สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผม นาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะพาทุกคนไปพบกับอีกหนึ่งห้องอาหารที่มีการจัดไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารประเภทซีฟู้ดและบาร์บีคิวได้แบบจัดหนัก จัดเต็มมากๆ โดยห้องอาหารนี้มีชื่อว่า Cuisine Unplugged (ควิซีน อันปลั๊ก) และเป็นห้องอาหารที่อยู่ภายในโรงแรม Pullman Bangkok King Power (โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ) ถ.รางน้ำ ใกล้ๆ กับ King Power Complex แหล่งชอปปิ้งสินค้าปลอดภาษียอดนิยมของคนไทยครับ
สำหรับจุดเด่นของห้องอาหารแห่งนี้ตามความคิดของผมก็มีดังนี้เลยครับ
-
บรรยากาศของห้องอาหารดี ที่นั่งเยอะ นั่งสบาย สามารถรองรับคนได้มากกว่า 150 คน
-
อาหารมีให้เลือกทานเยอะ โดยเฉพาะซีฟู้ดและบาร์บีคิวนั้นจะมีให้เราเลือกทานประเภทละ 10 อย่างเลยครับ โดยอาหารซีฟู้ดจะมีทั้งหอยนางรมฟิน เดอ แคลร์, หอยนางรมแปซิฟิก, กั้งทะเล, ปูหิมะ, ปูม้า, ปูสีน้ำตาล, กุ้งก้ามแดง, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์, หอยหวาน และกุ้งแดง ส่วนฝั่งของบาร์บีคิวก็จะประกอบไปด้วยเนื้อวากิวออสเตรเลีย, เนื้อโทมาฮอว์ค, เนื้ออาซาโด้, เนื้อแกะนิวซีแลนด์, หมูคุโรบุตะ, หมูหัน, ไก่ออร์แกนิค, กุ้งแม่น้ำ, ปลาหมึก และปลากะพง เรียกว่าอาหารทั้งสองประเภทนี้ห้องอาหารแห่งนี้เค้าจัดหนักจัดเต็มจริงๆ
-
สามารถนั่งทานได้นาน โดยใครไปตั้งแต่ห้องอาหารเปิดตอน 18.00 น. ก็จะสามารถนั่งทานกันยาวๆ จนถึงเวลา 22.30 น. ได้เลยครับ
-
ประเภทอาหารแต่ละวันเหมือนกันทั้งหมด ไม่ต้องปวดหัวว่าวันไหนไปแล้วจะมีอะไรให้ทานบ้าง ไม่มีอะไรให้ทานบ้าง
-
ราคาย่อมเยาและเท่ากันทุกวัน โดยราคาปกติสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 1,499 บาท/คน net รวมชา กาแฟ แต่ไม่รวมเครื่องดื่มอื่นๆ แต่หากใครที่จองผ่านลิงก์นี้ https://www.pullmanbangkokkingpower.com/th/offers/seafood-buffet-in-bangkok จะได้สิทธิ์ลดราคา 30% เหลือเพียง 1,049 บาท/คน net เท่านั้นครับ ใครที่สนใจก็รีบจองเลยนะครับ เพราะเค้าจัดโปรโมชั่นนี้ถึงแค่วันที่ 30 ก.ย. 61 เท่านั้น
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
เอาล่ะ หลังจากที่รู้จุดเด่นคร่าวๆ ของห้องอาหารแห่งนี้แล้ว คราวนี้เราไปดูรายละเอียดเชิงลึกกันต่อเลยนะครับ จะได้ตัดสินใจกันถูกว่าจะชวนเพื่อนๆ หรือแฟนไปทานดีหรือเปล่า
เริ่มจากเรื่องแรกเลยนั่นก็คือเรื่องของการเดินทางครับ ห้องอาหาร Cuisine Unplugged นั้นจะอยู่ที่ชั้น G ของโรงแรม Pullman Bangkok King Power ถ.รางน้ำ ใครที่ขับรถมาเองก็สามารถตาม Google Map หรือแผนที่ด้านล่างมาได้เลย รับรองมาถูกที่ไม่มีหลง ที่สำคัญที่จอดรถของเค้าเยอะมากครับ สามารถขับมาจอดได้สบายๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอดเลย

ส่วนใครที่ไม่มีรถก็สามารถเดินทางมาได้หลายวิธีมากทั้งรถเมล์, Taxi หรือ BTS แต่ถ้าให้ผมแนะนำ ผมว่ามา BTS แล้วลงที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นก็เดินไปที่ข้างๆ ห้าง Century The Movie Plaza เพื่อขึ้นรถตุ๊กๆ หน้าตาแบบนี้จะดีที่สุดครับ โดยรถตุ๊กๆ คันนี้จะเป็นรถรับส่งบริการฟรีจากห้าง Century The Movie Plaza ไปยังโรงแรม Pullman Bangkok King Power โดยจะเริ่มบริการตั้งแต่เวลา 7.00 น. จนถึง 23.00 น. เลย ใครที่ไม่อยากเดิน หรือมีสัมภาระเยอะก็ใช้บริการเค้าได้เลยครับ เค้าจะจอดรอ Stand by อยู่ตรงนั้นแทบจะตลอดเวลา แต่ถ้าใครที่อยากจะเดินชิวๆ เดินชมบรรยากาศก็สามารถเดินเท้าไปเองได้ ระยะทางจาก BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังโรงแรมไม่ไกลมากครับ ประมาณ 350 เมตรเท่านั้นเอง


เมื่อเรามาถึงโรงแรมแล้วก็ให้เราเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเราก็จะเจอกับห้องอาหาร Cuisine Unplugged เองครับ รับรองหาไม่ยาก เพราะห้องอาหารจะอยู่ที่ชั้น G ชั้นเดียวกับ Lobby เลย โดยลักษณะของห้องอาหารจะเป็นห้องอาหารที่เพดานสูง การจัดวางของต่างๆ ดูไม่แน่น นั่งทานอาหารแล้วไม่รู้สึกอึดอัด และมีที่นั่งให้เลือกหลากหลายแบบทั้งโซฟา, โต๊ะกลม, โต๊ะสี่เหลี่ยม ใครที่ชอบที่นั่งแบบไหนก็ลองแจ้งพนักงานดูนะครับ







ส่วนในเรื่องของราคาและการเปิดบริการของไลน์บุฟเฟ่ต์นานาชาติซีฟู้ดและบาร์บีคิวของห้องอาหารแห่งนี้ก็ตามนี้เลยครับ
วันที่เปิดบริการ : ทุกวัน
เวลาที่เปิดบริการ : 18.00 น. – 22.30 น.
ราคา : ผู้ใหญ่ 1,499 บาท/คน net รวมชา กาแฟ แต่ไม่รวมเครื่องดื่ม
เด็กอายุ 0 – 5 ปี รับประทานฟรี
เด็กอายุ 6-11 ปี ลด 50% จากราคาเต็ม
เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ราคาเดียวกับผู้ใหญ่
หมายเหตุ : ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 ทางห้องอาหาร Cuisine Unplugged มีโปรโมชั่นราคาพิเศษลด 30% เมื่อทำการจองผ่านลิงก์นี้ https://www.pullmanbangkokkingpower.com/th/offers/seafood-buffet-in-bangkok โดยราคาสำหรับผู้ใหญ่จะเหลือเพียง 1,049 บาท/คน net เท่านั้น
เอาล่ะครับ คราวนี้เรามาดูประเภทอาหารของที่นี่กันดีกว่า โดยผมขออนุญาตแบ่งประเภทอาหารของไลน์นี้ออกเป็นทั้งหมด 7 หมวด ตามนี้นะครับ
หมวดที่ 1 : Seafood on ice
หมวดที่ 2 : บาร์บีคิว
หมวดที่ 3 : อาหารญี่ปุ่น
หมวดที่ 4 : สลัดและ Cold Cuts
หมวดที่ 5 : ขนมปังและชีส
หมวดที่ 6 : อาหารอื่นๆ
หมวดที่ 7 : ของหวาน, ผลไม้ และไอศกรีม
เราไปเริ่มเจาะกันทีละหมวดเลยนะครับ เริ่มจากหมวดแรก “Seafood on ice” หนึ่งในสองหมวดที่ผมว่าเป็นไฮไลท์สุดๆ ของห้องอาหารแห่งนี้ โดยที่หมวดนี้เค้าจะมี Seafood on ice ให้เราเลือกทานถึง 10 รายการเลย ได้แก่ หอยนางรมฟิน เดอ แคลร์, หอยนางรมแปซิฟิก, กั้งทะเล, ปูหิมะ, ปูม้า, ปูสีน้ำตาล, กุ้งก้ามแดง, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์, หอยหวาน และกุ้งแดง โดยในเรื่องของความสดนั้นผมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ ส่วนในเรื่องของขนาดนั้นผมให้อยู่กลางๆ เพราะเนื่องจากอาหารมีหลากหลายประเภทมาก บางอย่างก็ถือว่ามีขนาดใหญ่ เช่น หอยนางรม, หอยแมลงภู่, กุ้งก้ามแดง แต่บางอย่างก็มีขนาดกลางๆ เช่น ปูม้า, ปูหิมะ และปูสีน้ำตาล













ส่วนในเรื่องของรสชาตินั้น ด้วยความที่อาหารส่วนใหญ่มีความสดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ดังนั้นรสชาติโดยรวมๆ จึงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีตามไปด้วย นอกจากนี้น้ำจิ้มเค้าก็มีให้เลือกทานหลากหลายแบบตามแต่ลักษณะความชอบของแต่ละคน โดยน้ำจิ้มซีฟู้ดที่เป็นน้ำจิ้มหลักนั้นมีรสชาติที่แซ่บถูกปากดีครับ เอาเป็นว่าใครที่ชอบทาน Seafood on ice น่าจะประทับใจกับอาหารของที่นี่พอควรเลย โดยเฉพาะคนที่ชอบทานปูเพราะที่นี่จัดมาให้ทานครบๆ ทั้งปูหิมะ, ปูม้า และปูสีน้ำตาล ส่วนผมกับต๋งเนื่องจากเป็นพวกสายขี้เกียจแกะ, หนีบ, แทะ ก็เลยเน้นจัดเป็นกุ้ง, กั้ง และหอยต่างๆ แทนครับ ><





อ้อ ในหมวด Seafood on ice นี้ ผมอยากให้ทุกคนลองชิมกุ้งก้ามแดง (Cray Fish) หรือที่หลายคนเรียกว่า Baby Lobster ดูนะครับ เพราะว่านี่เป็นเมนูที่ไม่ค่อยได้เห็นในไลน์บุฟเฟ่ต์ที่อื่นๆ ซักเท่าไหร่ ใครที่ชอบรสชาติก็จัดไปให้เต็มที่เลยนะครับ
ต่อกันที่หมวดที่สอง “บาร์บีคิว” อีกหนึ่งหมวดอาหารที่เป็นไฮไลท์ไม่แพ้หมวดที่ผ่านมา เพราะพี่เค้าจัดเต็มมาให้เราทานถึง 10 เมนูด้วยกัน!!! โดย 10 เมนูนี้ได้แก่ เนื้อวากิวออสเตรเลีย, เนื้อโทมาฮอว์ค, เนื้ออาซาโด้, เนื้อแกะนิวซีแลนด์, หมูคุโรบุตะ, หมูหัน, ไก่ออร์แกนิค, กุ้งแม่น้ำ, ปลาหมึก และปลากะพง
และด้วยความที่มันมีเยอะถึง 10 เมนู ดังนั้นอาหารหมวดนี้ก็เลยถูกวางกระจายตามจุดต่างๆ ของห้องอาหาร โดยจุดแรกสุดและเป็นจุดที่มีให้เลือกเยอะสุดก็คือบริเวณตรงข้ามกับประตูทางเข้าห้องอาหาร Cuisine Unplugged โดยเค้าจะจัดเป็นรถเข็นแบบนี้ครับ ใครอยากได้เนื้ออะไรก็คีบใส่จานและเอาหมายเลขโต๊ะเราหนีบไว้ จากนั้นพนักงานจะนำไปย่างและนำไปเสิร์ฟให้เราที่โต๊ะครับ

สำหรับเนื้อที่อยู่ในรถเข็นคันนี้จะมีทั้งหมด 5 ชนิดได้แก่ เนื้อวากิวออสเตรเลีย, เนื้ออาซาโด้, กุ้งแม่น้ำ, ปลาหมึก และปลากะพง โดยหน้าตาของเนื้อแต่ละชนิดดูดีนั้นเลยนะครับ และจากที่ผมได้ลองชิมมา ผมรู้สึกประทับใจกุ้งแม่น้ำ, ปลาหมึก และปลากะพงมากที่สุด อร่อย สด และทานง่ายดี ส่วนเนื้อทั้งสองประเภทนั้นผมว่ารสชาติกลางๆ ตามมาตรฐานเนื้อทั่วไป ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมาก และยังขาดความหอมของเนื้อไปอยู่เล็กน้อยครับ
หมายเหตุ : เนื้ออาซาโด้คือ เนื้อวัวส่วนซี่โครงที่ย่างสไตล์ลาติน โดยทางห้องอาหารได้นำเนื้อส่วนนี้เข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ใครที่ไม่เคยทานเนื้อชนิดนี้มาก่อนก็ลองชิมดูนะครับ







ส่วนเนื้อประเภทอื่นๆ ที่เหลือนั้น จะกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ โดยผมจะขอเริ่มแนะนำจากเนื้อวากิวออสเตรเลีย และเนื้อแกะนิวซีแลนด์ก่อนนะครับ เพราะทั้งสองอย่างนี้จะอยู่ด้วยกัน และทุกคนไม่ต้องงงไปนะครับว่าทำไมถึงมีเนื้อวากิวออสเตรเลียอยู่ 2 ที่ เพราะผมเองก็งงเหมือนกัน @_@
.
.
.
.
เอ้ยยย ไม่ใช่สิ เพราะเนื้อวากิวออสเตรเลียนั้นถือเป็นเนื้อชนิดนึงที่หลายๆ คนชอบทาน ดังนั้นทางห้องอาหารเค้าก็เลยจัดให้เราทานกัน 2 แบบเลย โดยแบบแรกก็คือเนื้อที่อยู่ในรถเข็นตามที่ผมได้ให้ทุกคนดูไปแล้ว โดยเนื้อตรงนั้นจะมีขนาดชิ้นที่ใหญ่กว่า และนำไปย่างบนเตาบาร์บีคิวขนาดใหญ่ แต่ในอีกโซนนึงของห้องอาหารทางเชฟจะเลือกเนื้อที่มีขนาดที่เล็กกว่า แต่มีความหนากว่ามาปรุง โดยผมเดาว่าน่าจะใช้กระบวนการปรุงอาหารที่ต่างกัน รวมถึงมีการจัดจานที่สวยงามกว่าด้วย ซึ่งรสชาติที่ได้นั้น โดยส่วนตัวแล้วผมประทับใจกับเนื้อวากิวที่อยู่ในโซนหลังที่มีการจัดจานสวยๆ แบบนี้มากกว่าครับ เนื้อนุ่ม และทานง่ายกว่า แต่สำหรับใครที่ไปหยิบจานแรกมาทานแล้วรู้สึกไม่ค่อยชอบกับซอสที่เค้าราดมา ก็สามารถที่จะบอกเชฟได้นะครับว่าขอแบบที่ไม่ต้องราดซอส โดยซอสที่เค้าราดมานั้นจะมีลักษณะคล้ายๆ กับซอสบาร์บีคิวครับ

ต่อกันที่ขาแกะนิวซีแลนด์ อันนี้จะอยู่ข้างๆ กับเมนูวากิวออสเตรเลียเมื่อกี้เลย การจัดจานต่างๆ มีความสวยงามไม่แพ้กัน แต่ในด้านรสชาติ โดยส่วนตัวผมยังไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ครับ เนื้อแกะนุ่ม ทานง่ายก็จริง แต่ผมรู้สึกว่ามีกลิ่นของแกะอยู่หน่อยๆ ซึ่งอาจจะทำให้หลายๆ คนไม่ค่อยชอบทานได้ครับ

ต่อกันที่สามเมนูนี้ครับ เนื้อโทมาฮอว์คจากออสเตรเลีย, เนื้อหมูคุโรบุตะ และเนื้อไก่ออร์แกนิค โดยทั้งสามเมนูนี้จะวางอยู่รวมกันในจุดเดียวเลย ใครที่ชอบทานเมนูไหนก็จัดไปครับ แต่โดยส่วนตัวแล้วถ้าให้ผมเลือกเมนูที่ผมประทับใจที่สุด ผมขอเลือกเป็นเนื้อโทมาฮอว์คจากออสเตรเลีย และเนื้อไก่ออร์แกนิค เพราะเนื้อหมูคุโรบุตะนั้นผมว่ามันแห้งไปนิด รวมทั้งเนื้อน้อยไปหน่อยครับ
หมายเหตุ : เนื้อโทมาฮอว์คของห้องอาหาร Cuisine Unplugged จะเป็นเนื้อที่ทำเสร็จมาซักพักแล้ว ดังนั้นก็เลยขาดความฉ่ำของเนื้อไปหน่อย ใครที่อยากจะทานแบบฉ่ำๆ ไม่ค่อยแห้งเท่าไหร่ ควรรีบไปทานเมนูนี้ตั้งแต่ที่ห้องอาหารเปิดเลย เพราะหากยิ่งทิ้งไว้นาน เนื้อจะเริ่มแห้งขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ความอร่อยเริ่มลดลงครับ



ต่อกันที่เมนูสุดท้ายของหมวดบาร์บีคิว นั่นก็คือหมูหันครับ เมนูนี้จะถูกแยกออกมาวางห่างไกลจากเพื่อนเลย โดยจะถูกวางใกล้ๆ กับพิซซ่าและก๋วยเตี๋ยว ในเรื่องของรสชาตินั้นผมว่ารสชาติกลางๆ ครับ ทั้งในส่วนของหมูหันแล้วก็แป้งหมั่วโถวที่ทานคู่กัน แต่ถ้าใครชอบทานเมนูนี้ก็น่าจะถูกใจกันพอควร เพราะเป็นเมนูที่ไม่ค่อยเจอในไลน์อาหารบุฟเฟ่ต์ที่อื่นๆ ซักเท่าไหร่ครับ


ต่อกันที่หมวดที่สาม “อาหารญี่ปุ่น” ที่หมวดนี้จะมีซูชิ, ซาชิมิ, แซลมอน คาปาชโช่ (Salmon Carpaccio) แล้วก็ยำสาหร่ายให้เราทาน โดยในส่วนของซาชิมินั้นจะมีแซลมอน, ทูน่า, ซาบะ, ปลาหมึกยักษ์, ปูอัด และไข่หวาน คุณภาพและรสชาติของอาหารในหมวดนี้ผมให้อยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางดี โดยเมนูที่เด่นที่สุดผมขอยกให้แซลมอน คาปาชโช่ครับ ส่วนใครที่ชอบทานแซลมอนสีส้มๆ ผมแนะนำให้ทานเป็นซูชิจะดีกว่าครับ เพราะโดยส่วนตัวจากที่ลองชิมมา 2 รอบ ผมว่าแซลมอนที่อยู่บนซูชิลายสวยและรสชาติดีกว่าที่เป็นซาชิมิครับ







หมวดที่สี่ “สลัดและ Cold Cuts” หมวดนี้สารภาพตามตรงเลยครับว่าพวกผมไม่ได้ชิมสลัดกันเลย ได้แต่เดินดูเฉยๆ ซึ่งเท่าที่ดูก็พบว่าความสวยงามของผักนั้นดูดี ส่วนน้ำสลัดก็มีให้เลือกทานเยอะใช้ได้ครับ เอาเป็นว่าใครชอบทานสลัดก็ลองไปดูนะครับ ดูจากหน้าตาแล้วผมว่าน่าจะทานแล้วไม่ผิดหวังนะ


ส่วน Cold Cuts นั้น ทางห้องอาหาร Cuisine Unplugged จะมีให้ทานทั้งหมด 5 อย่างด้วยกัน และรสชาติแต่ละอย่างนั้นดีเลยครับ





หมวดที่ห้า “ขนมปังและชีส” ที่หมวดนี้ผมได้ชิมเฉพาะขนมปังนะครับ เพราะหากใครที่ตามๆ ผมมาโดยตลอดจะรู้ว่าผมกับต๋งไม่ค่อยชอบทานชีสที่เป็นก้อนแบบนี้ซักเท่าไหร่ พวกเราจะชอบทานชีสที่แปรรูปหรือถูกนำไปผสมเป็นส่วนประกอบรองของอาหารอื่นๆ ซะมากกว่า
สำหรับขนมปังที่ทางห้องอาหาร Cuisine Unplugged มีให้ทานนั้นไม่ได้มีหลายแบบมากนัก แต่รสชาตินั้นอร่อยเลยครับ นุ่มทานง่าย ส่วนชีสนั้นมีให้เลือกทานหลายชนิดดี ใครที่ชอบทานชีสแบบนี้ก็ลองไปตักชิมดูนะครับ






มาลุยต่อกันที่หมวดที่หก “อาหารอื่นๆ” หรือหมวดจับฉ่าย หมวดที่ผมไม่รู้จะจัดเอาอาหารแต่ละประเภทไปลงไว้ตรงไหน ก็เลยเอาทุกอย่างมารวมกันไว้ที่ตรงนี้เลย ><
ที่หมวดนี้จะมีอาหารให้เราทานเยอะมาก และจะกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ของห้องอาหาร โดยเมนูเด่นที่ผมอยากจะแนะนำให้ทุกคนลองทานก็คือ พิซซ่า และส้มตำครับ โดยพิซซ่าของที่นี่จะเป็นแบบแป้งบางกรอบและอบกันตรงนั้นเลย แถมมีให้ทานกันถึง 4-5 หน้าเลยทีเดียว ความอร่อยของแป้งนั้นดี ส่วนความอร่อยของหน้าพิซซ่านั้นมีถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้างแตกต่างกันไป โดยบางหน้าผมรู้สึกว่าเค้าใส่เครื่องมาน้อยไปนิด ถ้าใส่เครื่องมาเต็มกว่านี้อีกหน่อยจะแจ่มมากเลยครับ

ส่วนของส้มตำนั้น ทางห้องอาหารจะมีการตำให้ทานอยู่ 2-3 ชนิด ซึ่งจากที่ได้ชิมมาก็พบว่ารสชาติดีเลยครับ อร่อย แซ่บกว่าห้องอาหารตามโรงแรมหลายที่ ที่สำคัญยังดูสะอาด ทานแล้วสบายใจด้วย
อ้อ ในส่วนของโซนที่เป็นส้มตำนั้น เค้าจะมีอาหารประเภทยำแล้วก็ลาบให้เราสั่งด้วยนะครับ ใครที่สนใจเมนูไหนก็บอกพนักงานได้เลย

ส่วนเมนูอื่นๆ ที่เค้ามีให้ทานก็ได้แก่ พาสต้า, ก๋วยเตี๋ยว, ปูนึ่ง, ซุปมิโสะ, ซุปเห็ดทรัฟเฟิล, ผัดผัก แล้วก็อาหารอีก 4-5 อย่าง โดยรสชาติอาหารก็มีทั้งถูกปากผมบ้าง ไม่ถูกปากบ้าง คละๆ กันไปครับ ใครที่ได้มีโอกาสไปทานอาหารที่นี่และคิดว่าทานไหวก็ลองชิมๆ ดูนะครับ ไม่แน่ชิมไปแล้วอาจจะมีเมนูที่รู้สึกประทับใจมากก็ได้ครับ
ทั้งนี้อาหารส่วนใหญ่ของห้องอาหาร Cuisine Unplugged นั้น เค้าจะมีการระบุชื่อหรือประเภทของเนื้อให้เราทราบชัดเจนว่าเป็นหมู, เนื้อ, ไก่ หรือซีฟู้ด ดังนั้นใครที่ทานของบางอย่างไม่ได้ก็น่าจะสบายใจในการไปทานอาหารที่นี่ครับ












จัดหนักของคาวกันครบแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาไปลุยต่อกันที่ของหวาน, ผลไม้ และไอศกรีม โดยของหวานของที่นี่จะมีให้เลือกทานเยอะเลยทั้งช็อคโกแลต ฟองดู, ท็อฟฟี่เค้ก, มาการอง, เอแคลร์, เค้กส้ม, คาราเมล คัสตาร์ด, บราวนี่, ทาร์ตถั่ว, ทาร์ตผลไม้, เลมอนทาร์ต, ช็อคโกแลตคาราเมลมูส, สตรอเบอร์รี่มูส โดยรสชาติของของหวานส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยครับ หลายๆ เมนูลองทานแล้วก็ทำให้อยากไปหยิบมากินซ้ำเหมือนกัน


















ส่วนของไอศกรีมนั้นวันที่ผมไปมีทั้งหมด 3 รสด้วยกันคือ ชาเขียว, มะนาว และช็อคโกแลต ซึ่งผมได้ลองชิมทั้ง 3 รสเลย และโดยส่วนตัวแล้วผมชอบรสชาติของทั้ง 3 รสนะครับ ช็อคโกแลตนี่เข้มข้นมากแต่ทานแล้วไม่รู้สึกขม ส่วนชาเขียวนั้นก็มีความเข้มข้นอยู่ในระดับที่พอดี ทำให้ทานได้เรื่อยๆ ไม่รู้สึกว่าเลี่ยนหรือขมจนเกินไป โดยรวมๆ แล้วไอศกรีมของที่นี่ทำรสชาติออกมาได้ถูกปากผมดีครับ แต่หากจะมีข้อตินิดนึงก็คงจะเป็นเรื่องของความแข็งตัวของไอศกรีมที่ผมว่าค่อนข้างเหลวหรือละลายง่ายไปนิดนึงครับ


ทีนี้มาดูกันที่ผลไม้กันบ้างครับ ผลไม้ของไลน์บุฟเฟ่ต์นานาชาติของห้องอาหาร Cuisine Unplugged นั้นมีให้เราเลือกทานหลายอย่างเลยครับ โดยในวันที่ผมไปก็จะมีมะละกอ, สับปะรด, แก้วมังกร, แตงโม, ฝรั่ง แล้วก็มะม่วง ความสวยงามของผลไม้และการจัดจานอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ในเรื่องรสชาติ อันนี้ผมตอบไม่ได้ครับ เพราะวันนั้นผมอิ่มอาหารอย่างอื่นมากจนทานผลไม้ไม่ลงเลย @_@
เอาล่ะ ตอนนี้เราก็ดูอาหารทั้งไลน์ของคาวและของหวานกันครบหมดแล้ว ก่อนที่จะเข้าสู่บทสุดท้ายหรือบทสรุป ผมจะขอเล่าถึงเรื่องของเครื่องดื่มก่อนนะครับ โดยบุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติและบาร์บีคิว ห้องอาหาร Cuisine Unplugged จะรวมเฉพาะชา กาแฟเท่านั้น ส่วนเครื่องดื่มต่างๆ เช่น น้ำเปล่า, น้ำอัดลม, น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มพิเศษต่างๆ จะต้องสั่งเพิ่มและมีค่าใช้จ่ายต่างหากครับ ซึ่งจากที่ผมได้ลองสอบถามราคาเครื่องดื่มบางประเภทมาก็พบว่าราคาไม่แรงนะครับ ถือว่าเป็นราคาตามมาตรฐานโรงแรมระดับนี้ เช่น น้ำเปล่าขวดเล็ก ราคา 50 บาท, น้ำผลไม้ แก้วละ 200 บาท เป็นต้น
ก็เอาเป็นว่าใครที่จะไปทานอาหารที่นี่ก็อย่าลืมเผื่อค่าใช้จ่ายในส่วนของเครื่องดื่มไปด้วยนะครับ


และทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์ของผมกับต๋งในการไปทานอาหารที่ห้องอาหาร Cuisine Unplugged (ควิซีน อันปลั๊ก) โรงแรม Pullman Bangkok King Power (โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ) ซอยรางน้ำครับ และเพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ผมขอสรุปการรีวิวออกมาเป็นหัวข้อต่างๆ ตามนี้นะครับ
วันที่รับประทาน : วันพฤหัสที่ 31 พฤษภาคม 2561
ช่วงเวลา : 18.00 – 21.00 น.
จำนวน : 2 คน
รสชาติอาหาร : ด้วยความที่เป็นไลน์บุฟเฟ่ต์นานาชาติและบาร์บีคิว ดังนั้นประเภทอาหารจึงมีให้เลือกทานค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามจากที่ผมกับต๋งได้ลองชิมเมนูอาหารส่วนใหญ่มา เราคิดว่านี่เป็นห้องอาหารที่มีรสชาติอาหารส่วนใหญ่ดีนะครับ โดยเฉพาะในหมวดของ Seafood on ice และบาร์บีคิวที่ทำได้ดีกว่าเพื่อนเลย และถึงแม้จะมีบางเมนูในสองหมวดนี้ที่ผมยังไม่ค่อยประทับใจซักเท่าไหร่ แต่เมื่อเทียบสัดส่วนกับเมนูอื่นๆ ก็ต้องบอกว่าสัดส่วนของเมนูที่ไม่ประทับใจในรสชาตินั้นน้อยกว่ามากครับ ส่วนในหมวดอาหารประเภทอื่นๆ ทางห้องอาหารก็ทำได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเช่นเดียวกัน โดยรวมๆ แล้วผมชอบในรสชาติอาหารของที่นี่ประมาณ 80% ได้ครับ
ความหลากหลายของอาหาร : แม้จะไม่ใช่ไลน์บุฟเฟ่ต์ที่มีความอลังการและมีเมนูให้เลือกทานมากที่สุด แต่เท่าที่ทางห้องอาหารมีให้บริการ ณ ตอนนี้ก็ถือว่าเยอะและหลากหลายเพียงพอแล้วครับ โดยเฉพาะ Seafood on ice, บาร์บีคิว และของหวาน ถือว่ามีให้เลือกทานเยอะเลย นอกจากนี้ในส่วนของเมนูอาหารอื่นๆ ก็มีทั้งผัด, ต้ม. ซุป, ทอด ให้เราเลือกทาน ดังนั้นผมว่าที่นี่สามารถรองรับการไปทานข้าวของกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัวขนาดใหญ่ได้สบายๆ ครับ
ความสะอาดของร้านและบรรยากาศ : ทั้งสองเรื่องนี้ผมให้สอบผ่านไม่มีติดประเด็นไหนเลยครับ ความสะอาดดี บรรยากาศของห้องอาหารดี เพดานสูง ไฟสว่าง ป้ายชื่ออาหารติดชัดเจน และประเภทของที่นั่งมีให้เลือกนั่งหลากหลายดีครับ
การบริการของพนักงาน : ข้อนี้ผมให้อยู่ในเกณฑ์ดีครับ เพราะจากที่ผมได้มีโอกาสไปใช้บริการก็พบว่าพนักงานของห้องอาหารพูดจาสุภาพ บริการรวดเร็ว เก็บจานฉับไว และถึงแม้จะมีตอนที่ผมต้องมองหาพนักงานอยู่นานเป็นบางครั้ง แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าวันที่ผมไปใช้บริการนั้นมีคนไปใช้บริการค่อนข้างมาก ก็เลยทำให้บางช่วงเวลาพนักงานอาจจะดูแลไม่ทั่วถึงบ้างครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : เป็นห้องอาหารที่ผมว่าเดินทางสะดวกระดับนึงเลยนะครับ เพราะถึงแม้โรงแรมจะไม่ได้อยู่ใกล้กับ BTS มากนัก แต่ก็ไม่ได้ไกลจนเดินไม่ได้ นอกจากนี้ทางโรงแรมเองก็ได้มีรถตุ๊กๆ บริการรับส่งฟรีระหว่างห้าง Century The Movie Plaza กับโรงแรม โดยมีจุดจอดรถที่ชัดเจนเป็นหลักแหล่ง ดังนั้นก็เลยทำให้การเดินทางของหลายๆ คนสะดวกมากขึ้น ส่วนคนที่ขับรถไปนั้นผมว่าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องของการหลงทาง หรือเรื่องของที่จอดรถเลย เพราะทำเลที่ตั้งของเค้าชัดเจน หาไม่ยาก ที่จอดรถมีบริการเยอะ แต่ปัญหาที่เจอน่าจะเป็นเรื่องของการจราจรที่ติดขัดในบางช่วงเวลามากกว่าครับ
ความคุ้มค่า : ถ้าเทียบกับราคาเต็มที่ 1,499 บาท/คน net รวมชา กาแฟ แต่ยังไม่รวมเครื่องดื่มอื่นๆ นั้น ผมว่ายังเป็นราคาที่เรียกว่าคุ้มค่ายังไม่ค่อยได้ครับ เพราะคิดว่าโดยทั่วไปแล้วแต่ละคนน่าจะมีค่าใช้จ่ายเรื่องเครื่องดื่มอีกคนละ 100 บาทได้ ทำให้ราคาต่อคนจะไปตกอยู่ที่ประมาณ 1,600 บาท แต่ถ้าเทียบกับราคาที่ทางห้องอาหารกำลังมีโปรโมชั่นลด 30% อยู่ตอนนี้ จะทำให้ราคาเหลืออยู่เพียง 1,049 บาท net เท่านั้น และเมื่อรวมกับค่าเครื่องดื่มแล้วก็จะอยู่ไม่เกิน 1,200 บาทต่อคน ซึ่งเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้ รสชาติที่ได้ ผมถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่า น่าลองนะครับ ดังนั้นใครที่สนใจห้องอาหารนี้อยู่ก็ให้รีบไปทานด่วนๆ และอย่าลืมจองออนไลน์ผ่านลิงก์นี้ https://www.pullmanbangkokkingpower.com/th/offers/seafood-buffet-in-bangkok เพื่อรับสิทธิ์ลดราคา 30% ด้วยนะครับ
สรุป : สำหรับใครที่กำลังมองหาห้องอาหารในโรงแรมที่เดินทางสะดวก ที่จอดรถเยอะ อยู่ไม่ไกลจาก BTS มากนัก รวมทั้งมีบรรยากาศห้องอาหารที่ดี ประเภทอาหารให้เลือกทานหลากหลาย ราคาต่อคน Net แล้วไม่เกิน 1,200 บาท/คน ห้องอาหาร Cuisine Unplugged โรงแรม Pullman Bangkok King Power ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเลยครับ โดยเฉพาะคนที่ชอบทานซีฟู้ดและบาร์บีคิว เพราะที่นี่เค้าจัดเต็มมาก นอกจากนี้ด้วยความที่ห้องอาหารแห่งนี้มีการจัดไลน์บุฟเฟ่ต์มื้อเย็นของทุกวันเหมือนกันหมดทั้งประเภทของอาหารและราคา ทำให้เราสะดวกมากในการนัดหมายเพื่อนไปกิน โดยที่ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะไปวันไหนดี วันไหนราคาเท่าไหร่บ้าง วันไหนจะมีเมนูอะไรให้กินบ้าง สิ่งที่เราควรจะต้องนึกอย่างเดียวในการไปทานอาหารที่นี่ก็คือ อย่าลืมจองออนไลน์เพื่อรับสิทธิ์ลด 30% เท่านั้นเองครับ ><
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ สำหรับใครที่อยากจะติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิดก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลย และสุดท้ายนี้สำหรับใครที่ต้องการจะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับห้องอาหารแห่งนี้เพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปสอบถามที่ช่องทางด้านล่างนี้ได้เลยครับ
Tel : 02-6809999
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้