ด้วยความที่จังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) เป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมาก ดังนั้นจึงทำให้ที่นี่มีสวนผลไม้อยู่มากมายจนเกิดเป็น Fruit line หรือเส้นทางสายผลไม้ที่โด่งดังไปทั่วญี่ปุ่น และทำให้ผมต้องจัดแผนเที่ยวของผม 1 วันเพื่อไปพิสูจน์ความอร่อยบนเส้นทางสายนี้
โดย Fruit line หรือเส้นทางสายผลไม้ของจังหวัดฟุกุชิมะนั้น จะมีสวนผลไม้ต่างๆ อยู่มากมายเลยครับ และที่สวนเหล่านี้จะมีผลไม้อร่อยๆ ออกผลอยู่แทบจะตลอดทั้งปี เท่านั้นยังไม่พอหลายๆ สวนยังเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าไปชิมผลไม้สดๆ จากต้นได้แบบไม่จำกัดจำนวนอีกด้วยครับ โดยช่วงเวลาคร่าวๆ ที่ผลไม้ในเส้นทางสายนี้จะสุกพร้อมให้เก็บเกี่ยวได้ก็ตามนี้เลยครับ
- สตรอเบอรี่ : เดือนมกราคม ถึง พฤษภาคม
- เชอรี่ : เดือนมิถุนายน ถึง กลางเดือนกรกฎาคม
- ลูกพีช : กลางเดือนกรกฎาคม ถึง กลางเดือนกันยายน
- ลูกแพร : ปลายเดือนสิงหาคม ถึง กลางเดือนตุลาคม
- แอปเปิ้ล : ปลายเดือนสิงหาคม ถึง ต้นเดือนธันวาคม
- องุ่น : เดือนกันยายน ถึง กลางเดือนตุลาคม
สำหรับตัวผมกับต๋งเอง เราเดินทางไปที่ฟุกุชิมะในช่วงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งตรงกับช่วงที่ลูกพีชกำลังสุกได้ที่พอดี และลูกพีชก็เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ต๋งชอบมากๆ ด้วย ดังนั้นเราจึงรู้สึกตื่นเต้นกับการไปเยือนสวนผลไม้ในครั้งนี้มากเลย โดยสวนที่เราเลือกที่จะไปนั้นชื่อว่าสวนมารูเอะ “Marue Tourist Orchard” ส่วนในเรื่องการเดินทางนั้นเราเลือกใช้การนั่ง Taxi จากสถานีฟุกุชิมะ แล้วนำรูปกับชื่อสวนให้ Taxi ดูครับ
ทั้งนี้ผมต้องแจ้งให้ทราบก่อนนะครับว่า การเดินทางในญี่ปุ่นด้วย Taxi นั้นเป็นอะไรที่มีค่าใช้จ่ายสูงพอควร อย่างครั้งนี้ค่าเดินทางจากสถานีฟุกุชิมะไปยัง Marue Tourist Orchard นั้นก็อยู่ที่ 2,850 เยน ซึ่งเมื่อเทียบกับการนั่ง Taxi ประมาณ 15 นาทีที่เมืองไทยแล้วก็ต้องยอมรับว่าราคาสูงกว่ากันหลายเท่าเลย แต่เราสองคนก็มองว่านี่เป็นการเดินทางที่สะดวกที่สุดแล้วเพราะหากเราจะใช้บริการรถบัส นอกจากที่เราจะต้องปวดหัวกับภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ และต้องงงกับจุดที่รถจอดแล้วเรายังต้องเดินต่อไปยังสวนพีชเองอีกด้วย ดังนั้นการเลือกนั่ง Taxi น่าจะเป็นการดีกับเรามากกว่า ที่สำคัญเรายังสามารถประหยัดเวลาช่วยให้เราเหลือเวลาไปเที่ยวที่อื่นเพิ่มมากขึ้นด้วยครับ
หมายเหตุ : สำหรับคนที่เลือกไปขึ้น Taxi ที่สถานี Ioji-Mae นั้น ก็จะจ่ายค่า Taxi ในการไปสวนถูกกว่าการขึ้นที่สถานี Fukushima พอควรเลยครับ แต่ว่าจำนวน Taxi ที่ให้บริการที่สถานีนั้นก็จะน้อยกว่าที่สถานี Fukushima ครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากจังหวัดฟุกุชิมะ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
และนี่ก็คือหน้าตาของสวนมารูเอะ “Marue Tourist Orchard” ครับ
เมื่อเรามาถึงที่หน้าสวนแล้วอันดับแรกที่เราควรจะต้องทำก็คือ ซื้อบัตรเพื่อเข้าไปชิมลูกพีชสดๆ จากต้นครับ โดยราคาค่าเข้าชมและกินลูกพีชสดๆ ของ Marue Tourist Orchard นั้นจะอยู่ที่ 860 เยน/คน และเราจะมีเวลาในการทานลูกพีชในสวนทั้งหมด 30 นาทีด้วยกัน
นี่เป็นหน้าตาของบัตรเข้าสวนครับ โดยผมสันนิษฐานเอาว่าตัวเลข 11.20 น. น่าจะเป็นเวลาที่บอกว่าเราจะสามารถอยู่ในสวนได้ถึงตอนนั้นครับ เพราะพอเราเข้าไปในสวนแล้ว จะไม่มีเจ้าหน้าที่ที่จับเวลาหรือมาบอกเวลาเราเลย ทุกคนจะต้องมีความรับผิดชอบในการดูเวลาและเมื่อถึงเวลาตามที่กำหนดก็จะต้องเดินออกมาที่ทางออกเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ผมประทับใจในวินัยของคนญี่ปุ่นมากๆ ครับ
หมายเหตุ : ระยะเวลาที่เขียนบนบัตรนั้น ทางเจ้าหน้าที่ที่ขายตั๋วจะประเมินจากเวลานั้นว่ามีจำนวนคนรอเข้าสวนมากน้อยแค่ไหนครับ
ระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่พาเข้าไปในสวน ผมก็เดินสำรวจไปมาแล้วก็พบว่าที่หน้าร้านของสวนแห่งนี้มีลูกพีชสวยๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปของลูกพีชและผลไม้อื่นๆ ขายเต็มไปหมดเลย แน่นอนว่าสินค้าที่ขายดีที่สุดก็คือลูกพีช พระเอกของวันนี้นี่แหละครับ เพราะตลอดเวลาที่ผมแอบสังเกตก็พบว่ามีชาวญี่ปุ่นหมุนเวียนเข้ามาซื้อลูกพีชไม่ขาดสาย บางคนก็ซื้อแล้วถือกลับไปเองเลยก็มี บางคนก็ซื้อแล้วให้จัดส่งไปทางแมวดำก็มี โดยที่หน้าร้านแห่งนี้ได้มีบริการเอกสารในการจัดส่งลูกพีชทางแมวดำไว้ให้เรียบร้อยเลยครับ
สำหรับราคาของลูกพีชที่จำหน่ายนั้น ก็ต้องบอกว่ามีหลากหลายราคาเลย ซึ่งผมเองก็รู้หรอกว่าแบบที่แพงมากๆ นั้นรสชาติจะเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่าลูกที่เค้าเอามาปอกให้กินฟรีๆ ที่หน้าร้านนั้นก็อร่อย และหอมหวานมากๆ แล้ว
และเมื่อถึงเวลาเข้าสวนของเรา ทางเจ้าหน้าที่ก็พาเรานั่งรถคันเล็กลัดเลาะไปตามสวน จนกระทั่งมาถึงแปลงต้นพีชที่มีลูกพีชสีแดงสวยสุกอยู่เต็มต้น โดยเมื่อเราลงรถจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาอธิบายเราว่าการเก็บพีชนั้นควรจะเก็บอย่างไร และเค้ามีอุปกรณ์อะไรให้บ้าง โดยทางเจ้าหน้าที่จะอธิบายเราเป็นภาษาญี่ปุ่นและท่าทางประกอบที่เราพอจะเข้าใจได้ครับ
สำหรับอุปกรณ์ที่ทางสวนมีให้เราก็ได้แก่ มีดปอกลูกพีช และถังอีก 2 ใบ โดยใบที่ใส่น้ำจะเอาไว้ล้างลูกพีช ส่วนอีกใบจะเอาไว้ทิ้งเปลือกและเม็ดลูกพีชครับ โดยมีดปอกของเค้าจะเป็นมีดทรงสี่เหลี่ยมไม่เหมือนมีดของไทย แต่มีดที่ว่านี้สามารถปอกเปลือกลูกพีชได้ง่ายๆ มากเลยครับ
ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เราควรรู้เกี่ยวกับการเก็บลูกพีชในสวนนี้ก็คือ
- ในการเก็บลูกพีช เราต้องใช้การดึงให้ลูกพีชหลุดจากขั้ว อย่าใช้การหมุน
- ลูกพีชที่อยู่สูงๆ มักจะอร่อยกว่าลูกล่างๆ
- การเก็บลูกพีชจากต้นมาทาน ควรเก็บทีละลูก ไม่ควรเก็บทีละหลายๆ ลูกแล้วมาปอกทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ตอนแรกผมก็ไม่ทราบครับ แต่พอทราบแล้วก็เก็บมาทีละลูกครับ
เอาล่ะ ทีนี้เราก็พร้อมที่จะไปเก็บและกินลูกพีชสดๆ จากต้นกันแล้ว ไปกันเลยครับ
เก็บลูกพีชสุกๆ สวยๆเสร็จแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาล้างและปอกรับประทานกันแล้วครับ และก็อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าผมไม่ทราบว่าต้องเก็บลูกพีชทีละลูกตามจำนวนคนก็เลยเก็บมา 3 ลูก แต่หลังจากที่ทราบแล้วก็ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้อีกครับ T_T
เมื่อปอกเสร็จแล้วก็ได้เวลากิน ซึ่งอยากจะบอกว่าวินาทีแรกที่ผมกัดลูกพีชของที่นี่เข้าปาก ผมแทบร้องว่าโออิชิออกมาดังๆ เลย ซึ่งผมไม่ได้อยากจะกระแดะ หรืออวยอะไรเว่อร์นะครับ แต่ลูกพีชที่ได้กินในวันนั้นมันอร่อยและหอมหวานมากๆ อร่อยชนิดที่ลูกพีชที่เคยกินที่เมืองไทยสู้ไม่ได้เลยจริงๆ และอร่อยจนผมที่ปกติเป็นคนที่เฉยๆ กับลูกพีชต้องยอมรับในความอร่อย และรีบกินให้หมดเพื่อที่จะได้เดินไปเก็บลูกใหม่มากินต่อเลยครับ
ผมให้ดูภาพความสวยและความน่ากินของลูกพีชที่นี่เพิ่มอีกหน่อยครับ บอกเลยว่ามันอร่อย ดีงาม คุ้มค่า ควรค่าแก่การไปมากๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบทานลูกพีช ค่าเข้า 860 เยน/คน บวกกับค่า Taxi ที่นั่งมานั้นถือว่าไม่แพงเลยกับประสบการณ์แบบนี้ ยิ่งใครที่นั่ง Taxi รวมกันมา 3-4 คน ยิ่งคุ้มค่ามากๆ ครับ
หลังจากที่ผมกับต๋งอิ่มหนำสำราญและท้องเต็มไปด้วยลูกพีชสุดอร่อยแล้ว เราก็เดินออกมาที่ด้านหน้าของสวนตามเวลาที่กำหนด และนั่งรถ Taxi กลับสถานีฟุกุชิมะเพื่อไปยังเมืองโคริยามะ (Koriyama) อีกหนึ่งเมืองที่มีสถานที่เที่ยวดีๆ และแตกต่างจากวันอื่นๆ ที่ผ่านมาของผมซ่อนอยู่
สำหรับเมือง Koriyama นี้ถือเป็นเมืองขนาดใหญ่และมีความครึกครื้นกว่าเมือง Fukushima มากๆ ที่สำคัญทั้งสองเมืองนี้อยู่ห่างกันเพียงแค่การนั่งรถไฟ 13 นาทีเท่านั้นเองครับ
เมื่อออกจากสถานีโคริยามะแล้ว สิ่งที่เราจะมองเห็นที่ด้านขวามือก็คือตึกสูงๆ ที่ชื่อว่าตึก Big I และตึกนี้นี่แหละครับคือเป้าหมายในการเที่ยวของเรา เพราะที่ชั้น 21-24 ของตึกนี้คือที่ตั้งของ Koriyama City Fureai Science Center Space Park หรือพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และอวกาศที่ดีงามแห่งนึงของประเทศญี่ปุ่น โดยที่นี่มีท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่ที่ได้รับการรับรองลงในกินเนสบุ๊ค (Guinness Book) ว่า เป็นท้องฟ้าจำลองที่ตั้งอยู่บนตึกที่สูงที่สุดของโลกด้วยครับ โดยมีความสูงจากพื้นถึง 104.25 เมตรด้วยกัน
จากภาพด้านบน ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นลูกบอลกลมๆ ใหญ่ๆ อยู่ที่ด้านบนของตึก ซึ่งนั่นก็คือที่ตั้งของ Koriyama City Fureai Science Center Space Park หรือ Koriyama Space Park นั่นเอง โดยเมื่อเรากดลิฟท์มาที่ชั้น 22 ซึ่งเป็นชั้น Lobby ของที่นี่ก็จะเจอภาพแบบนี้ครับ
สำหรับภาพรวมคร่าวๆ ของ Koriyama Space Park นั้นจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 ส่วน ตามนี้ครับ
ชั้น 22 : เป็นบริเวณ Lobby ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
ชั้น 21 : เป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และอวกาศที่จะทำให้เราได้เห็นและเรียนรู้ว่านอกโลกของเรานั้นมีอะไรบ้าง และนักบินอวกาศนั้นมีความเป็นอยู่อย่างไร
ชั้น 23-24 : เป็นโรงหนังและท้องฟ้าจำลอง
โดยการเข้าชมที่ชั้น 22 นั้นจะสามารถเข้าชมได้ฟรี ส่วนใครที่จะไปที่ชั้น 21 และ 23-24 นั้น จะมีค่าใช้จ่ายอีกส่วนละ 400 เยน ตัวผมเองก็จัดทั้งหมดเลยครับ โดยในส่วนของชั้น 23-24 นั้น ผมเลือกดูเป็นท้องฟ้าจำลองครับ แต่ถ้าใครไม่ชอบ อยากจะดูเป็นเรื่องราวของไดโนเสาร์แทนก็ได้ หรือถ้าใครจะดูทั้ง 2 เรื่องก็สามารถทำได้อีกเช่นกัน เพียงแต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 400 เยนครับ
อ้อ ที่ชั้น 22 ที่ให้ชมฟรีนี้ จะมีจุดที่น่าสนใจอยู่ 2-3 จุดนั่นก็คือจุดที่แสดงโมเดล (Diorama) ของสายรถไฟที่วิ่งผ่านเส้นทางต่างๆ กับอีกจุดก็คือการได้ชมวิวสวยๆ ของเมือง Koriyama ในมุมสูง ซึ่งก็เลยทำให้มีหลายๆ คนเหมือนกันที่ขึ้นมาที่ชั้นนี้เพียงเพื่อดูวิวสวยๆ เท่านั้นครับ
ส่วนถ้าใครอยากจะไปชั้นอื่นๆ ที่เสียเงิน ก็เดินไปซื้อบัตรที่เครื่องนี้ได้เลยครับ เครื่องนี้จะอยู่แถวๆ ทางเดินที่จะไปลิฟท์ โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลและกดซื้อตั๋วให้ครับ
นี่เป็นหน้าตาบัตรที่ออกมาจากเครื่องครับ ฝั่งซ้ายคือบัตรเข้าชมท้องฟ้าจำลองชั้น 23 ซึ่งจะมีเวลาระบุอยู่ว่าคือช่วง 17.00 – 17.45 น. ส่วนฝั่งขวาคือบัตรไปพิพิธภัณฑ์ที่ชั้น 21 โดยอันนี้จะไม่มีเวลาบอก เพราะเราจะเข้าไปตอนไหน หรืออยู่นานแค่ไหนก็ได้
อ้อ ผมลืมบอกไปครับ สำหรับเวลาเปิดปิดของ Koriyama Space Park ก็ตามนี้นะครับ
Space Theater (ชั้น 23-24)
- Weekdays : 10.00 – 16.45 น.
- Fridays : 10.00 – 19.45 น.
- Saturday, Sunday and Holidays : 10.00 – 17.45
Exhibit Zone (ชั้น 21)
- Everyday : 10.00 – 17.45
Observation Lobby (ชั้น 22)
- Everyday : 10.00 – 20.00 น.
เอาล่ะ มีบัตรในมือพร้อมแล้ว คราวนี้เราไปตะลุยพิพิธภัณฑ์ที่ชั้น 21 กันดีกว่า โดยทางเข้าออกของพิพิธภัณฑ์นี้จะอยู่ตรงกลางของชั้น 22 นะครับ จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรอยู่ พอเข้าไปแล้วจะมีบันไดอยู่ตรงกลางเพื่อเดินลงไปชั้น 21 อีกทีครับ
และนี่เป็นบรรยากาศระหว่างทางเดินลงไปที่ชั้น 21 ครับ ในลูกกลมๆ นั้นจะมีการฉายการ์ตูนที่เกี่ยวกับเรื่องของดวงดาวและดาราศาสตร์ด้วยนะครับ เจ๋งมากเลย
และพอเราเดินลงบันไดมาถึงชั้น 21 เราก็จะเจอกับพื้นที่กว้างๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นชุดนักบินอวกาศ, สัตว์เลี้ยงอวกาศ, ยานอวกาศ, รอยเท้านักบินอวกาศ, ทางช้างเผือก และอื่นๆ อีกมากมายเต็มไปหมด
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีพื้นที่ให้เด็กเล่น และกิจกรรมสนุกๆ มากมายเต็มไปหมดเลยครับ
แต่สิ่งที่ผมว่าเด็ดที่สุดก็คือพวกบรรดาเครื่องเล่นต่างๆ ที่จะทำให้เราได้ใกล้ชิดโลกอวกาศเข้าไปอีกขั้นอย่าง Triple Spin, Moon Jump และ Simulated Space Exploration นี่แหละครับ เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องเล่นที่เล่นได้ฟรีแล้วยังเป็นเครื่องเล่นที่หาเล่นที่อื่นได้ยากมากๆ ด้วยครับ
โดย Triple Spin คือ เครื่องเล่นที่จำลองสภาวะการถูกหมุนเหวี่ยงไปมา ซึ่งบอกเลยว่าเป็นเครื่องที่ทำเอาผมมึนหัวมากๆ ส่วน Moon Jump คือการจำลองสภาวะกระโดดของเราเมื่อแรงโน้มถ่วงน้อยลง และสุดท้าย Simulated Space Exploration คือการให้เราเข้าไปนั่งในยานสำรวจอวกาศจำลองที่เราสามารถบังคับทิศทางเองได้!!
ก็เอาเป็นว่าใครสนใจเครื่องเล่นไหนก็ไปต่อคิวและอ่านรายละเอียดต่างๆ ที่เค้าได้ระบุไว้ที่แต่ละเครื่องเล่นนะครับ โดยบางเครื่องเล่นจะเปิดเป็นรอบๆ และรอบนึงจะจำกัดการเล่นแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นใครที่ไม่รีบไปต่อคิวก็อาจจะไม่ได้เล่นนะครับ
เอาล่ะ หลังจากที่เราเดินเล่นที่ชั้น 21 จนเกือบจะถึงเวลา 17.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เราดูท้องฟ้าจำลองแล้ว เราก็เดินไปที่ชั้น 23 เพื่อเข้าไปห้องฉายหนังที่มีขนาดกว้างใหญ่และสามารถจุคนได้ถึงหลายร้อยคน โดยระยะเวลาในชมภาพยนต์ครั้งนี้คือ 45 นาที และจะเป็นเรื่องราวของการกำเนิดโลกกับการดูดาวกลุ่มต่างๆ ผ่านมุมมองของเมืองโคริยามะ ซึ่งโดยรวมๆ ต้องบอกว่าผมประทับใจในความคมชัดและขนาดของห้องนะครับ แต่ด้วยการบรรยายประกอบที่เป็นภาษาญี่ปุ่นที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง ประกอบกับแอร์เย็น เก้าอี้นอนสบายก็เลยทำให้ผมหลับเป็นช่วงๆ ครับ ฮา
ก็เอาเป็นว่าใครที่ชอบเรื่องของดวงดาว ไม่ติดขัดเรื่องเงิน เวลา และไม่ซีเรียสที่เข้าไปแล้วจะฟังไม่รู้เรื่อง ก็ควรจะเข้าไปดูครับ ส่วนถ้าใครไม่อยากดูก็ขึ้นไปถ่ายรูปเล่นกับเจ้าไดโนเสาร์ตัวนี้ที่ตั้งอยู่ที่หน้าห้องก็ได้ครับ เพราะที่จุดนี้เราสามารถขึ้นไปได้โดยที่ไม่ต้องใช้บัตรครับ
หลังจากที่เราชมภาพยนตร์เรื่องดวงดาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางกลับเมืองฟุกุชิมะ และแน่นอนว่าเราสองคนไปที่เมืองไหนเรามักจะหาของอร่อยๆ ประจำเมืองกินเสมอ ดังนั้นของอร่อยขึ้นชื่อของเมืองฟุกุชิมะอย่างเกี๊ยวซ่าจึงเป็นอาหารของเราในมื้อนี้ โดยร้านที่เราเลือกทานนั้นชื่อว่าร้าน “Yamame” ส่วนเมนูที่เราสั่งนั้นก็คือทั้งเกี๊ยวซ่าแบบนึ่งและทอดเลยจ้า เอาให้อิ่ม เอากันให้เอียนกันไปเลย
สำหรับราคาของเกี๊ยวซ่าแบบนึ่งของร้าน “Yamame” นั้นจะอยู่ที่ 600 เยน/10 ชิ้น ส่วนแบบทอดจะอยู่ที่ 1,200 เยน/20 ชิ้น ซึ่งเมื่อหารแล้วก็ตกที่ 60 เยน/ชิ้น เท่ากัน ก็เอาเป็นว่าใครชอบกินแบบไหนก็จัดไป แต่ถ้าจะให้ดีก็จัดแบบแพ็คคู่แบบผมไปเลยก็ดีนะคร้าบบบ
อ้อ สำหรับร้านที่ผมไปกินนี้ต้องบอกว่าเป็นร้านที่มีชื่อเสียงพอประมาณนะครับ ดังนั้นเมื่อไปถึงร้านแล้ว เราอาจจะต้องยืนรอต่อคิวที่หน้าร้านหน่อยนะครับ ^^
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวการเที่ยว Fukushima และ Koriyama ด้วยตัวเองของผม แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ ส่วนใครที่อยากจะดูบรรยากาศการท่องเที่ยวของผมกับต๋งในรูปแบบของภาพเคลื่อนไหวก็สามารถกดดูที่คลิปด้านล่างได้เลยครับ
และสำหรับใครที่อยากจะติดตามเรื่องการกินและเที่ยวของเราอย่างใกล้ชิดก็สามารถกดเป็นแฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านจนจบ สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป