หลังจากที่ก่อนหน้านี้ผมได้พาทุกคนแวะไปทรานสิทและรอเปลี่ยนเครื่องบินที่สนามบินอัลมาตี้ ประเทศคาซัคสถานมา ตอนนี้ผมก็เดินทางมาถึงเมืองทบิลิซี (Tbilisi) ประเทศจอร์เจียเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ โดยบทความหลังจากนี้จะเป็นการพาไปเที่ยวประเทศจอร์เจียโดยเฉพาะโซนสวาเนติ (Svaneti) ในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของประเทศจอร์เจีย และเป็นอีกช่วงเวลานึงที่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของประเทศนี้มีความงดงามมากๆ ครับ

ทั้งนี้สำหรับท่านใดที่มีความจำเป็นที่ต้องไปเปลี่ยนเครื่องบินที่เมืองอัลมาตี้ ประเทศคาซัคสถานแบบผม หรืออยากจะรู้เรื่องราวความเป็นมาว่าโซนสวาเนติของประเทศจอร์เจียนั้นคืออะไร ก็สามารถย้อนกลับไปอ่านในบทความก่อนหน้านี้ตามลิงก์ด้านล่างได้นะครับ

หมายเหตุ : ภาพเกือบทั้งหมดของบทความนี้ถ่ายจากกล้อง Nikon Z6 และเลนส์ Nikon 18-35mm F3.5-4.5 G, Nikon 50mm F1.8 S, Nikon 24-70mm F4 S และ Nikon 70-300mm F4.5-5.6 G นะครับ จะมีแค่ภาพบางส่วนเท่านั้นที่ผมใช้ภาพจากกล้องอื่นเพื่อมาประกอบบทความนี้ให้สมบูรณ์ขึ้น

Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
Big Almaty Lake, Kazakhstan

เอาล่ะ คราวนี้มาดูโปรแกรมการเดินทางของผมในประเทศจอร์เจียในทริปนี้กันดีกว่า โดยผมใช้เวลาอยู่ในประเทศจอร์เจียในทริปนี้ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2562 ตอนดึกๆ และขึ้นเครื่องกลับไทยเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2562 (นอนที่จอร์เจียทั้งหมด 8 คืน) และใช้พาหนะหลักในการเดินทางเป็นรถ 4WD คันเดิมตลอดทริปครับ เพราะว่าลักษณะของทริปผมนั้นจะเป็นการขับรถเที่ยวและถ่ายรูปไปเรื่อยๆ รวมทั้งยังมีการเปลี่ยนที่นอนทุกคืนด้วย เพื่อให้ทุกคนที่ไปได้มีโอกาสเห็นธรรมชาติที่สวยงามแบบที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ไม่ค่อยได้เห็นกัน ใครที่ชื่นชอบลักษณะทริปแบบนี้และอยากจะสัมผัสธรรมชาติรวมถึงความเป็นจอร์เจียแบบถึงแก่นก็สามารถดูทริปและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TripChillChill ทริปถ่ายภาพท่องเที่ยว นะครับ เพราะว่าผมไปกับที่นี่มาและบริษัทนี้เค้าจัดทริปลักษณะนี้ไปจอร์เจียมาหลายรอบมากๆ แล้ว มีความเชี่ยวชาญในประเทศนี้สูงเลยครับ

แต่ทั้งนี้เพื่อไม่ให้บทความที่ผมเขียนนั้นมันดูเป็นแพทเทิร์นและเล่าเป็นวันๆ ตามทริปมากจนเกินไป ผมก็เลยอาจจะมีการเรียบเรียงใหม่ เพื่อให้มันอ่านง่ายและมีความต่อเนื่องมากขึ้นนะครับ อีกทั้งผมอาจจะมีการแทรกข้อมูลหรือภาพที่น่าสนใจจากทริปที่ผ่านๆ มาของผมลงไปด้วย คนที่สนใจไปประเทศนี้จะได้รับข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจได้อย่างครบถ้วนครับ ^^

และสำหรับเนื้อหาหลักในบทความนี้ของผมจะเป็นการเล่าเรื่องการเดินทางจากทบิลิซี (Tbilisi) ไปยังเมืองเมสเทีย (Mestia) ซึ่งเป็นเมืองหลักของแคว้นสวาเนติตอนบนครับ โดยระยะทางจาก 2 เมืองนี้นั้นแม้จะห่างกันเพียง 480 กิโลเมตร แต่ด้วยสภาพของเส้นทางหลายๆ ช่วงเป็นเส้นทางการขับรถขึ้นเขาที่คดเคี้ยว ที่นอกจากจะต้องขับขึ้นและลงเขายาวต่อเนื่องแล้ว ถนนยังเป็นสองเลนซึ่งแซงกันยากมากๆ ด้วย ดังนั้นคนขับรถและ Local Guide ของจอร์เจียส่วนใหญ่จึงมักจะวางแผนให้ใช้เวลาขับรถจากทบิลิซีถึงเมสเทียประมาณ 2 วัน 1 คืนครับ คือออกจากทบิลิซีตอนสายๆ หน่อย แล้วก็ขับรถเที่ยวระหว่างทางไปเรื่อยๆ และไปนอนพักที่เมืองคูไตซี (Kutaisi) จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นก็ค่อยขับรถต่อจากคูไตซีไปยังเมืองเมสเทียครับ ซึ่งการจัดโปรแกรมแบบนี้นอกจากจะทำให้ทั้งคนขับรถและผู้ร่วมทริปไม่หนื่อยล้ามากแล้ว คนที่ได้มีโอกาสร่วมเดินทางด้วยก็ยังจะได้ท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจไปเรื่อยๆ ตลอดทาง อีกทั้งยังมีเวลาถ่ายภาพสถานที่สวยๆ งามๆ หรือจุดที่น่าสนใจด้วยครับ


The Chronicle of Georgia

และสถานที่แรกที่ผมว่าน่าสนใจน่าท่องเที่ยวในเมืองทบิลิซีสำหรับผู้ที่พอจะมีเวลาและมีรถนั่นก็คือ The Chronicle of Georgia นั่นเองครับ โดยที่นี่คืออนุสรณ์สถานประวัติศาสตร์ของจอร์เจียซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูงบริเวณชานเมืองทบิลิซีฝั่งที่ติดทะเลสาบ โครงสร้างของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ประกอบไปด้วยเสาหินขนาดใหญ่ที่มีความสูง 30-35 เมตร จำนวน 16 ต้น และเสาหินแต่ละต้นนั้นมีความกว้างมากกว่า 10 คนโอบครับ!! ผนังแต่ละด้านของเสาทุกต้นจะมีการติดตั้งภาพแกะสลักที่เล่าถึงเรื่องราวของพระคริสต์และประวัติศาตร์ประเทศจอร์เจีย รวมไปถึงรูปปั้นกษัตริย์และวีรบุรุษคนสำคัญของจอร์เจียครับ

Chronicle of Georgia

ทั้งนี้แม้อนุสรณ์สถาน The Chronicle of Georgia แห่งนี้ จะถูกเริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 ในสมัยที่ประเทศจอร์เจียยังอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศรัสเซียอยู่ แต่จนถึงปัจจุบันนี้อนุสรณ์สถานแห่งนี้ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เลยครับ

.

.

.

.

แต่เชื่อผมเถอะแม้มันจะยังไม่เสร็จก็ตามแต่มันก็สวยงาม อลังการ ควรค่าแก่การไปชมมากๆ แล้วครับ!!

และสำหรับผู้ที่มีเวลาในเมืองทบิลิซีเยอะ รวมถึงคิดว่าสถานที่เที่ยวเพียงแห่งเดียวนั้นจะยังไม่จุใจพอ ภายในเมืองทบิลิซีแห่งนี้ก็ยังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจมากมายครับ โดยหากใครสนใจจะอ่านข้อมูลของสถานที่เที่ยวในเมืองหลวงของประเทศจอร์เจียนี้เพิ่มเติมก็สามารถคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ส่วนผู้ที่มีเวลาจำกัด จำเป็นต้องเดินทางไปยังเมืองคูไตซีและเมสเทียต่อ เราไปดูสถานที่เที่ยวอื่นๆ ระหว่างทางที่น่าสนใจกันดีกว่าครับ โดยในความเห็นของผมนั้น 2 สถานที่ระหว่างเมืองทบิลิซีและคูไตซีที่น่าสนใจและควรจะหาโอกาสแวะชมมากๆ นั่นก็คือเมืองมุสเคด้า (Mtskheta) และวิหารจวารี (Jvari Monastery) ครับ


เมืองมุสเคด้า (Mtskheta)

เมืองมุสเคด้านั้นคือเมืองหลวงเก่าของประเทศจอร์เจียก่อนที่เค้าจะมีการย้ายเมืองหลวงไปยังทบิลิซี ภายในเมืองแห่งนี้นอกจากจะมีความงดงามตามสไตล์เมืองเก่าแล้ว เมืองแห่งนี้ยังตั้งอยู่ระหว่างจุดที่แม่น้ำ Kura และแม่น้ำ Aragvi ไหลมาบรรจบกันด้วย และด้วยความลงตัวในทุกๆ ด้านของเมืองนี้ ไม่ว่าจะทางสถาปัตยกรรม, ความงดงามทางธรรมชาติ และความมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะการที่มีโบสถ์สเวติสโคเวลี (Svetitskhoveli Cathedral) ซึ่งเป็นโบสถ์ขนาดใหญ่และมีความสำคัญของประเทศจอร์เจียตั้งแต่สมัยอดีตกาลตั้งอยู่ที่ใจกลางเมือง นั่นก็เลยทำให้เมืองมุสเคด้านั้นได้กลายเป็นหนึ่งในมรดกโลก (UNESCO World Heritage) ในปี ค.ศ. 1994 ครับ

เมืองแห่งนี้ผมแนะนำเลยนะ ใครที่พอมีเวลาไม่ควรพลาดเด็ดขาด ถ่ายรูปสนุกและมีของกินอร่อยๆ รวมถึงมีของที่ระลึก, เสื้อผ้า และของอื่นๆ ให้ช็อปปิ้งมากมายเลยล่ะครับ ^^

Svetitskhoveli
เมืองมิชเคตา (Mtskheta)

วิหารจวารี (Jvari Monastery)

ส่วนวิหารจวารีนั้น จะเป็นวิหารเก่าแก่ที่สร้างอยู่บนยอดเขาสูงห่างจากเมืองมุสเคด้าประมาณ 15-20 นาที โดยวิหารแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 6 และจากวิหารนี้คุณจะสามารถมองเห็นเมืองมุสเคด้าที่มีโบสถ์สเวติสโคเวลีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงใจกลางเมือง โดยมีแม่น้ำ Kura กับแม่น้ำ Aragvi ขนาบสองข้างเมืองได้อย่างชัดเจนเลยครับ บอกเลยว่ามันเป็นภาพที่สวยงามมากๆ และหากคุณเป็นคนที่โชคดีคุณจะได้มีโอกาสเห็นแม่น้ำสองสีมาบรรจบกันด้วยครับ

View from Jvari Monastery, Georgia

เมืองคูไตซี (Kutaisi)

จบจากสองสถานที่เที่ยวระหว่างทางไปเมืองคูไตซีที่น่าสนใจแล้ว คราวนี้เราจะขับรถยาวๆ จากบริเวณเมืองมุสเคด้ามาที่เมืองคูไตซีเลยนะครับ โดยระยะทางในช่วงนี้แม้จะยาวประมาณ 200 กิโลเมตร แต่เวลาขับรถจริงที่นั่นอาจจะมี 4 ชั่วโมงถึง 4 ชั่วโมงครึ่งได้เลย ยังไงใครที่จะต้องเดินทางต่อก็ดูเวลาดีๆ ด้วยนะว่ามันจะไปถึงเมืองคูไตซีค่ำไปมั้ย โดยเฉพาะใครที่ไปเที่ยวช่วงใบไม้เปลี่ยนสีซึ่งตรงกับเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน เพราะช่วงนี้พระอาทิตย์จะตกเร็วกว่าช่วงหน้าร้อนของประเทศจอร์เจียซึ่งตรงกับเดือนมิถุนายน – สิงหาคม ประมาณ 2-3 ชั่วโมงเลยครับ ดังนั้นใครที่ไปช่วงหน้าร้อนก็อาจจะได้เที่ยวสบายๆ หน่อย แถมได้เที่ยวระหว่างทางเยอะ แต่ถ้าใครไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีหรือช่วงฤดูหนาว อันนี้ก็ต้องเร่งรีบและอาจจะต้องตัดบางสถานที่ออกไปนิดนึง ไม่งั้นเราอาจจะต้องขับรถผ่านความมืดเป็นเวลานานครับ

และนี่เป็นภาพบรรยากาศตอนรุ่งเช้าของเมืองคูไตซีครับ เป็นภาพที่เห็นแล้วรู้สึกอิ่มเอมใจจริงๆ ตื่นมาแล้วได้เห็นวิวแบบนี้มันช่างสดชื่นมากๆ

Sunrise at Kutaisi, Georgia

ทั้งนี้เมืองคูไตซีนั้นเป็นอีกหนึ่งเมืองของจอร์เจียที่มีความใหญ่และความเจริญพอควร มีสวนสนุกเล็กๆ อยู่บนยอดเขา แล้วก็มีร้าน Fast Food อย่างแมคโดนัลด์ รวมถึงสถานที่ซื้อของต่างๆ บริเวณเซนทรัลและน้ำพุซึ่งอยู่ใจกลางเมือง นอกจากนั้นด้วยความที่เมืองนี้เป็นเมืองที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมืองด้วย ก็เลยทำให้บรรยากาศตอนพลบค่ำและตอนเช้าของเมืองนี้มีความสวยงามมากๆ ครับ

ส่วนสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจภายในเมืองนี้ตามความคิดผมจะประกอบไปด้วย 3 โบสถ์และวิหารอย่างวิหารมอสซาเมตา (Mosameta Monastery), มหาวิหารเจลาติ (Gelati Monastery) และโบสถ์บากราติ (Bagrati Cathedral) แต่ๆๆๆๆ เห็นเป็นโบสถ์และวิหารอย่างนี้อย่างพึ่งเบื่อหรือเบือนหน้าหนีนะครับ เพราะทั้งสามสถานที่นี้ล้วนแต่มีความเก่าแก่และงดงามมาก อีกทั้งยังมีบางแห่งได้รับรองว่าเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ด้วยนะครับ

โบสถ์บากราติ (Bagrati Cathedral)

ผมขอเริ่มจากโบสถ์บากราติ (Bagrati Cathedral) ก่อนนะครับ เพราะโบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาภายในเมือง สามารถมองเห็นได้ชัดเจน และหลายๆ คนสามารถเดินทางไปได้ง่าย ง่ายชนิดที่ว่าบางคนสามารถเดินไปกลับโบสถ์นี้กับที่พักได้เลยครับ

โดยโบสถ์บากราตินั้นเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 11 ในสมัยของกษัตริย์ Bagrat ที่ 3 จึงถูกเรียกว่า “Bagrati” ตามชื่อของผู้สร้าง แต่ต่อมาโบสถ์แห่งนี้ได้พังทลายลงจากแรงระเบิดของกองทัพอ๊อตโตมันที่บุกเข้ามาจนทำให้กำแพงด้านตะวันออกรวมถึงโดมและเพดานพังทลายลงมาจนหมดสิ้น และหลังจากที่โบสถ์แห่งนี้ได้ถูกปล่อยให้เสื่อมโทรมและรกร้างมานาน ในช่วงปี ค.ศ. 2010 สถาปนิกชาวอิตาลีชื่อ Andrea Bruno ก็ได้เข้ามาบูรณะโบสถ์แห่งนี้ให้มีสภาพที่ดีขึ้น และทำให้องค์การ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนโบสถ์แห่งนี้เป็นมรดกโลก แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่เวลาต่อมาทางรัฐบาลจอร์เจียได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมโบสถ์แห่งนี้เพิ่มเติมครั้งใหญ่ เพื่อใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ดึงดูดผู้แสวงบุญและนักท่องเที่ยวให้มามากขึ้น จนทำให้องค์การ UNESCO ได้ทำการถอนชื่อของโบสถ์แห่งนี้ออกจากมรดกโลกในปี ค.ศ. 2017 เพราะพิจารณาว่าการบูรณะครั้งใหญ่นี้มันเป็นอันตรายต่อความสมบูรณ์และความถูกต้องของโครงสร้างเดิมในสมัยอดีตครับ T_T

อย่างไรก็ตามในความเห็นของผมจากที่ได้ไปสัมผัสโบสถ์แห่งนี้มา 2-3 ครั้งแล้ว ผมว่าต่อให้โบสถ์แห่งนี้จะถูกออกจากมรดกโลกแล้ว แต่หากใครได้มีโอกาสไปที่เมืองคูไตซีก็ควรจะแวะไปดูซักครั้งครับ โดยเฉพาะคนที่ชอบการถ่ายรูปไม่ควรพลาดที่จะไปในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกเด็ดขาด เพราะในสองช่วงเวลานี้โบสถ์บารากติจะมีความสวยงามมากๆ ครับ

ภาพด้านล่างนี้คือภาพที่ผมถ่ายวิวเมืองคูไตซีตอนเช้าขณะที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น โดยผมยืนถ่ายจากบริเวณโบสถ์บากราตินะครับ ใครได้ไปที่โบสถ์นี้ตอนเช้าๆ ก็อย่าลืมหันมาถ่ายมุมนี้กันด้วยล่ะ

วิหารมอสซาเมตา (Mosameta Monastery)

มาดูกันที่วิหารมอสซาเมตา (Mosameta Monastery) กันบ้าง แม้วิหารนี้จะเป็นวิหารขนาดเล็กและตั้งอยู่นอกเมืองคูไตซี ต้องใช้เวลาขับรถไปประมาณ 20 นาที แต่วิหารแห่งนี้ก็มีความสวยงามคุ้มค่าแก่การไปเยือนมากๆ ครับ เพราะวิหารแห่งนี้จะตั้งอยู่บนภูเขาสูงที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่เขียวขจีกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ครับ และในความเห็นของผมนั้นหากใครไปเมืองคูไตซีครั้งแรกแล้วไม่ได้วิหารนี้ ผมว่าเหมือนไปไม่ถึงอ่ะ ><

มหาวิหารเจลาติ (Gelati Monastery)

ส่วนมหาวิหารเจลาติ (Gelati Monastery) จะเป็นมหาวิหารที่ตั้งอยู่นอกเมืองคูไตซีเช่นเดียวกันและอยู่ห่างจากวิหารมอสซาเมตาไม่มากนัก โดยภายในมหาวิหารแห่งนี้นอกจากจะมีภาพวาดที่สวยมากๆ แล้ว ยังมีความสวยงามและความขลังมากๆ ด้วย และนั่นก็ทำให้มหาวิหารแห่งนี้ได้รับรองการเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ครับ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ในช่วงที่ผมได้มีโอกาสไปเยือนมหาวิหารแห่งนี้ เค้ากำลังมีการบูรณะครั้งใหญ่ก็เลยทำให้ผมแทบถ่ายภาพไม่ได้เลยครับ T_T

ก็เอาเป็นว่าใครที่เป็นคนชอบงานสถาปัตยกรรมและความเก่าแก่ของโบสถ์วิหารต่างๆ นั้น ไม่ควรพลาดที่จะไปเยือนสถานที่ทั้ง 3 ที่ผมบอกมานี้ครับ แต่หากใครมีเวลาที่จำกัดรวมทั้งอาจจะไม่สะดวกกับการเดินทางออกไปนอกเมือง อันนี้ก็ต้องเลือกและปรับแผนให้เหมาะสมกับแต่ละคนอีกทีครับ

หลังจากเที่ยวสถานที่น่าสนใจรอบๆ เมืองคูไตซีเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาที่เราจะต้องขับรถตรงไปยังเมืองเมสเทียซึ่งจะเป็นการก้าวย่างเข้าสู่ดินแดนที่ชื่อว่าสวาเนติกันแบบเต็มๆ แล้วครับ โดยระยะทางระหว่างเมืองคูไตซีไปยังเมสเทียนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 250 กิโลเมตร แต่ด้วยสภาพเส้นทางการขับรถในช่วงหลังๆ ที่จะต้องเป็นการขับรถขึ้นเขาที่คดเคี้ยวต่อเนื่องมันก็เลยทำให้เราอาจจะต้องใช้เวลาในการขับรถนานถึง 5-6 ชั่วโมงเลย ยิ่งใครเจอวิวสวยๆ ระหว่างทางแล้วอยากจะจอดรถถ่ายภาพไปเรื่อยๆ อันนี้ก็อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าเดิมอีกครับ

ผมให้ดูภาพของวิวสวยๆ ระหว่างทางไปเมืองเมสเทียครับ โดยภาพเหล่านี้คือภาพที่ผมถ่ายในช่วงเดือนตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่โซนนี้เริ่มมีใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว และผมอยากจะบอกว่าของจริงนั้นสวยกว่านี้มากๆ ครับ เพราะภูเขาของเค้านั้นอลังการมากๆ แถมหลายจุดที่สวยมากๆ นั้นมันก็ไม่สามารถจอดรถได้ด้วย ทำได้แค่ใช้สายตากับสมองบันทึกภาพกับความทรงจำเท่านั้น ยังไงใครที่ได้ขับรถผ่านเส้นทางนี้ก็อย่ามัวแต่หลับเพลินนะครับ ตั้งสติดูวิวสองข้างทางด้วย บอกเลยว่ามันคุ้มค่าและสวยงามมากจริงๆ ส่วนใครที่อยากจะจอดรถถ่ายรูป อันนี้ก็ต้องดูดีๆ นะว่ามันพอจะมีที่ไหนที่สามารถจอดได้บ้าง อย่าไปจอดตามไหล่ทางหรือช่วงโค้งของถนนล่ะ เพราะมันจะทำให้ทั้งเราและผู้อื่นมีอันตรายได้ครับ ^^

Autumn Svaneti, Georgia
Autumn Svaneti, Georgia
Autumn Svaneti, Georgia
Autumn Svaneti, Georgia

และสำหรับผู้ที่มีเวลาระหว่างวันเหลือเฟือ อยากจะหาที่เที่ยวอื่นๆ เพิ่มเติมนอกจากการดูวิวสองข้างทาง ผมก็แนะนำ 3 สถานที่นี้เลยครับ ถ้ำพรอมิทิอุส (Prometheus Cave), มาทิวิลีแคนยอน (Martvili Canyon) และเขื่อนเอ็นกูรี (Enguri Dam) โดยสองสถานที่แรกนั้นจะมีค่าใช้จ่ายในการเข้าชมนะครับ ส่วนสถานที่สุดท้ายนั้นจะสามารถเข้าชมได้ฟรี

ถ้ำพรอมิทิอุส (Prometheus Cave)

สำหรับถ้ำพรอมิทิอุส (Prometheus Cave) หรืออีกชื่อนึงที่เรียกว่า Kumistavi Cave นั้น จะเป็นถ้ำทางธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่มาก และอยู่ห่างจากเมืองคูไตซีประมาณ 30 นาทีเท่านั้น โดยภายในถ้ำแห่งนี้จะมีความยาวทั้งหมด 11 กิโลเมตร และมีห้องโถงขนาดใหญ่ถึง 22 จุด แต่ในปัจจุบันนี้ทางถ้ำพรอมิทิอุสเค้าเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินชมเพียงแค่ 6 จุด ในระยะทางการเดิน 1,060 เมตรเท่านั้น

ภายในถ้ำพรอมิทิอุสแห่งนี้นอกจากจะมีขนาดที่ใหญ่มากแล้ว ยังเป็นถ้ำที่มีการจัดแสงสีไฟที่มีความสวยงามมากอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นถ้ำที่มีทางเดินที่จัดทำขึ้นมาอย่างดี มีอากาศปรอดโปร่ง หายใจสะดวกกว่าหลายถ้ำมากๆ แต่ทั้งนี้ด้วยความที่เป็นการเดินภายในถ้ำดังนั้นในหลายๆ จุดของการเดินอาจจะมีแสงไฟไม่มาก มีทางเดินที่ลื่น และมีอุณหภูมิที่เย็นกว่าภายนอกพอควร ใครที่มีแผนจะเดินทางไปที่นี่ก็ควรจะต้องเตรียมตัวในเรื่องของรองเท้าและเสื้อผ้าไปให้ดีด้วยนะครับ

มาทิวิลีแคนยอน (Martvili Canyon)

มาทิวิลีแคนยอน (Martvili Canyon) อีกหนึ่งสถานที่เที่ยวระหว่างเมืองคูไตซีและเมืองเมสเทียที่หลายๆ คนน่าจะรู้สึกประทับใจมาก เพราะที่นี่คือแคนยอนทางธรรมชาติที่มีความสวยงาม โดยภายในสถานที่นี้นอกจากคุณจะได้เห็นน้ำตกขนาดเล็กและสายน้ำที่ลัดเลาะไปตามซอกเขาแล้ว คุณยังจะได้มีโอกาสพายเรือเข้าไปชมความงามของแคนยอนอีกด้วย บอกเลยว่ามันเป็นอะไรที่สวยงามและน่าประทับใจสุดๆ เลยครับ

และสำหรับคนที่รู้สึกหวาดกลัวหรือกังวลกับการพายเรือที่นี่นั้น ผมบอกเลยว่าไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลหรือน่าห่วงครับ เพราะเรือของเค้านั้นมีขนาดใหญ่และมีความแข็งแรงมาก อีกทั้งภายในเรือทุกลำจะมีเจ้าหน้าที่ของแคนยอนเป็นผู้คัดท้ายให้เรา และก่อนที่เราจะลงเรือนั้นเค้าจะมีเสื้ออชูชีพให้เราใส่ทุกคนครับ

สำหรับมาทิวิลีแคนยอนนั้นจะตั้งอยู่ห่างจากถ้ำพรอมิทิอุสประมาณ 1 ชั่วโมงนะครับ และเวลาซื้อตั๋วเข้าชมที่นี่มันจะมีการแยกขายตั๋ว 2 แบบ คือตั๋วเดินชมธรรมชาติอย่างเดียวกับตั๋วนั่งเรือพาย ซึ่งทั้งสองตั๋วนี้แม้จะมีประตูทางเข้าเดียวกัน แต่มันจะมีการแยกเส้นทางภายในแคนยอนอีกที ดังนั้นหากใครต้องการชมความงามของที่นี่และอยากได้รับประสบการณ์แบบครบๆ ก็ต้องซื้อตั๋วให้ครบทั้งสองแบบนะครับ ^^

เขื่อนเอ็นกูรี (Enguri Dam)

ปิดท้ายกันที่เขื่อนเอ็นกูรี (Enguri Dam) ที่นี่คือเขื่อนคอนกรีตผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำ Enguri ติดฝั่งภูมิภาค Abkhazia ซึ่งอยู่ติดกับฝั่งทะเลดำของจอร์เจีย โดยเขื่อนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1961 และสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1987 มีความสูงของเขื่อนทั้งหมด 272 เมตร และด้วยความสูงของเขื่อนขนาดนี้มันก็เลยทำให้เขื่อนแห่งนี้กลายเป็นเขื่อนที่สูงอันดับ 4 ของโลก และหากนับเฉพาะเขื่อนคอนกรีตเขื่อนเอ็นกูรีจะเป็นเขื่อนที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกเลยครับ

ทั้งนี้นอกจากเขื่อนแห่งนี้จะมีความสูงและใหญ่มากๆ แล้ว ด้วยตำแหน่งที่ตั้งของเขื่อนที่อยู่ภายใต้เทือกเขาขนาดใหญ่และมีป่าไม้เขียวขจีล้อมรอบ มันก็เลยทำให้เขื่อนแห่งนี้มีความสวยงามมาก ยิ่งในบางช่วงเวลาน้ำในเขื่อนแห่งนี้จะเปล่งประกายเป็นสีเทอร์ควอยซ์ด้วยยิ่งทำให้เขื่อนแห่งนี้มีความสวยงามมากขึ้นไปอีกครับ

และทั้งหมดนี้ก็คือสถานที่เที่ยวและเรื่องราวที่น่าสนใจระหว่างการเดินทางจากทบิลิซีไปยังเมืองเมสเทีย หนึ่งในเมืองหลักของแคว้นสวาเนติตอนบน และเดี๋ยวบทความหน้าผมจะพาทุกคนไปชมความงามของเมืองเมสเทียและบริเวณรอบๆ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีกันต่อครับ และหากใครไม่อยากพลาดเรื่องราวต่างๆ ที่ผมเขียนก็สามารถกดติดตามเพื่อรับข่าวสารที่รวดเร็วทันใจได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ ^^

Mestia, Georgia
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือความรู้สึกที่แตกต่างจากนี้ได้