หากจะถามว่าชุดชายามบ่ายหรือ Afternoon Tea ชุดไหนที่ผมชอบมากที่สุดในปี 2562 ผมก็ขอตอบแบบไม่ลังเลเลยว่าชุด Afternoon Tea ของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok (วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ) คือชุดที่ผมประทับใจที่สุดครับ เพราะผมรู้สึกว่าทางเชฟเค้าสามารถจัดสรรทุกอย่างมาได้อย่างลงตัวมาก มีความสวยงาม อร่อย ละมุนลิ้น อีกทั้งมันยังดูเรียบง่าย ไม่ได้หวือหวาจนเกินไปด้วยครับ ดังนั้นพอทางโรงแรมเค้าแจ้งมาว่าตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 จนถึงวันที่ 5 มกราคม 2563 เค้าจะมีการออกชุดชายามบ่ายชุดพิเศษหรือที่เรียกว่า Festive Afternoon Tea ออกมา โดยจะมีการปรับเปลี่ยนบางเมนูจากเดิมและมีการเพิ่มสีสันในชุดให้มีความเป็นคริสต์มาสและปีใหม่มากขึ้น ผมก็รีบตอบตกลงและรีบชวนภรรยาผมไปลองชิมทันที เพราะครั้งที่แล้วนั้นภรรยาผมเค้าไม่ได้ไปทานด้วย ผมก็เลยอยากให้เค้าได้ไปทานของอร่อยๆ แบบนี้ในรอบนี้ด้วยครับ ^^
สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านรีวิวเดิมที่ผมเคยเขียนถึงชุด Afternoon Tea ของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok ก็สามารถกดคลิกอ่านได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้นะครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
สองภาพด้านบนเมื่อกี้นี้จะเป็นภาพของ Afternoon Tea Set เดิมที่ผมเคยเขียนรีวิวไว้นะครับ ส่วนภาพของ Festive Afternoon Tea ชุดต้อนรับปี 2020 ที่จะขายในช่วงนี้นั้นจะมีหน้าตาแบบในรูปด้านล่างนี้เลยครับ
หากดูเผินๆ จะเห็นว่าหน้าตาของทั้งสองเซ็ตนี้จะความคล้ายๆ กันอยู่ และมีขนมบางอย่างที่ดูแล้วหน้าตาเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็มีหลายๆ เมนูเหมือนกันที่มีการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ โดยเฉพาะถาดที่เป็นของหวานที่มีการออกแบบขนมหลายๆ ชิ้นให้มีความเป็นคริสต์มาสอย่างเช่น ต้นคริสต์มาสและซานตาคลอสครับ โดยรวมๆ แล้วหน้าตาของชุด Festive Afternoon Tea ชุดนี้ก็ยังคงมีความสวยงามตามแบบฉบับของโรงแรมไว้ได้เป็นอย่างดี และน่าจะได้คะแนนจากเด็กๆ หรือสาวๆ วัยรุ่นเพิ่มเติมมากขึ้นด้วยครับ
ส่วนในเรื่องของราคานั้น ชุด Festive Afternoon Tea ชุดนี้ จะมีการปรับราคาขึ้นจากของเดิมเล็กน้อย คือจากเดิม 2,100 บาท++ ต่อชุด ก็จะเป็น 2,200 บาท++ ต่อชุด และในช่วงวันที่ 1 ธันวาคม 2562 จนถึงวันที่ 5 มกราคม 2563 นี้ ทางโรงแรมจะไม่มีบริการ Afternoon Tea ชุดเดิมแล้วนะครับ จะให้บริการเป็นชุด Festive Afternoon Tea เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ก่อนที่จะไปดูรายละเอียดและรสชาติของขนมชุดใหม่นี้ ผมขออนุญาตพาทุกคนไปรู้จักกับที่ตั้งของโรงแรม, ห้องอาหารที่ให้บริการ แล้วก็บรรยากาศรอบๆ ก่อนนะครับ โดยชุด Afternoon Tea หรือชุดชายามบ่ายของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok นั้น จะให้บริการที่ห้องอาหาร Peacock Alley (พีค็อก อัลลีย์) ชั้น UL ครับ
ลักษณะของห้องอาหารจะเป็นห้องอาหารขนาดกลางๆ ที่สามารถรองรับคนได้ประมาณ 70 คน มีเพดานห้องอาหารที่สูง และผนังทั้งสามด้านเป็นกระจกขนาดใหญ่ที่เราสามารถมองเห็นวิวต่างๆ บริเวณถนนราชดำริได้โดยรอบ โดยเฉพาะวิวของ Royal Sport Club (RBSC) ครับ
หมายเหตุ : สำหรับภาพบรรยากาศของห้องอาหารนั้นผมขอใช้ภาพจากรีวิวเดิมนะครับ เพราะวันที่ผมไปรอบนี้มีแขกท่านอื่นมาใช้บริการอยู่ภายในห้องอาหารด้วย ผมก็เลยไม่อยากถ่ายรูปรบกวนเค้ามากครับ
Mood and Tone โดยรวมของห้องอาหาร Peacock Alley นั้นจะเน้นไปที่ความหรูหราแต่เรียบง่าย และทางห้องอาหารจะมีการเลือกใช้สีบรอนซ์เข้มเป็นสีหลัก โดยมีการใช้สีเทา, ทอง และม่วงเข้ามาผสม ทำให้โทนโดยรวมออกมาดูดีสบายตาครับ ส่วนเวลาในการเปิดให้บริการของห้องอาหารนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 22.00 น. จะให้บริการอาหารทั่วๆ ไป เช่น ขนม, ของว่าง, เครื่องดื่ม และอาหารต่างๆ ส่วนเวลา 13.00 น. – 17.00 น. นั้น จะมีการให้บริการชุด Afternoon Tea เพิ่มเติม ใครที่อยากจะมาทาน Afternoon Tea ที่นี่ก็ดูเวลาให้ดีและมาให้ถูกเวลานะครับ ^^
นี่เป็นแผนที่ของโรงแรมครับ โดยโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok นั้นจะอยู่ติดกับถนนราชดำริบริเวณใกล้ๆ แยกราชประสงค์เลย (โรงแรมจะตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างโรงแรม Grand Hyatt Erawan กับโรงแรม Anantara Siam Bangkok Hotel) สำหรับใครที่นั่งรถไฟฟ้า BTS มาก็สามารถลงที่สถานีราชดำริแล้วเดินต่ออีกประมาณ 250 เมตรได้เลย โดยเมื่อมาถึงบริเวณโรงแรมแล้วก็ให้เราเดินเข้าไปในล็อบบี้และกดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้น UL (Upper Lobby) ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องอาหารได้เลยครับ แต่หากใครที่ขับรถส่วนตัวมาอันนี้เราจะต้องขับรถไปจอดที่อาคารด้านหลังก่อนนะครับ เมื่อจอดเสร็จแล้วค่อยเดินจากอาคารด้านหลังเพื่อมาขึ้นลิฟท์ที่อาคารด้านหน้าอีกที
เอาล่ะ คราวนี้เรามาดูรายละเอียดเมนูต่างๆ ใน Festive Afternoon Tea ชุดต้อนรับปี 2020 กันเลยนะครับ โดยชุด Afternoon Tea ชุดนี้จะมีขนมให้เราทานรวมกันทั้งหมด 15 ชนิด ชนิดละ 2 ชิ้น รวมเป็น 30 ชิ้น โดยเค้าจะมีการแบ่งเป็นของคาว 6 ชนิด, ของหวาน 7 ชนิด และสโคนอีก 2 ชนิดครับ ส่วนราคากับวันที่เปิดบริการก็ตามนี้เลยครับ
เวลาที่เปิดบริการ : 13.00 น. – 17.00 น.
วันที่เปิดบริการ : ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2562 – วันที่ 5 มกราคม 2563 เท่านั้น
ราคา : 2,200 ++ บาท/ชุด หรือ 2,589.40 บาท/ชุด net โดยใน 1 ชุดจะได้รับเครื่องดื่ม 2 ชนิด แต่ทั้งนี้จะมีเครื่องดื่มบางประเภทที่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยครับ
หมายเหตุ : สำหรับรายการไหนที่มีเครื่องหมาย * อยู่ตรงชื่อ รายการนั้นจะเป็นอาหารมังสวิรัตินะครับ
มาไล่ชิมแต่ละรายการเลยนะครับ เริ่มจากของคาวหรือว่า Savory Bites กันก่อน ในถาดนี้จะมีขนมทั้งหมด 6 ชนิด ชนิดละ 2 ชิ้น รวมเป็น 12 ชิ้น และมีรายชื่อของขนมตามนี้ครับ
- Fresh Fig, Creamy Brie, Balsamic Pearls*
- Tung Thong*
- Bagel, Salmon Gravlax, Dill, Cream Cheese
- Carabineros Prawn Caesar Wrap
- Lobster Salad, Savory Cone
- Foie Gras Tart, Raspberry & Yuzu Gel
หมายเหตุ : พวกดอกไม้ต่างๆ ที่เราเห็นบนขนมนั้นเราสามารถทานได้หมดทุกอันเลยนะครับ
Fresh Fig, Creamy Brie, Balsamic Pearls* ขนมชิ้นนี้จะเป็นขนมที่เหมือนกับชุดปกติก่อนหน้านี้เลยครับ และเป็นขนมหรือของคาวที่ผมชอบมากๆ เป็นลำดับต้นๆ ของการทานครั้งที่แล้วเลย นอกจากนี้ทางโรงแรมยังบอกอีกว่าขนมชิ้นนี้ได้รับคำชื่นชมจากลูกค้าเป็นอย่างมากจนทางเชฟเค้าไม่สามารถตัดออกไปจากชุดได้จริงๆ ต้องคงไว้ตามเดิมครับ
ลักษณะของขนมจะเป็นขนมปังที่มีการท็อปด้วยบรีชีส, ลูกฟริก (ลูกมะเดื่อ) แล้วก็ไข่มุกเม็ดเล็กที่มีลักษณะคล้ายๆ กับไข่ปลาคาเวียร์ รสชาติของมันกลมกล่อมและอร่อยมาก ใครที่มาทานชุด Afternoon Tea เซ็ตนี้ไม่ควรพลาดชิ้นนี้เลยครับ แนะนำเป็นพิเศษเลย และหากจะให้ดีคุณควรเลือกทานชิ้นนี้เป็นลำดับต้นๆ เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกประทับอาหารชุดนี้เป็นอย่างมากครับ
Tung Thong* ชิ้นนี้จะเป็นขนมถุงทองครับ รสชาติโดยรวมดี แป้งด้านนอกกรอบอร่อย ไส้เนียนรสชาติไม่จัด ทานแล้วเพลินๆ แต่ถ้าเทียบกับขนมชิ้นอื่นๆ ในเซ็ตแล้ว ผมว่าชิ้นนี้ดูด้อยสุดครับ
Bagel, Salmon Gravlax, Dill, Cream Cheese เป็นขนมหรือของคาวอีกหนึ่งชิ้นที่ผมรู้สึกประทับใจมากเลยครับ ลักษณะขนมจะเป็นขนมปังที่ท็อปปิ้งด้วยแซลมอนกับไข่กุ้ง รสชาติดีมากโดยเฉพาะแซลมอนกับไข่กุ้ง ชิมแล้วรับรู้ได้เลยว่าทางโรงแรมเค้าเลือกวัตถุดิบที่ดีมาใช้จริงๆ สำหรับชิ้นนี้ใครชอบทานแซลมอนห้ามพลาดเลยครับ
Carabineros Prawn Caesar Wrap ชิ้นนี้จะหน้าตาคล้ายๆ กับปอเปี๊ยะครับ โดยตรงกลางและด้านบนนั้นเค้าจะใส่กุ้งแดงจากสเปน (Carabineros Prawn) เอาไว้ ความสดและรสชาติของกุ้งนั้นดีมาก กัดไปแล้วประทับใจเลย ส่วนแป้งด้านนอกนั้นแม้จะทอดมาได้ดีไม่อมน้ำมัน แต่มันแอบนิ่มไปนิดนึง ไม่ค่อยกรอบซักเท่าไหร่ ซึ่งส่วนนึงที่แป้งเป็นแบบนี้ก็น่าจะเป็นเพราะผมใช้เวลาถ่ายรูปนานไปด้วยครับ ดังนั้นใครที่ได้ไปทานเซ็ตนี้ก็อย่าลืมหยิบชิ้นนี้มาทานเป็นลำดับต้นๆ ด้วยนะ รสชาติจะได้ไม่ดร็อปมากครับ
Lobster Salad, Savory Cone นี่เป็นขนมอีกหนึ่งชิ้นที่ผมรู้สึกประทับใจในหน้าตาของเค้าตั้งแต่รอบที่แล้วครับ เพราะทางเชฟเค้าออกแบบขนมชิ้นนี้ให้มาอยู่ในรูปแบบของไอศกรีมขนาดเล็กพอดีมือหยิบ โดยด้านบนของโคนนั้นจะเป็นสลัดล็อปสเตอร์ที่มีความอร่อย เนียน รสชาติละมุน ส่วนด้านล่างที่เห็นเป็นโคนสีเหลืองอ่อนๆ นั้นจะเป็นโคนที่มีส่วนผสมของผงกะหรี่ครับ รสชาติออกเผ็ดเล็กๆ ซึ่งเมื่อมันถูกทานคู่กับสลัดล็อปสเตอร์ด้านบนแล้วก็เลยทำให้รสชาติออกมาอร่อยลงตัวเลย
Foie Gras Tart, Raspberry & Yuzu Gel ขนมชิ้นนี้ดูเหมือนจะเป็นขนมหรือของคาวชิ้นเดียวที่มีการเปลี่ยนแปลงและแตกต่างจากเซ็ตก่อนหน้านี้มากที่สุดครับ ส่วนอีก 5 ชิ้นก่อนหน้านี้แทบจะเหมือนเดิมเกือบ 100% เลย โดยลักษณะของขนมชิ้นนี้จะเป็นทาร์ตทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ด้านในมีการสอดไส้ฟัวกราส์เอาไว้ ส่วนด้านบนนั้นจะท็อปปิ้งด้วยราสเบอร์รี่และยูสุเจล รสชาติโดยรวมดีมากๆ ครับ แป้งทาร์ตด้านนอกกรอบอร่อย ส่วนฟัวกราส์ที่สอดไส้ด้านในนั้นก็เนื้อเนียนละเอียดมาก และยิ่งเมื่อเราทานคู่กับท็อปปิ้งด้านบนที่มีความหวานเปรี้ยวขมเล็กๆ ของราสเบอร์รี่และยูสุเจลแล้ว มันยิ่งทำให้ขนมชิ้นนี้อร่อยลงตัวสุดๆ เลย และแน่นอนว่านี่เป็นหนึ่งในของคาวที่ผมประทับใจมากในชุดนี้ เรียกว่าอร่อยสูสีเบียดกับเมนูแรกที่เป็น Fresh Fig, Creamy Brie, Balsamic Pearls* เลยครับ
ชิมของคาวไปจบแล้ว คราวนี้เรามาต่อกันที่สโคนนะครับ สโคนของชุดนี้จะมีทั้งหมด 4 ชิ้นด้วยกัน โดยทางเชฟจะมีการแบ่งสโคนทั้ง 4 ชิ้นออกเป็น 2 ประเภท คือ สโคนรสวานิลลา 2 ชิ้น และสโคนรสซินนามอนอีก 2 ชิ้น และทั้งหมดจะถูกนำมาเสิร์ฟรวมกันอย่างสวยงามในกล่องแบบนี้ พร้อมกับค็อทเทจครีม, เลมอนเคิร์ด และแยมผลไม้ที่มีส่วนผสมของมัลเบอร์รี่, พลัม และสตรอเบอร์รี่ครับ
สำหรับค็อทเทจครีม, เลมอนเคิร์ด และแยมผลไม้นั้นทางโรงแรมแจ้งว่าเป็นโฮมเมดทั้งหมดนะครับ และจากที่ผมได้ลองชิมมาอย่างละนิดละหน่อยผมว่ารสชาติของทั้ง 3 อย่างนี้ดีหมดเลย เพียงแต่ใครจะชอบแบบไหนมากกว่าเท่านั้นเอง อย่างผมซึ่งเป็นผู้ชายสายหวานก็จะชอบทานกับพวกแยมผลไม้มากกว่า ส่วนภรรยาผมเค้าก็จะชอบทานกับพวกค็อทเทจครีมมากกว่าครับ
ส่วนในเรื่องของเนื้อสัมผัสและรสชาติของสโคนทั้ง 2 แบบอย่างวานิลลาและซินนามอนนั้น ผมว่าดีทั้งคู่เลยนะครับ เนื้อเนียน อร่อย แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่ด้วยว่าแต่ละคนมีความชื่นชอบรสชาติเบสแบบไหนเป็นพิเศษด้วย อย่างผมสามารถทานได้ทั้งวานิลลาและซินนามอนก็จะรู้สึกโอเคถูกปากทั้งคู่ แต่หากใครที่ไม่ค่อยชอบซินนามอนเท่าไหร่ก็อาจจะไม่ถูกใจก็ได้ครับ ^^
มาต่อกันที่ของหวานหรือ Pastry Delight กันนะครับ โดยของหวานในชุด Festive Afternoon Tea นี้ จะมีทั้งหมด 7 ชนิดด้วยกัน แต่ละชนิดจะมาเสิร์ฟอย่างละ 2 ชิ้น โดย 6 ชิ้นแรกจะถูกจัดวางด้วยกัน ส่วนชิ้นสุดท้ายนั้นจะถูกจัดจานแยกออกมาต่างหาก และนี่ก็คือรายชื่อของของหวานทั้งหมดในเซ็ตนี้ครับ
- Santa Claus Blueberry Choux
- Coconut Mousse, Pineapple & Lime Cake
- Grand Marnier Macaron
- Dark Chocolate Crunch Fudge
- New York Cheese Cake, Strawberry Glaze
- Green Tea Christmas Tree
- Christmas Stollen
Santa Claus Blueberry Choux ขนมชิ้นนี้ก็คือชูครีมสอดไส้บลูเบอร์รี่ครับ แต่ทางเชฟได้มีการทำหน้าตาภายนอกให้มีลักษณะคล้ายๆ กับพุงของซานตาคลอส มีทั้งเสื้อสีแดงและเข็มขัดมาพร้อมเลย ดูแล้วน่ารักดี ส่วนเรื่องรสชาตินั้นผมว่าโอเคเลยนะ ไส้บลูเบอร์รี่ทะลักมาก ใครชอบทานพวกแยมบลูเบอร์รี่น่าจะถูกใจเลย
Coconut Mousse, Pineapple & Lime Cake เมนูนี้ค่อนข้างจะคล้ายกับขนมในชุดที่ผ่านมามากครับ จะมีความแตกต่างกันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หน้าตาโดยรวมของขนมดูดี เพราะทางเชฟเค้าทำออกมาให้มีลักษณะคล้ายๆ กับลูกมะพร้าวครับ ส่วนลักษณะของขนมนั้นมันก็คือเค้กมะนาวที่มีมูสมะพร้าวกับสับปะรดเป็นส่วนผสมนั่นเอง โดยเปลือกมะพร้าวสีเข้มๆ ที่เราเห็นด้านนอกนั้นมันจะทำมาจากช็อคโกแลตนะครับ มีความเข้มพอควร ซึ่งพอเราทานคู่กับไส้ด้านในที่มีรสชาติและส่วนผสมของสับปะรดกับมะนาวแล้ว มันก็จะได้รสชาติที่ลงตัวครับ
Grand Marnier Macaron เมนูนี้อธิบายรสชาติยากมาก เพราะผมไม่แน่ใจว่าส่วนผสมของมันคืออะไรบ้าง แต่โดยรวมแล้วผมว่ามันเป็นมาการองที่รสชาติดีเลยครับ แป้งด้านนอกอร่อย ส่วนไส้ด้านในนั้นก็มีความหวานนิดๆ ทำให้สามารถกินเปล่าๆ ได้โดยไม่รู้สึกว่าหวานเกินไป หรือถ้าใครจะนำไปกินคู่กับชาก็จะเป็นอะไรที่ลงตัวมากขึ้นครับ
อ้อ ผมเตือนไว้นิดนึง หูหิ้วที่เราเห็นด้านบนของมาการองนั้น มันหิ้วจริงไม่ได้นะครับ เวลาจะทานให้เราจับที่ตัวมากรารองแล้วทานจะดีที่สุดครับ
Dark Chocolate Crunch Fudge ขนมชิ้นนี้จะเป็นเค้กช็อคโกแลตที่มีความเข้มข้นพอควร แต่เวลาทานแล้วจะไม่ได้รู้สึกว่าขมมากจนเกินไป โดยรวมๆ แล้วรสชาติดีและน่าจะถูกใจคนที่ชอบทานช็อคโกแลตเลยครับ หรือหากใครที่ทานช็อคโกแลตไม่ค่อยเก่ง ผมว่าค่อยๆ กัดทีละนิดแล้วทานคู่กับชาไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นอะไรที่ทำให้ทานได้ง่ายขึ้นครับ ^^
New York Cheese Cake, Strawberry Glaze ของหวานหรือขนมอีกหนึ่งชิ้นที่ผมกับต๋งประทับใจมาก ชีสเค้กเนื้อเนียน ละมุนลิ้น อีกทั้งยังมีความหวานของซอสสตรอเบอร์รี่ด้านบนมาเสริม ทำให้ทานแล้วไม่รู้สึกเลี่ยนชีสจนเกินไปด้วย ตักทานแล้วฟินมากครับ นอกจากนี้ทางเชฟเค้ายังเสริมสร้างความน่ารักและน่ากินเพิ่มเติมด้วยการทำขนมชิ้นนี้ให้มีลักษณะคล้ายๆ กับกวางเรนเดียร์อีกด้วย ><
Green Tea Christmas Tree ต้นคริสมาสต์สุดน่ารักที่มีเปลือกด้านนอกเป็นต้นไม้สีเขียว ส่วนด้านในก็สอดไส้มูสรสชาเขียวเอาไว้ รสชาติโดยรวมถือว่าโอเคครับ เนื้อเนียนเด้งดี แต่โดยส่วนตัวผมว่าความเป็นชาเขียวนั้นจางไปนิด และเหมือนมันจะมีรสเปรี้ยวๆ ของมะนาวเข้ามาผสมด้วย มันก็เลยทำให้คนที่คาดหวังกับการกินชาเขียวเต็มๆ อาจจะไม่ค่อยประทับใจได้ครับ
Christmas Stollen นี่เป็นเมนูขนมที่เรียกว่าพิเศษที่สุดในชุดนี้เลยครับ เพราะถึงแม้หน้าตามันจะไม่หวือหวา ดูแล้วออกจะเหมือนขนมปังธรรมดาๆ แต่ Stollen นั้นคือขนมที่หลายๆ คนมักจะทำทานกันในช่วงคริสต์มาสครับ โดยขนมชนิดนี้ป็นขนมปังหวานของชาวเยอรมัน และถือกำเนิดมายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 แล้ว ลักษณะโดยรวมและรสชาตินั้นค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับฟรุตเค้กพอควร แต่จะมีความหวานมากกว่าหน่อย ดังนั้นสำหรับใครที่ชอบทานฟรุตเค้กอยู่แล้วอย่างเช่นผมก็จะรู้สึกประทับใจกับเมนูนี้มากๆ ครับ วันนั้นผมนี่ทานขนมชิ้นนี้หมดเป็นเมนูแรกเลย ทั้งๆ ที่มันมีขนาดชิ้นใหญ่กว่าคนอื่นมาก แต่สำหรับใครที่ไม่ค่อยชอบทานฟรุตเค้กหรือไม่ค่อยชอบทานขนมที่มีความหวานซักเท่าไหร่ก็อาจจะไม่ประทับใจได้ และอาจจะต้องค่อยๆ ตัดทานทีละนิดคู่กับชาไปเรื่อยๆ ครับ
อ้อ สำหรับเมนูนี้ทางห้องอาหารเค้าจะเสิร์ฟแยกมาในจานต่างหากนะครับ ขนาดชิ้นถือว่าใหญ่เลย และขนมชิ้นนี้ทางห้องอาหารจะมีการอุ่นร้อนมาให้ด้วย เพราะมันต้องกินตอนร้อนๆ ถึงจะอร่อยครับ ^^
จบจากขนมคาวหวานแล้วเราไปดูเรื่องของชาที่ใช้ทานคู่กับขนมในเซ็ตนี้กันดีกว่าครับ โดยในการทานชุดชายามบ่ายที่ห้องอาหาร Peacock Alley นั้น เราจะสามารถเลือกเครื่องดื่มได้ 2 ชนิด และเราจะสามารถเลือกได้ทั้งเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นเลย โดยในส่วนของชาร้อนซึ่งเป็นเครื่องดื่มหลักๆ ที่หลายคนนิยมทานคู่กับขนมนั้นทางห้องอาหารจะเลือกใช้เป็นชาของ Mariage Frères (มาคิยาจ แฟรส์) นะครับ ซึ่งใครที่ชอบทานชาจะรู้เลยว่านี่คือแบรนด์ชาเก่าแก่ระดับโลกและมีรสชาติที่ดีมาก อีกทั้งโดยส่วนตัวแล้วผมก็รู้สึกประทับใจกับชายี่ห้อนี้มากครับ ไปทาน Afternoon Tea ที่ไหนแล้วเจอว่าเค้าใช้ชาแบรนด์นี้ ผมนี่ยิ้มรอเลย ><
นี่เป็นเมนูชาทั้งหมดของ Mariage Frères ที่ทางห้องอาหาร Peacock Alley มีให้บริการครับ จะมีให้เลือกครบเลยทั้ง White, Blue, Green, Black และ Herbal แต่ทั้งนี้จะมีชาบางรสนะครับที่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ยังไงก่อนที่จะสั่งลองสอบถามข้อมูลที่แน่ชัดกับพนักงานที่ห้องอาหารอีกทีก็ได้ครับ
ส่วนถ้าใครอยากจะทานเป็นเครื่องดื่มเย็นมากกว่าก็สามารถสอบถามทางพนักงานได้นะครับ เค้าจะมีเมนูต่างๆ ให้เราเลือกเหมือนกัน โดยในวันนี้ผมก็ได้มีโอกาสสั่งเมนูเครื่องดื่มเย็นที่ชื่อว่า White Chocolate Orange Latte มาทานด้วย รสชาติโอเคเลยครับ ส่วนราคาของแก้วนี้นั้นหากสั่งเพิ่มจะอยู่ที่แก้วละ 220 บาท++ ครับ
ส่วนชาร้อนที่จะเป็นเครื่องดื่มหลักในการทานคู่กับขนมต่างๆ ในวันนี้นั้น ผมเลือกสั่งเป็น Noel Black ซึ่งเป็นชารสพิเศษในช่วงนี้ แล้วก็ต๋งเลือกสั่งเป็น Thai Orchidee ครับ โดยรายการหลังนี้หากใครต้องการสั่งก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 100 บาท++ ต่อกานะครับ
สำหรับเบสของ Noel Black นั้นจะเป็น Black Tea นะครับ แต่ในเรื่องรสชาตินั้นหลังจากที่ได้ชิมแล้วผมว่ามันเป็นชาที่ไม่เข้มเลยนะ ทานง่ายและอร่อยมาก สามารถทานคู่กับขนมในเซ็ตนี้ได้อย่างลงตัวเลย ที่สำคัญชารสนี้ยังมีกิมมิคเล็กๆ อีกด้วยคือเค้าจะมีการใส่ผงประกายวิบวับเล็กๆ ผสมลงมาในชา ทำให้เวลาที่มองผิวชาด้านบนกระทบแสงจะเห็นความเป็นระยิบระยับสวยงามดีครับ
ใครที่ชอบชาที่มีรสไม่เข้มมากและชอบลองชิมชารสใหม่ๆ ควรสั่งรสนี้เลยครับ
ส่วนชา Thai Orchidee ที่ต๋งสั่งนั้นแม้เบสจะเป็น Blue Tea แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันมีความเข้มและขมติดปลายลิ้นมากกว่า Noel Black ที่ผมทานเมื่อกี้อีกครับ ใครที่ไม่ค่อยชอบทานชาอะไรที่เข้มมากซักเท่าไหร่ผมว่าไปสั่งเป็นรสยอดนิยมอย่าง Madam Butterfly หรือ Marco Polo Rouge น่าจะดีกว่าครับ แต่ถ้าใครที่กำลังมองหาชาที่มีรสเข้มหน่อย มีความขมนิดๆ เพื่อเอาไว้ตัดกับรสชาติหวานของขนม ชา Thai Orchidee ก็เป็นตัวเลือกที่ดีครับ
และทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์ของผมกับต๋ง หลังจากที่ได้มีโอกาสไปลองทานชุดชายามบ่ายชุดพิเศษ Festive Afternoon Tea ต้อนรับปี 2020 ของห้องอาหาร Peacock Alley (พีค็อก อัลลีย์) ชั้น UL โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok (วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ) ครับ และเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้นผมก็ขอสรุปรีวิวนี้ออกมาเป็นหัวข้อต่างๆ ตามนี้นะครับ
วันที่รับประทาน : วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2562
เวลา : 13.00 – 15.00 น.
จำนวน : 2 คน
รสชาติอาหาร : นี่เป็นชุด Afternoon Tea อีกหนึ่งชุดที่ผมกับต๋งเห็นตรงกันว่ารสชาติดี อร่อยถูกปาก และมีการเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีครับ โดยในส่วนของเมนูอาหารคาวนั้นรสชาติกับหน้าตานั้นแทบจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากชุดเดิมที่ผมเคยทานก่อนหน้านี้เลย ทางโรงแรมยังสามารถรักษามาตรฐานต่างๆ เอาไว้ได้เป็นอย่างดี และเมนูของคาวที่เปลี่ยนมาใหม่อย่าง Foie Gras Tart, Raspberry & Yuzu Gel นั้นก็ทำได้ดีมากๆ ครับ ฟัวกราส์เนียนมากๆ ส่วนในเรื่องของหวานนั้นแม้จะมีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิมพอควร แต่ในเรื่องของรสชาติก็ถือว่าสอบผ่านโดยเฉพาะ New York Cheese Cake และ Christmas Stollen สองเมนูนี้ผมประทับใจมากเลยครับ
ความหลากหลายของอาหาร : กับจำนวนขนมทั้งหมด 15 รายการ รวม 30 ชิ้น ก็ถือว่าชุด Afternoon Tea ชุดนี้ให้ปริมาณมาเยอะใช้ได้ครับ และเมื่อดูความหลากหลายของลักษณะอาหารโดยเฉพาะอาหารคาวที่มีการผสมทั้งไทยและเทศก็ต้องยอมรับว่าทางเชฟเค้ามีการออกแบบและผสมผสานมาเป็นอย่างดีเลย ดังนั้นในเรื่องของความหลากหลายนี้ผมให้สอบผ่านสบายๆ ครับ
ความสะอาดของสถานที่และบรรยากาศโดยรวม : บรรยากาศโอเค วิวสวย ห้องอาหารเพดานสูง นั่งทานสบายมาก แต่ทั้งนี้ด้วยความที่ผนังของห้องอาหารนั้นเป็นกระจกขนาดใหญ่ถึง 3 ด้าน ดังนั้นในบางวันก็อาจจะทำให้คนที่ไปใช้บริการรู้สึกร้อนได้ และหากทางห้องอาหารมีการเอาม่านลงมากั้นแสงแดดก็จะทำเราพลาดโอกาสดีๆ ในการรับชมวิวไป ดังนั้นหากใครที่คิดจะไปใช้บริการที่นี่ผมว่าช่วงเวลาที่เหมาะสุดในช่วงนี้น่าจะเป็นเวลาประมาณ 15.00 – 17.00 น. ครับ เพราะแดดจะเริ่มอ่อนลงไปแล้ว
การบริการของพนักงาน : วันนี้ผมกับต๋งไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้บริการพนักงานของห้องอาหารมากนะครับ แต่โดยรวมจากที่เราได้สัมผัสมา พนักงานของที่นี่ก็ยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาชัดเจนคล่องแคล่ว และดูเต็มใจให้บริการมากครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : อันนี้ผมให้กลางๆ ค่อนไปทางดีแล้วกันนะครับ เพราะแม้โรงแรมจะอยู่ติดกับถนนราชดำริ สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย รวมทั้งมีที่จอดรถเยอะ แต่ด้วยความที่ถนนเส้นนี้มักจะมีการจราจรติดขัดโดยเฉพาะในช่วงเย็นๆ อีกทั้งโรงแรมเองก็ไม่ได้อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าด้วย ต้องเดินประมาณ 250 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชดำริ มันก็เลยทำให้ความสะดวกยังไม่เต็ม 10 ครับ แต่โดยรวมๆ ก็ถือว่าโอเคแล้วครับ ช่วงเวลาเร่งด่วนรถติดหนักมาก เรายังมีทางเลือกที่สามารถเดินได้แบบสบายๆ อยู่ครับ ^^
ความคุ้มค่า : ตั้งแต่ผมได้ไปทาน Afternoon Tea มา ชุด Afternoon Tea ของที่นี่ถือเป็นชุดที่มีราคาสูงที่สุดเลยครับ และยิ่งชุด Festive Afternoon Tea ชุดนี้ได้มีการปรับราคาขึ้นจากเดิมมา 100 บาทต่อชุด เป็น 2,200 บาท/ชุด หรือประมาณ 2,589.40 บาท net ก็ยิ่งทำให้ราคาขยับสูงขึ้นไปอีก และน่าจะทำให้หลายๆ คนรู้สึกลังเลไม่กล้าไปลองทานแน่ๆ ซึ่งโดยส่วนตัวจากที่ผมได้ไปลองทานมาแล้ว ผมก็พอเข้าใจครับว่าทำไมราคามันสูงขนาดนี้ เพราะทางห้องอาหารเค้ามีการเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีในการปรุง มีการออกแบบและตกแต่งอาหารอย่างสวยงาม อีกทั้งยังมีมาตรฐานในเรื่องของการบริการอื่นๆ ที่ดีกว่าโรงแรมทั่วๆ ไปอีกด้วย ดังนั้นเรื่องเหล่านี้มันก็เลยอยู่ในต้นทุนของเค้าทั้งหมดครับ และในความเห็นของผมก็คือหากใครที่เป็นคนเน้นทานอิ่ม อยากจะทานอะไรเยอะๆ คุ้มๆ ชุดชายามบ่ายชุดนี้คงจะยังไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ครับ แต่หากใครที่มองในรายละเอียดต่างๆ มากกว่านั้น อยากจะหาที่นั่งทานขนมอร่อยๆ กับชาดีๆ ในยามบ่าย พร้อมกับความเอาใจใส่ที่ดีจากพนักงาน การไปเลือกทานอาหารที่นี่มันจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์คุณได้อย่างแน่นอนครับ ยิ่งใครที่เคยเป็นลูกค้าของที่นี่ เคยรู้สึกประทับใจกับการบริการและรสชาติของ Afternoon Tea ของห้องอาหาร Peacock Alley ในชุดก่อนหน้านี้ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ไปลองชุดชายามบ่ายชุดใหม่ที่มีความน่ารักและมีเมนูใหม่ๆ แบบนี้ครับ
สรุป : ชุดชาบามบ่าย Festive Afternoon Tea ฉบับต้อนรับปี 2020 ของห้องอาหาร Peacock Alley โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok นั้น ยังคงเป็นชุดชาที่มีคุณภาพของวัตถุดิบที่ดี มีรสชาติของอาหารที่อร่อย และยังได้มีการปรับเปลี่ยนเมนูใหม่เข้ามาทดแทนเมนูเดิม ซึ่งเมนูใหม่ๆ หลายๆ เมนูนอกจากจะรสชาติดีแล้วยังมีหน้าตาที่น่ารักและให้อารมณ์ความเป็นเทศกาลคริสต์มาสด้วย ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้หรือชื่นชอบ Afternoon Tea ของที่นี่อยู่แล้ว และอยากจะลองชิมขนมอย่าง Stollen ควรรีบหาโอกาสไปใช้บริการครับ เพราะเซ็ตพิเศษนี้เค้าจะจำหน่ายถึงแค่วันที่ 5 มกราคม 2563 เท่านั้น ส่วนถ้าใครรู้สึกว่าการทานชุดชายามบ่ายในราคาประมาณ 2,500 บาท/ชุด มันแอบเกินกำลังไปหน่อย ไว้โอกาสหน้าผมจะมาแนะนำชุดชายามบ่ายอื่นๆ ที่ราคาย่อมเยากว่านี้นะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมอย่างใกล้ชิดก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ ส่วนท่านใดที่อยากจะสอบถามข้อมูลของที่นี่เพิ่มเติมหรืออยากจะทำการสำรองที่นั่งก็สามารถติดต่อได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้ได้เลย แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
Facebook : Waldorf Astoria Bangkok
Instagram : @waldorfastoriabangkok
Tel : 02-8468888
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้