เด็กผู้ชายส่วนใหญ่มักจะมีช่วงเวลานึงที่ต้องไปเข้าค่าย ผจญภัย ทำอาหาร และเล่นรอบกองไฟในวิชาลูกเสือ และผมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนาน ให้ความรู้สึกที่ดีมากเลย โดยเฉพาะเวลาที่เรามีเพื่อนที่รู้ใจอยู่ใกล้ๆ ครับ
.
.
.
.
แต่ว่าจำกันได้มั้ยครับ ว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันเกิดขึ้นกับเรามานานแค่ไหนแล้ว?
5 ปี
10 ปี
15 ปี
หรือนานมากกว่านั้น…..
สำหรับใครบางคนที่ยังคงหลงใหลกับการแค้มปิ้ง ท่องเที่ยวตามธรรมชาติอยู่ ความรู้สึกเหล่านั้นอาจจะยังไม่ได้จางหายไปนานมาก เพราะเค้าเหล่านั้นยังคงออกไปผจญภัยในโลกกว้างอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับคนบางคนแล้วด้วยหน้าที่การงาน เวลา ครอบครัว หรือแม้กระทั่งเรื่องของเงินทอง มันได้ทำให้เค้าค่อยๆ ห่างหายจากความรู้สึกเหล่านั้นออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมเชื่อว่าลึกๆ แล้วในใจของเค้าเหล่านั้น เค้ายังคงคิดถึงบรรยากาศแบบในตอนที่เค้ายังเด็ก ยังวัยรุ่นอยู่แน่ๆ และเค้าก็คงอยากจะหาโอกาสพาเพื่อนฝูงที่ห่างหายไปนาน อยากจะพาแฟน อยากจะพาครอบครัวทั้งภรรยาและลูกๆ ไปร่วมรำลึกถึงบรรยากาศสนุกๆ แบบนั้นด้วยกันอย่างแน่นอนครับ
วันนี้ผมเลยจะขอแนะนำสถานที่แห่งนึง สถานที่ที่จะทำให้หลายๆ คน ได้ร่วมรำลึกถึงบรรยากาศแบบนั้นได้อีกครั้ง และเป็นสถานที่ที่ลำบากในการเดินทางน้อยกว่าที่เราคิดไว้เยอะครับ สถานที่แห่งนั้นก็คือ “Camp Curry : Tokyo’s Best Curry” นั่นเองครับ
ถ้าพร้อมแล้ว เรามาร่วมออกเดินทางไปรำลึกถึงบรรยากาศสนุกๆ ของการแคมปิ้งไปพร้อมๆ กันเลยครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
camp-curry-1
ร้าน Camp Curry เป็นร้านเฟรนไชส์ของร้านชื่อเดียวกันในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศเจ้าตำรับของแกงกะหรี่ที่หลายๆ คนชื่นชอบ โดยร้าน Camp Curry ที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นได้รับความนิยมมากมายจนมีสาขากว่า 30 สาขาทั่วประเทศและก็ได้รับฉายาว่า Tokyo’s Best Curry เลยทีเดียวครับ
โดย Camp Curry สาขาชั้น 4 สยามพารากอนนั้น ถือเป็นสาขาแรกของ Camp Curry ที่ตั้งอยู่นอกประเทศญี่ปุ่น แต่ว่าเราไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องของคุณภาพเลยนะครับ เพราะทางร้านเค้าการันตีว่าเค้าใช้มาตรฐานเดียวกันกับที่ญี่ปุ่นทั้งหมดเลยครับ
สำหรับตำแหน่งที่ตั้งของเจ้า Camp Curry ในสยามพารากอนนั้นก็หาไม่ยากครับ เพียงคุณไปที่ชั้น 4 และหา Zone ที่ชื่อว่า Food Passage ให้เจอ รับรองว่าคุณจะเจอร้านหน้าตาแบบนี้แน่นอนครับ
camp-curry-2
ตัวร้านและ mood and tone ทั้งหมดนั้นเค้าตกแต่งออกมาในสไตล์แคมปิ้งซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ครอบครัวชาวญี่ปุ่นหลายๆ ครอบครัวชอบทำกันในช่วงฤดูร้อน และก็หนึ่งในเมนูอาหารยอดฮิตของการแคมปิ้งของคนญี่ปุ่นนั้นก็คือแกงกะหรี่นั่นเองครับ
ผมให้ดูภาพรวมๆ ของบรรยากาศร้านก่อนนะครับ โดยส่วนตัวแล้วผมว่ามันเก๋ไก๋ดี ดูแล้วสนุกสนานมาก Prop ต่างๆ เค้าจัดเตรียมไว้เพียบเลยทั้งเก้าอี้สนาม เป้ แก้วน้ำ ถุงนอน เต้นท์ เชือก โคมไฟ ท่อนฟืน ผัก ผลไม้ จนไปถึงการแต่งตัวของพนักงาน ซึ่งต้องบอกว่าเพียงแค่แรกสัมผัสผมก็รู้สึกประทับใจในบรรยากาศของมันแล้วครับ
camp-curry-3
camp-curry-4
camp-curry-5
camp-curry-6
camp-curry-7
camp-curry-8
เท่าที่ผมสังเกตคร่าวๆ ตัวร้านจะมีโต๊ะประมาณ 15 ตัว จุคนได้ราวๆ 60-70 คน โดยตำแหน่งของโต๊ะจะมี 2 แบบครับ แบบแรกจะเป็นส่วนที่เรียกได้ว่าค่อนข้างเปิดโล่งหน่อย คนเดินผ่านไปผ่านมาจะเห็นเราชัดเจน ตรงนี้จะมีราวๆ 10 โต๊ะ ส่วนอีกแบบนึงจะอยู่ในบริเวณตัวร้านหน่อยครับ ค่อนข้างเป็นส่วนตัว และไม่ตกเป็นเป้าสายตาใครเท่าไหร่ครับ
สำหรับผมแล้ว ผมเลือกนั่งตรงบริเวณที่เปิดโล่งเพราะว่าแสงเยอะดี ถ่ายรูปง่าย อีกทั้งผมว่ามันได้บรรยากาศความสนุกสนาน คึกคักมากกว่าครับ โดยที่โต๊ะของเรานั้นทางร้านก็ยังมีการสร้าง Mood and tone ของการตั้งแคมป์ต่อไป ด้วยการปูผ้าปูโต๊ะด้วยกระดาษคราฟท์สีน้ำตาลที่พอเราลุกปั๊บ พนักงานก็จะทำการทิ้งแผ่นเก่าแล้วปูแผ่นใหม่ทันที ชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาเช็ด แถมยังได้อารมณ์ดิบๆ อีกด้วยครับ นอกจากนี้แล้วช้อนส้อมบนโต๊ะ รวมไปถึงอุปกรณ์ที่เค้าวางไว้ก็เก๋ไก๋มากๆ ชนิดที่ว่าตอนผมเห็นครั้งแรกนี่ต้องแอบร้องว้าวในใจเบาๆ เลยครับ
camp-curry-9
camp-curry-10
หลังจากเรานั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปที่เราควรจะต้องทำนั่นก็คือ เปิดเมนูครับ!!
ตัวเมนูเค้าวาง lay out ได้สวยงาม กราฟฟิคดูดี ชวนให้อ่านมากๆ ครับ โดยท้ายๆ เล่มจะมีการพูดถึงเรื่องประวัติการก่อตั้งร้าน รวมไปถึงการแค้มปิ้งของคนญี่ปุ่นด้วยครับ
และหลังจากที่ผมพิจารณาเมนูพลิกไปมาหลายรอบ ประกอบกับโดนพนักงานเป่าหูว่าอันนี้น่าสนใจ อันโน้นน่าชิม ผมก็ได้รายการอาหารทั้งหมดในมื้อนี้ตามนี้ครับ
  • Fully-loaded vegetables curry แกงกระหรี่ผักรักสุขภาพ ราคา 190 บาท
  • Grandma’ beef curry แกงกะหรี่เนื้อวัว สูตรคุณยาย ราคา 315บาท
  • Hango shake salad สลัดผัก ราคา 100 บาท
  • Big camp fire curry แกงกะหรี่แคมป์ไฟไซส์จับโบ้ ราคา 380 บาท
  • Hokkaido honey lassi ลาซซี่น้ำผึ้งฮอกไกโด ราคา 90 บาท
  • Hokkaido mango lassi ลาซซี่มะม่วงฮอกไกโด ราคา 95 บาท
  • Hokkaido pudding พุดดิ้งนมฮอกไกโด ราคา 150 บาท
camp-curry-11.camp-curry-12.camp-curry-13.camp-curry-14
หลังจากที่ผมสั่งอาหารไปเรียบร้อย ผมก็ใช้เวลาในการนั่งรอไม่นาน พนักงานก็นำเจ้าเครื่องดื่ม 2 แก้วนี้มาเสิร์ฟครับ นั่นก็คือลาซซี่น้ำผึ้งฮอกไกโด และ ลาซซี่มะม่วงฮอกไกโด ผมคงไม่ต้องบอกเนอะว่าแก้วไหนมะม่วง แก้วไหนน้ำผึ้งครับ ><
โดยรวมๆ ผมกับภรรยาประทับใจในรสชาติของทั้ง 2 แก้วเลยครับ หอม หวาน ถูกปาก ถูกใจ แต่ถ้าให้เลือกแค่แก้วเดียว เราทั้งคู่เห็นตรงกันว่าลาซซี่มะม่วงอร่อยกว่านิดๆ ครับ รสชาติมะม่วงเข้มข้นใช้ได้เลยครับ
camp-curry-15
หลังจากนั้นผมก็นั่งรอต่อไปอีกซักพัก อาหารจานแรกของผมก็ได้มาเสิร์ฟที่โต๊ะครับ โดยจานแรกนี้ก็คือ แกงกระหรี่ผักรักสุขภาพ ที่มีจุดเด่นคือ ไม่มีเนื้อเลยซักชิ้น!! มีแต่ ผัก ผัก ผัก แล้วก็ผัก!! แต่อยากจะบอกว่าผักที่เห็นในจานนั้นไม่ใช่ผักธรรมดานะครับ เพราะเป็นผักจากโครงการหลวงทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่ง มะเขือม่วง มะเขือเทศ กระเจี๊ยบ พริกหวาน หรือหัวหอม ซึ่งผมว่าคนที่ชอบทานผักน่าจะชอบจานนี้ครับ เพราะว่าราคาไม่แรง ได้ผักครบทุกสี ที่สำคัญคุณภาพผักดีมากๆ ด้วยครับ สด กรอบเลยครับ
ปล. สำหรับใครที่อยากจะเพิ่มความหลากหลายและความเยอะของจานนี้เข้าไปอีก สามารถที่จะสั่งเพิ่ม Topping ได้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นชีส ไก่ กุ้ง หรือเนื้อวัว โดยการเพิ่ม Topping แต่ละอันจะมีราคาบอกไว้ที่เมนูเรียบร้อยเลยครับ
camp-curry-16
การเสิร์ฟแกงกะหรี่ของที่นี่นั้นเค้าจะแยกภาชนะระหว่างอาหารกับแกงกะหรี่ออกจากกันก่อน และนำมาราดให้เราเห็นที่โต๊ะครับ ซึ่งเมื่อแกงถูกราดลงไปบนกระทะที่ร้อนๆ ควันและกลิ่นแกงที่แสนจะหอมก็จะลอยมาแตะจมูกเราแทบจะทันทีกับที่หูเราได้ยินเสียงดังฉ่าๆ เลยครับ
สำหรับแกงกะหรี่ในเมนูนี้นั้น น้ำซุปที่เอามาทำจะเป็นซุปไก่นะครับ ไม่ใช่ซุปเนื้อวัว ดังนั้นใครที่ไม่ทานเนื้อวัวก็สบายใจได้ และก็สำหรับคนที่ซีเรียสมากๆ สามารถสอบถามทางพนักงานก่อนได้เลยครับว่าเมนูไหนใช้เบสซุปเป็นอะไรครับ
ปล. สำหรับจานแรกนี้ผมใช้เวลาถ่ายรูปนานมาก จนทำให้กระทะหายร้อน และในตอนนั้นผมไม่ทราบว่าทางร้านสามารถที่จะอุ่นกระทะให้ร้อนใหม่ได้ก็เลยพลาดไป ภาพที่ถ่ายมาก็เลยไม่มีควันเลยครับ  T_T ดังนั้นสำหรับใครที่อยากจะถ่ายรูปเก๋ๆ ลง social ก่อน ก็สามารถที่จะบอกพนักงานให้อุ่นกระทะให้เราใหม่ได้ก่อนที่จะเราเริ่มทานครับ ที่นี้เราก็จะได้ทั้งรูปเก๋ๆ และก็ยังจะได้ทานอะไรที่มันร้อนๆ ซู่ซ่าๆ ด้วยครับ
camp-curry-17
camp-curry-18
camp-curry-19
อ้อ….ผมลืมไปครับ สำหรับคนที่กลัวว่าการทานแกงกะหรี่ร้อนๆ แถมยังมีการมาราดต่อหน้าเราแบบนี้อีก มันจะกระเด็น และทำให้เสื้อผ้าเราเปื้อนมั้ย ผมบอกเลยครับว่าสบายใจได้ เพราะว่าทางร้านเค้ามีการเตรียมผ้ากันเปื้อนแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งไว้บนโต๊ะให้เราเรียบร้อยแล้วครับ
camp-curry-20
เอาล่ะครับ ทีนี้มาต่อกันที่จานที่สองดีกว่าครับ จานนี้เราก็ยังคงรักสุขภาพกันเช่นเคยกับเมนู Hango shake salad ครับ สลัดผักสดๆ โรยด้วยเบคอน พร้อมน้ำสลัดสูตรพิเศษสไตล์ญี่ปุ่น โดยจานนี้ทางพนักงานที่ร้านเค้าจะมาเขย่าๆ เชคๆ ในหม้อสนามให้เราดูต่อหน้าต่อตาเลยนะครับ ใครสนใจอยากจะดูลองสั่งได้เลยครับ
สำหรับเรื่องรสชาตินั้นเนื่องจากผมไม่ใช่สายกินผัก กินสลัดแบบนี้เท่าไหร่ ดังนั้นผมจึงให้อยู่ในระดับกลางๆ ตามมาตรฐานสลัดผักทั่วๆ ไปครับ ฮา
camp-curry-21
camp-curry-22
ต่อกันด้วยจานที่ 3 ครับ จานนี้เราจะมีเนื้อกันแล้ว!! กับ 1 ในเมนูทีเด็ดของทางร้าน Grandma’ beef curry แกงกะหรี่เนื้อวัว สูตรคุณยาย โดยการเสิร์ฟของทางร้านก็จะเสิร์ฟเหมือนเดิมครับแยกข้าว แยกแกงมา และคราวนี้ผมไม่พลาดแบบเดิมอีกแล้วครับ เพราะหลังจากที่ผมถ่ายรูปเสร็จผมก็ได้ให้ทางพนักงานเอากระทะไปอุ่นใหม่ ทีนี้พอผมราดแกงลงไป มันก็มาครบเลยครับ ทั้งเสียง กลิ่น ควัน ฟินนนนนนนนนนนนน ><
รสชาติจานนี้ต้องบอกว่าดีครับ อร่อยมากเลย สมแล้วที่เป็น 1 ในเมนูที่คนนิยมกัน เนื้อเปื่อยยุ่ย ชิ้นใหญ่ดีครับ ถ้าผมจะมีอะไรติดก็คงเป็นเรื่องของปริมาณน้ำแกงที่ผมว่าทางร้านให้มาสัดส่วนไม่ค่อยพอดีเท่าไหร่ แอบน้อยไปนิด ดังนั้นตอนหลังๆ ที่กำลังจะหมดเลยแอบแห้งไปหน่อยครับ ส่วนในเรื่องของความเผ็ดนั้นทางร้านจะทำมาเผ็ดแค่ระดับเดียว เราไม่สามารถสั่งเพิ่มหรือลดได้ ซึ่งตัวผมว่ามันเผ็ดกำลังพอดีนะครับ เผ็ดเล็กๆ ที่ปลายลิ้น ไม่ได้เผ็ดแบบจี๊ดจ๊าดมากมาย แต่สำหรับคนที่คิดว่ารสชาติมันอ่อนไป ก็สามารถหยิบเครื่องปรุงที่โต๊ะใส่ลงไปเพิ่มเองได้เลยครับ
camp-curry-23
camp-curry-24
camp-curry-25
camp-curry-26
เอาล่ะครับ ทีนี้เรามาต่อกันที่จานที่ 4 ดีกว่ากับ Big camp fire curry แกงกะหรี่แคมป์ไฟไซส์จับโบ้ โดยรายการนี้เราก็สามารถเพิ่ม Topping ตามที่เราต้องการลงไปได้อีกเช่นเดียวกันครับ ใครอยากเพิ่มอะไรก็จัดไปเลยครับ
หน้าตาของมันจะเป็นหม้อไฟสีดำ ข้างในมีผักและเนื้ออัดจนแน่น โดยพนักงานจะทำการตั้งเตาไฟฟ้าที่โต๊ะของเรา และเราต้องนั่งรอประมาณ 10 นาทีถึงจะได้กินครับ  เฮ้ยยยย……นี่มันอารมณ์แบบตอนเข้าค่ายลูกเสือชัดๆ เลย แต่ว่าอันนี้ดีกว่าตรงที่เรากินมันได้แน่ๆ ไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่ผมต้องคอยดูไฟ เติมฟืน คอยเปิด คอยลุ้นดูว่ามันจะสุกมั้ย หรือมันจะไหม้หรือเปล่า ><
camp-curry-27
camp-curry-28
camp-curry-29
camp-curry-30
พอครบเวลา 10 นาที ทางพนักงานก็เดินมาเปิดฝาหม้อออก จากนั้นกลุ่มควันก็พวยพุ่งเข้ามาที่หน้าผมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกลิ่นหอมที่ลอยมาแตะที่ปลายจมูกครับ เมนูนี้ผมว่าเป็นอะไรที่กินกันราวๆ 3-4 คนน่าจะสนุกดีนะครับ เม้าท์กันไป แย่งเนื้อ แย่งผักกันไป
อ้อ น้ำแกงกะหรี่ในเมนูหม้อไฟนี้มันจะใสกว่าแบบที่ราดข้าวนะครับ ซึ่งทำให้เราสามารถตักมันขึ้นมาซดกินเป็นน้ำซุปได้สบายๆ เลยครับ
camp-curry-31
camp-curry-32
camp-curry-33
ทีนี้เรามาต่อกันที่ของหวานกันดีกว่า กับพุดดิ้งนมฮอกไกโด โดยทางร้านจะเสิร์ฟมาบนภาชนะที่น่ารักอีกแล้วครับ รสชาติหวาน เค็ม มัน แต่แอบหวานนำมากไปหน่อย ดังนั้นคนที่ไม่ชอบทานหวานอาจจะไม่ค่อยชอบเมนูนี้เท่าไหร่ครับ
camp-curry-34
เอาล่ะครับ ตอนนี้เราทั้งสองคนก็จัดการเรียบทุกเมนูแล้ว  ต่อไปผมจะขออนุญาตสรุปนะครับโดยจะแยกรายละเอียดในแต่ละหัวข้อดังนี้ครับ
รสชาติอาหาร : โดยรวมๆ รสชาติของอาหารทั้งหมดผมค่อนข้างประทับใจนะครับ โดยที่โดนใจสุดก็คือข้าวแกงกะหรี่เนื้อ ตามมาด้วยแกงกะหรี่ผัก และชุดหม้อไฟครับ ส่วนที่เฉยๆ ก็คือพุดดิ้งนมฮอกไกโดและสลัดผักครับ อ้อ….ส่วนลาซซี่ 2 แก้วนั้นเป็นอะไรที่ผมชอบมากเลยครับ
ความหลากหลายของอาหาร : อาหารหลักๆ ของทางร้านจะเน้นที่แกงกะหรี่เป็นหลักครับ มีอย่างอื่นบ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นใครที่ไม่ชอบทานแกงกะหรี่อาจจะไม่ชอบร้านนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าแก๊งค์ไหนก๊วนไหนชอบกิน ผมว่าน่าจะสนุกน่าดูเลยนะครับ เพราะว่าทางร้านเค้ามีแกงกระหรี่จากซุปหลายแบบเลย แถมยังมีประเภทเนื้อให้เราเลือกเยอะแยะอีกพอควรเลยครับ
ความสะอาดของร้าน : ไม่มีปัญหาอะไรในข้อนี้ครับ สะอาด ดูดีครับ รวมทั้งยังตกแต่งร้านออกมาได้ดูดีมากๆ ด้วยครับ
การบริการของพนักงาน : โดยรวมๆ ผมประทับใจนะครับ บริการรวดเร็ว และถามอะไรให้ข้อมูลได้ชัดเจนดีครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : เนื่องจากร้านอยู่ในสยามพารากอน ใจกลางเมืองสุดๆ เราจึงสามารถเดินทางมาได้หลากหลายวิธี แต่ถ้าจะดีที่สุดผมว่าก็คงเป็น BTS ครับ เพราะสามารถควบคุมเวลาเดินทางได้ แถมที่จอดรถของพารากอนในวันเสาร์-อาทิตย์นี่ ต้องบอกเลยว่าถ้าไม่พกดวงมาด้วยนี่มีวนหาไม่ต่ำกว่า 20 นาทีแน่ๆ ครับ T_T
ความคุ้มค่า : ต้องยอมรับว่าดูเผินๆ แล้วหลายๆ เมนูออกจะราคาสูงไปหน่อย แต่ถ้ามองในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ราคาของร้านที่อยู่ใกล้ๆ กัน และรสชาติที่ได้แล้ว ร้านนี่ก็เป็นร้านนึงที่ควรจะไปลองสัมผัสซักครั้งครับ โดยเฉพาะข้าวแกงกะหรี่ของเค้า ไปลองดูว่ารสชาติร้านเฟรนสไชส์จากญี่ปุ่นต้นตำรับนั้นมีรสชาติอย่างไร จะโดนใจเราแค่ไหนครับ
สรุป : หากคุณเป็นคนชอบแกงกะหรี่ ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่เข้าไปลองทานซักครั้ง หากคุณเป็นคนชอบความแปลกใหม่ ผมว่าร้านนี้จะทำให้คุณรู้สึกดีและตื่นเต้นได้ หากคุณเป็นสายฮิป ชอบถ่ายรูป ชอบโพสต์ท่าเก๋ๆ คุณจะรักร้านนี้ครับ และหากคุณเบื่อความจำเจจากการกินอาหารในบรรยากาศเดิมๆ หรืออยากหาที่นั่งคุยกับเพื่อน กับครอบครัวในบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร ชวนให้คิดถึงชีวิตการผจญภัยในอดีต ร้านนี้คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีครับ แต่หากคุณเกลียดเหลือเกินกับเมนูที่ชื่อว่าแกงกะหรี่นี้ ผมแนะนำเลยครับว่าให้เดินเลี้ยวหนีออกจากร้านนี้ไปได้เลยครับ ><
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ และสำหรับท่านที่อยากจะได้ข้อมูลของร้านนี้เพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูข้อมูลตามลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ
Facebook : Camp Curry
หมายเหตุ : วันที่ผมไปใช้บริการคือ ช่วงเย็นๆ ของวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม 2559 นะครับ

camp-curry-35

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป