สวัสดีครับ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ผมได้เขียนบทความ 60 เรื่องน่ารู้ก่อนออกเดินทางไปยังประเทศจอร์เจีย และบทความเรื่อง สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองทบิลิซี (Tbilisi) ซึ่งเป็นเมืองหลวงในปัจจุบันของประเทศจอร์เจียกันมาแล้ว  วันนี้ผมเลยมาเขียนบทความเกี่ยวกับประเทศนี้กันต่อครับ โดยบทความนี้จะยังเป็นเรื่องสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจของประเทศนี้เหมือนเดิม แต่คราวนี้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ได้อยู่ที่เมืองทบิลิซีแล้วครับ นอกจากนี้หลายๆ สถานที่ในบทความนี้ก็ยังเป็นสถานที่เที่ยวที่เราจะสามารถไปเที่ยวได้แค่บางฤดูเท่านั้น ดังนั้นหากใครที่ต้องการจะตามรอยผมไปก็อาจจะต้องมีการวางแผนเรื่องช่วงเวลาที่เดินทางจากไทย รวมไปถึงเรื่องของการเดินทางในประเทศจอร์เจียกันให้ดีๆ ด้วยนะครับ

สำหรับช่วงเวลาที่ผมเดินทางไปนั้นจะเป็นช่วงเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคม ซึ่งตรงกับช่วงฤดูร้อนของประเทศจอร์เจีย โดยข้อดีของช่วงนี้ก็คือดอกไม้จะบานสะพรั่งและมีความสวยงามที่สุด, ถนนหนทางต่างๆ จะเดินทางได้สะดวกและไปไหนมาไหนง่ายกว่าในฤดูหนาวมาก, เส้นทางการเดินเทรคต่างๆ จะสั้นลงเพราะรถจะสามารถไปจอดได้ใกล้ขึ้น รวมไปถึงหากใครที่ไปช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูร้อน ก็จะได้เห็นหิมะตามยอดเขาสูงๆ อยู่เป็นจำนวนมากครับ ส่วนข้อเสียหรือจุดด้อยของการไปเที่ยวจอร์เจียในฤดูร้อนนั้นก็คงเป็นเรื่องของอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาก โดยในฤดูนี้บางวันอาจจะมีอุณภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสอีกครับ!!! และบอกเลยว่าผมกับเพื่อนๆ ไปเจอกันมาแล้ว เล่นเอาวันนั้นเราเฉา เหงา และหมดพลังกันง่ายๆ เลย T_T

Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ

ทะเลสาบอะบูเดลารี (Abudelauri Lakes)

เอาล่ะ รู้ข้อดีข้อเสียของการไปเที่ยวประเทศจอร์เจียในฤดูร้อนกันแล้ว คราวนี้เราไปดูสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจของประเทศนี้กันต่อเลยนะครับ

หมายเหตุ : ด้วยความที่ชื่อสถานที่ของประเทศนี้สะกดและอ่านออกเสียงยากมาก ดังนั้นในหลายๆ ชื่อ ผมจึงขออนุญาตเขียนทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว ไม่มีการสะกดเป็นภาษาไทยให้นะครับ


1. Ananuri Complex

Ananuri Complex (อะนานูริ คอมเพล็กซ์) เป็นสถานที่เก่าแก่ที่มีความสวยงามมากแห่งนึงของประเทศจอร์เจีย โดยสันนิษฐานว่า Ananuri Complex นั้น ได้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 ภายในสถานที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยปราสาท, โบสถ์ และป้อมปราการที่มีความสวยงามมาก แต่ทั้งนี้เนื่องจากว่าสถานที่แห่งนี้มีอายุร่วม 800 ปีแล้ว อีกทั้งได้ผ่านการศึกสงครามมาหลายครั้ง จึงทำให้หลายๆ ส่วนของ Ananuri แตกหักพังทลายไปตามกาลเวลา แต่อย่างไรก็ตามด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้ อีกทั้งความสวยงามต่างๆ ที่ยังคงเหลืออยู่ โดยเฉพาะทำเลที่ตั้งของ Ananuri Complex ที่อยู่ติดกับแม่น้ำ Aragvi ซึ่งถือเป็นชัยภูมิที่มีความโดดเด่นมาก ก็เลยทำให้สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในมรดกโลก (UNESCO World Heritage) ในปี ค.ศ. 2007 ครับ

สำหรับสถานที่แห่งนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของประเทศจอร์เจีย และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวควรจะต้องมาเลยครับ ทั้งสายถ่ายรูปที่ต้องการถ่ายรูปสวยๆ, สายประวัติศาสตร์ที่ต้องการศึกษาสถาปัตยกรรมโบราณ, สายเที่ยวแบบชิลๆ หรือสายช้อปปิ้ง เพราะที่นี่มีให้คุณครบจริงๆ ตั้งแต่การเช่าชุดเก๋ๆ ถ่ายรูป หรือตลาดขายอาหารและของที่ระลึก นอกจากนี้ด้วยความที่สถานที่แห่งนี้อยู่ติดกับถนนหลักรวมทั้งอยู่ห่างจากเมืองทบิลซีซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจอร์เจียประมาณ 70 กิโลเมตรเท่านั้น ก็เลยทำให้หลายๆ คนสามารถเลือกซื้อโปรแกรม 1 Day Trip จากที่ทบิลิซีมาเที่ยวที่นี่ได้อย่างสบายๆ

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 70 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : 9.00 น. – 20.00 น.

ค่าเข้า : ฟรี

หมายเหตุ :  ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจอร์เจียนั้นนับถือศาสนาคริสต์นิกายออโทด็อกซ์เป็นหลักมาตั้งแต่ในอดีต โดยการเข้าโบสถ์ของที่นี่ผู้หญิงจะต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะด้วยนะครับ ใครที่เตรียมไปด้วยก็สามารถใช้ของตัวเองได้เลย แต่หากใครไม่มีตามโบสถ์ใหญ่ๆ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ เค้าจะมีให้เรายืมใส่ฟรีแทบทุกที่ครับ


2. Memorial of Friendship

Memorial of Friendship หรืออีกชื่อนึงคือ Russia–Georgia Friendship Monument อนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1983 เพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันดีของประเทศจอร์เจียและประเทศรัสเซีย โดยอนุสรณ์สถานนี้ตั้งอยู่บน Devil’s Valley ซึ่งอยู่ระหว่างเมือง Gudauri (กูดอร์ริ) อันเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านสกีรีสอร์ท และเส้นทาง Jvari Pass (จวารี พาส) ครับ

Memorial of Friendship นั้นเป็นอนุสรณ์สถานขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามมาก โครงสร้างทั้งหมดทำมาจากหินและคอนกรีต ภายในมีการวาดภาพประวัติศาสตร์ของประเทศจอร์เจียและประเทศรัสเซียไว้อย่างสวยงาม และด้วยความที่อนุสรณ์สถานแห่งนี้ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหุบเขาที่มีความสวยงามของเทือกเขาคอเคซัส ประกอบกับตั้งอยู่ใกล้ถนนใหญ่ จึงทำให้สถานที่แห่งนี้มีผู้คนแวะมาเยี่ยมเยียนและถ่ายรูปกันตลอดทั้งวันครับ

ใครที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวประเทศจอร์เจียก็อย่าลืมหาโอกาสแวะมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้นะครับ โดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายภาพ เพราะที่นี่มีมุมให้เราถ่ายรูปสวยๆ เยอะมาก ส่วนถ้าใครไม่ใช่สายถ่ายรูปซักเท่าไหร่ก็สามารถที่จะมาเดินชมภาพวาดสวยๆ รวมถึงช้อปปิ้งซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ที่เค้ามีจำหน่ายในบริเวณนั้นได้ครับ

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 120 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี

ค่าเข้า : ฟรี


3. Mtskheta

เมืองมิชเคตา (Mtskheta)

Mtskheta (มุสเคต้า) คือ เมืองหลวงเก่าของประเทศจอร์เจียก่อนที่จะมีการย้ายเมืองหลวงไปที่นครทบิลิซีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4-5 โดยเมือง Mtskheta นั้น เป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่มีความสวยงามมาก รวมทั้งยังมีทำเลที่ตั้งของเมืองอยู่ระหว่างจุดที่แม่น้ำ Kura และแม่น้ำ Aragvi ไหลมาบรรจบกัน ทำให้เมืองแห่งนี้มีเสน่ห์มากขึ้นไปอีกเท่าตัว และด้วยความงามทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม, ความงามด้านธรรมชาติ รวมถึงความมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ก็เลยทำให้เมือง Mtskheta ได้กลายเป็นหนึ่งในมรดกโลก (UNESCO World Heritage) ในปี ค.ศ. 1994 ครับ

เมืองมิชเคตา (Mtskheta)

สำหรับการมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้นั้นเป็นอะไรที่ง่ายมากๆ เพราะเมือง Mtskheta อยู่ห่างจากเมือง Tbilisi เพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น ใช้เวลาเดินทางแค่ 30 นาทีก็ถึง หลายๆ คนจึงมักจะเลือกมาเที่ยวเมืองนี้แบบ 1 Day Trip แต่สำหรับคนที่มีเวลาและต้องการดื่มด่ำกับการถ่ายรูปหรือซึบซับกับบรรยากาศที่สงบ สวยงาม รวมทั้งได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบสุดๆ ผมแนะนำให้วางแผนมานอนที่เมืองนี้ซัก 1 คืนครับ เพราะที่เมืองนี้มี Guesthouse ที่สวยๆ เจ้าของนิสัยดี อาหารอร่อย ราคาไม่แพง ให้บริการอยู่เยอะมาก รวมทั้งบรรยากาศในช่วงเช้ากับช่วงเย็นของเมืองนี้ มันเป็นอะไรที่ผมชอบมากๆ เลยล่ะครับ!!

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 20 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี

ค่าเข้า : ฟรี

เมืองมิชเคตา (Mtskheta)
เมืองมิชเคตา (Mtskheta)

4. Svetitskhoveli Cathedral

Svetitskhoveli Cathedral (โบสถ์สเวติสโคเวลี) คือ วิหารหรือโบสถ์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Mtskheta โดยเราสามารถมองเห็นโบสถ์แห่งนี้ได้ชัดเจนจากระยะไกลหรือจากบนยอดเขาเลยครับ ใครที่ได้มีโอกาสมาที่เมืองแห่งนี้ต้องห้ามพลาดที่จะเข้าไปเยี่ยมชมโดยเด็ดขาด เพราะสถานที่แห่งนี้สวยและน่าศรัทธามากๆ

ทั้งนี้โบสถ์หรือวิหาร Svetitskhoveli Cathedral นั้นได้มีการสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 และถือเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนความเชื่อของประชาชนชาวจอร์เจียที่ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติครับ โดยภายในโบสถ์แห่งนี้จะมีพื้นที่เล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ทำเป็นโบสถ์จำลองของ Chapel of Holy Sepulchre ในนครเยรูซาเล็ม รวมทั้งโบสถ์แห่งนี้ยังเคยเป็นที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ประเทศจอร์เจียและเป็นสุสานสำหรับฝังพระศพของกษัตริย์ถึง 10 พระองค์อีกด้วยครับ ใครที่ได้มีโอกาสไปที่โบสถ์แห่งนี้ก็เดินดูรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วนนะครับ แต่ทั้งนี้ผมต้องบอกก่อนนะว่าโครงสร้างโบสถ์เดิมที่ถูกสร้างขึ้นมาในสมัยศตวรรษที่ 4 นั้น มันได้พังทลายลงไปหมดแล้วจากสงครามและแผ่นดินไหวครับ ส่วนโครงสร้างโบสถ์ที่เราได้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้นั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 10-11 และได้รับการดูแลอย่างดีตลอดช่วงเวลา 900 กว่าปีที่ผ่านมา จนทำให้โบสถ์แห่งนี้มีความขลังและมีความสมบูรณ์สวยงามทั้งภายในและภายนอกแบบที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ครับ และนอกจากนี้โบสถ์ Svetitskhoveli Cathedral ยังถือเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศจอร์เจีย รองจากโบสถ์ Holy Trinity Cathedral ที่นครทบิลิซีเพียงแห่งเดียวด้วยครับ!!

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 20 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : 8.00 น. – 20.00 น.

ค่าเข้า : ฟรี


5. Jvari Monastery

Jvari Monastery (วิหารจวารี) เป็นอีกหนึ่งวิหารหรือโบสถ์ที่มีชื่อเสียงมากของประเทศจอร์เจีย โดยวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 6 และมีทำเลที่ตั้งอยู่บนยอดเขาใกล้ๆ กับเมือง Mtskheta ทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมวิหารแห่งนี้นอกจากจะได้เห็นความงามของตัววิหารแล้ว ยังสามารถเห็นและชื่นชมกับวิวทิวทัศน์ของเมือง Mtskheta ที่มีแม่น้ำ Kura กับแม่น้ำ Aragvi ไหลมาบรรจบกันได้ด้วยครับ โดยในช่วงเวลากลางวันคุณจะมีโอกาสได้เห็นสีของแม่น้ำสองสายที่มีความแตกต่างกันไหลมาบรรจบกันได้อย่างชัดเจน และในช่วงเวลาก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน คุณจะได้เห็นภาพที่สวยงามมากๆ นั่นก็คือภาพของแม่น้ำสองสายที่มีสีเหลืองอ่อนๆ จากแสงพระอาทิตย์ที่สาดส่องมากระทบก่อนที่จะลาลับขอบฟ้าไปครับ

เมืองมิชเคตา (Mtskheta)

สำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายรูปแล้ว ผมแนะนำเลยครับว่าวิหารแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คุณห้ามพลาดเลยครับ โดยการเดินทางมายัง Jvari Monastery นั้นหากคุณเดินทางมาจากเมือง Mtskheta จะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเท่านั้น ส่วนถ้าใครเดินทางมาจากเมือง Tbilisi ก็จะใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีครับ ซึ่งโดยรวมๆ แล้วการเดินทางมาที่นี่ถือว่าเป็นการเดินทางที่ไม่ลำบากเท่าไหร่เลย เพราะแม้วิหารแห่งนี้จะตั้งอยู่บนยอดเขาสูง แต่ถนนหนทางในการไปนั้นอยู่ในระดับที่ดีมากครับ

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 26 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : 8.00 น. – 22.00 น. (สำหรับตัวโบสถ์จะปิดเวลา 18.00 น.)

ค่าเข้า : ฟรี


6. Juta

Juta (จูทา / จูตา) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนเหนือของนครทบิลิซี ใช้เวลาเดินทางจากนครทบิลิซีประมาณ 4 ชั่วโมง โดยจุดเด่นของหมู่บ้านนี้ก็คือเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขา มีธรรมชาติที่สวยงาม และมีอุณหภูมิที่เย็นสบายตลอดปี โดยในช่วงฤดูร้อนที่นครทบิลิซีมีอุณหภูมิสูงประมาณ 30-40 องศาเซลเซียสนั้น ที่หมู่บ้านแห่งนี้จะมีอุณหภูมิเพียง 10-20 องศาเซลเซียสเท่านั้นครับ ยิ่งในช่วงเวลากลางดึกยิ่งมีความเย็นสบายมากขึ้นจนหลายๆ ครั้งอุณหภูมิจะลดลงเหลือเพียงแค่เลขตัวเดียวเท่านั้น

จูตา (Juta)

และด้วยความงดงามของธรรมชาติอันตระการตา โดยเฉพาะเทือกเขาที่สูงใหญ่โอบล้อมเราแบบ 360 องศา ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตที่ชาวจอร์เจียและคนที่นิยมการ Trekking หรือ Hiking ชอบมากันมาก โดยคนเหล่านี้มักจะนำเต้นท์ไปเองและเดิน Trekking กันยาวๆ 3-4 วัน แต่สำหรับคนไทยหรือคนที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการ Trekking ซักเท่าไหร่ แต่อยากจะไปสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์แบบนี้ วิวดีๆ แบบนี้ซักครั้ง ผมแนะนำให้ทุกคนขึ้นไปพักในหุบเขาแล้วเดิน Hiking ชมความงามของธรรมชาติในระยะทางสั้นๆ ก็พอครับ โดยเค้าจะมีเส้นทาง Hiking สั้นๆ ที่มีระยะทางไปกลับประมาณ 6 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 3-4 ชั่วโมงอยู่ เส้นทางส่วนใหญ่จะเป็นทางราบปนกับเส้นทางชันเล็กๆ ในบางช่วง ถือว่าเป็นเส้นทางเดินที่เดินสบายและมีวิวสองข้างทางสวยๆ ให้เราดูกันจนเต็มตาเลยครับ

จูตา (๋Juta)จูตา (๋Juta)

ส่วนสถานที่พักที่มีชื่อเสียงในหุบเขาของหมู่บ้าน Juta นี้ จะมีอยู่ 2 ที่ด้วยกัน คือ 5th Season Hut และ Zeta Camping โดยที่แรกจะอยู่ห่างจากจุดจอดรถประมาณ 1.3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 40 นาที ส่วนที่หลังจะอยู่ห่างจากจุดจอดรถประมาณ 800 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที โดยเส้นทางการเดินจากจุดจอดรถไปยังที่พักในช่วงแรกนั้นจะเป็นทางค่อนข้างชัน เราควรเตรียมร่างกายไปให้ดีครับ แต่ถ้าใครที่คิดว่าเดินไม่ไหวก็สามารถติดต่อหาม้ามาใช้บริการได้ ส่วนลักษณะที่พักของทั้งสองที่นั้นจะเป็นเกสต์เฮ้าส์ที่ต้องนอนรวม, ห้องน้ำรวม แต่ก็ไม่ต้องตกใจไปนะครับว่าจะลำบากอะไรมากมาย เพราะที่นอน, หมอน, ผ้าห่ม ของเค้านั้นดีเลย ที่สำคัญมีไฟฟ้าให้เราใช้ตลอดทั้งคืน รวมทั้งมีห้องอาหารบริการด้วย…………แม้ราคาจะแอบแพงไปหน่อยก็เถอะ ><

สำหรับการเดินทางมาที่หมู่บ้านแห่งนี้เราควรจะต้องมีรถส่วนตัวหรือต้องทำการจ้างให้คนมาส่งนะครับ เนื่องจากถนนโดยส่วนใหญ่เป็นเส้นทางที่ขรุขระมาก และเป็นเส้นทางที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมากัน นอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาวการเดินทางมาที่หมู่บ้านนี้ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะถนนหนทางจะถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาจนรถไม่สามารถวิ่งผ่านได้ครับ

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 165 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี

ค่าเข้า : ฟรี


7. Uplistsikhe Cave Town

Uplistsikhe Cave (เมืองถ้ำหินอุซพลิลิเค่) ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเก่าแก่สุดๆ ของประเทศจอร์เจีย เพราะถ้ำหินนี้มีอายุมากกว่า 3,000 ปีแล้ว โดยนักโบราณคดีได้สันนิษฐานว่านี่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศแห่งนี้ครับ

สำหรับลักษณะคร่าวๆ ของเมืองถ้ำหินนี้ก็คือ จะเป็นสถานที่ที่คนสมัยโบราณอาศัยอยู่ โดยเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เกิดจากการสกัดหินผาและสลักเป็นช่องซอกหลืบรวมไปถึงห้องโถงต่างๆ  เช่น ห้องราชินี, โรงละคร, ห้องเก็บไวน์ (ที่ประเทศแห่งนี้มีประวัติศาสตร์การทำไวน์มากว่า 3,OOO ปีแล้วครับ)  เมืองถ้ำหินอุซพลิลิเค่นั้นมีเนื้อที่ทั้งหมดกว่า 50 ไร่ มีความสวยงามอลังการมาก และถึงแม้เมืองแห่งนี้จะเคยได้รับความเสียหายไปหลายครั้งจากเหตุกาณ์แผ่นดินไหว จนทำให้โครงสร้างหลายแห่งพังทลาย รวมไปถึงจุดสำคัญอย่างบริเวณที่เป็นโรงละครฝั่งอัฒจันทร์ของผู้ชมก็ได้พังทลายแทบทั้งหมด แต่จากโครงสร้างหลักที่ยังคงเหลืออยู่ก็ยังสามารถสร้างความตกตะลึงและอ้าปากค้างให้กับผู้ที่พบเห็นครั้งแรกได้เสมอๆ และยิ่งเมื่อรวมกับคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมายที่คนรุ่นหลังจะได้ศึกษาแล้ว นั่นก็เพียงพอที่จะให้ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2007 ครับ

สำหรับในเรื่องของการมาเที่ยวเมืองถ้ำหิน Uplistsikhe นั้น วิธีที่ง่ายสุดก็คือหาทัวร์ 1 Day Trip มาจากนครทบิลิซี หรือไม่ก็วางแผนมานอนที่เมือง Gori (กอริ) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองถ้ำนี้ประมาณ 14 กิโลเมตร จากนั้นก็ติดต่อหารถหรือบริการ 1 Day Trip ไปเที่ยวเมืองถ้ำหินจากเมือง Gori ครับ โดยเมือง Gori ถือเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีความสวยงาม และมีเสน่ห์น่าเที่ยวไม่แพ้เมือง Mtskheta เลย โดยระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเที่ยวเมืองถ้ำหิน Uplistsikhe นั้น น่าจะอยู่ที่ 2 ชั่วโมงสำหรับคนทั่วไป และ 4-5 ชั่วโมงสำหรับคนที่สนใจทางด้านประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีครับ

หากใครดูแล้วรู้สึกประทับใจที่นี่ อยากจะมาดูด้วยตาตัวเองซักครั้ง ก็วางแผนการเดินทางดีๆ นะครับ แต่ผมขอเตือนนิดนึงนะว่าในช่วงฤดูร้อนนั้นอากาศที่นี่มันร้อนสุดๆ และแดดแรงมาก ><

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 100 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี

ค่าเข้า : 7 ลารี/คน (ประมาณ 100 บาท)

หมายเหตุ : ที่ Uplistsikhe Cave Town นั้น จะมีเจ้าหน้าที่ที่พาเราเดินชมสถานที่และบรรยายข้อมูลต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษให้เราฟังด้วยครับ โดยหากใครที่สนใจก็สามารถติดต่อที่ช่องซื้อตั๋วได้เลย มีค่าบริการอยู่ที่ 30 ลารี ใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือหากใครที่ไม่ต้องการเจ้าหน้าที่แต่อยากจะได้ความรู้ ก็สามารถที่จะเช่าหูฟังบรรยายได้ โดยค่าเช่าหูฟังจะอยู่ที่ 10 ลารี/ชุดครับ


8. Truso Valley

Truso Valley (ทรูโซ วัลเล่ย์) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากของประเทศจอร์เจีย อยู่ห่างจากเมือง Kazbegi (คัสเบกิ) หรืออีกชื่อว่าเมือง Stepantsminda ประมาณ 17 กิโลเมตร โดย Truso Valley เป็นหนึ่งในเส้นทาง Hiking ที่หลายคนชื่นชอบ เพราะตลอดเส้นทางการเดินนั้นเราจะได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามตลอด 2 ข้างทาง โดยเฉพาะเส้นสายของสายน้ำและภูเขา โดยเมื่อเราเดินเข้าไปจนถึงด้านในสุดของ Truso Valley เราจะพบกับหมู่บ้านเก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้างไว้  โดยที่หมู่บ้านนี้จะมีความสวยงามมากในช่วงฤดูร้อนที่มีดอกไม้บานสะพรั่งครับ และหากเราเดินเลยหมู่บ้านเก่าแก่ไปอีกเล็กน้อยเราจะพบกับป้อมปราการ Zakagori Fortress ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงว่านี่เป็นเขตแดนของประเทศจอร์เจียและถึงเวลาที่เราต้องเดินกลับแล้วครับ

ทรูโซวัลเล่ (Truso Valley)

สำหรับจุดเด่นที่ทำให้หลายๆ คนชอบมาที่ Truso Valley นั้น ก็คือความสวยงามของธรรมชาติ รวมทั้งสถานที่แห่งนี้ยังมีน้ำพุร้อนและน้ำแร่ที่คุณภาพดีอีกด้วยครับ ส่วนในเรื่องของการเดินทางไปยัง Truso Valley นั้น เราสามารถทำได้ 2 วิธีหลักๆ โดยวิธีแรกคือ Hiking ไปจากปากทางที่มีระยะทางเดินไปกลับมากกว่า 20 กิโลเมตร (ใช้เวลาเดินไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง) ส่วนวิธีที่สอง คือการนั่งรถเข้าไปจนถึงด้านในสุดและเดินเล่นที่บริเวณหมู่บ้านเก่าแก่ ซึ่งผมเลือกใช้วิธีนี้ครับ เนื่องจากสะดวก ประหยัดเวลา และเราสามารถจอดรถถ่ายรูปสวยๆ ระหว่างทางได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ด้วยสภาพถนนของ Truso Valley ที่เข้าขั้นโหดมาก ทำให้ระยะทางไปกลับเพียง 20 กิโลเมตรนี้เราต้องใช้เวลานั่งรถไปกลับเกือบ 2 ชั่วโมงเลยครับ ใครที่มีปัญหาเรื่องการเมารถก็ต้องเตรียมตัวไปให้ดีๆ หน่อยนะ ^^

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 140 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี

ค่าเข้า : ไม่มี

หมายเหตุ : ภายใน Truso Valley จะไม่มีห้องน้ำบริการ รวมถึงไม่มีอาหารและน้ำจำหน่ายครับ ดังนั้นใครที่จะไปที่นี่ก็ต้องเตรียมเสบียงไปให้พร้อมและต้องสามารถเข้าห้องน้ำกลางทุ่งโล่งได้ครับ

Truso Valley
Truso Valley

9. Gergeti Trinity Church

Gergeti Trinity Church (โบสถ์เกอร์เกอตี้ ทรินิตี้) เป็นโบสถ์เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากของประเทศจอร์เจีย และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศนี้ที่นักถ่ายภาพต้องมาเก็บภาพกันให้ได้ โดยโบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาคัสเบกิ (Mount Kazbegi) ใกล้ๆ กับเมืองคัสเบกิ (Kazbegi) ทางขวามือของแม่น้ำ Chkheri และมีฉากหลังของโบสถ์เป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก

โบสถ์เกอร์เกอตี้ ทรินิตี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 14 พร้อมกับหอระฆังที่อยู่ด้านข้าง โดยเป็นโบสถ์โดมเพียงแห่งเดียวในจังหวัด Khevi และเป็นโบสถ์ที่สามารถมองเห็นเมืองคัสเบกิที่สวยงามได้ด้วย ทั้งนี้ในอดีตโบสถ์แห่งนี้เคยถูกปิดไม่ให้ใช้งานในสมัยที่ประเทศจอร์เจียอยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียตครับ

สำหรับวิธีการเดินทางไปที่โบสถ์เกอร์เกอตี้ ทรินิตี้ในอดีตนั้นจะค่อนข้างยุ่งยากและลำบากพอควรครับ เพราะถนนมีความคดเคี้ยวและขรุขระมาก มากจนเราต้องใช้เวลาขับรถจากเมืองคัสเบกิไปยังโบสถ์นานถึง 30-40 นาทีเลย ทั้งๆ ที่มันมีระยะทางห่างไม่ถึง 10 กิโลเมตรครับ รวมทั้งรถทั่วๆ ไปก็ยังไม่สามารถขับขึ้นไปได้ด้วย ต้องใช้รถ 4WD และคนขับที่มีความเชี่ยวชาญเส้นทางเท่านั้น แต่หลังจากที่ทางประเทศจอร์เจียได้มีการปรับปรุงถนนที่เดินทางไปสู่โบสถ์ครั้งใหญ่เมื่อช่วงต้นปี พ.ศ. 2562 ก็ทำให้เราสามารถเดินทางไปที่โบสถ์แห่งนี้ได้ง่ายขึ้นมากๆ สามารถใช้รถอะไรไปก็ได้ และยังใช้เวลาในการขับรถที่น้อยลงกว่าเดิมเยอะเลยครับ

หมายเหตุ : ในช่วงฤดูหนาวโดยเฉพาะเดือน ธ.ค. – มี.ค. เส้นทางที่ขึ้นไปยังโบสถ์แห่งนี้มักจะถูกปกคลุมด้วยหิมะเป็นจำนวนมาก และรถทั่วไปอาจจะไม่สามารถขับไปถึงที่ตัวโบสถ์ได้ ดังนั้นใครที่ต้องการจะชมความงามของโบสถ์ในช่วงเวลานี้ก็อาจจะต้องจ้างคนขับรถท้องถิ่นที่ชำนาญเส้นทาง, มีรถ 4WD ที่พร้อมลุย และตัวเราเองก็อาจจะต้องเตรียมใจในการเดินฝ่าหิมะที่ท่วมสูง และอากาศที่หนาวสุดๆ เข้าไปด้วยนะครับ T_T

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 160 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี

ค่าเข้า : ไม่มี


10. Abudelauri Lakes

 

Abudelauri Lakes (อะบูเดลารี เลค) คือกลุ่มทะเลสาบที่มีความสวยงามมากของประเทศจอร์เจีย โดยทะเลสาบกลุ่มนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ทะเลสาบย่อย ได้แก่ Blue Lake (ทะเลสาบสีน้ำเงิน), Green Lake (ทะเลสาบสีเขียว) และ White Lake (ทะเลสาบสีขาว) ซึ่งชื่อของแต่ละทะเลสาบนั้นก็มาจากสีของน้ำในทะเลสาบนั้นๆ ครับ

ทะเลสาบอะบูเดลารี (Abudelauri Lakes)

สำหรับการเดินทางไปยัง Abudelauri Lakes นั้นจะมีวิธีเดียวเท่านั้นคือการเดินเท้าเข้าไป เพราะทะเลสาบแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาและธรรมชาติที่ลึกลับ และด้วยความที่เป็นทะเลสาบที่จะต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น ก็เลยทำให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหรือจุดพักระหว่างทางของผู้ที่ชอบการ Trekking หรือ Hiking ครับ โดยเส้นทางที่คนส่วนใหญ่นิยมกันก็คือการเดินเท้าจาก Juta (จูทา / จูตา) ผ่าน Zeta Camping และ 5th Season Hut เดินผ่านลำธาร ภูเขา และธรรมชาติที่สวยงามมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง Abudelauri Lakes และตั้งแคมป์กันที่ริมทะเลสาบ โดยสำหรับนัก Trekking หรือ Hiking ที่มีความเชี่ยวชาญจะใช้เวลาในการเดินเส้นทางนี้ประมาณ 6-7 ชั่วโมง

ส่วนคนที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการเดินเทรคกิ้งซักเท่าไหร่ ผมขอแนะนำให้หารถมาที่หมู่บ้าน Roshka (โรชกา) จากนั้นก็เดินเท้าต่อจากหมู่บ้านนี้ครับ โดยระยะทางจากหมู่บ้าน Roshka ถึง Blue Lake และ Green Lake จะมีระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร (ไป-กลับ 10 กิโลเมตร) ใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 4-5 ชั่วโมง ส่วนใครที่ต้องการจะไป White Lake ก็ต้องเผื่อเวลาในการเดินอีกประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับ เนื่องจากทะเลสาบสีขาวจะเป็นทะเลสาบที่อยู่ไกลที่สุดหากเราเลือกเดินจาก Roshka ครับ

ทั้งนี้ภาพรวมของ Roshka นั้นจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีประชากรอาศัยอยู่เพียง 10-15 หลังคาเรือนเท่านั้น ลักษณะที่พักจะเป็นเกสต์เฮาส์ขนาดเล็กที่ต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน ส่วนการเดินทางจากนครทบิลิซีไปยังเมืองแห่งนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่สาหัสและทรมานก้นใช้ได้เลย เพราะเส้นทางนั้นเป็นถนนขึ้นเขาที่คับแคบ คดเคี้ยว และขรุขระมากครับ

สำหรับผู้ที่สนใจจะไปทะเลสาบ Abudelauri Lakes ควรจะต้องมีการเตรียมร่างกายให้ดี เพราะแม้การเดินเทรคนั้นจะเป็นการเดินบนทางราบหรือชันเล็กน้อยเป็นหลัก แต่ด้วยความที่ระยะทางค่อนข้างไกล ประกอบกับบางช่วงของเส้นทางก็มีความชันพอควร รวมทั้งตลอดเส้นทางจะไม่มีน้ำหรืออาหารจำหน่าย เราจึงต้องแบกเสบียงไปเองหรือต้องกินน้ำในลำธาร ดังนั้นก็เลยอาจจะทำให้ผู้ที่ไม่ชินกับการเดินแบบนี้อาจจะเพลียหรือหมดแรงได้ง่ายๆ ครับ

ส่วนฤดูกาลท่องเที่ยวที่เหมาะสมนั้น เราสามารถไปเที่ยวได้แทบทุกฤดูเลย ยกเว้นในฤดูหนาวที่หิมะปกคลุมพื้นหนามากจนไม่สามารถเดินได้ โดยหากใครที่ไปเที่ยวในช่วงฤดูร้อนแบบผมก็จะได้เห็นทุ่งดอกไม้สวยๆ มากมาย รวมไปถึงกุหลาบพันปีที่บานสะพรั่งตระการตาสุดๆ ครับ

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 110 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี

ค่าเข้า : ไม่มี

ทะเลสาบอะบูเดลารี (Abudelauri Lakes)

 11. Shatili Fortress

Shatili (ชาติลี) ป้อมปราการโบราณที่อยู่ทางชายแดนด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจอร์เจีย โดยในปัจจุบันป้อมนี้อยู่ในเขตของหมู่บ้านที่ชื่อว่าชาติลี ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กประมาณ 20-25 หลังคาเรือน โดยหมู่บ้านแห่งนี้จะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกในฤดูหนาว เนื่องจากถนนหนทางถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ดังนั้นผู้คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่จึงมักจะอพยพไปอยู่ที่เมืองอื่นแทนในช่วงฤดูหนาว ยกเว้นครอบครัว 4 ครอบครัวที่มีความรักในหมู่บ้านนี้มาก และได้เลือกอาศัยอยู่ในป้อมปราการชาติลีครับ

สำหรับจุดถ่ายภาพที่สวยงามของป้อมปราการชาติลีนั้นมีอยู่หลายจุดด้วยกัน ทั้งมุมในแนวราบ หรือการเดินขึ้นเนินเขาเพื่อถ่ายภาพจากมุมสูง ใครที่เป็นสายถ่ายภาพอย่างจริงจังควรรีบตื่นแต่เช้าและไปเฝ้ารอถ่ายรูปมุมสวยๆ ตอนพระอาทิตย์ขึ้นครับ ส่วนถนนหนทางที่มาจากนครทบิลิซีถึงเมืองชาติลีนั้น ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งในเส้นทางที่โหดเอาการ เพราะเส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางขรุขระและขึ้นเขา ดังนั้นใครที่ไม่ชอบนั่งรถสมบุกสมบันนานๆ อาจจะต้องพิจารณาในการมาเที่ยวที่นี่นะครับ ส่วนถ้าใครเป็นสายลุย หนักแค่ไหนก็สู้ไหวเพื่อวิวสวยๆ หรือการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรมาเลย เพราะจากที่ชาติลีคุณจะสามารถเดินทางต่อไปยังสุดยอดป้อมปราการมุสโซ (Mutso Fortress) ต่อได้ด้วยครับ

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 150 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี

ค่าเข้า : ไม่มี


12. Mutso Fortress

Mutso Fortress

Musto Fortress (ป้อมปราการมุสโซ) เป็นหนึ่งในป้อมปราการที่ใหญ่และเก่าแก่มากของประเทศจอร์เจีย นอกจากนี้ป้อมปราการแห่งนี้ยังตั้งอยู่บนภูเขาที่สูงถึง 1,880 เมตรจากระดับน้ำทะเลอีกด้วย ดังนั้นนอกจากเราจะต้องนั่งรถผ่านทางสมบุกสมบันจากเมืองชาติลีมาที่ด้านล่างของป้อมปราการมุสโซซึ่งกินระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงแล้ว เรายังจะต้องเดินขึ้นเขาอีกประมาณ 40 นาทีเพื่อไปสัมผัสความงาม ความอลังการของป้อมปราการแห่งนี้ครับ โดยในระหว่างที่เราเดินขึ้นไปนั้น เราจะสามารถมองเห็นแม่น้ำ Andakistskali ที่ไหลผ่านด้านข้างป้อมด้วยครับ

สำหรับสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เหมาะมากสำหรับช่างภาพสายโดรน เพราะความอลังการของ Musto Fortress นั้นจะเปล่งประกายสุดๆ เมื่อเราได้มองจากบนฟ้าหรือจากระยะไกลครับ

ทั้งนี้ในระหว่างการนั่งรถจาก Shatili ไปยัง Mutso Fortress นั้น จะมีสถานที่แห่งนึงที่เค้าเรียกว่า Anatori Village โดยสถานที่นี้ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 จะใช้เป็นสถานที่กักตัวผู้ที่ป่วยเป็นโรคระบาดในบริเวณนั้น ซึ่งด้วยความที่ในสมัยนั้นวิชาการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้ามากนัก ยังไม่สามารถรักษาโรคระบาดหลายๆ โรคได้ ดังนั้นวิธีการกักผู้ป่วยของเค้าก็คือการสร้างบ้านมาครอบไว้ มีเพียงหน้าต่างติดกรงเหล็กให้หายใจและใช้รับอาหารกับน้ำจากภายนอกเท่านั้น แต่จะไม่มีประตูให้คนข้างในออกมาได้ โดยเมื่อเวลาผ่านไปผู้ป่วยเหล่านั้นจะค่อยๆ เสียชีวิตไปทีละคนๆ……..ใครที่สนใจเรื่องราวเหล่านี้สามารถแวะไปชมได้ครับ ภายในบ้านยังมีโครงกระดูกเหลือให้เราดูอยู่เลย T_T

ระยะทางจาก Tbilisi : ประมาณ 160 กิโลเมตร

เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี

ค่าเข้า : ไม่มี

และทั้งหมดนี้ก็คือสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศจอร์เจียในช่วงฤดูร้อนที่ผมอยากจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักครับ ซึ่งจริงๆ แล้วในประเทศแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายที่เราสามารถมาเที่ยวได้ในฤดูนี้ รวมไปถึงยังมีความสวยงามในฤดูอื่นๆ ให้เราค้นหาอีกมากมาย เช่น ฤดูหนาวที่พื้นดินเต็มไปด้วยสีขาวของหิมะ, ฤดูใบไม้ร่วงที่มีใบไม้เปลี่ยนสีทั่วทั้งภูเขา ใครที่สนใจอยากจะมาเที่ยวประเทศนี้ก็ลองทำการบ้านดูนะครับ ว่าอยากจะไปช่วงฤดูไหน ไปกี่วันดี และรับรองว่าถ้าคุณได้มาสัมผัสกับประเทศนี้แล้วคุณจะติดใจเหมือนกับผมอย่างแน่นอนครับ

ส่วนใครจะมาแบบแบกเป้เที่ยวเอง หรือจะไปกับทัวร์ถ่ายรูปที่ชื่อว่า TripChillChill ทริปถ่ายภาพท่องเที่ยว แบบที่ผมไป อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลยครับ เพียงแต่ก่อนจะออกเดินทางไปเที่ยวไหนอย่าลืมนึกให้ดีๆ ก่อนนะครับว่าคุณได้ทำประกันการเดินทางแล้วหรือยัง เดี๋ยวนี้เบี้ยประกันการเดินทางของแต่ละที่ถูกลงกว่าเดิมมาก และผมว่าการมีประกันการเดินทางทุกครั้งมันช่วยให้เราเที่ยวอย่างสบายใจมากขึ้นครับ อย่างผมเองตอนนี้ก็ใช้บริการประกันการเดินทางรายปีของทาง MSIG (เอ็ม เอส ไอ จี) อยู่ เบี้ยประกันปีละไม่ถึง 4,000 บาท แต่มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมเยอะเลยครับ ใครที่สนใจก็สามารถคลิกที่นี่เพื่อไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมต่อที่เวบเค้าได้เลยครับ

ประกันภัยการเดินทาง MSIG

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และหากชอบบทความของผมกับต๋งก็อย่าลืมกดติดตามแฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ของเราด้วยนะครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราในวันที่ลองใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากนี้ได้ครับ