การที่ผมได้มีโอกาสไปทานอาหาร Fine Dining Course ที่ร้าน Potong Restaurant (โพทง เรสเตอรองต์) นั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในมื้ออาหารที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลยครับ มันคุ้มค่าและได้รับประสบการณ์ดีๆ เยอะมาก มันเด็ดดวงครบเครื่องจริงๆ ตั้งแต่สถานที่, บรรยากาศ, เรื่องราวความเป็นมา, วัตถุดิบ, การจัดจาน, รูปร่างของจาน, รสชาติอาหาร จนไปถึงการบริการของพนักงานเลยครับ

และผมขอบอกตรงนี้เลยว่าตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงที่ผมได้ดื่มด่ำกับอาหารต่างๆ ทั้ง 20 คอร์สนี้ มันทำให้ผมรู้สึกประทับใจมาก จนคิดว่าราคา 4,500 บาท++ ต่อคนนั้น มันไม่แพงเลยครับ ทุกอย่างมันมีเรื่องราว และรสชาติอาหารแต่ละจานที่เราได้ทานนั้น มันทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมและคุ้มค่ามาก ดังนั้นหากใครที่มีงบประมาณถึงและกำลังมองหาร้านอาหารดีๆ เพื่อมอบเป็นของขวัญและความประทับใจให้แก่ตัวเองหรือคนที่คุณรักอยู่ ร้านนี้คือลิสต์ต้นๆ ที่คุณควรจะนึกถึงเลยครับ และผมมีความเชื่อในใจลึกๆ ว่าร้านนี้หากยังสามารถรักษาคุณภาพแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ เค้าจะเป็นร้านอาหารที่มีโอกาสได้รับการการันตีมิชลินสตาร์สูงมาก เพราะมันเยี่ยมยอดจริงๆ ครับ

รายละเอียดของร้าน

ชื่อร้าน : โพทง (Potong Restaurant)

ที่ตั้ง : ถ.วาณิช 1 ตลาดสำเพ็ง เยาวราช (ถนนหน้าร้านแคบมากกกกนะครับ และไม่มีที่จอดรถ แนะนำให้จอดรถตามสถานที่ด้านล่างและเดินไปที่ร้านต่อ หรือใช้บริการรถรับส่งของร้านนะครับ)

Google Map : https://goo.gl/maps/D6CxyyWSLbWoaG6U9

เชฟผู้รังสรรค์ : เชฟแพม พิชญา อุทารธรรม

ราคา : 4,500 บาท++ ต่อคน หรือ 5,297 บาท/คน net (อาหาร 20 คอร์ส, ไม่รวมเครื่องดื่ม)

เวลาเปิดบริการ : 17.00 น. เป็นต้นไป และปิดบริการทุกวันอังคารและพุธ (ใช้เวลาทานอาหารจบ 20 คอร์ส อยู่ที่ประมาณ 2.30 ชั่วโมง – 3 ชั่วโมง)

Tel : 082-979-3950

ช่องทางจอง : LINE Official @Potong หรือคลิกที่นี่ได้เลยครับ https://lin.ee/DVS6Bh2

ที่จอดรถ

ด้วยความที่ร้าน Potong Restaurant นั้น ตั้งอยู่ในซอยที่แคบมาก อีกทั้งยังไม่มีที่จอดรถบริเวณหน้าร้าน ดังนั้นทางร้านก็เลยแนะนำให้จอดรถที่ 2 จุดนี้นะครับ

▪ จุดที่ 1 : ลานจอดรถซอยแป้งมัน (ชั่วโมงละ 40 บาท) ที่จุดนี้จะมีรถของร้านบริการรับส่งฟรีด้วย โดยหากใครต้องการใช้บริการรถก็สามารถโทรแจ้งได้ที่เบอร์ 082-979-3950 หรือกรณีที่ต้องการเดินไปเองก็จะใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาทีครับ

Google Map : https://goo.gl/maps/9cV31uiHmi6Mpn2U8

จุดที่ 2 : อาคารจอดรถวัดชัยภูมิการาม (ชั่วโมงละ 40 บาท) ที่จุดนี้จะไม่มีบริการรถรับส่ง แต่เราสามารถเดินไปที่ร้านเองได้ โดยใช้เวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น

Google Map : https://goo.gl/maps/z2aMZmsdpEq33pTF6

สำหรับวันนี้ผมจอดรถที่ซอยแป้งมัน (จุดที่ 1) นะครับ และได้ใช้รถบริการรับส่งของทางร้านด้วย ส่วนใครที่ต้องการดูรายละเอียดการจอดรถของ Potong Restaurant เพิ่มเติม ก็สามารถกดที่นี่ได้เลยครับ

Story ความเป็นมาของร้านและตึก

โพทง คือชื่อของร้านขายยาเก่าแก่แห่งหนึ่งในย่านเยาวราช ซึ่งมีอายุมากกว่า 120 ปีแล้ว โดยร้านนี้มีจุดเริ่มต้นจากครอบครัวชาวจีนครอบครัวหนึ่งที่อพยพมาอยู่ที่ไทย และได้เริ่มประกอบอาชีพปรุงยาจำหน่าย จนเริ่มมีชื่อเสียงรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ และมีหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักโด่งดังมาก นั่นก็คือ “ยาปอคุนเอี๊ยะบ๊อ” ซึ่งมีสรรพคุณแก้อาการประจำเดือนผิดปกติ, บำรุงโลหิตหลังคลอด และช่วยปรับสมดุลร่างกายครับ

โดยในสมัยก่อนนั้น นอกจากที่ตั้งของร้านนี้จะเป็นจุดจำหน่ายยาต่างๆ แล้ว ที่นี่ยังเป็นทั้งที่ปรุงยา และเป็นที่พักอาศัยของครอบครัวนี้ด้วย แต่เมื่อวันเวลาได้ผ่านไป หลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลง และพื้นที่ของสถานที่แห่งนี้ก็เริ่มไม่ตอบโจทย์ในการปรุงยาแล้ว ทางร้านจึงได้มีการขยับขยายไปยังพื้นที่แห่งใหม่ และพื้นที่ของร้านนี้ก็เริ่มถูกใช้งานลดลงเรื่อยๆ จนในที่สุด “เชฟแพม พิชญา อุทารธรรม” ทายาทตระกูลรุ่นที่ 5 และเป็นเชฟที่มากความสามารถและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับเอเชีย ก็ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและคุณค่าของตึกเก่าความสูง 5 ชั้นที่ได้รับตกทอดมาจากบรรพบุรุษหลังนี้ และเกิดไอเดียที่จะบูรณะและตกแต่งซ่อมแซมอาคารครั้งใหญ่ เพื่อเปลี่ยนร้านขายยาสุดคลาสสิคให้กลายเป็นร้านอาหาร “Progressive Fine Dinging Thai – Chinese Cuisine” ที่ทุกคนที่ได้มีโอกาสมาทานจะต้องประทับใจในทุกมิติ ตั้งแต่รสชาติ, เรื่องราว, คุณค่า จนไปถึงการบริการต่างๆ โดยทางเชฟแพมได้ใช้เวลาในการบูรณะตึกแห่งนี้นานกว่า 2 ปีเลยครับ!!! 

บทนำเมื่อก้าวย่างถึง

ด้วยความที่ร้านโพทงโฉมใหม่นั้นตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์ในการทานอาหารให้กับทุกคนที่มาทาน ภายใต้คอนเซป กินอาหารเล่าผ่านความทรงจำ พร้อมรับรู้รสชาติผ่าน 5 Elements และ 5 Senses” ดังนั้นรูปแบบการนำเสนอของที่นี่มันจึงครบเครื่องมาก ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกและจัดทำวัตถุดิบต่างๆ ไว้ใช้เอง จนไปถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีตและมีความผูกพันกับตึกและย่านนี้ โดยเชฟแพมเชื่อว่าเมื่อ 5 Elements และ 5 Senses เกิดขึ้นพร้อมๆ กันแล้ว มันจะทำให้เกิดความทรงจำดีๆ และก่อให้เกิดเป็นมื้ออาหารที่สุดแสนประทับใจครับ

โดยในส่วนของ 5 Elements” ที่เชฟแพมนำเสนอก็จะได้แก่ Salt รสเค็มจากเกลือ, Acid รสเปรี้ยวจากของหมักดอง, Spice ความหอมและรสเผ็ดร้อนจากเครื่องเทศและสมุนไพรนานาชนิด, Texture เนื้อสัมผัสของวัตถุดิบ และสุดท้ายก็คือ Maillard Reaction หรือกลิ่นและรสชาติที่ได้จากการรมควันนั่นเองครับ

และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของสมุนไพรที่เชฟแพมได้เลือกใช้ในการปรุงอาหารในคอร์สนี้ครับ บอกเลยว่าเยอะมากจริงๆ

ส่วน 5 Senses” หรือการรับรูปผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสนั้น ก็จะถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบต่างๆ ทั้งการได้เห็นอาหารที่แปลกตา, ได้กลิ่นหอมจากสมุนไพรและเครื่องปรุงต่างๆ, ได้ยินเรื่องราวความเป็นมาของอาหารแต่ละจาน, ได้สัมผัสกับอาหารแบบใกล้ชิดด้วยมือตัวเอง โดยที่ไม่ต้องผ่านภาชนะหรืออุปกรณ์ใดๆ และการได้ลิ้มรสความอร่อยที่หาจากร้านอื่นๆ ไม่ได้แล้ว ในการทานอาหารที่ร้านแห่งนี้ยังจะมีการเสริมเรื่องราวของตึกและความทรงจำต่างๆ ลงไปเพิ่มอีกด้วย โดยเมื่อเราไปถึงที่ร้านแห่งนี้เป็นครั้งแรก ทางพนักงานของร้านก็จะทำการเล่าถึงประวัติความเป็นมา รวมทั้งพาเราเดินชมตึกเก่าแก่กว่า 120 ปีทั้ง 5 ชั้นนี้ก่อนที่จะเริ่มทานอาหารด้วยครับ เพื่อที่เราจะได้เข้าใจและซึมซับเรื่องราวในแต่ละจานได้อย่างลุ่มลึกมากขึ้น

โดยแรกสุดนั้นทางพนักงานจะต้อนรับเราที่ชั้น 1 พร้อมกับเครื่องดื่ม Welcome Drink สุดอร่อย จากนั้นก็จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เราฟัง และเริ่มพาเราชมภายในตึกทั้ง 5 ชั้นครับ โดยปัจจุบันนี้ภายในตึกเค้าได้มีการติดตั้งลิฟท์เข้าไปแล้วนะครับ แต่เพื่อให้ได้อรรถรสในการรับชม ผมแนะนำให้เราเดินขึ้นลงจะดีกว่าครับ

หมายเหตุ : กรณีที่พนักงานไม่ได้พาเราเดินชมตึกเอง เราสามารถแจ้งขอให้เค้าพาชมและอธิบายได้เลยนะครับ

ชั้นที่ 1 : ในอดีตชั้นนี้ คือ บริเวณขายยาของห้างขายยาโพทง แต่ในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนเป็น “POTONG SINO Bar” ร้านขายเครื่องดื่มอร่อยๆ ภายใต้บรรยากาศการตกแต่งที่ให้อารมณ์ของร้านขายยาจีนโบราณที่ยังคงความเป็นตึกเก่าแก่กว่า 120 ปีเอาไว้ได้เป็นอย่างดี โดยร้าน POTONG SINO Bar บริเวณชั้น 1 นี้ จะเปิดให้บริการแก่บุคคทั่วไปด้วย ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไปครับ

ชั้นที่ 2 : ในอดีตชั้นนี้จะเป็นบริเวณปรุงยาของร้านครับ แต่ปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนเป็นที่นั่งรับประทานอาหาร โดยที่ชั้นนี้จะสามารถรับลูกค้าได้ประมาณ 20 คนครับ

ที่ชั้น 2 นี้ จะมีระเบียงด้านนอกแบบนี้ด้วยนะครับ สามารถออกไปนั่งเล่น และถ่ายรูปได้ครับ

ชั้นที่ 3 : ชั้นนี้จะเป็นห้องนอนและห้องทำงานเก่า ส่วนปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนเป็นที่รับประทานอาหารเช่นเดียวกันครับ แต่ที่ชั้นนี้จะสามารถรับลูกค้าได้ประมาณ 10 คนเท่านั้น และบรรยากาศจะดูคลาสสิครวมทั้งให้ความรู้สึกความเป็นจีนมากกว่าบริเวณชั้น 2 ที่ออกจะเป็นแนวโมเดิร์นกว่าครับ

นอกจากนี้ที่บริเวณชั้น 3 ในปัจจุบันนี้ ยังใช้เป็นที่เก็บวัตถุดิบต่างๆ รวมไปถึงโหลที่ใช้หมักดองเครื่องปรุงและสมุนไพรต่างๆ ที่ทางร้านใช้ด้วยครับ เดินผ่านแล้วก็รู้สึกดูขลังดีครับ ><

ชั้นที่ 4 : ในอดีตจะเป็นที่สูบฝิ่นและพักผ่อนหย่อนใจ แต่ในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนเป็น “OPIUM BAR” บาร์ที่มีเครื่องดื่มทุกประเภทจำหน่าย ภายใต้คอนเซป “Fluid Surreality” ครับ

ชั้นที่ 5 : ดาดฟ้าหรือสถานที่ที่ใช้ดูดาว นั่งเล่นพูดคุย และเป็นพื้นที่สำหรับเลี้ยงนกในสมัยก่อน โดยที่จุดนี้เราจะสามารถมองเห็นวิวเยาวราชได้กว้างมากๆ ครับ เพราะในอดีตตึกแห่งนี้คือตึกที่สูงที่สุดในเยาวราชเลย ส่วนในปัจจุบันนี้พื้นที่บริเวณชั้นนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อให้มีความเหมาะสมในการใช้งานมากขึ้น ซึ่งตามแผนแล้วพื้นที่บริเวณนี้ก็จะเป็น Bar เหมือนกับชั้น 4 เพียงแต่จะมีรูปแบบการตกแต่งและอารมณ์บางอย่างที่ต่างกันออกไปครับ

Intro ก่อนเริ่มรับประทานอาหาร

เอาล่ะ หลังจากที่เราซึบซับกับประวัติและความเป็นมาของตึกอายุกว่า 120 ปีแห่งนี้แล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาที่เราจะเริ่มเห็นและลิ้มลองความอร่อยของอาหารแต่ละจานกันแล้วครับ โดยในการเสิร์ฟอาหารแต่ละจานนั้นทางพนักงานของร้านจะมีการเล่าไอเดียหรือเรื่องราวที่น่าสนใจในเมนูนั้นๆ ก่อนด้วย และที่ทำให้ผมทึ่งสุดๆ ก็คือ แผ่นโปสการ์ดที่มีรูปสวยๆ หลากหลายรูปแบบที่เราเห็นอยู่บนโต๊ะของเรานั้น นอกจากลวดลายด้านหน้าจะเป็นลวดลายที่สกรีนมาจากภาพเขียนที่บรรพบุรุษของเชฟแพมได้วาดภายในตึกหลังนี้แล้ว ด้านหลังยังมีข้อความที่เชฟแพมได้เขียนโปสการ์ดถึงบรรพบุรุษของเค้าด้วย ซึ่งข้อความดังกล่าวนี้นอกจากจะเป็นการเล่าถึงการเริ่มต้นอาชีพของเชฟแพมแล้ว มันยังแฝงไปด้วยชื่ออาหารทั้งหมดที่เรากำลังจะได้ทานด้วยครับ บอกเลยว่าเป็นไอเดียที่ว้าวมากๆ และชวนให้ประทับใจตั้งแต่แรกเริ่มเลยครับ

ว่าแล้วเราก็เริ่มไปดูอาหารแต่ละจานที่ผมกับต๋งได้ทานกันดีกว่าครับ โดยรายการอาหารในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลานั้นอาจจะแตกต่างจากนี้ได้ เพราะทางเชฟแพมจะมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่การปรับเปลี่ยนนั้นจะเปลี่ยนทีละ 1-2 เมนูครับ

และในรายการอาหารทั้ง 20 คอร์ส ราคา 4,500 บาท++ ต่อคนนั้น จะยังไม่มีการรวมเครื่องดื่มนะครับ หากใครต้องกานทานเครื่องดื่มต่างๆ ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งทางร้าน Potong Restaurant นั้นก็มีประเภทของเครื่องดื่มให้เลือกเยอะมากๆ ส่วนในเรื่องของราคานั้นก็ต้องบอกว่าสูงกว่าร้านอาหารทั่วๆ ไปที่เราคุ้นเคยพอควรครับ ใครที่สนใจก็สามารถสอบถามหรือขอเมนูจากพนักงานได้เลยนะครับ

รายชื่ออาหารทั้งหมด

▪ Welcome Drink : สำหรับเมนูนี้ โดยปกติทางร้านจะเสิร์ฟให้เราทานที่ชั้น 1 ก่อนที่เราจะเริ่มชมตึกและรับประทานอาหารนะครับ วันที่ผมไปนั้นจะได้รับเสิร์ฟเป็นคอมบูฉะ (Kombucha) หรือชาหมักนั่นเอง รสชาติถือว่าอร่อยเลยครับ มีความหวาน เปรี้ยว ซ่าส์นิดๆ สร้างความประทับใจแรกเริ่มได้ดีเลย

▪ Course 1 (Dear) : เปิดมาแค่เมนูแรกก็ทำให้ผมและเพื่อนๆ ประทับใจจนต้องร้องว้าวเลยครับ เพราะพนักงานของร้านได้ทำการยกต้นส้มขนาดมินิมาไว้บนโต๊ะต่อหน้าพวกเรา และบอกว่านี่คืออาหารคอร์สแรก อยากให้ทุกคนได้ลองลิ้มรสดู ซึ่งหลังจากที่พวกเราได้ตั้งใจพินิจดูดีๆ ก็พบว่าผลส้มที่เห็นนั้นมันไม่ใช่ส้มแท้ๆ แต่มันคือไวท์ช็อกโกแลตที่ผสมผิวส้มสอดไส้ด้วยน้ำส้มเกล็ดหิมะและน้ำมะนาวด้านในครับ ต้องบอกว่าเชฟเค้าทำได้เหมือนมากๆ เลยแหละ ส่วนขั้นตอนในการทานนั้นเราจะต้องเอามือของเราเด็ดผลส้มจากต้นมาทานครับ แต่เราจะต้องระมัดระวังในการเด็ดมากๆ นะ เพราะผิวสัมผัสของมันค่อนข้างบอบบางเลยครับ ส่วนในเรื่องรสชาตินั้นผมบอกเลยว่าดีเลยครับ เหมาะแก่การเป็นเมนูกระตุ้นต่อมรับรสก่อนเข้าสู่อาหารจานถัดไปได้ดีมาก อีกทั้งความหมายของต้นส้มนั้นก็ยังดีอีกด้วย เพราะคนจีนนั้นจะยึดถือกันว่าส้มเป็นผลไม้มงคลครับ

▪ Course 2 (Great Great) : เมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากซาลาเปาไส้หมูแดง คือมีความหวานและเค็มรวมกันอยู่ในตัว นอกจากนี้รูปร่างภายนอกที่เชฟแพมนำเสนอออกมาใหม่นั้นก็จะมีความคล้ายคลึงกับทาร์ตมากกว่าซาลาเปา โดยตัวแป้งด้านนอกของเมนูนี้จะทำมาจากซีอิ๊วดำและซีอิ๊วขาวโฮมเมดที่ทางร้านโพทงหมักเอาไว้ใช้เอง ส่วนด้านในก็จะมีการสอดไส้เนื้อแกะบดผสมกับน้ำผึ้งและสามเกลอ เท่านั้นยังไม่พอเค้ายังจะมีถ้วยซุปขนาดจิ๋วที่เกิดจากการผสมผสานของชาขาว, คอมบุ และของดีจากเยาวราชอีกหลายๆ อย่างมาปรุงรวมไว้ด้วยกันเสิร์ฟมาคู่กันด้วยครับ ส่วนจานสีขาวรูปร่างประหลาดที่ใช้รองขนมนั้นก็เป็นจานที่ทางร้านปั้นขึ้นมาใช้งานเอง โดยเลียนแบบรูปร่างจากปลาหมึกแห้ง หนึ่งในของดีย่านเยาวราชครับ

▪ Course 3 (Memories) : เมนูนี้จะเป็นซุปข้าวโพดในความทรงจำของเชฟแพมครับ โดยเชฟแพมเล่าว่าในสมัยเด็กนั้นเค้าได้มีโอกาสทานซุปข้าวโพดกับคุณตา และเค้าก็ชอบที่จะใส่พริกไทยขาวลงไปเยอะๆ ดังนั้นเมนูนี้จึงเปรียบเสมือนสิ่งที่ระลึกถึงความทรงจำตอนนั้นของเค้า โดยสิ่งที่เชฟแพมนำเสนอออกมานั้นก็จะเป็นชุดอาหารแสนสวยงามและอยู่ภายใต้คอนเซป Zero Waste (ใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่าที่สุด ไม่เหลือทิ้ง) ซึ่งจะประกอบไปด้วยใบข้าวโพดที่ใช้ตกแต่งจาน, มูสข้าวโพดกรุบกรอบรูปร่างสวยงามคล้ายใบไม้ และมีรสชาติเผ็ดนิดๆ เนื่องจากมีส่วนผสมของพริกไทยขาว, มูสข้าวโพดผิวหน้าบางกรอบ ท้อปปิ้งด้านบนด้วยเมล็ดทานตะวันและทรัฟเฟิล, และปิดท้ายด้วยน้ำชาเย็นที่สกัดจากไหมข้าวโพดและนำไปผสมกับสมุนไพรจีนอีกหลายชนิดครับ

ส่วนในการทานนั้นทางพนักงานของร้านจะมีการแนะนำเราก่อนว่า ควรทานตามลำดับอย่างไรจึงจะดีที่สุด ซึ่งส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างประทับใจเมนูนี้มากครับ รสชาติและการนำเสนอต่างๆ ทำออกมาได้ดีมากครับ

▪ Course 4 (Reincarnated) : เมนูนี้ก็ Display สวยมากๆ อีกแล้วครับ โดยเมนูนี้จะเป็นลิ้นเป็ดตุ๋นกับสมุนไพรจีนที่มีความนุ่มละมุนมากๆ ตัวลิ้นเป็ดจะมีการราดด้วยน้ำตุ๋นของตัวเองด้านบนด้วย ส่วนเมนูที่เสิร์ฟคู่กันนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 อย่าง ได้แก่ หมั่นโถวน้ำผึ้งผสมโสมจินเส็ง และซอส 3 สี ที่มีรสชาติไม่เหมือนกัน โดยตัวซอส 3 สีนี้นอกจากจะมีการท้อปปิ้งด้านบนด้วยดอกไม้ที่มีความสวยงามและสามารถทานได้แล้ว ตัวพาเลทที่ลองซอสมานั้นยังเป็นภาพวาดของคุณอุ้ย ศิลปินที่มีชื่อเสียง และมี Art Gallery อยู่แถวๆ ถ.ทรงวาด ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากร้านด้วยครับ

ส่วนในการทานเมนูนี้นั้นเราจะทานแค่ลิ้นเป็ดเดี่ยวๆ หรือจะคู่กับซอสใดซอสหนึ่ง หรือทั้ง 3 ซอสพร้อมกันก็ได้ครับ อันนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนเลย

▪ Course 5 (Beautiful) : เมนูติ่มซำที่มาพร้อมรูปลักษณ์ใหม่ โดยทางเชฟแพมเล็งเห็นว่าติ่มซำนั้นคือหนึ่งในของดีย่านเยาวราช ดังนั้นจึงได้สร้างสรรค์ติ่มซำแบบใหม่ที่มีความอร่อยและพิเศษไปอีกขั้น ด้วยการเอาหน่อไม้ไปผสมกับน้ำตะไคร้และนำมาสานเป็นเปลือกชั้นนอกของติ่มซำ ส่วนด้านในนั้นก็จะประกอบไปด้วยมูสขากบและหอยเชลล์อบแห้ง ด้านล่างจะรองด้วยพูเรใบบัวบก และด้านบนก็จะท้อปด้วยผักชีเคลือบน้ำตาล โดยก่อนที่เราจะเริ่มทานนั้นทางพนักงานของร้านจะทำการเทน้ำซุปซึ่งทำมาจากกระดูกกบต้มด้วยสมุนไพรจีน 3 ชนิดลงมาในถ้วยครับ จากนั้นเราก็ตักทานได้เลย โดยใครจะแบ่งทานทีละนิด หรือจะทานทั้งหมดในคำเดียวเลยก็ได้ เนื่องจากขนาดชิ้นของมันไม่ใหญ่มากครับ

▪ Course 6 (Sacred) : ไข่ปลาหมึก เมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากร้านขายไข่ปลาหมึกย่างที่มักพบเห็นได้ทั่วไปในย่านเยาวราช โดยเชฟแพมได้นำเอาไข่ปลาหมึกไปแช่น้ำนมนาน 1 คืน ก่อนนำมานึ่งแล้วย่างอีกครั้งให้มีกลิ่นหอม เมื่อเสร็จแล้วก็โรยด้วยผงหนำเลี๊ยบ และราดซอสสีขาวดำตามรูปแบบหยินหยางลงไป โดยซอสสีขาวจะทำมาจากโสมจินเซ็งและงาขาว ส่วนซอสสีดำจะทำจากกระเทียมดำ รสชาติของเมนูนี้อร่อยมากครับ ไข่ปลาหมึกชิ้นโต สด เด้ง เคี้ยวแล้วนุ่มหนึบหนับเลย

▪ Course 7 (Inspiring) : เมนูจากผักตามฤดูกาล โดยเมนูนี้ส่วนตัวผมคิดว่าเชฟเค้าดิสเพลย์ได้สวยและไอเดียดีมากๆ ครับ ลักษณะของเมนูจะเป็นการเอาผักกาดจิ๋วมายัดไส้ข้างในด้วยเนื้อปู, ซอสไข่แดง และแรดิชดอง ส่วนด้านบนจะโรยด้วยผงผักหมักดองหรือ Pickle Powder และปิดท้ายก่อนทานด้วยการฉีดพ่น Lemon Vinegar แบบโฮมเมด ที่มีการผสานกลิ่นและรสชาติของเก๊กฮวยเข้าไปเล็กน้อยครับ

▪ Course 8 (Forgotten) : Signature Menu ของร้าน และเป็นหนึ่งในเมนูที่จะยังคงเสิร์ฟเรื่อยๆ ไม่มีการเปลี่ยนออกในระยะอันใกล้นี้ โดยเมนูนี้จะเป็นการเอาเนื้อไก่ดำแต่ละส่วนมาปรุงอาหารอย่างพิถีพิถันทั้งในส่วนของขา, อก และหัวใจ จากนั้นก็เสิร์ฟคู่กับข้าวดำที่หุงในกระเพาะหมูพร้อมกับสมุนไพรอีก 20 ชนิด และเปลือกส้มที่ตากแห้งมานานกว่า 3 ปี สำหรับผมแล้วเมนูนี้อร่อยมากๆ ครับ ตัวข้าวนั้นฉ่ำ ทานแล้วได้กลิ่นหอมของเปลือกส้มและสมุนไพรต่างๆ ส่วนเนื้อไก่ดำนั้นก็อร่อยมาก ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าเนื้อไก่ดำจะอร่อยขนาดนี้ และจากประสบการณ์ในการทานอาหารมื้อนี้ทำให้ผมรับรู้เลยว่าไก่ดำเนี่ยมันดำทั้งตัว ดำทุกสัดส่วนจริงๆ ยกเว้นก็แต่หัวใจเท่านั้นที่ไม่ดำ

ทั้งนี้เมนูนี้อาจจะมีหลายๆ คนที่เห็นหน้าตาของมันครั้งแรกแล้วรู้สึกกลัวหรือไม่กล้าทานนะครับ แต่ผมอยากให้ลองเปิดใจทานดูก่อน แล้วทุกคนจะรู้ว่ามันอร่อยมากจริงๆ ครับ

▪ Course 9 (Bold) : เมนูนี้เปรียบเสมือนเมนูพักรบชั่วคราว ก่อนที่เราจะไปลุยศึกใหญ่กับอีกครั้งครับ โดยเมนูนี้จะเป็นกรานิต้ารสสละ ท้อปด้านบนด้วยเจลที่ทำมาจากบ๊วยดองเค็ม, ดอกหางนกยูง และคอมบูฉะ ทานแล้วจะช่วยทำให้ภายในปากของเราปรับรสชาติเตรียมทานอาหารคาวมื้อต่อไปได้ดียิ่งขึ้นครับ

▪ Course 10 (Thai – Chinese) : อีกหนึ่งเมนูที่ผมรู้สึกว้าวมากๆ ครับ โดยทางเชฟแพมได้มีการนำเอาหัวไชเท้าซึ่งเป็นเมนูที่ทั้งคนไทยและจีนชอบทาน มานึ่งและทำการย่าง จากนั้นก็ท้อปปิ้งด้านบนด้วยหอยเชลล์อบแห้ง, สาคูที่ทำจากแบล็ค เวนิก้า และเส้นก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ที่ทำจากปลาหมึกดรายเอจ 2 วัน จากนั้นก็ปิดท้ายก่อนที่เราจะเริ่มทานด้วยการเทซอสโพทงเอ็กซ์โอสูตรพิเศษที่ผสมสมุนไพรจากจีนลงไป รสชาติจานนี้อร่อยมากๆ ครับ ไม่คิดมาก่อนว่าหัวไชเท้าจะอร่อยขนาดนี้ แถมมันยังเป็นเลเยอร์ชั้นๆ ทานง่ายด้วยครับ

▪ Course 11 (Layer of flowers) : เมนูนี้จะเปลี่ยนไปตามแต่ละวันนะครับ เพราะมันคือ Catch of the day หรือเมนูที่ทางเชฟจะปรุงจากวัตถุดิบของซีฟู้ดที่ได้มาในวันนั้นๆ โดยวัตถุดิบเหล่านี้จะถูกส่งตรงมาจากชาวประมงทางใต้แบบวันต่อวันเลยครับ สำหรับวันนี้ผมได้ทานเป็นปลาจาระเม็ดขาวย่างบนเตาถ่านและทาด้วยแอนโชวี่บัตเตอร์ เสิร์ฟคู่กับสาหร่ายพวงองุ่นและซอสหมาล่าเจียง (หมาล่าเขียวผสมกับผักชีใบเลื่อย) รสชาติของปลาดีมากครับ นุ่มละมุนเลย

▪ Course 12-13 (Family & Sharing) : เมนูของคาวที่เปรียบเสมือนเป็น Main Course ของวันนี้ และเป็นเมนูที่เด็ดที่สุดที่หลายคนชื่นชอบเลยครับ โดยเมนูนี้จะเป็นเซ็ตข้าวเป็ดย่าง ที่เสิร์ฟทั้งเป็ด, เนื้อแดง, ข้าว และเครื่องเคียงต่างๆ ครบเซ็ต ไม่ว่าจะเป็นผักคะน้าผัดน้ำมันหอย, หัวไชเท้า, กระเทียมโทน รวมไปถึงน้ำจิ้มอีกหลายแบบ นอกจากนั้นเค้ายังมีการนำเอาอาหารเซ็ตนี้วางไว้บนถาดที่สามารถหมุนได้รอบทิศด้วย เปรียบเสมือนกับเรากำลังนั่งทานอาหารโต๊ะจีนกับครอบครัวอยู่เลยครับ มันได้บรรยากาศมากๆ และจุดเด่นสุดๆ ของเมนูนี้ก็คือเป็ดที่เค้านำมาเสิร์ฟนั้นจะเป็นเป็ดที่ผ่านการดรายเอจกับฟางข้าวนานถึง 14 วัน หนังเป็ดจะมีความกรอบนอก ส่วนเนื้อด้านในก็จะนุ่มมาก เรียกว่าทุกคนที่ทานด้วยกันวันนั้นต่างก็ประทับใจสุดๆ จนถึงกับอยากจะขอเพิ่มเลยครับ ส่วนเนื้อแดงที่เสิร์ฟคู่กันนั้นก็เป็นเนื้อออสเตรเลียส่วนซี่โครงที่ผ่านการดรายเอจ 2 วัน จากนั้นก็นำมาปรุงในกระบวนการคล้ายๆ กับที่ทำหมูแดง บอกเลยว่าคอร์สนี้อร่อยยืนหนึ่งในมื้อนี้เลยครับ!!

Course 14 (My dear) : เมนูนี้จะเป็น Cotton candy ที่ทำจากบ๊วยครับ เพื่อให้เราย้อนคิดไปถึงลูกอมบ๊วยที่เราทานกันตอนสมัยเด็กๆ รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ หน่อย ส่วนการเสิร์ฟของเค้านั้นดูดีมากครับ เพราะลูกอมนี้จะถูกวางมาบนแท่นวางรูปร่างคล้ายหิน และตัวแท่นวางนี้จะเย็นเจี๊ยบเลยครับ ส่วนเวลาที่เราทานเราก็แค่เอามือหยิบเข้าปาก และทานให้หมดในคำเดียวเลยครับ มันจะได้รสชาติที่เชฟอยากสื่อที่สุดครับ

▪ Course 15 (Proud) : ว่าเมนูเมื่อกี้เสิร์ฟดูดีแล้ว แต่เมนูนี้เสิร์ฟมาดูดีและอลังการไปอีกขั้นครับ โดยลักษณะของเมนูนี้จะเป็นไอศกรีมซีอิ๊วดำผสมพริก และเสิร์ฟคู่กับเปลือกน้ำตาลกรอบรูปพริกที่มีความโปร่งใสขนาดใหญ่ ภายในเปลือกน้ำตาลนี้จะประกอบไปด้วยวัตถุดิบหลายชนิดเลย เช่น ไวท์ช็อกโกแลต, พริกซินเจียง, หม่าล่า เป็นต้น ส่วนที่แท่นวางด้านล่างนั้นก็จะมีควันและกลิ่นหอมของเครื่องพะโล้ฟุ้งกระจายออกมาตลอดเวลา โดยในการทานนั้นเราจะต้องเอาช้อนกะเทาะเปลือกน้ำตาลรูปพริกนี้ให้แตกซะก่อน เพื่อให้เครื่องเทศต่างๆ ที่ใส่ไว้ตกลงไปผสมกับไอศกรีมด้านล่าง จากนั้นเราก็ค่อยๆ ตักทานไปเรื่อยๆ ครับ สำหรับผมแล้วผมว่าเมนูนี้เป็นเมนูที่ดิสเพลย์ดูดีน่าประทับใจมาก แต่ในเรื่องรสชาตินั้นผมเข้าไม่ถึงเลย ผมรู้สึกว่าไอศกรีมกับซีอิ๊วดำและสมุนไพรจีนนั้นมันไปด้วยกันไม่ได้ มันไม่ใช่แนวผมคร้าบบบบ T_T

▪ Course 16-20 (History, Legacy, Potong, Simple & Elegant) : นี่คือชุดของหวานปิดท้ายมื้อที่ดีงามมากครับ เพราะเชฟแพมได้ทำการย่อเอาเรื่องราวที่น่าสนใจของเยาวราชหลายๆ อย่างมารวมกันไว้ในชุดเดียว และเรียกมันว่า Dessert Map โดยภายในขนมชุดนี้จะประกอบไปด้วยภาพจำลองของร้านค้าและตึกชื่อดังในย่านเยาวราช พร้อมกับขนม 5 ประเภทครับ

บอกเลยว่าสวยงามอลังการ ว้าวมากๆ ที่สำคัญมันยังหมุนได้ด้วยครับ ><

Chestnut Cone : ขนมที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก “เกาลัด” หนึ่งในของขึ้นชื่อของเยาวราช โดยทางเชฟแพมได้เสิร์ฟเกาลัดนี้ในรูปแบบของโคนไอศกรีมที่ห่อด้วยกระดาษลายหนังสือพิมพ์ ซึ่งตัวหนังสือพิมพ์ที่เราเห็นนั้นจริงๆ แล้วมันคือการจำลองขึ้นมาโดยการเอาเนื้อเกาลัดที่ฝานเป็นแผ่นบางๆ ไปอบและขึ้นสีให้เหมือนกับกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าครับ ส่วนด้านในและด้านบนของไอศกรีมนั้นก็จะเป็น Chocolate Chestnut พร้อมด้วยเต้าเจี้ยวที่ทางร้านหมักเอง และครีมไวท์ช็อกโกแลตครับ

Simple Yet Elegant : ซาลาเปาขนาดจิ๋วสุดน่ารัก แถมวิธีการวางและหยิบทานก็ยังให้อารมณ์เหมือนกับการเปิดซึ้งนึ่งอีกด้วย เพียงแต่อันนี้จะเป็นซึ้งแบบอะครีลิคใสเท่านั้น ตัวผิวซาลาเปาด้านนอกนั้นจะทำมาจากมูสหมั่นโถวที่ทางร้านหมักเอง ดังนั้นผิวสัมผัสมันจะหยุ่นๆ นิ่มๆ กว่าซาลาเปาปกติครับ โดยมูสหมั่นโถวนี้ทางร้านใช้เวลาในการหมักไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง เรียกว่าข้ามคืนข้ามวันกันไปเลย ส่วนไส้ด้านในของซาลาเปานั้นจะเป็นไส้ลาวาไข่เค็มนะครับ และกระดาษด้านล่างที่เราเห็นรองก้นอยู่นั้น ที่แท้จริงมันก็คือแผ่นแป้งบางๆ ที่เราสามารถทานได้เลยครับ

Chinese Sesame Ball : ขนมงาทอดสีทองคำสอดไส้สามเกลอ โดยขนมชนิดนี้เป็นหนึ่งในขนมโบราณของจีน ลักษณะภายนอกดูเผินๆ อาจจะคล้ายกับขนมไข่หงส์ของคนไทย สำหรับเมนูนี้ตัวแป้งด้านนอกเค้าจะทำมาจากแป้งข้าวเหนียวผสมหญ้าหวาน เคลือบด้วยสีทองเพื่อสื่อถึงความเป็นมงคลครับ ส่วนด้านในก็สอดไส้ด้วยถั่วกวนที่มีส่วนผสมของสามเกลอ (รากผักชี, กระเทียม และพริกไทย) เพื่อให้มีรสเค็มปนเผ็ดเล็กน้อย ซึ่งส่วนตัวผมแล้ว ผมประทับใจเมนูนี้ที่สุดเลยครับ

Potong Bite : และไหนๆ เชฟแพมก็เป็นทายาทตระกูลรุ่นที่ 5 อีกทั้งยังได้เอาตึกเก่าของตระกูลมาแปลงเป็นร้านอาหารแบบนี้ ดังนั้นมันก็ควรจะต้องมีเมนูที่สื่อถึงความเป็นร้านขายยาโพทงและยาปอคุนเอี๊ยะบ๊อชัดๆ ซักหน่อยครับ และนั่นก็คือเมนูนี้นี่เอง เมนูที่ทำรูปร่างออกมาให้คล้ายคลึงกับรูปเสือคู่กับลูกโลก โดยเสือตัวแรกจะทำมาจากถั่วแดง, เสือตัวที่สองจะทำมาจากถั่วดำ, ลูกโลกตรงกลางจะทำมาจากแปะก๊วย ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ ที่ผสมผสานอยู่ในนี้อีกก็จะได้แก่ แยมลำไย, พุทราจีน, เลมอน และยาปอคุนเอี๊ยะบ๊อ ดังนั้นรสชาติเวลาที่เราทานมันก็เลยจะคล้ายๆ กับเต้าทึงน้ำลำไยครับ แต่มันจะได้ฟีลรสชาติอะไรแปลกๆ บางอย่างเข้ามาผสมด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันก็คือสมุนไพรจีนและส่วนผสมของยาปอคุนเอี๊ยะบ๊อนั่นเองครับ

Tube : ขนมชิ้นสุดท้ายในชุดนี้ ขนมเวเฟอร์ที่ทำเลียนแบบรูปซิการ์หรือบุหรี่ โดยแรงบันดาลใจในการทำรูปร่างแบบนี้ก็เพราะว่าเดิมในอดีตนั้น ในเยาวราชจะมีร้านกาแฟโบราณชื่อดังที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และคนในสมัยนั้นก็มักจะไปนั่งดื่มกาแฟ, สูบบุหรี่ และเสวนาพูดคุยกัน เชฟแพมก็เลยหยิบเอารูปร่างของบุหรี่และรสชาติของกาแฟมาเล่าครับ โดยตัวขนมด้านนอกนั้นจะให้รสชาติเหมือนกาแฟ ส่วนด้านในก็จะสอดไส้ช็อกโกแลต พร้อมส่วนผสมของฮาเซลนัทและโกโก้ครัมเบิล ส่วนวิธีการทานนั้นทางร้านเค้าแนะนำว่าให้เราดูดทานไส้ด้านในก่อน จากนั้นค่อย ๆ กัดส่วนเปลือกด้านนอกตามไปครับ มันจะได้รสชาติที่สมบูรณ์ที่สุด

Special Menu “คุกกี้เสี่ยงทาย” : เมนูสุดพิเศษส่งท้ายจากทางร้าน คุกกี้เสี่ยงทายในตู้ใส่ยาจีนแบบโบราณ ทุกคนที่มาทานจะได้คนละหนึ่งชิ้น และในนั้นจะมีคำคมดีๆ ซ่อนอยู่ ลองอ่านและลุ้นดูนะว่าแต่ละคนจะได้อะไรครับ ^^

ก็จบลงแล้วนะครับสำหรับการรีวิวคอร์สอาหารที่ร้าน Potong Restaurant (โพทง เรสเตอรองต์) ที่ผมรู้สึกประทับใจมากๆ ใครที่อ่านแล้วสนใจอยากทานบ้างก็สามารถทำการจองตามช่องทางด้านล่างนี้ได้เลยครับ ส่วนตัวผมว่าหากใครไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ ร้านนี้และคอร์สนี้คุ้มค่าแก่การลองและเข้าไปสัมผัสมากๆ แต่ยังไงก็อย่า Walk in เข้าไปโดยไม่จองล่วงหน้านะ เพราะร้านเค้าสามารถรับลูกค้าได้แค่วันละไม่เกิน 20 คนเท่านั้นครับ ^^

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบครับ สำหรับท่านใดที่ต้องการติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมและต๋งอย่างใกล้ชิด ก็สามารถกดติดตามที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ

ช่องทางติดต่อร้าน Potong Restaurant

ช่องทางจอง : LINE Official @Potong หรือคลิกที่นี่ได้เลยครับ https://lin.ee/DVS6Bh2

Tel : 082-979-3950

Facebook : Restaurant.Potong