สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผม นาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะพาทุกคนกลับไปยังห้องอาหารแห่งนึงที่ผมเคยรีวิวมาแล้วเมื่อประมาณ 6-7 เดือนก่อน และเป็นหนึ่งในห้องอาหารที่ผมมีการกลับไปรับประทานบ่อยครั้งห้องนึงเลย เพราะโดยส่วนตัวแล้วผมชื่นชอบในคุณภาพอาหารของที่นี่มาก โดยเฉพาะอาหารซีฟู้ดครับ และห้องอาหารที่ว่านั้นก็คือห้องอาหาร Atrium (เอเทรียม) โรงแรม Landmark Bangkok (แลนด์มาร์ค กรุงเทพ) นั่นเองครับ
ใครที่ยังไม่เคยอ่านรีวิวฉบับก่อนของผม สามารถกดเข้าไปอ่านที่นี่ได้เลยครับ เพราะข้อมูลหลายๆ อย่างในนั้นน่าจะช่วยให้หลายคนได้เห็นภาพของห้องอาหารแห่งนี้ชัดมากขึ้นครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่าห้องอาหารแห่งนี้อยู่ตรงไหนก็สามารถดูแผนที่ด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ โรงแรม Landmark Bangkok นั้นจะอยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท 4 และสุขุมวิท 6 คนที่ขับรถมาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะโรงแรมอยู่ติดถนนสุขุมวิทเลย สามารถมองเห็นได้ชัดเจนมาก ส่วนคนที่ใช้บริการ BTS ก็ถือว่าสะดวกสบายในการเดินทางพอควรเลยครับ เพราะโรงแรม Landmark Bangkok จะอยู่ห่างจากสถานี BTS นานา ประมาณ 50-60 เมตรเท่านั้น
เมื่อเรามาถึงโรงแรมแล้วก็ให้เราไปที่ชั้น L ได้เลยครับ ห้องอาหาร Atrium จะอยู่ที่ชั้นนี้ โดยจะอยู่ข้างๆ กับ Lobby เลย ส่วนราคาของการไปทานอาหารที่นี่ก็ตามนี้เลยครับ
มื้อกลางวัน วันจันทร์ – วันเสาร์ : ราคา 1,600 บาท/คน net
มื้อกลางวัน วันอาทิตย์ : ราคา 2,700 บาท/คน net
มื้อเย็น วันอาทิตย์ – วันพฤหัสบดี : ราคา 2,200 บาท/คน net
มื้อเย็น วันศุกร์ – วันเสาร์ : ราคา 2,500 บาท/คน net
ส่วนราคาเด็กนั้นจะแบ่งเป็น 2 แบบดังนี้ คือ เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ไม่คิดค่าอาหาร และเด็กอายุ 6-12 ปี คิดค่าอาหาร 50% โดยราคาดังกล่าวเป็นราคาที่ net แล้ว และสำหรับมื้ออื่นๆ ที่ไม่ใช่มื้อกลางวันวันอาทิตย์ (Sunday Brunch) จะเป็นราคาที่รวมชา กาแฟ แต่ยังไม่รวมน้ำเปล่าและน้ำอัดลมครับ ซึ่งหากใครที่ต้องการทานน้ำเปล่าก็สามารถสั่งทานได้ในราคา 65 บาท/ขวด หรือไม่ก็สั่งเป็นแบบ Refill น้ำเปล่า + น้ำอัดลม ได้ที่ 150 บาท/คน net ครับ
หมายเหตุ : โดยปกติแล้วทางห้องอาหาร Atrium มักจะมีการจัดโปรโมชั่นมา 4 จ่าย 2 อยู่เป็นประจำ รวมทั้งมีโปรโมชั่นที่ร่วมบัตรเครดิตอีกหลายใบที่มีสิทธิ์พิเศษมา 2 จ่าย 1 อยู่ ใครที่สนใจก็ลองสอบถามเรื่องโปรโมชั่นและสำรองที่นั่งได้ที่ 02-2540404 นะครับ ผมว่าเป็นโปรโมชั่นที่น่าสนใจมากๆ เพราะจะทำให้เราประหยัดเงินลงไปได้ครึ่งนึงของราคาปกติเลย
สำหรับครั้งที่แล้วที่ผมได้มาทานอาหารที่นี่และเขียนรีวิวไว้นั้นจะเป็นช่วงเทศกาลปูไข่คลองโคน ซึ่งถือว่าเป็นเทศกาลที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจากผู้ที่ไปใช้บริการ และผมได้ยินแว่วๆ มาว่าเดี๋ยวอีกกี่เดือนข้างหน้าเทศกาลนี้จะกลับมาอีกครั้งครับ ใครที่สนใจก็เตรียมตัวเก็บเงินไว้รอได้เลย ส่วนใครที่เป็นคนชอบกินล็อปสเตอร์และก็อยากหา Seafood on ice สดๆ อร่อยๆ กินในช่วงนี้ ก็สามารถไปใช้บริการในระหว่างวันที่ 1 พ.ค. – 30 มิ.ย. 61 ได้เลยครับ เพราะช่วงนี้ทางห้องอาหาร Atrium เค้าจะเป็นธีม Boston Lobster ที่จะมีล็อบสเตอร์ให้เราทานกันไม่อั้นเลย!!
ส่วนจากประสบการณ์ที่ผมเคยไปทานอาหารที่ห้องอาหารแห่งนี้ทั้งในวันพุธและวันเสาร์ซึ่งมีราคาต่างกันประมาณ 300 บาทนั้น ผมว่าสิ่งที่ต่างกันแบบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือช็อคโกแลตฟองดูและของอีก 2-3 รายการ เช่น เนื้ออบ, ขาแกะอบ ส่วนรายการอื่นๆ นั้นเรียกว่าเหมือนกันหมดเลยทั้งหน้าตาและคุณภาพ ดังนั้นสำหรับใครที่ไม่ได้อยากจะ 2-3 เมนูนี้เป็นพิเศษ ผมแนะนำว่าให้ไปกินคืนวันอาทิตย์ – วันพฤหัสจะดีกว่าครับ เพราะสามารถประหยัดเงินไปได้ถึง 300 บาทเลย
เอาล่ะ ทีนี้เราเริ่มไปดูไลน์อาหารของที่นี่กันแบบเจาะลึกกันเลยดีกว่า โดยไลน์อาหารของที่นี่จะแบ่งออกเป็นหมวดต่างๆ ตามนี้
-
Seafood on ice
-
อาหารญี่ปุ่น
-
Grill Station
-
Cold Cuts
-
ขนมปังและชีส
-
สลัดและยำต่างๆ
-
อาหารไทย
-
อาหารอื่นๆ
-
ของหวานและผลไม้
อันดับแรก ผมขอเริ่มที่ “Seafood on ice” เลยนะครับ ในหมวดนี้จะประกอบไปด้วยอาหารทะเลต่างๆ มากมาย เช่น ล็อบสเตอร์, กุ้ง, ปู, หอยนางรม, หอยแมลงภู่, Sea snail และ Black mussel คุณภาพอาหารต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดี สด อร่อย เนื้อเด้ง ส่วนน้ำจิ้มซีฟู้ดนั้นก็อร่อยถูกปากผมกับต๋งเหมือนเดิมครับ
หมายเหตุ : สำหรับอาหารที่จัดมาสวยๆ ในแต่ละจานนั้น ทางห้องอาหารจัดมาให้เป็นกรณีพิเศษสำหรับการถ่ายรูปครับ แต่ในเรื่องของคุณภาพนั้นก็เหมือนกับอาหารที่อยู่ในไลน์บุฟเฟ่ต์เหมือนที่คนอื่นๆ ทาน
มาสู่หมวดที่สอง “อาหารญี่ปุ่น” ที่หมวดนี้จะประกอบไปด้วยซูชิ, ซาชิมิ, ทาโกะยากิ, ซุปแซลมอน และซุปมิโซะ โดยในส่วนของซาชิมินั้นจะมีทั้งแซลมอน, ทูน่า, ปลาหมึกยักษ์, ปูอัด และไข่หวานครับ ซึ่งคุณภาพของอาหารในหมวดนี้ก็ยังคงทำให้ผมกับต๋งประทับใจเหมือนเดิม โดยผมคิดว่าคุณภาพของซาซิมินั้นนั้นถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับไลน์บุฟเฟ่ต์หลายๆ ที่ และสามารถสู้กับร้านอาหารญี่ปุ่นเฉพาะทางได้อย่างสูสีเลยครับ
ต่อกันที่หมวดถัดไปซึ่งเป็นอีกหนึ่งหมวดที่ผมประทับใจมากๆ นั่นก็คือ “Grill Station” โดยที่หมวดนี้จะมีอาหารสดๆ อย่าง กุ้งแม่น้ำ, หอยแมลงภู่, ปลาหมึก, หอย, ไก่สะเต๊ะ และแซลมอนให้เราสั่ง โดยในการสั่งนั้นเราต้องนำหมายเลขโต๊ะของเรามาให้พนักงาน และเมื่ออาหารที่เราสั่งไว้ย่างสุกดีแล้วก็จะมีพนักงานนำไปเสิร์ฟให้เราที่โต๊ะครับ
สำหรับคุณภาพและความสดของวันที่ผมไปทานนั้นอยู่ในขั้นที่ดีมากเลยครับ โดยเฉพาะกุ้งแม่น้ำนี่เป็นอะไรที่ถูกใจมาก เพราะนอกจากจะสดและตัวใหญ่แล้ว ทางห้องอาหารยังมีการผ่าครึ่งให้ด้วย ทำให้ทานง่ายมาก โดยในเรื่องการผ่าครึ่งนี้ผมต้องบอกให้ทราบก่อนนะครับว่า เท่าที่ผมเดินไปสั่งมาทานหลายรอบนั้นทางห้องอาหารจะผ่าให้หมดทุกรอบ แต่ในเรื่องของความสวยงามนั้นจะไม่สู้กับจานแรกที่ผมได้มาถ่ายรูปครับ ซึ่งเรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเพราะมีคนไปใช้บริการและสั่งอาหารที่สเตชั่นนี้เยอะมากตั้งแต่ห้องอาหารเปิดจนถึงห้องอาหารปิดเลย เรียกว่าเป็นสเตชั่นที่ได้รับความนิยมจริงๆ ดังนั้นในเรื่องของความเนี้ยบนั้นก็เลยอาจจะไม่ได้เท่ากับแบบที่จานแรกของผมได้ครับ
สำหรับใครที่ชอบทานปลาหมึกกับแซลมอนนั้น ผมแนะนำว่าไม่ควรพลาดที่จะสั่งสองเมนูนี้มาลองทานนะครับ ความสดอร่อยนั้นดีมาก และในส่วนของแซลมอนนั้นจะออกมันๆ หน่อยนะครับ ใครที่ชอบทานสไตล์นี้ผมบอกเลยว่าฟินมาก
นอกจากนี้ที่หมวดนี้ก็ยังมีปูนึ่งให้เราสั่งอีกด้วยครับ ใครที่ชอบทานปูน่าจะถูกใจไปตามๆ กัน เพราะแม้ขนาดของปูจะอยู่ในระดับกลางๆ แต่ความสดนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยครับ
เข้าสู่หมวดที่สี่ “Cold Cuts“ ที่หมวดนี้จะมีอาหารประเภท Cold Cuts ให้เราทานอยู่ 4-5 อย่าง เช่น พาร์มาแฮม, หมูแฮมแบล็คฟอร์เรสต์, แฮมเชอราโน่ ซึ่งคุณภาพและรสชาติของของเหล่านี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยครับ
หมวดถัดไปก็คือ “ขนมปังและชีส” หมวดนี้จะวางอยู่ที่เดียวกับพวก Cold Cuts เลยครับ ความหลากหลายของขนมปังและชีสไม่ได้มีเยอะซักเท่าไหร่ เพราะมีชีสให้เลือกทานแค่ 2-3 แบบเอง ใครที่ชอบทานชีสก็คงจะไม่ค่อยโดนใจ แต่ผมกับต๋งเป็นคนที่ไม่ชอบทานชีสที่อยู่ในรูปแบบนี้อยู่แล้วครับ ก็เลยไม่ได้ติดใจอะไรอะไรมาก ส่วนคุณภาพของขนมปังนั้น รอบนี้ผมไม่ได้ลองชิมเลย แต่จากเท่าที่เคยชิมในรอบอื่นๆ ที่ผ่านก็ถือว่ารสชาติดีใช้ได้เลย และคิดว่าคุณภาพน่าจะไม่ต่างจากเดิม เพราะด้วยความที่โต๊ะของผมอยู่ใกล้กับอาหารหมวดนี้มากก็เลยพอจะสังเกตุเห็นว่ามีหลายๆ คนที่เดินมาหยิบซ้ำหลายรอบ ดังนั้นน่าจะเป็นการการันตีได้อย่างนึงเลยว่าคุณภาพของเค้านั้นใช้ได้เลย
อ้อ ในส่วนของเนยนั้น เค้าจะมีทั้งเนยจืด, เนบเค็ม และมาการีนให้เราเลือกนะครับ ก็ถือว่ามีให้ครบถ้วนเลย
ต่อกันที่หมวดที่หก “สลัดและยำต่างๆ” ที่หมวดนี้จะอยู่บริเวณกลางๆ ห้องอาหารเลย ประเภทของผักและคุณภาพของผักนั้นดีเลยครับ มีน้ำสลัดให้เลือกทานเยอะด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำสลัดญี่ปุ่น, น้ำสลัดเฟรนช์, น้ำสลัดซีซาร์, ทาวด์ซั่นไอส์แลนด์, ซอสมาร์ทาร์ แล้วก็ซอสวิเนเกรทครับ
นอกจากนี้ที่หมวดนี้ก็ยังมีบรรดาของทางเล่นอย่างยำต่างๆ รวมไปถึงแซลมอนรมควันให้ทานด้วย โดยยำนั้นมีให้เลือกทานถึง 5-6 อย่างเลย แต่ผมกับต๋งไม่ได้ลองทานซักอย่างนะครับ T_T เราลองทานแค่พวกแซลมอนรมควันของเค้าเท่านั้น ซึ่งรสชาติดีเลยครับ ใครที่ชอบทานแซลมอนรมควันอย่าลืมมาตักไปชิมนะครับ น่าจะถูกปากถูกใจกันพอควร
ต่อกันที่หมวด “อาหารไทย” หมวดนี้จะเป็นหมวดที่มีการเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารในแต่ละวันไปเรื่อยๆ โดยในเรื่องของรสชาติอาหารในหมวดนี้นั้นผมให้อยู่ในเกณฑ์กลางๆ นะครับ เพราะรสชาติอาหารส่วนใหญ่จะไม่ได้จัดจ้านหรือเผ็ดมาก ดังนั้นก็เลยอาจจะไม่ถูกปากผมกับต๋งเท่าไหร่ แต่ผมคิดว่าหากใครที่พาชาวต่างชาติมาด้วย เค้าน่าจะชอบกันพอควร เพราะเมนูอาหารหลายๆ อย่างก็หาทานข้างนอกได้ยาก รวมทั้งในเรื่องของวัตถุดิบและความสะอาดนั้น การทานอาหารในโรงแรมแบบนี้ก็ย่อมดีกว่าหลายๆ ร้านอยู่แล้วครับ
ส่วนนี่เป็นเมนูกุ้งทอดกระเทียมกับเมนูปูผัดพริกไทดำ ซึ่งจะเป็นเมนูที่จะหมุนเวียนอยู่ในไลน์อาหารไทยในช่วงนี้ เพียงแต่ว่าวันที่ผมไปนั้นในไลน์อาหารไม่ได้มีสองเมนูนี้อยู่ ดังนั้นทางห้องอาหารก็เลยทำมาให้ผมกับต๋งลองชิมเป็นกรณีพิเศษครับ ซึ่งจากที่ผมได้ลองชิมผมชอบในรสชาติของกุ้งทอดกระเทียมนะครับ กุ้งตัวใหญ่ สด และทานง่ายดี ส่วนเมนูปูผัดพริกไทดำนั้นทางห้องอาหารยังไม่ได้มีการหนีบปูมาก่อนก็เลยทำให้กินค่อนข้างยากพอควร และเมื่อเทียบเวลาที่เสียไปกับปริมาณเนื้อที่ได้แล้ว ผมคิดว่าผมเลือกไปกินปูใน Seafood on ice ดีกว่าครับ ><
และตอนนี้เราก็มาถึงอาหารคาวหมวดสุดท้าย “อาหารอื่นๆ” อาหารในหมวดนี้จะมีให้เราทานเยอะมากครับ และจะอยู่กระจัดกระจายไปตามโซนต่างๆ โดยในวันที่ผมไปนั้นจะมีให้เลือกทานทั้งพาสต้า, ส้มตำ, ข้าวเหนียวหมูปิ้ง, ต้มยำกุ้ง, ซุปมะเขือเทศ, ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ, กั้ง, ปลากะพง, เนื้ออบออสเตรเลีย Prime Rib และขาแกะอบ
ในเรื่องของรสชาตินั้น เมนูที่ผมประทับใจเป็นพิเศษและไม่อยากให้ทุกคนพลาดก็คือ สปาเกตตี้คาโบนาร่าครับ ผมว่าทางเชฟปรุงมาได้ดีมาก มัน เข้มข้น อร่อยถูกปากสุดๆ แถมขนาดจานก็ไม่ใหญ่เกินไปด้วย สั่งมาช่วยทาน 2 คนกำลังดี ส่วนเมนูอื่นๆ ที่ผมได้ลองนั้น ผมว่าข้าวเหนียวหมูปิ้งทำมาได้ดี ข้าวเหนียวหุงมานิ่ม ไม่ติดมือ แถมปริมาณยังน้อยไม่ตัดกำลังอีกด้วย ส่วนส้มตำกับต้มยำกุ้งนั้นรสชาติอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้เผ็ดหรือแซ่บถึงใจนัก ซึ่งผมคิดว่าทางห้องอาหารเค้าน่าจะทำรสชาติกลางๆ เพื่อให้คนหลายๆ กลุ่มสามารถทานกันได้ครับ ดังนั้นความแซ่บ ความถึงใจก็เลยยังไม่สุดเท่าไหร่
ในส่วนของเนื้ออบออสเตรเลีย Prime Rib กับขาแกะอบในวันนี้นั้น ผมว่ารสชาติกลางๆ ครับ ยังไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่ จำได้ว่าผมเคยมาทานก่อนหน้านี้แล้วรู้สึกประทับใจมากกว่านี้ครับ ยังไงใครที่ได้มีโอกาสไปทานอาหารที่นี่ตอนไปตักรอบแรกก็ขอเค้าแค่ชิ้นเล็กๆ มาลองทานก่อนนะครับ ถ้าถูกใจค่อยไปขอชิ้นใหญ่เพิ่มทีหลังจะดีกว่าครับ
ดูไลน์ของคาวกันไปจบแล้ว ทีนี้เราไปดูไลน์ของหวานกันดีกว่า โดยไลน์ของหวานของที่นี่จะมีทั้งผลไม้, ไอศกรีม แล้วก็พวกเค้กต่างๆ นอกจากนี้ในช่วงที่ผมไปนั้นเค้าก็ยังมีเมนูของหวานพิเศษอย่างข้าวเหนียวมะม่วงกับข้าวเหนียวทุเรียนอีกด้วย ซึ่งสองอย่างหลังนี่เป็นอะไรที่ผมประทับใจในรสชาติมากครับ อร่อยถูกปากทั้งคู่เลย มะม่วงน้ำดอกไม้หวานอร่อยกำลังดี ส่วนข้าวเหนียวทุเรียนนั้นก็อร่อยโดนใจต๋งมาก มากจนเธอกินไปถึง 3 ถ้วยด้วยกัน ><
อ้อ แต่ข้าวเหนียวทุเรียนนี่ผมต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่าโดยปกติแล้วเค้าจะตักทุเรียนให้ค่อนข้างน้อย ซึ่งหากใครที่คิดว่ามันไม่พอดีกับปริมาณของข้าวเหนียว ก็สามารถแจ้งทางพนักงานให้เค้าตักทุเรียนเพิ่มได้นะครับ จะได้ทานแล้วพอดีกันทั้งข้าวเหนียวและทุเรียน
ส่วนไลน์ของหวานอื่นๆ ก็จะมีทั้งของหวานสไตล์ไทยและของหวานสไตล์ฝรั่ง รสชาติรวมๆ ของของหวานสไตล์ไทยอย่างเช่น ฟังทองแกงบวด, กล้วยไข่เชื่อม, สาคูแคนตาลูป, ทองหยิบ, ทองหยอดนั้น ผมว่าเค้าทำได้ดีเลยนะครับ อร่อยถูกปากหลายรายการเลย ส่วนของหวานสไตล์ฝรั่งอันนี้ผมให้กลางๆ แล้วกันครับ ยังไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่ ยกเว้นท็อฟฟี่เค้กกับชูโรสที่ผมว่าเค้าทำออกมาได้ดี รสชาติถูกปากผมกว่าเมนูอื่นๆ ครับ
ในส่วนของไอศกรีมนั้น วันที่ผมไปมีทั้งหมด 5-6 รสด้วยกัน โดยเค้าจะหมุนเวียนรสใหม่ออกมาเรื่อยๆ เมื่อรสเดิมใกล้หมด ซึ่งผมว่ารสชาติของไอศกรีมโอเคเลยนะครับ แต่จุดด้อยของไอศกรีมที่นี่ก็คือค่อนข้างที่จะเหลวง่ายไปหน่อย ดังนั้นใครที่อยากจะทานไอศกรีมที่เนื้อแน่นๆ ก็ควรรีบไปตักตั้งแต่เนิ่นๆ นะครับ เพราะห้องอาหารแห่งนี้เค้าไม่มีตู้แช่ไอศกรีม หากเราไปตักช้าหน่อยมันจะเริ่มละลายครับ
เอาล่ะครับ หลังจากที่อ่านกันมายาวนาน ตอนนี้เราก็มาถึงบทสรุปของการรีวิวห้องอาหาร Atrium โรงแรม Landmark Bangkok ในธีม Boston Lobster กันแล้ว เดี๋ยวในช่วงสุดท้ายนี้ผมจะมาไล่สรุปในแต่ละหัวข้อเพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นครับ
วันที่รับประทาน : วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2561
ช่วงเวลา : 18.00 – 21.30 น.
จำนวน : 2 คน
รสชาติอาหาร : รสชาติอาหารส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะอาหารซีฟู้ดกับอาหารญี่ปุ่นครับ และต้องบอกว่านี่เป็นการมาทานอาหารที่ห้องอาหารนี้เป็นครั้งที่ 3 ของผมกับต๋งแล้ว ซึ่งเราทั้งสองคนเห็นตรงกันว่าทางห้องอาหารเค้ายังสามารถรักษาคุณภาพโดยรวมๆ ของอาหารไว้ได้เป็นอย่างดี ใครที่ชอบทาน Seafood on ice, ซาชิมิ และกุ้งแม้น้ำเผา ผมว่ามาที่นี่ไม่น่าจะผิดหวังครับ ส่วนเมนูอื่นๆ ก็มีปะปนกันไปรสชาติถูกปากมากบ้าง น้อยบ้าง อันนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าไลน์อาหารตั้งเยอะแยะจะทำให้ถูกปากเราคนเดียวทุกเมนูก็คงจะเป็นไปได้ยากครับ
ความหลากหลายของอาหาร : เป็นไลน์อาหารที่มีความหลากหลายของเมนูที่ดีเลยครับ โดยเฉพาะอาหารไทยที่มีให้เลือกทานหลายอย่างมากเมื่อเทียบกับหลายๆ ที่ ดังนั้นใครที่มาทานอาหารที่นี่เป็นกลุ่มใหญ่ ก็ไม่น่าจะมีประเด็นในเรื่องของประเภทอาหารครับ
ความสะอาดและบรรยากาศของร้าน : ไม่มีปัญหาอะไรในข้อนี้ครับ ความสะอาดดี บรรยากาศและพื้นที่ห้องอาหารดี เพดานสูงโปร่ง และมีด้านนึงเป็นกระจกใสขนาดใหญ่ ดังนั้นก็เลยทำให้เราสามารถนั่งทานอาหารได้อย่างไม่อึดอัด
การบริการของพนักงาน : การบริการต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ ทั้งการเติมน้ำ, เสิร์ฟอาหาร รวมไปถึงการเก็บจาน โดยในวันที่ผมไปใช้บริการนั้น น่าจะมีคนมาใช้บริการประมาณ 60% ของห้องอาหารได้ ซึ่งดูจากการบริการที่ผมได้รับก็ถือว่าโอเคเลยครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : เป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่เดินทางด้วยรถ BTS สะดวก เพราะอยู่ห่างจากสถานี BTS นานา ประมาณ 50 เมตรเท่านั้น และเมื่อเราเดินเข้าโรงแรมก็จะเจอห้องอาหารที่อยู่ชั้นเดียวกับล็อบบี้เลย ส่วนใครที่ขับรถมาที่โรงแรมเองนั้นก็ไม่น่ามีประเด็นอะไร เพราะโรงแรม Landmark Bangkok นั้นอยู่ติดกับถนนสุขุมวิทเลยครับ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน รวมถึงที่จอดรถก็มีปริมาณที่เยอะใช้ได้เลย ผมมาที่นี่เกือบ 10 ที ยังไม่เคยเจอปัญหาเรื่องที่จอดรถไม่พอเลยครับ
ความคุ้มค่า : กับราคาอาหารประมาณ 2,200 บาท – 2,500 บาท/คน น่าจะทำให้หลายคนลังเลถึงความคุ้มค่ามากพอควร ซึ่งผมก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยครับว่าหากใครที่ไปทานด้วยราคาเต็มนั้นก็ดูจะเป็นราคาที่สูงไปซักหน่อย แต่ถ้าใครที่ไปทานด้วยโปรโมชั่นต่างๆ เช่น มา 2 จ่าย 1 (โปรโมชั่นบัตรเครดิต) หรือโปรมา 4 จ่าย 2 (โปรโมชั่นของโรงแรม) ก็จะทำให้ราคาโดยเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 1,100 – 1,250 บาท/คนเท่านั้น (ราคายังไม่รวมเครื่องดื่ม) ซึ่งผมว่ามันเป็นราคาที่น่าสนใจและคุ้มมากนะครับ เพราะในระดับราคาประมาณนี้ ที่ห้องอาหารนี้มีคุณภาพของอาหารซีฟู้ดรวมไปถึงอาหารอีกหลายๆ รายการที่ดีมากๆ เลยครับ
สรุป : ห้องอาหาร Atrium โรงแรม Landmark Bangkok ถือเป็นอีกหนึ่งห้องอาหารที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชอบทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในโรงแรม โดยเน้นที่ความสะดวกในการเดินทาง, ความหลากหลายของอาหาร และคุณภาพของอาหารประเภทซีฟู้ดและปลาดิบเป็นหลัก รวมไปถึงคนที่ชอบทานอาหารไทยทั้งคาวหวาน เพราะที่นี่มีอาหารเหล่านี้ให้เลือกทานหลายอย่างมากครับ โดยใครที่สนใจจะไปทานอาหารที่นี่ ผมแนะนำให้โทรไปสอบถามในเรื่องโปรโมชั่นกับทางห้องอาหารก่อนทุกครั้ง เพราะถ้าคุณได้โปรโมชั่นดีๆ ที่ลดราคาได้ถึง 50% มันจะเป็นอะไรที่ทำให้คุณทานอาหารมื้อนั้นได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้นครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ สำหรับใครที่อยากจะดูคลิปบรรยากาศการทานอาหารของผมในวันนี้ก็สามารถกดดูได้ที่คลิปด้านล่างได้เลยครับ และหากใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิด ก็สามารถติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลย ส่วนใครที่อยากจะสอบถามข้อมูลห้องอาหารแห่งนี้เพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่อที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
Tel : 02-2540404
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้