวมเอาของทะเลทอดอย่างกุ้ง, ปูซูไว และปลาเอาไว้ด้วยกัน การตกแต่งจัดจานนั้นดูสวยงามและเหมาะสมกับชื่อเทมปุระเจ้าทะเลดีครับ ส่วนรสชาติของอาหารนั้นก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เชฟทอดมาได้พอดีไม่มีการอมน้ำมันเลย
ใครที่ชอบกินพวกของชุบแป้งทอดแล้วก็ชอบกินอาหารทะเล หรือเป็นคนที่มีเด็กๆ มาด้วยน่าจะถูกใจกับเมนูนี้ครับ
จานที่สิบเอ็ด โซบะเย็นเส้นปลาหมึกญี่ปุ่น (Ika Somen) อาหารจานนี้ก็เป็นอีกหนึ่งในเมนูอาหารที่มาตอนท้ายๆ ของการกินเหมือนกัน แต่เป็นเมนูที่พวกเราทุกคนอยากจะลองมาก เพราะมันคือโซบะเย็นที่เอาปลาหมึกญี่ปุ่นมาทำเป็นเส้น!!
.
.
.
.
.
ใช่ครับ ทางร้าน Nama Sushi Bar เอาปลาหมึกญี่ปุ่นมาทำเป็นเส้นโซบะให้เราทานกันครับ บอกเลยว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และไม่คิดว่าจะมีเมนูแบบนี้อยู่ในโลกด้วย รสชาติแน่นอนครับว่ามันคือเส้นโซบะที่เราจะไม่รับรู้ถึงความเป็นแป้งเหมือนกับเส้นโซบะอื่นๆ โดยแว้บแรกที่เราเอาเส้นโซบะเข้าปาก กลิ่นและรสชาติของปลาหมึกญี่ปุ่นจะแตะเข้ามาที่ลิ้นของเราเลยครับ
ใครที่ชอบทานโซบะเย็น หรือชอบลองเมนูแปลกๆ ใหม่ๆ ควรสั่งมาลองทานเลยครับ มันแปลกและน่าลองจริงๆ
จานที่สิบสอง จานสุดท้ายของมื้อนี้และเป็นจานที่ผมกับเพื่อนๆ ทุกคนชอบมากที่สุด ซึ่งเมนูนั้นก็คือ ข้าวอบหน้าปลาไหลห่อใบโฮบะ (Unagi Hoba Mushi) นั่นเองครับ!!
อาหารจานนี้ถ้าจะให้พูดง่ายมันก็คือซูชิปลาไหลที่วางมาบนใบโฮบะนั่นเอง แต่ความพิเศษของมันคือขนาดชิ้นที่ใหญ่มากครับ ใหญ่ทั้งข้าว, ปลาไหล และใบโฮบะเลย ใหญ่จนผมคิดว่ามันเท่ากับซูชิธรรมดา 8-9 ชิ้นรวมเลยทีเดียว และถ้าใครไม่เชื่อว่ามันใหญ่ขนาดนั้นก็ดูรูปด้านล่างนี้ได้เลยครับ
เป็นยังไงล่ะครับ ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ ใช่มั้ยครับ และเมนูนี้มันไม่ได้มีดีแค่ความใหญ่และความสวยงามนะครับ เพราะในเรื่องของรสชาตินั้นมันก็อร่อยและดีงามมากกกกกกก ปลาไหลด้านบนหอมสุดๆ เชฟย่างมาได้ดีมาก บอกเลยว่าความอร่อย ความนุ่มของปลาไหลชิ้นนี้ดีกว่าที่อยู่ใน Unagi Bomb เยอะเลย ส่วนข้าวปั้นด้านล่างนั้นก็ไม่ใช่ข้าวปั้นธรรมดานะครับ แต่มันคือข้าวปั้นที่มีการปรุงรสด้วยการผสมโนริหรือสาหร่ายญี่ปุ่นลงไป ดังนั้นสีของข้าวปั้นก็เลยจะออกเขียวๆ ฟ้าๆ หน่อย และเมื่อมันมีการผสมโนริลงไปแบบนี้รสชาติของมันก็เลยให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังกินเลย์รสโนริสาหร่ายอยู่เลยครับ
.
.
.
ถ้าใครไม่เชื่อก็ลองไปชิมดูนะครับ มันเหมือนจริงๆ ผมไม่ได้โม้ ><
สำหรับเมนูนี้ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ ถ้าใครชอบกินปลาไหลญี่ปุ่น และชอบกินเลย์โนริสาหร่าย สั่งมาเลยครับ คุ้มค่ากับราคา 650 บาทอย่างแน่นอน และสำหรับใครที่ไม่ใช่สายแข็ง ผมบอกเลยว่าชิ้นนี้ชิ้นเดียวอาจจะทำให้คุณอิ่มจนจุกเลย!!
และทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ของผมกับต๋งในการไปทานอาหารที่ร้าน Nama Sushi Bar ถนนราชดำริ และเพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพของรีวิวนี้ชัดขึ้น ผมเลยขอสรุปออกมาเป็นหัวข้อต่างๆ ดังนี้นะครับ
วันที่รับประทาน : วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
ช่วงเวลา : 17.00 – 20.00 น.
จำนวน : 4 คน
รสชาติอาหาร : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้านนี้สอบผ่านสบายๆ เลยครับ อาหารแทบทุกรายการรสชาติดีจนถึงดีมาก โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนประกอบของแซลมอนและปลาไหล และถึงแม้อาจจะมีบางเมนูที่ผมกินแล้วรู้สึกกลางๆ ไม่ได้ว้าวมากเท่าไหร่ เช่น แก้มปลาฮามาจิ หรือสลัดปลาเงิน แต่ก็เป็นแค่ความชอบในลักษณะของอาหารที่ต่างกันไปของแต่ละคนเท่านั้นครับ เพราะต๋งกับเพื่อนๆ ของผมก็รู้สึกกับประทับใจกับสองเมนูนี้พอควร ส่วนในเรื่องของวัตถุดิบอาหารนั้น จากการที่ผมได้สังเกตในแต่ละเมนูก็เห็นได้ชัดเจนเลยว่าทางร้านมีการคัดเลือกวัตถุดิบในการทำอาหารแต่ละอย่างมาเป็นอย่างดีเลย
ความหลากหลายของอาหาร : ก่อนที่ผมจะได้มีโอกาสไปทานอาหารในวันนี้ ผมก็คิดนะครับว่าร้านนี้คงจะเน้นขายเฉพาะอาหารประเภทซูชิและซาชิมิเท่านั้น แต่ที่ไหนได้เค้ามีอาหารญี่ปุ่นไว้บริการแทบจะทุกรูปแบบเลยตั้งแต่ซูชิ, ซาชิมิ, ของทอด, ของย่าง, โซบะ, หม้อไฟ, สเต๊ก, สลัด และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้อาหารโดยส่วนใหญ่ของร้าน Nama Sushi Bar ก็ไม่ใช่เมนูอาหารที่เราจะหาทานได้ทั่วไป เนื่องจากทางร้านได้มีการคิดค้นขึ้นมาเอง มีการฟิวชั่นผสมผสานวัตถุดิบและกระบวนการปรุงหลายแบบลงไป รวมทั้งมีการดิสเพลย์ที่สวยงามด้วย ดังนั้นในเรื่องความหลากหลายของร้านนี้ผมจึงให้สอบผ่านสบายๆ เช่นเดียวกับหัวข้อที่แล้วครับ ใครที่อยู่แถวนั้นต่อให้ไปกินทุกวันเป็นเวลาสองอาทิตย์ก็ยังสามารถเลือกเมนูใหม่ๆ มาลองทานได้อยู่เลยครับ
ความสะอาดของร้านและบรรยากาศโดยรวม : ไม่มีปัญหาอะไรในข้อนี้ครับ แม้ขนาดของร้านจะไม่ใหญ่มากนัก แต่การตกแต่งร้านอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีการเอาสีไม้และการเอากระจกมาเป็นส่วนประกอบ ทำให้บรรยากาศโดยรวมดูดี สบายตาและน่านั่งครับ
การบริการของพนักงาน : ข้อนี้ผมไม่ขอให้ความเห็นอะไรมากนะครับ เพราะวันที่ผมไปใช้บริการนั้นมีคนไปใช้บริการไม่เยอะ และผมเองก็ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากพนักงานที่ร้านมากนัก แต่เท่าที่ลองแอบสังเกตพนักงานของร้านตอนที่เค้าบริการโต๊ะอื่นก็คิดว่าเรื่องนี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : ร้าน Nama Sushi Bar เป็นร้านที่ผมให้คะแนนความสะดวกสบายในการเดินทางอยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางดีครับ เพราะร้านนั้นอยู่ห่างจาก BTS ราชดำริประมาณ 250 เมตรเท่านั้น แล้วก็สำหรับใครที่ขับรถส่วนตัวมาก็สามารถขับมาจอดที่โรงแรมอนันตรา บ้านราชประสงค์ได้เลย ทำให้ไม่ต้องกังวลกับเรื่องการหาที่จอดรถ เพียงแต่อาจจะต้องปวดหัวกับการจราจรบนถนนราชดำริในบางวันนิดนึงครับ
ความคุ้มค่า : ด้วยความที่มันไม่ใช่การรีวิวไลน์บุฟเฟ่ต์ดังนั้นการจะฟันธงในเรื่องความคุ้มค่ามันก็อาจจะลำบากหรือยากไปซักนิดนึง เพราะเมนูอาหารมันมีหลากหลายมาก รวมทั้งแต่ละคนต่างก็มีความชอบที่แตกต่างกันออกไป แต่จากที่ผมได้คุยกับต๋งเราก็เห็นตรงกันว่าแม้ดูเผินๆ ราคาอาหารบางอย่างของร้าน Nama Sushi Bar จะดูสูงกว่าร้านอาหารญี่ปุ่นบางร้าน แต่พอเราได้มาเห็นของจริง ได้มาลองชิมอาหาร เราทั้งคู่ก็รู้สึกว่าราคาเหล่านั้นสมเหตุสมผลแล้วครับ และก็มีหลายๆ เมนูเลยที่เรารู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก และเป็นเมนูที่หากเราไปอีกครั้งเราจะต้องสั่งแน่นอน เพราะมันคุ้มค่ามาก เช่น ซาชิมิเซ็ต คนรักแซลมอน (Salmon Crazy Sashimi Set), โซบะเย็น 3 สี (Sanshoku Soba), แซลมอนบลอสซั่ม (Salmon Blossom) และข้าวอบหน้าปลาไหลห่อใบโฮบะ (Unagi Hoba Mushi) ส่วนเมนูอื่นๆ นั้น แต่ละคนก็ลองตัดสินใจดูนะครับว่าชอบทานอาหารประเภทนั้นมั้ย ถ้าชอบก็จัดได้เลยครับ
สรุป : ใครที่กำลังมองหาร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยมที่มีรสชาติอาหารดีๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแซลมอน, ปลาไหล และไม่ได้ติดปัญหาเรื่องงบประมาณต่อมื้อมากนัก ร้าน Nama Sushi Bar เป็นร้านที่ผมภูมิใจนำเสนอเลยครับ โดยเฉพาะสำหรับใครที่อยากจะหาร้านนั่งทานอาหารแบบเงียบๆ บนถนนราชดำริ ไม่ไกลจากแยกราชประสงค์มาก ร้านนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเลย แม้การเดินทางอาจจะต้องเข้าซอยนิดนึง แต่เมื่อไปถึงร้านแล้วคุณจะรู้สึกถึงความสงบทันทีเลยครับ นอกจากนี้ใครที่เป็นนักชิม ชอบลองอาหารญี่ปุ่นฟิวชั่นแปลกๆ ใหม่ๆ ร้านนี้จะทำให้คุณประทับใจกับความสร้างสรรค์ในการผสมผสานวัตถุดิบและการจัดจานของเค้าครับ ^^
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจของผมกับต๋งก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลย ส่วนผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลต่างๆ ของร้านนี้เพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้ได้ครับ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
Facebook : Nama Sushi Bar
Tel : 064-5958155
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราในวันที่ลองใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากนี้ได้ครับ