สวัสดีครับ เมื่อช่วงกลางเดือน ธ.ค. 65 ผมกับต๋งได้มีโอกาสซื้อทัวร์ไปเที่ยวประเทศเกาหลีใต้แบบ 5 วัน 3 คืน ในราคาแค่คนละ 10,500 บาท มาครับ!! และหลังจากที่จบทริปแล้วผมกับต๋งรู้สึกว่ามันเป็นทริปที่คุ้มค่ามากเลยล่ะ เราก็เลยขอมาสรุปให้ทุกคนอ่านกันว่าทัวร์นี้มีจริงหรือ? และมันให้อะไรบ้าง? คุ้มค่าแค่ไหนครับ?

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ตามไปอ่านกันได้เลยครับ บอกเลยว่าผมเขียนมาให้แบบครบ ๆ มีทุกหัวข้อที่คุณอยากรู้เลยล่ะ

หมายเหตุ : ภาพทั้งหมดในรีวิวนี้จะถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ vivo X80 นะครับ

สำหรับทริปนี้จะเป็นการไปเที่ยวเกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้นะครับ โดยโปรแกรมที่ผมไปก็คือ “เที่ยวเกาะเชจูฤดูหนาว 5 วัน 3 คืน แบบไม่มีฟรีเดย์ (เที่ยวเต็มวันทุกวัน)” ส่วนราคาที่ผมซื้อตอนนั้นก็คือ 20,999 บาท/คน ครับ แต่ว่าเค้ามีโปร 1 แถม 1 อยู่ มันก็เลยกลายเป็นว่าผมกับต๋ง จ่ายไปแค่คนละ 10,500 บาท เท่านั้นเอง ^^

ทั้งนี้สำหรับใครที่กังวลเรื่องการผ่าน ตม. เกาหลีใต้ ก็ลองอ่านบทความในลิงก์ด้านล่างนี้ก่อนนะครับ มันเป็นเรื่องราวและประสบการณ์ตรงของผมในทริปนี้ครับ รวมถึงเรื่องการเตรียมเอกสารต่าง ๆ ของผมด้วยครับ

▪ ตม. เกาหลีใต้ เข้ายากมั้ย?

สิ่งที่รวมในทัวร์

  • ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ สุวรรณภูมิ – เกาะเชจู (สายการบิน Jeju Air)
  • ค่าที่พัก 3 คืน
  • อาหารทุกมื้อ (ยกเว้นมื้อสุดท้าย) และผมอยากบอกว่าอาหารเค้าอร่อยทุกมื้อเลยนะครับ แถมปริมาณเยอะด้วย
  • การเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ตามโปรแกรม
  • รถบัสขนาด 40 ที่นั่ง พร้อมสต๊าฟ 3 คนตลอดทริป (คนขับ, ไกด์เกาหลี และไกด์คนไทย)

สิ่งที่ไม่รวมในค่าทัวร์

  • ค่าทิปไกด์ 1,500 บาท (บังคับจ่ายที่สนามบิน ก่อนขึ้นเครื่องออกจากไทย)
  • ค่าขอ K-ETA 320 บาท โดยในส่วนนี้ถ้าใครมีแล้วก็ไม่ต้องขอใหม่ และไม่ต้องเสียเงินนะครับ ส่วนกระบวนการขอและการดำเนินการต่าง ๆ นั้นทางทัวร์จะเป็นคนดูแลให้เราทั้งหมดเลยครับ
  • ค่าอาหารมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับไทย ซึ่งอันนี้ใครจะไม่กินก็ได้นะครับ อย่างผมกับต๋งก็ไม่ได้กินอะไรแบบจริงจัง ซื้อแค่ขนมกรุบกริบครับ
  • ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่น ๆ

สถานที่เที่ยวในโปรแกรม

  • อิโฮเทอู ประภาคารม้าแดง ม้าขาวริมทะเล*
  • ไร่ชาโอซูล็อค* (ขนมและเครื่องดื่มอร่อยมาก)
  • สวนส้ม*
  • ภูเขาฮัลลาซาน (วันที่ผมไปหิมะตกหนักมาก ผมเลยขึ้นไม่ถึงด้านบนนะครับ)
  • กังหันลมริมทะเล
  • ซองอัคซาน (สถานที่แดจังกึมเคยนั่งเรือมา)
  • วัดซันบังโพมุนชา
  • นั่งเรือครูซชมทะเลเชจู
  • สวนดอกไม้คามิลเลียฮิลล์*
  • Ecoland
  • หมู่บ้านวัฒนธรรมซองอึบ*
  • ชายหาดโขดหินควังชีกี
  • ภูเขาไฟซองซานอิลจูบง*
  • วัดป่าชอนบังชา*
  • ถนนสายรุ้ง*
  • Lotte Duty Free
  • ช้อปปิ้งสตรีท*

หมายเหตุ : ชื่อไหนที่มี * ต่อท้าย ชื่อนั้นคือสถานที่ที่ผมประทับใจเป็นพิเศษนะครับ

อาหารที่ทางทัวร์จัดไว้ให้

ในส่วนของอาหารนั้น หลาย ๆ มื้อเราสามารถเติมได้ไม่อั้นเลยนะครับ บอกเลยว่าดีมาก ๆ

  • “โจ๊กเป๋าฮื้อ” หนึ่งในเมนูขึ้นชื่อของเกาะเชจูครับ เป๋าฮื้อคือสด ตัวใหญ่ และอร่อยมาก ส่วนลักษณะของเม็ดข้าวนั้นอันนี้จะเหมือนกับข้าวต้มมากกว่าโจ๊กนะ
  • “เทจี ยังนฮอม คัลบี้” หรือปิ้งย่างสไตล์เกาหลีครับ โดยเค้าจะเลือกใช้เนื้อหมูส่วนซี่โครงมาหมักกับเครื่องปรุงต่าง ๆ จนนุ่ม จากนั้นก็นำไปย่างบนเตาไฟร้อน ๆ และทานกับเครื่องเคียงต่าง ๆ ครับ บอกเลยว่ามื้อนี้ดีมากและฟินมาก ที่สำคัญสามารถเติมได้เรื่อย ๆ ด้วยครับ
  • “ชุดปลาซาบะ และผองเพื่อนปลาย่าง” ปลาของที่นี่สดและรสชาติดีมากครับ แต่ว่าเวลาทานนั้นเราอาจจะต้องระวังเรื่องก้างนิดนึงนะ
  • “พลุโกกิ” หรือหมูย่างผัดสไตล์เกาหลีครับ เมนูนี้ก็เป็นอีกเมนูนึงที่คนไทยหลายคนน่าจะรู้จักกันดีเลย รวมถึงน่าจะเคยชิมที่ไทยกันมาบ้างแล้ว ส่วนรสชาติอาหารที่ทางทัวร์จัดไว้ให้ก็ถือว่าอร่อยเลยนะครับ เนื้อหมูนุ่ม ทานแล้วถูกปาก
  • “ทแวจีพุลแบ็ก” หรือเมนูหมูย่างผัดซอสนั่นเองครับ เมนูนี้เค้าจะเอาเนื้อหมูสไลซ์ที่ผ่านการหมักแล้วกับผักต่าง ๆ ลงไปต้มในหม้อไฟขนาดใหญ่ที่มีน้ำซอสที่มีรสชาติเผ็ดนิด ๆ อยู่ จากนั้นเราก็ทำการผัดหรือคลุกเคล้าให้เข้ากัน และรอเนื้อหมูสุกซักครู่ครับ เมื่อหมูสุกแล้วเราก็ตักทานคู่กับข้าวสวย หรือผักและเครื่องเคียงต่าง ๆ ได้เลย โดยมื้อนี้เราก็สามารถเติมเนื้อหมูได้ไม่อั้นอีกแล้วครับ ดีมากเลยล่ะ
  • “ซุปไก่ทะเลสวรรค์” เมนูที่ผสมผสานความอร่อยจากท้องทะเลของเกาะเชจู กับเมนูเพื่อสุขภาพเอาไว้ด้วยกันครับ โดยเมนูนี้จะเป็นหม้อขนาดใหญ่ที่มีไก่ทั้งตัวต้มอยู่ในนั้น และเค้าก็มีการใส่กุ้ง, หอย, ปู, ปลา จากเกาะเชจูลงไปเพิ่ม ปิดท้ายด้วยการใส่เส้นมาม่าเข้าไปอีกเพื่อเพิ่มความอิ่มครับ รสชาติโดยรวมของเมนูนี้ตัวน้ำซุปจะจืด ๆ หน่อยนะ ไม่ได้มีรสอะไรมาก แต่พวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ อร่อยดีครับ
  • “ช้อป จัก ปยอ กุก” หรือต้มซุปซี่โครงหมูครับ โดยในการทานเมนูนี้เราจะต้องเอาข้าวสวยลงไปคลุกกับต้มซุปซี่โครงหมูนะ ซึ่งมันก็จะได้อารมณ์คล้าย ๆ กับข้าวต้มเล้งนั่นแหละครับ รสชาติอร่อยดี น้ำซุปมีความหวาน รวมถึงพริกไทยเข้มมากกกก ส่วนเนื้อหมูก็เปื่อยนุ่มอร่อยดีครับ

โรงแรมที่ผมพัก

สำหรับโรงแรมที่ผมพักจะชื่อว่า “Jelu Inn Hotel” นะครับ โดยผมกับต๋งนอนที่นี่ทั้ง 3 คืนเลย ไม่มีการเปลี่ยนที่นอนครับ

ข้อดี

  • ห้องกว้างมากกกก กว้างทั้งในส่วนห้องนอน และห้องน้ำเลย
  • สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทีวี, ตู้เย็น, น้ำอุ่น, ครีมอาบน้ำ, ยาสระผม, โลชั่นบำรุงผิว, ผ้าเช็ดตัว มีให้หมดครับ รวมถึงมีน้ำเปล่าให้วันละ 2 ขวดด้วย แต่ว่าผ้าเช็ดตัวที่เค้ามีให้นั้นจะเป็นแบบผืนเล็กนะครับ ขนาดเท่ากับผ้าเช็ดผมที่หลายคนใชh ▪ เห็นว่าที่เกาหลีส่วนใหญ่เค้าจะใช้ผ้าเช็ดตัวแบบนี้กัน ดังนั้นถ้าใครเป็นคนติดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ ควรต้องเตรียมไปจากไทยด้วยนะครับ
  • พื้นห้องมีฮีตเตอร์ทั้งห้อง ทำให้อุ่นสบาย และผ้าแห้งไวสุด ๆ
  • มี 7-11 เล็ก ๆ อยู่ในโรงแรมด้วยครับ แม้ของจะไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ถือว่าตอบโจทย์ในความสะดวกหลายอย่าง
  • อาหารเช้าโอเคเลย รสชาติถูกปาก มีความหลากหลายพอประมาณ โดยอาหารเช้าเค้านั้นจะมีทั้งอาหารสไตล์เกาหลี, ขนมปัง, สาหร่าย และผลไม้ให้นะครับ

ข้อด้อย

  • โรงแรมอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองเหมือนกัน ต้องใช้เวลานั่งรถบัสเข้าไปประมาณ 30 นาที ซึ่งถ้าใครอยากพักในตัวเมืองหน่อย ก็อาจจะต้องถามทางทัวร์ให้ชัดเจนก่อนนะครับว่าโรงแรมที่เค้าเลือกพักคือที่ไหน ซึ่งในเรื่องที่พักนี้มันอาจจะส่งผลกับราคาของทัวร์เหมือนกันครับ

ภาพรวมความรู้สึกของผมที่มีต่อทริปนี้

  • คุ้มมากครับ ได้เห็นวิวสวย ๆ และได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เยอะมาก ในราคาไม่เกิน 13,000 บาท/คน (รวมทิปไกด์, K-ETA และอาหารมื้อสุดท้ายแล้ว)
  • เป็นการเที่ยวที่สบายดี ไม่ต้องปวดหัวในการติดต่อ หรือแพลนทริปอะไรเลย แถมราคาที่จ่ายไปนั้นผมว่าถูกกว่าผมไปเองเยอะเลยครับ เพราะผมลองกดเช็คราคาตั๋วเครื่องบินช่วงที่ผมไปนั้น แค่ค่าตั๋วก็คนละหมื่นนิด ๆ แล้วครับ
  • ได้กินอาหารอร่อย ๆ ของเกาหลีเยอะมากกกก และไม่ซ้ำกันเลยซักมื้อครับ โดยอาหารเหล่านี้ทางทัวร์เค้าจะจัดเตรียมไว้ให้หมดเลย แถมหลาย ๆ มื้อเรายังสามารถเติมได้ไม่อั้นด้วยครับ อย่างมื้อที่มีการกินหมูย่างเกาหลี เราก็สามารถเดินไปตักหมูมาย่างเพิ่มเองได้ตลอดเลย ฟินมากครับ
  • การทานอาหารเกาหลีแต่ละมื้อ จะมีเครื่องเคียงต่าง ๆ ให้ทานคู่ด้วยเยอะมาก ซึ่งถ้าใครเป็นคนที่ชอบทานกิมจิหรือผักต่าง ๆ อยู่แล้ว น่าจะถูกใจเลยครับ
  • มีไกด์คนไทยและเกาหลีคอยเดินทางกับเราตลอด ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการสื่อสารต่าง ๆ เลยครับ
  • มีรถบัสพาเที่ยวตลอดทุกวัน และรถเค้านั่งสบายดีครับ
  • ตามโปรแกรมเค้าจะต้องพาเราไปเข้าร้านซื้อของ 3 ที่ คือ ชุดเครื่องนอนเพื่อสุขภาพ Sesa Living, น้ำมันสนเข็มแดง (ตำรับยาโบราณสมัยราชวงศ์โชซอน) และฮ็อกเก็ตนามูครับ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วแต่ละที่เราจะอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง หรือรวม ๆ กันแล้วเราจะต้องเสียเวลาเที่ยวไปประมาณ 3 ชั่วโมงครับ แต่จุดที่ผมชอบมาก ๆ ก็คือ แต่ละที่ที่เค้าพาไปนั้นเค้าไม่ได้มีการบังคับขายแบบฮาร์ดเซลล์เลยครับ เค้าให้ข้อมูลและเข้ามาแนะนำดีทุกที่เลย ส่วนเรื่องการซื้อนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับ จะซื้อมากซื้อน้อยหรือไม่ซื้อก็ไม่ได้มีการกดดันอะไร อย่างผมกับต๋งก็ไม่ได้ซื้ออะไรจาก 3 ที่นี้ซักชิ้นเลยครับ
  • ผมรู้สึกประทับใจในบรรยากาศของเกาะเชจูมาก ผมว่าธรรมชาติเค้าบริสุทธิ์ดีนะ อากาศก็ดี อาหารทะเลและผลไม้ก็อร่อยสุด ๆ แถมเมืองเค้าก็สงบน่ารักดีด้วยครับ โดยรวม ๆ แล้วมันเป็นสถานที่ที่ผมว่าเหมาะกับการไปพักผ่อนชิล ๆ 4-5 วันครับ

เรื่องอื่น ๆ ที่ควรรู้

  • ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีระเบียบวินัยและความน่าทึ่งหลายอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการแยกขยะลงถัง, การแยกภาชนะและเศษอาหารต่าง ๆ หลังจากการทานอาหาร รวมไปถึงเรื่องระบบรถเมล์ที่ตรงต่อเวลา รวมถึงการมีป้ายบอกข้อมูลชัดเจนทุกป้ายรถเมล์ครับ
  • ปัจจุบันมีทัวร์จากประเทศไทยไปเกาะเชจูเยอะมากกกกก และมีรายละเอียดโปรแกรมแตกต่างกันมากมาย ดังนั้นผมแนะนำให้อ่านรายละเอียดของทุกที่ให้ครบถ้วนก่อนค่อยตัดสินใจนะครับ
  • แม้ว่าเราจะไปเที่ยวเกาะเชจูกับทัวร์ก็ตาม แต่ว่าในเรื่องของการผ่าน ตม. เกาหลีใต้ เราต้องดูแลตัวเองนะครับ ทัวร์ส่วนใหญ่เค้าจะไม่ได้มาช่วยเหลือกรณีที่เราติด ตม. หรือกรณีที่เราถูกส่งกลับครับ ดังนั้นใครที่จะไปก็ควรจะต้องมีการเตรียมตัวและเข้าใจในตรงนี้นิดนึงนะครับ ส่วนถ้าใครไม่มั่นใจอยากลองหาข้อมูลเพิ่มเติม ก็ลองกดอ่านตรงนี้ดูก่อนได้ครับ ซึ่งส่วนตัวผมว่าถ้าเป็นนักท่องเที่ยวจริง ๆ มีการเตรียมเอกสารต่าง ๆ พร้อม ก็ไม่น่ามีอะไรต้องกังวลมากครับ
  • บริษัททัวร์ที่ผมไปนั้น เค้าจะมีการเก็บเงินประกัน 10,000 บาท สำหรับผู้ร่วมทริปบางท่านด้วยนะครับ โดยเค้าจะเก็บวันที่เจอหน้าเราที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ และจะแจ้งเรา ณ ตอนนั้นเลยว่าจะขอเก็บคนไหนบ้าง ส่วนในเรื่องการคืนเงินนั้นเค้าจะคืนให้เมื่อคนนั้นกลับมาถึงไทยพร้อมคณะครับ ซึ่งผมคิดว่าทางบริษัทเค้าน่าจะมีวิธีสังเกตได้แหละว่าใครมีความเสี่ยงที่จะโดดทริปสูง และจะเลือกเก็บคนนั้น ส่วนตัวผมกับต๋งและเพื่อน ๆ รวมทั้งหมด 8 คนไม่ได้โดนเก็บครับ และกรุ๊ปเราที่เดินทางไปด้วยกันมีทั้งหมด 32 คน ทุกคนไปและกลับ ร่วมทริปครบทุกคนทุกวัน ไม่มีใครโดดหนีหายครับ
  • สถานที่เที่ยวในเกาะเชจูยังมีเยอะกว่าที่ผมไปมากกกกก ดังนั้นลองทำการบ้านดูก่อนนะว่าตัวเองอยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ แล้วจึงค่อยเลือกโปรแกรมให้เหมาะที่สุดครับ โดยเกาะเชจูนั้นสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปีเลย และลักษณะวิวที่เห็นรวมถึงผลไม้ต่าง ๆ ที่ออกก็จะมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วงครับ โดยในทริปที่ผมไปนั้นมีสมาชิกท่านนึงมาเที่ยวที่นี่ 4 ครั้งแล้ว ซึ่ง 4 ครั้งที่เค้ามานั้นเป็นคนละฤดูกันครับ และโปรแกรมเที่ยวแต่ละครั้งก็แทบไม่เหมือนกันเลย
  • โดยปกติแล้วในช่วงที่ผมไปนั้น (กลางเดือน ธ.ค.) ที่เชจูจะยังไม่ได้มีหิมะตกเยอะขนาดนี้นะครับ ถ้าตกก็จะเป็นเฉพาะบริเวณยอดเขาสูงเป็นหลัก แต่กลุ่มผมโชคดีมากที่ช่วงที่ไป 4-5 วันนั้น มันเป็นช่วงที่อากาศหนาวกว่าปกติและหิมะตกแทบจะทั่วทั้งเกาะเลยครับ
ถนนสายรุ้ง เกาะเชจู
  • อุณหภูมิต่ำสุดที่ผมเจอในทริปคือ -6 องศาเซลเซียสครับ แต่ Reel Feel คือ -12 องศาเซลเซียส เพราะลมแรงมาก บอกเลยว่าตอนนั้นหนาวสุด ๆ หนาวแบบปวดมือเลยครับ และน้ำในบ่อบางที่ก็กลายเป็นน้ำแข็งเลย @_@
  • ความเร็วลมวันที่ลมแรงสุด ๆ นั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 74 กม./ชม. และสูงสุดอยู่ที่ 82 กม./ชม. เลยครับ บอกเลยว่าแรงมากกกกก บางจังหวะนี่พัดเอาตัวผมปลิวเลย
  • ในการทานอาหารของทัวร์นั้น เค้าจะให้เรานั่งโต๊ะละ 4 คนนะครับ และจะต้องนั่งโต๊ะกับคนเดิมตลอดทั้งทริป ดังนั้นผมแนะนำว่าถ้าใครสามารถจับกลุ่มไปด้วยกัน 4 คนได้จะดีที่สุดครับ จะได้นั่งกินข้าวด้วยกันตลอด
เที่ยวเชจู เกาหลีใต้
  • โปรแกรมเที่ยวในแต่ละวันจะจบประมาณ 1-2 ทุ่มนะครับ ดังนั้นถ้าใครต้องการจะนั่งรถบัสหรือ Taxi ไปเที่ยวในเมืองต่อก็สามารถทำได้ แต่อาจจะต้องดูเรื่องเวลาดี ๆ ว่าสถานที่ที่เราต้องการไปนั้นมันปิดกี่โมงครับ
  • การนั่งรถ Taxi ในเกาหลีใต้นั้นเราจะนั่งได้แค่คันละ 3 คนเท่านั้นนะ (ไม่รวมคนขับ) ดังนั้นใครที่ไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ก็ต้องวางแผนตัวเองหน่อยนะครับ
  • การนั่งรถบัสบนเกาะเชจูถือว่ามีความสะดวกพอควรครับ โดยเราสามารถดูรายละเอียดการเดินทางแบบ Real Time ใน Google Map ได้เลย (ละเอียดและแม่นยำใช้ได้) ส่วนที่บริเวณป้ายรถเมล์ทุกป้ายก็จะมีข้อมูลของรถบัสแสดงบนหน้าจอแบบ Real time ด้วยครับ
  • การนั่งรถบัสบนเกาะเชจูนั้นจะต้องใช้จ่ายผ่านบัตร T-Money นะครับ โดยเราสามารถซื้อบัตรนี้ได้ที่ร้านสะดวกซื้อทั่วไปเลย ราคาบัตรเปล่า ๆ อยู่ที่ 3,000 KRW ส่วนการเติมเงินขั้นต่ำเข้าไปในบัตรจะอยู่ที่ 5,000 KRW ครับ
  • เงินในบัตร T-Money ที่เราเติมเข้าไปนั้น จะสามารถใช้ขึ้นลงรถสาธารณะต่าง ๆ ในเกาหลีได้ รวมไปถึงการซื้อของในร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ได้ด้วยครับ (ใช้ได้หลายที่ในเกาหลีเลยนะครับ ไม่ใช่เฉพาะเกาะเชจู)
  • เงินในบัตร T-Money จะมีอายุอยู่ได้ 5 ปีนะครับ หากเราใช้ไม่หมดและใกล้จะครบเวลาแล้ว เราสามารถไปขอเงินที่เหลือคืนออกมาได้ครับ
  • ค่ารถบัสในเกาะเชจูส่วนใหญ่จะอยู่ที่เที่ยวละ 1,150 KRW ครับ และกรณีที่เราเปลี่ยนสายต่อรถบัสในเวลาใกล้ ๆ กัน อันนี้เราไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มนะ จ่ายแค่เที่ยวแรกเที่ยวเดียวเท่านั้น พอเราขึ้นคันที่ 2 และเราทาบบัตรลงไปมันจะไม่มีการตัดเงินครับ
ถนนสายรุ้ง เกาะเชจู
  • ตอนผมไปทางทัวร์แจกน้ำเปล่าให้ 1 ขวดเล็ก ในวันแรกเท่านั้นนะครับ ส่วนโรงแรมที่พักจะมีน้ำให้วันละ 2 ขวด แต่ว่าน้ำประปาที่เกาหลีสามารถดื่มได้ครับ ดังนั้นเราสามารถเอาขวดเปล่ากรอกได้เลย หรือจะเอาไปกรอกตรงจุดที่เค้ามีตู้ให้กดก็ได้ครับ
  • สายการบินที่ผมนั่งไปกลับ คือ Jeju Air นะครับ ลักษณะเครื่องมันคือเครื่อง low cost ปกติเลย (โบอิ้ง 737-800) นั่งแบบ 3-3 ส่วนขนาดและลักษณะที่นั่งก็ประมาณแอร์เอเชียครับ ปรับเอนได้เล็กน้อย ไม่มีการเสิร์ฟอาหารและน้ำ แต่เราสามารถขอน้ำจากพนักงานบนเครื่องได้ครับ ส่วนระยะเวลาการบินก็ประมาณ 5-6 ชั่วโมงครับ
  • ตามระเบียบแล้วสายการบิน Jeju Air จะกำหนดน้ำหนักกระเป๋าโหลดใต้เครื่องไว้ที่คนละ 15 กิโลกรัมนะครับ (ถือ Carry on ขึ้นเครื่องได้ คนละไม่เกิน 7 กิโลกรัม) แต่ด้วยความที่การบินจากไทยไปยังเกาะเชจูนั้นมันมีแต่บริษัททัวร์ไทยไปเกือบจะ 100% และทางทัวร์ไทยบินไปถี่ยิบมาก เรียกว่าบินทุกวันเลย ดังนั้นไกด์หลาย ๆ คนจึงมักจะบอกว่าเราไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักโหลดเลยครับ อยากจะซื้ออยากจะขนอะไรก็ได้เลย เอาให้เต็มที่ อย่างกลุ่มที่ไปพร้อมผมก็หอบของกลับมาเพียบ เลยน้ำหนัก 15 กิโลกรัมไปเยอะเลยครับ
  • ตลอดทริปนี้ผมใช้ AIS Sim2Fly ราคา 399 บาทนะครับ ใช้ได้ 10 วัน ปริมาณอินเตอร์เนท 10 GB ส่วนความเร็วและคุณภาพการใช้งานต่าง ๆ ถือว่าดีเลยครับ ไม่มีปัญหาอะไรเลย ^^

ใครอ่านแล้วสนใจก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะ เท่าที่ผมดูโปรแกรมเที่ยวเกาะเชจูนั้นมีหลายบริษัท หลายโปรแกรมเลย และในบางช่วงเวลาบางโปรแกรมนั้นราคาถูกกว่าที่ผมกับต๋งไปอีกครับ โดยสาเหตุที่ทัวร์เกาะเชจูราคาดีแบบนี้นั้นก็เพราะทางเกาหลีใต้เค้าสนับสนุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตนี้เป็นพิเศษนั่นเองครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบนะครับ และหากใครอยากติดตามเรื่องราวการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิด ก็สามารถกดติดตามแฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ ส่วนใครที่ยังพอมีเวลา และอยากดูบรรยากาศทริปเชจูของผมกับต๋งแบบเป็นคลิปวีดีโอ ก็สามารถดูที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ