สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผม นาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะพาทุกคนไปรู้จักกับอีกหนึ่งในไลน์บุฟเฟ่ต์ที่ผมกับภรรยาชื่นชอบมากๆ ในความสดอร่อยของซีฟู้ดอย่างปูม้า, ปูทะเล, ปูไข่คลองโคน, กุ้ง, หอยนางรม แล้วก็บรรดาปลาดิบทั้งหลายครับ โดยไลน์ที่ว่านี้คือไลน์บุฟเฟ่ต์มื้อเย็นของห้องอาหาร Atrium (เอเทรียม) โรงแรม Landmark Bangkok (แลนด์มาร์ค กรุงเทพ) ครับ
ก่อนอื่นเลยผมขอเล่าให้ฟังถึงภาพรวมของห้องอาหารและราคาอาหารมื้อต่างๆ ก่อนนะครับ โดยห้องอาหาร Atrium นั้นจะตั้งอยู่บริเวณชั้น L ของโรงแรม Landmark ข้างๆ กับ Lobby เลยครับ เรียกว่าเดินเข้าประตูโรงแรมมาแล้วหันไปทางขวามือก็จะเจอห้องอาหารแห่งนี้เลย
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
สำหรับการเดินทางมายังโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ยาก โดยเฉพาะคนที่นั่งรถ BTS มา เพราะโรงแรมแห่งนี้อยู่ห่างจากสถานี BTS นานา เพียงแค่ 50 เมตรเท่านั้น ส่วนคนที่ขับรถมานั้นก็ให้มองป้ายซอยสุขุมวิท 6 เอาไว้ให้ดีๆ ครับ โรงแรมเค้าจะอยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท 4 และสุขุมวิท 6 โดยหากใครที่ขับรถเลยทางเข้าโรงแรมไปก็ไม่ต้องตกใจนะครับ ดูตามแผนที่ได้เลยเดี๋ยวมันจะมีทางวนกลับไปที่หน้าโรงแรมใหม่ได้
ส่วนในเรื่องของที่จอดรถนั้นก็ไม่ต้องกังวลไปนะครับ เพราะที่จอดรถของโรงแรมแห่งนี้ถือว่ามีเยอะใช้ได้เลย ^^
หมายเหตุ : สำหรับคนที่ขับรถมานั้นจะสามารถประทับตราบัตรจอดรถที่ห้องอาหารได้ โดยจะสามารถจอดได้ทั้งหมด 3 ชั่วโมงครับ ทั้งนี้หากใครที่ใช้บริการเกิน 3 ชั่วโมงก็สามารถแจ้งพนักงานที่ห้องอาหารได้เลย เดี๋ยวทางเค้าจะช่วยดูแลเพิ่มเติมให้ครับเอาล่ะ ทีนี้เราไปดูเรื่องไลน์อาหารของห้องอาหาร Atrium กันดีกว่า โดยวันที่ผมไปกินนั้นคือวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 ช่วง 18.00 – 21.30 น. ครับ แต่เนื่องจากว่าในเดือนพฤศจิกายน 2560 นั้น ทางห้องอาหารจะมีการปรับเปลี่ยนราคาอาหารใหม่เล็กน้อย ผมก็เลยขอลงราคาอาหารเป็นราคาใหม่ทั้งหมดเลยนะครับ
ราคาอาหาร (Update เดือนพฤศจิกายน 2560)
มื้อกลางวัน วันจันทร์ วันเสาร์ : ราคา 1,600 บาท/คน net
มื้อกลางวัน วันอาทิตย์ : ราคา 2,700 บาท/คน net
มื้อเย็น วันอาทิตย์ วันพฤหัสบดี : ราคา 2,200 บาท/คน net
มื้อเย็น วันศุกร์ วันเสาร์ : ราคา 2,500 บาท/คน net
โดยราคาดังกล่าวเป็นราคา net แล้วนะครับ และสำหรับมื้ออื่นๆ ที่ไม่ใช่มื้อกลางวันวันอาทิตย์ (Sunday Brunch) จะเป็นราคาที่รวมชา กาแฟ แต่ยังไม่รวมน้ำเปล่าและน้ำอัดลมนะครับ โดยหากใครต้องการทานน้ำเปล่าก็สามารถสั่งได้ในราคา 65 บาท/ขวด หรือไม่ก็สั่งเป็นแบบ Refill น้ำเปล่า + น้ำอัดลม ที่ 150 บาท/คน net ก็ได้ครับ
หมายเหตุ : ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ทางห้องอาหาร Atrium มีการจัดโปรโมชั่นมา 4 จ่าย 2 รวมทั้งมีบัตรเครดิตอีกหลายใบที่มีสิทธิ์พิเศษมา 2 จ่าย 1 อยู่ ซึ่งผมว่าเป็นโปรโมชั่นที่น่าสนใจมากๆ เพราะจะทำให้เราประหยัดเงินลงไปได้ครึ่งนึงของราคาปกติเลยครับทีนี้เราเริ่มไปดูที่ไลน์อาหารกันแบบเจาะลึกกันเลยนะครับ ไลน์แรกที่เราจะเจอหลังจากที่ก้าวเข้าสู่ห้องอาหารก็คือไลน์ Seafood on ice และไลน์อาหารญี่ปุ่นที่ประกอบไปด้วย Blue crab, King crab, Sea snail, Oyster, Black mussel, Newzealand mussel, Red shrimp, แซลมอน, ทูน่า, ปลาหมึกยักษ์, ปูอัด, ซูชิ, ทาโกะยากิ, ซุปแซลมอน และซุปมิโซะครับสำหรับคุณภาพในด้านความสด ความอร่อยของทั้ง Seafood on ice และปลาดิบนั้น ผมจัดให้อยู่ในเกรดดีเยี่ยมเลยครับ เรียกว่าเป็นห้องอาหารที่มีความสดของอาหารประเภทดังกล่าวติดอันดันต้นๆ ของผมกับภรรยาเลย ส่วนซาซิมินั้นก็อยู่ในเกรดที่ดีมากๆ สามารถสู้กับร้านอาหารญี่ปุ่นเฉพาะทางได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยงเลย
ส่วนในเรื่องของน้ำจิ้มซีฟู้ดนั้นก็ทำมาได้ดีแซ่บและเผ็ดใช้ได้ ใครที่ชอบกินซีฟู้ดสดๆ อร่อยๆ น้ำจิ้มแซ่บๆ มาที่นี่น่าจะถูกอกถูกใจครับ ส่วนในเรื่องที่ผมคิดว่าหากทางโรงแรมมีการปรับปรุง 2 จุดนี้ได้จะดีมากๆ ก็คือ เรื่องของการเติมไลน์อาหารSeafood on ice ให้เร็วขึ้นกว่านี้อีกนิด เพราะหลายๆ ช่วงเวลาทางพนักงานก็ใช้เวลาในการเติมนานไปหน่อย ส่วนอีกเรื่องก็คือการเพิ่มน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ไม่เผ็ดมากเท่าไหร่มาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ทานเผ็ดไม่ค่อยได้ครับมาต่อกันที่ไลน์ต่อไปที่เราจะเห็นนั่นก็คือไลน์ของขนมปัง ยำและสลัดครับ โดยที่ไลน์นี้จะมียำที่ดูแล้วหน้าตาน่าทานเยอะแยะมากเลยไม่ว่าจะเป็นแฮมสลัด, ยำส้มโอ, ยำเนื้อแกะ แล้วก็สลัดไส้กรอกเนื้อลูกวัว ส่วนของสลัดและขนมปังนั้นก็ดูน่าทานและมีให้เลือกปลายประเภทเหมือนกัน นอกจากนี้ก็ยังมีชีส, แซลมอนรมควัน, หมูรมควัน, Cold cut ให้ทานอีกด้วยครับ
สำหรับไลน์นี้ผมได้ลองทานแค่ไม่กี่อย่างเอง โดยในความเห็นผมนั้นสิ่งที่โดดเด่นสุดก็คือแซลมอนรมควัน อร่อยถูกปากมาก ส่วนพวกผักต่างๆ นั้นก็สดและคุณภาพดีครับ น้ำสลัดก็มีให้เลือกเยอะตั้งแต่น้ำมันมะกอก, ซอสบัลซามิค, ทาวด์ซั่นไอส์แลนด์, ซีซ่าร์, ซอสญี่ปุ่น, ซอสมาร์ทาร์ แล้วก็ซอสวิเนเกรท ส่วนพวกยำต่างๆ นั้น ผมลองทานไป 2 อย่างได้แก่ยำส้มโอ กับสลัดไส้กรอกเนื้อลูกวัว รสชาติอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ไม่ได้โดดเด่นหรือแซ่บถูกปากถูกใจมากเท่าไหร่ครับ
ต่อกันที่ไลน์ถัดไปซึ่งเป็นอีกหนึ่งไลน์ที่ผมประทับใจมากๆ นั่นก็คือไลน์ Grill Station โดยที่ไลน์นี้จะมีอาหารสดๆ อย่าง กุ้ง, หอยแมลงภู่, ปลาหมึก, ปลากะพงขาว, หอย, ไก่สะเต๊ะ, เนื้อสะเต๊ะ ให้เราสั่ง โดยในการสั่งนั้นเราต้องนำหมายเลขโต๊ะของเรามาให้พนักงานด้วยนะครับ เพราะเมื่ออาหารที่เราสั่งไว้ย่างสุกดีแล้วก็จะมีพนักงานนำไปเสิร์ฟให้เราที่โต๊ะครับ
สำหรับคุณภาพความสดของซีฟู้ดในวันที่ผมไปทานนั้นอยู่ในขั้นดีมากเลยครับ โดยเฉพาะปลาหมึกและหอยแมลงภู่นี่ถูกใจมากเลย ^^
และที่เด็ดสุดๆ จนทำให้ผมประทับใจไลน์นี้ก็คือปูครับ โดยที่ห้องอาหาร Atrium จะมีการนึ่งปูม้า, ปูทะเล และปูไข่คลองโคนให้เราทานกันแบบไม่อั้นเลย ใครที่ชอบทานปูน่าจะถูกอกถูกใจเป็นอย่างมาก เพราะความสดของปูม้าในวันที่ผมไปนั้นอยู่ในระดับดีมากๆ แถมปูยังตัวใหญ่ กล้ามโตอีกด้วยครับ ส่วนใครที่ชอบทานไข่ปูนี่คงจะชอบปูไข่คลองโคนแน่ๆ เพราะมีไข่ปูอัดแน่นมาเยอะมากกกกกก
หมายเหตุ : สำหรับปูไข่คลองโดนนั้น จะมีถึงแค่วันที่ 31 ตุลาคม 2560 เท่านั้น โดยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป ทางห้องอาหารจะมีการปรับเปลี่ยนไลน์อาหารใหม่จากปูไข่คลองโดนเป็นแซลมอนแทน ส่วนปูม้าและปูทะเลนึ่งจะยังมีอยู่ตามเดิมครับ
และนอกจากบรรดาปูนึ่งแล้ว ที่ไลน์นี้ก็ยังมีก๋วยเตี๋ยว, พาสต้า, หอยแมลงภู่อบชีส, เนื้ออบ, Salmon Coulibiac แล้วก็เอียเล้ง คุโรบุตะ อีกด้วยครับ โดยเมนูที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือ Salmon Coulibiac ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ กับพายขนาดใหญ่ที่มีไส้แซลมอนอยู่ตรงกลาง ตัวขนมปังด้านนอกกรอบกำลังดีส่วนไส้แซลมอนนั้นก็อร่อยถูกปาก เคี้ยวง่ายดีครับ
สำหรับเมนูอื่นๆ ที่ผมประทับใจรองๆ ลงมาก็ได้หอยแมลงภู่อบชีส, สปาเกตตี้ แล้วก็ลูกชิ้นของซุ้มก๋วยเตี๋ยวครับ ส่วนเมนูที่ประทับใจน้อยที่สุดก็คือเอียเล้งที่เนื้อยังไม่ค่อยเปื่อยเท่าไหร่ ทำให้กินยากแล้วก็รสชาติยังไม่แซ่บพอครับ
ต่อกันที่ไลน์อาหารไทยครับ นี่เป็นอีกหนึ่งในไลน์อาหารที่ทำให้ผมแปลกใจแล้วก็ประทับใจ เพราะเป็นการนำเอาอาหารไทยหลายๆ อย่างที่เราหาทานได้ยากจากการไปทานอาหารที่อื่นๆ มาใส่ได้อย่างน่าสนใจเลยไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวานหมู, ไส้อั่ว, ยำปลาดุกฟู, สาคูไส้หมู, ข้าวเกรียบปากหม้อ, น้ำพริกลงเรือ, น้ำพริกไตปลา, เกี๊ยวทอด, ผัดปลาหมึก, ทะเลผัดกระเทียม แล้วก็ขนมจีนซาวน้ำ
ในด้านของรสชาตินั้น ผมให้อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ค่อนไปทางดีนะครับ โดยเมนูที่ผมชอบก็ได้แก่ข้าวเกรียบปากหม้อ, สาคูไส้หมู, ไส้อั่ว แล้วก็ทะเลผัดกระเทียมครับ ส่วนเมนูที่ถูกปากน้อยที่สุดก็คือขนมจีนซาวน้ำ แต่อย่างไรก็ตามผมว่าด้วยความน่าสนใจของอาหารในไลน์นี้ก็น่าจะทำให้คนที่พาชาวต่างชาติมาทานอาหารที่นี่ประทับใจกลับไปพอควรเลยครับ
และก็มาถึงไลน์อาหารคาวไลน์สุดท้าย โดยไลน์นี้จะประกอบไปด้วยซุปแล้วก็ของทานเล่นอย่างต้มมะระหมู, ซุปมะเขือเทศ, Black mussel อบ, ผักอบ และไก่เทอริยากิครับ ซึ่งผมขอสารภาพตามตรงนะครับว่าผมไม่ได้ลองทานอะไรในไลน์นี้เลย ดังนั้นก็เลยไม่ขอออกความเห็นในเรื่องของรสชาตินะครับ
ดูไลน์ของคาวกันไปจบแล้ว ทีนี้เรามาเริ่มดูไลน์ของหวานและผลไม้กันดีกว่า โดยไลน์ของหวานและผลไม้นั้นจะถูกแยกออกเป็น 2 ไลน์ย่อยๆ ได้แก่ ไลน์ของพวกเค้ก, ผลไม้แล้วไอศกรีม แล้วก็ไลน์ของหวานที่เป็นสไตล์ไทยครับ
สำหรับไลน์ของพวกเค้ก ผลไม้ และไอศกรีมนั้นหน้าตาดูดี ดูน่าทานมาก โดยเมนูในวันที่ผมไปนั้น ได้แก่ Caramel Custard, Chocolate duo, Hazelnut cake, Peach tart, Pistachio cake, Blueberry cheese cake แล้วก็บานอฟฟี่ครับ โดยรสชาติรวมๆ นั้นอยู่ในเกณฑ์ปานกลางค่อนไปทางดี ยังไม่ถึงกับว้าวมาก ส่วนที่เด่นสุดๆ ก็ในความเห็นผมก็คือบานอฟฟี่ครับ อร่อย หวานกำลังดี สามารถทานได้เรื่อยๆ ไม่เลี่ยนเลย
ในส่วนของผลไม้แล้วก็ไอศกรีมนั้นก็ถือว่ามีให้เลือกทานเยอะเหมือนกันครับ โดยผลไม้จะมีแก้วมังกร, แคนตาลูป, แตงโม, ฝรั่งแล้วก็สับปะรด การปอกและการจัดเรียง รวมทั้งรสชาติอยู่ในเกณฑ์ดี มองเห็นแล้วก็อยากหยิบมาทานครับ
ส่วนไอศกรีมมีให้เลือก 3 รส ได้แก่วานิลลา, ราสเบอร์รี่ แล้วก็ชาเขียว ในเรื่องของรสชาตินั้นถือว่าดีครับ โดยเฉพาะราสเบอร์รี่นั้นจะมีเม็ดช็อคโกแลตกลมๆ ผสมด้วย กินแล้วกรุบกรอบดี แต่สิ่งที่ผมอยากให้ปรับปรุงก็คือเรื่องของความเย็น เพราะว่าเนื้อไอศกรีมค่อนข้างเหลวมาก ทำให้เวลาตักนั้นยากไปหน่อยแถมดูไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ครับ
และก็ถึงเวลาปิดท้ายอาหารมื้อนี้กันที่ไลน์ของหวานสไตล์ไทยครับ ที่ไลน์นี้จะประกอบไปด้วยของหวานและขนมหวานไทยๆ อย่างทองหยิบ, หองหยอด, ลูกชุบ, กล้วยไข่เชื่อม, ข้าวเหนียวถั่วดำ, สาคูแคนตาลูป, เฉาก๊วย, ลอดช่อง, ทับทิบกรอบ, สลิ่ม แล้วก็ลูกชิดครับ
เอาเป็นว่าใครที่ชอบของหวาน ขนมหวานสไตล์นี้คงถูกใจมาก แต่สำหรับผมหลังจากที่ได้ลองชิมแล้ว ผมเลือกที่จะเก็บท้องไว้กินซีฟู้ดต่อดีกว่า เพราะแม้รสชาติของหวานต่างๆ ของห้องอาหารแห่งนี้จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ด้วยความสด ความอร่อยของซีฟู้ดที่นี่มันเด่นกว่ามาก ดังนั้นผมกับภรรยาก็เลยขอเอากระเพาะที่มีจำกัดไปเน้นไปที่ซีฟู้ดแทนครับ ><
เอาล่ะครับ หลังจากอ่านกันมายาวนาน ตอนนี้เราก็มาถึงบทสรุปของการรีวิวห้องอาหาร Atrium โรงแรม Landmark Bangkok กันแล้ว เดี๋ยวเรามาไล่กันไปทีละเรื่องตามเดิมเลยแล้วกันนะครับ
วันที่รับประทาน : วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560
ช่วงเวลา : 18.00 – 21.30 น.
จำนวน : 2 คน
รสชาติอาหาร : รสชาติอาหารส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะอาหารซีฟู้ด อร่อย สด และถูกปากผมกับภรรยามากๆ โดยเราสองคนยกให้เป็นไลน์บุฟเฟ่ต์ที่มีความสดอร่อยของอาหารประเภทนี้ติดอันดับต้นๆ ของเราเลยครับ ส่วนไลน์อาหารอื่นๆ ที่ประทับใจไม่แพ้กันก็คือปลาดิบที่มีคุณภาพดีกว่าหลายๆ ที่เลย นอกจากนี้ไลน์อาหารอื่นๆ ก็อยู่เกณฑ์มาตรฐานค่อนไปทางดี มีถูกปากมากๆ บ้าง ไม่ถูกปากบ้างครับ
ความหลากหลายของอาหาร : ถือว่าเป็นไลน์อาหารที่มีความหลากหลายของเมนูที่ดีเลยครับ แต่อาจจะเน้นหนักไปทางอาหารไทยมากซักหน่อย ซึ่งมองอีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นจุดเด่นของไลน์อาหารที่นี่เลยเพราะอาหารไทยหลายๆ อย่าง เช่น ไส้อั่ว, ข้าวเกรียบปากหม้อ, สาคูไส้หมู, น้ำพริก และขนมจีนซาวน้ำ ก็เป็นอาหารที่แทบจะหาทานจากไลน์อาหารอื่นได้ยากมากครับ
ความสะอาดของร้าน : สอบผ่านสบายๆ ครับ รวมไปถึงเรื่องพื้นที่ของห้องอาหารด้วย เพราะห้องอาหารแห่งนี้เป็นห้องอาหารที่ใหญ่ เพดานสูง โต๊ะกว้าง และมีจำนวนโต๊ะที่สามารถรองรับได้ประมาณ 150-180 คนเลยครับ
การบริการของพนักงาน : เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำได้ดีเช่นเดียวกันครับ เวลาเรียกให้เติมเครื่องดื่มก็มาอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะวันที่ผมไปนั้นมีแขกไม่มากด้วย โดยน่าจะมีคนใช้บริการประมาณ 40-50% ของห้องอาหารครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : เป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่เดินทางด้วยรถ BTS สะดวก เพราะอยู่ห่างจากสถานี BTS นานา เพียงแค่ 50 เมตรเท่านั้น และเมื่อเดินเข้าโรงแรมก็จะเจอห้องอาหารที่อยู่ชั้นล่างเลย ถือว่าสะดวกมาก ส่วนคนที่ขับรถมานั้นแม้โรงแรมจะหาไม่ยาก มองเห็นได้ชัดเจน และมีที่จอดรถเยอะพอควร แต่ด้วยความที่โรงแรมตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทช่วงต้นๆ ซึ่งเป็นช่วงที่รถติดสาหัสเอามากๆ โดยเฉพาะช่วงเย็นของวันทำงาน ดังนั้นใครที่เลือกขับรถไปก็ต้องทำใจในการเดินทางนิดนึงนะครับ
ความคุ้มค่า : แม้อาหารจะสดหรือคุณภาพดีมากในหลายๆ รายการ แต่เมื่อเทียบกับราคาเต็มของการทานอาหารมื้อเย็นวันอาทิตย์ – วันพฤหัสบดี ที่ 2,200 บาท/คน net (รวมชา กาแฟ แต่ยังไม่รวมน้ำเปล่าและน้ำอัดลม) ผมก็ยังมองว่าราคาสูงไปหน่อยครับ แต่ถ้ามองใหม่ว่านี่คือการไปกินโดยการใช้โปรโมชั่น มา 2 จ่าย 1 (โปรโมชั่นบัตรเครดิต) หรือโปรมา 4 จ่าย 2 (โปรโมชั่นของโรงแรม) ก็จะทำให้ราคาโดยเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 1,100 บาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจมาก และตัวผมเองก็มองว่าหากทางโรงแรมยังมีโปรโมชั่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมคงจะหาโอกาสกลับไปกินซ้ำอีกรอบแน่ๆ ครับ เพราะประทับใจในความสดอร่อยของซีฟู้ดที่นี่มากเลย
สรุป : ห้องอาหาร Atrium โรงแรม Landmark Bangkok ถือเป็นอีกหนึ่งห้องอาหารที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชอบทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในโรงแรม โดยเฉพาะคนที่ชอบทานซีฟู้ดและปลาดิบ นอกจากนี้ยังมีไลน์อาหารที่น่าสนใจอย่างอาหารไทยและขนมหวานไทยๆ อีกด้วย ดังนั้นใครที่ชอบกินอาหารประเภทนี้หรือต้องการพาชาวต่างลิ้มรสอาหารไทยหลายๆ อย่างในบรรยากาศโรงแรม นี่ถือเป็นห้องอาหารที่เหมาะสมแห่งนึงเลยครับ ทั้งนี้ในเรื่องของราคานั้นหากเป็นราคาเต็มๆ นั้นอาจจะดูสูงไปนิดนึง แต่ถ้าเจอโปรโมชั่นที่ลดถึง 50% แบบที่มีอยู่ตอนนี้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งไลน์อาหารที่ดีมาก น่าไปทานเลยครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ สำหรับใครที่อยากจะอ่านรีวิวของห้องอาหารนี้เพิ่มเติมอีก ก็สามารถกดที่นี่เพื่อไปอ่านต่อได้เลยครับ ผมมีเขียนอีกรีวิวนึงไว้ตอนที่ได้มีโอกาสไปทานตอน Boston Lobster Theme ครับ ส่วนใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมและต๋งแบบใกล้ชิด ก็สามารถติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลย และหากใครที่ต้องการจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับห้องอาหารแห่งนี้ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่อได้ที่ช่องทางด้านล่างได้เลยครับ
Fanpage : The Landmark Hotel Bangkok
Tel : 02-2540404
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป