สำหรับคนที่ชอบทำงานด้านภาพเคลื่อนไหว หรืองานด้านวีดีโอนั้น สิ่งสำคัญที่เค้าจะให้ความสนใจมากนั่นก็คือเรื่องของภาพ, เสียง, storyboard และการตัดต่อ ซึ่งในวันนี้ผมจะหยิบเอาเรื่องที่เกี่ยวกับเสียงอย่าง “การเลือกใช้ไมค์อย่างไรให้เหมาะกับงาน” มาเล่าให้ทุกคนฟังตามประสบการณ์การใช้งานของผมนะครับ
ก่อนอื่นเลยเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าในการถ่ายภาพเคลื่อนไหวโดยทั่วไปจากกล้องดิจิทัล หรือโทรศัพท์มือถือนั้น เราจะสามารถบันทึกเสียงลงไปในคลิปได้ 2 วิธี คือ การบันทึกเสียงผ่านไมโครโฟนที่อยู่ในอุปกรณ์นั้นๆ (Internal Microphone) กับอีกแบบหนึ่งคือการบันทึกเสียงผ่านไมโครโฟนที่ต่อแยกออกมา (External Microphone) ซึ่งโดยปกติแล้วการต่อไมค์แยกแบบ External Microphone นั้น ควรจะต้องมีคุณภาพเสียงที่ดีกว่าแบบ Internal Microphone แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูด้วยว่าอุปกรณ์ที่เราจะใช้นั้นจะสามารถต่อไมโครโฟนภายนอกได้หรือไม่ หากต่อไม่ได้ก็ต้องทำใจกับคุณภาพเสียงที่ได้ หรือไม่ก็ต้องใช้การอัดเสียงแยกแล้วนำมาซิงก์กับคลิปอีกทีซึ่งก็จะทำให้การทำงานลำบากและมีขั้นตอนมากขึ้นครับ
เอาล่ะครับ หลังจากที่รู้เรื่อง Internal Microphone กับ External Microphone แล้ว อันดับต่อไปเราไปรู้จักกันดีกว่าว่าไมค์แยกหรือ External Microphone ที่ทุกคนชอบใช้กันนั้น จะสามารถแบ่งออกได้เป็นกี่ประเภท โดยตามความคิดของผมแล้ว ผมคิดว่าเราสามารถแบ่งแยกไมโครโฟนตามประเภทของการใช้งานได้เป็น 3 ประเภทดังนี้ครับ
ไมค์สาย
ไมค์แบบติดหัวกล้อง หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากกันว่าไมค์ช็อตกัน (Shotgun Microphone)
ไมโครโฟนไร้สายหรือไมค์ไวเลส (Wireless Microphone)
หมายเหตุ : สำหรับการแบ่งประเภทไมโครโฟนนั้นสามารถแบ่งออกได้หลากหลายวิธีมาก ทั้งรูปแบบการรับเสียง, ประเภทของการใช้งาน หรือรูปแบบการทำงานครับ ซึ่งการแบ่งของผมนี้จะเป็นการแบ่งตามการใช้งานเพื่อบันทึกเสียงลงในวีดีโอที่ถ่ายจากกล้องหรือโทรศัพท์มือถือ
สำหรับตัวผมเองหลังจากที่ได้มีโอกาสทดลองทำคลิป และถ่ายภาพเคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 8-9 เดือน ผมก็ได้มีไมค์ทั้งหมด 3 ตัว โดยแบ่งเป็นไมค์สาย 1 ตัว, ไมค์สำหรับติดมือถือ 1 ตัว และไมค์สำหรับติดหัวกล้องอีก 1 ตัว ซึ่งสาเหตุที่ต้องมีไมค์หลายตัวแบบนี้ก็เพราะว่าไมโครโฟนแต่ละตัวนั้นเหมาะสมกับการทำงานในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยจากที่ผมได้ลองใช้งานไมค์ทั้ง 3 ตัวที่ผมมี ผมก็ขอสรุปข้อดีข้อด้อยในการใช้งานของแต่ละตัวออกมาดังนี้ครับ
ไมค์ตัวที่ 1 : Saramonic SmartMic
ไมค์เล็กๆ เบาๆ ที่เหม๊าะเหมาะกับการทำ FB LIVE
สำหรับไมค์ตัวนี้ เป็นไมค์ที่มีขนาดเล็กและเบามาก สามารถพกพาไปไหนได้สะดวก ใส่กระเป๋ากางเกงได้สบาย การใช้งานก็ง่าย และไม่ต้องใส่แบตเตอรี่ ดังนั้นไมค์ตัวนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่ชอบทำ FB Live นอกสถานที่บ่อยๆ หรือคนที่เน้นความสะดวกมากกว่าคุณภาพเสียงครับ
จุดเด่น
มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบามาก ทำให้พกพาสะดวก
ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีแบต หรือสายอะไรระโยงระยางให้เกะกะ
ใช้ได้กับโทรศัพท์มือถือทั้ง iOS และ Andriod แต่จะต้องเป็นโทรศัพท์มือถือที่มีรูเสียบหูฟังขนาด 3.5 mm
ขาไมค์สามารถบิดหมุนไปได้รอบทิศทาง ทำให้ใช้งานสะดวกมากในหลายๆ สถานการณ์
ช่วยรับสัญญาณเสียงได้ดีขึ้นราวๆ 30-40%
ราคาถูก (ประมาณ 1,000 บาท)
จุดด้อย
คุณภาพเสียง ยังไม่ดีเท่ากับไมค์ติดปกเสื้อและไมค์ Shotgun ขนาดใหญ่ ทั้งในเรื่องของความดังและความใสของเสียง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติตามลักษณะ, ขนาดไมค์ แล้วก็ราคา
สามารถต่อใช้งานได้เฉพาะกับโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ไม่สามารถใช้งานกับกล้องถ่ายภาพได้
โทรศัพท์มือถือที่จะใช้งานได้ จะต้องมีช่องเสียบหูฟังขนาด 5mm
สถานการณ์ที่เหมาะกับการใช้งาน : ไมค์ตัวนี้เหมาะกับการใช้งานใน indoor ที่มีลักษณะเป็นห้องเงียบๆ เป็นหลัก หรือหากเป็นงาน Outdoor ก็ต้องเป็นสถานการณ์ที่เราเน้นความสะดวกในการใช้งานและการเคลื่อนไหวมากกว่าเรื่องของคุณภาพเสียง นอกจากนี้ไมค์ตัวนี้ยังเหมาะกับการนำไปติดบนโทรศัพท์มือถือที่ติดตั้งอยู่บน Gimbal หรือ Stabilizer เพราะด้วยน้ำหนักของไมค์ที่เบาทำให้ไม่เป็นภาระของ Gimbal และ Stabilizer โดยหากเราสามารถพูดใกล้ๆ กับไมค์นี้ได้ในระยะห่างไม่เกิน 15 cm จะทำให้คุณภาพเสียงดีขึ้น และสามารถตัดเสียงรอบๆ ตัวเราได้มากกว่าเดิมครับ
สามารถดูคลิปตัวอย่างเสียงของไมค์นี้ได้ที่คลิปด้านล่างนี้ หรือคลิกอ่านรีวิวฉบับเต็มของ Saramonic SmartMic ได้ที่นี่
ไมค์ตัวที่ 2 : Saramonic Vmic
ไมค์ Shotgun คุณภาพ ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นที่ครบครัน
ไมค์ตัวนี้เป็นไมค์ช็อตกัน (Shotgun) สำหรับติดหัวกล้อง มีคุณภาพเสียงที่ดี น้ำหนักเบา แบกไปทำงานแล้วไม่ทำให้รู้สึกหนักมาก มีฟังก์ชั่นในการใช้งานเยอะ แต่ก็ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก โดยในการใช้งานนั้นจะต้องทำการใส่ถ่านขนาด AA ด้วยจำนวน 2 ก้อน
จุดเด่น
เป็นไมค์ Shotgun ที่ให้ฟังก์ชั่นมาเยอะมาก โดยเฉพาะในระดับพิกัดราคา 5,000 บาท น่าจะหาไมค์รุ่นอื่น ยี่ห้ออื่นที่มีฟังก์ชั่นเยอะแบบนี้ได้น้อยมากๆ
สามารถเก็บเสียงได้ดี ชัดเจน เมื่อระยะห่างจากไมค์และพิธีกรด้านหน้าไม่เกิน 3 เมตร สำหรับงาน indoor และ 1.5 เมตร สำหรับงาน Outdoor
มีช่องเสียบหูฟังคอยมอนิเตอร์เสียง ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆ โดยเฉพาะการใช้งานกับกล้องที่ไม่มีช่องเสียบหูฟัง
คุณภาพการผลิตดี การจับถือและสัมผัสต่างๆ ให้ความรู้สึกที่แข็งแรง รวมทั้งยังมีน้ำหนักที่เบา
ปุ่มปรับระดับเสียงเพิ่มเป็น + 20 เดซิเบล สามารถช่วยให้เก็บสภาพเสียงต่างๆ ได้ชัดขึ้นมาก แต่ทั้งนี้ต้องระมัดระวังในการใช้งานด้วยว่าการเพิ่มเสียงแบบนี้จะเป็นการการเก็บเสียงต่างๆ เพิ่มทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเสียงพิธีกรหรือเสียงรอบข้าง
มีไฟแสดงสถานะเปิดปิดของไมโครโฟนชัดเจน ทำให้เรารู้ว่าเปิดหรือปิดไมค์อยู่
ใช้ถ่าน AA ซึ่งเป็นถ่านรุ่นที่หาซื้อได้ง่ายมาก สามารถซื้อได้ที่ 7-11 ทุกสาขา ไม่ต้องห่วงเรื่องแบตหมดกลางทางแล้วจะหาซื้อไม่ได้
อัตราการบริโภคพลังงานนั้นน้อยมาก โดยผมเคยทดลองถ่ายคลิปสั้นๆ ที่รวมกันแล้วมีความยาวเกือบ 2 ชั่วโมง แบตเตอรี่ก็ยังเหลือและสามารถใช้งานต่อได้ครับ
สาย TRS ที่ให้มาเป็นสายแบบที่ยืดได้ สะดวกในการใช้งานและการจัดเก็บ
สะดวกในการใช้งานเพราะไม่มีสายระโยงระยางจากพิธีกร ทำให้พิธีกรเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ รวมทั้งเมื่อถ่ายคลิปมาก็ไม่เห็นไมโครโฟนด้วย
จุดด้อย
เมื่อต้องการเก็บเสียงของพิธีกรที่อยู่ห่างจากไมโครโฟนเกิน 3 เมตร จะเก็บเสียงได้ไม่ค่อยดี และถูกเสียงรอบข้างกลบ โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้งาน Outdoor
ฟังก์ชั่น High Frequency Boost และ High Pass Filter นั้นหลังจากที่เปิดใช้งานแล้วต้องรอ 1-2 วินาที การทำงานจึงจะสมบูรณ์ ซึ่งจากที่ผมลองใช้งานมาในสถานการณ์ต่างๆ ผมยังไม่ค่อยรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างการเปิดและปิด โดยผมคิดว่าหากเรานำเสียงมาปรับแก้ในคอมพิวเตอร์ทีหลังน่าจะดีและยืดหยุ่นกว่าครับ
การปรับเพิ่มระดับเสียงเป็น +20 เดซิเบล จะทำให้เก็บเสียงต่างๆ ได้ดีขึ้นมาก แต่จะมีเสียงรอบข้างรวมทั้ง Noise เพิ่มขึ้นมาพอควร
ไม่มีไฟบอกสถานะการทำงานของ High Frequency Boost และ High Pass Filter ทำให้บางครั้งเราไม่แน่ใจว่าระบบเหล่านี้ทำงานอยู่หรือเปล่า
ขนาดใหญ่เกินไปสำหรับคนที่ต้องการไมค์ขนาดเล็กพกพาง่าย และด้วยตำแหน่งของ Hot Shoe ที่ไม่ได้อยู่ด้านหลังของไมโครโฟนทำให้เมื่อติดเข้ากับกล้องถ่ายรูปแล้วจะมีปัญหาเรื่องการใช้ตามองผ่านช่องมองภาพ (OVF) ของกล้อง ต้องใช้การมองภาพผ่านจอ LCD จึงจะสะดวกกว่า
สถานการณ์ที่เหมาะกับการใช้งาน : ไมค์ช็อตกันนั้นเป็นไมค์ที่เหมาะสำหรับการใช้งานในกรณีที่เราต้องการเก็บเสียงสภาพแวดล้อมเข้ามาด้วย หรือในสถานการณ์ที่เราไม่ต้องการให้ผู้ชมมองเห็นไมค์ รวมไปถึงในสถานการณ์ที่การถ่ายทำนั้นมีการเคลื่อนที่ไปมาเยอะทั้งพิธีกรและตากล้อง ซึ่งในสถานการณ์แบบนั้นการใช้ไมค์สายจะเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกเลย แต่ทั้งนี้ในการใช้ไมค์ช็อตกันนั้นเราต้องเข้าใจว่าระยะห่างระหว่างไมค์กับปากพิธีกรนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาได้ตามการเคลื่อนไหว ดังนั้นเสียงของพิธีกรจึงมีความสม่ำเสมอน้อยกว่าการใช้ไมค์ติดปกเสื้อ ซึ่งจากที่ผมได้ทดลองใช้งาน Saramonic Vmic มา ผมคิดว่าไมค์ตัวนี้เป็นไมค์ช็อตกันที่เก่งและเหมาะมากกับการใช้งานใน Indoor ที่พิธีกรอยู่ห่างจากไมค์ไม่เกิน 3 เมตร ส่วนการใช้งาน Outdoor นั้นควรจะใช้งานก็เมื่อต้องการเก็บเสียงพิธีกรหลายคนพร้อมกัน, ไม่สะดวกกับการใช้ไมค์สาย รวมถึงพิธีกรต้องสามารถอยู่ใกล้ไมโครโฟนมากๆ ได้ และไม่มีเสียงสภาพแวดล้อมที่ดังมากครับ เพราะไมค์ชนิดนี้จะทำการเก็บเสียงสภาพแวดล้อมเข้ามาด้วยมากพอสมควร
สามารถดูคลิปตัวอย่างเสียงของไมค์นี้ได้ที่คลิปด้านล่างนี้ หรือคลิกอ่านรีวิวฉบับเต็มของ Saramonic Vmic ได้ที่นี่
ตัวที่ 3 : Saramonic Audio Mixer with Lavalier Mic
ไมค์ติดปกเสื้อคุณภาพดี ที่มาพร้อมมิกเซอร์ขนาดกะทัดรัด
ไมค์ตัวนี้เป็นไมโครโฟนแบบสายที่มีคุณภาพเสียงดีมากๆ รวมทั้งยังมีฟังก์ชั่นที่ตอบสนองคนที่ถ่ายวีดีโอได้เป็นอย่างดีทั้งการต่อไมค์ได้ 2 Channel, การปรับเสียงเป็นแบบ Mono หรือ Stereo, ปุ่มปรับเพิ่มลดเสียง และช่องเสียบหูฟัง โดยไมค์ตัวนี้เป็นไมค์ที่ผมหยิบมาใช้งานบ่อยมากๆ ในกรณีที่ต้องการเสียงแบบเนี้ยบๆ และไม่มีปัญหาเรื่องของการเดินสายไมค์ครับ
จุดเด่น
คุณภาพของไมค์ลาวาเรียร์ที่ให้มานั้นดี เสียงใส ชัดเจน แม้จะใช้งานในที่ที่มีเสียงภายนอกรบกวนพอควร
ความยาวสายของไมค์นั้นเหมาะกับการใช้งานในหลายสถานการณ์ รวมทั้งมีคลิปติดปกเสื้อพร้อมกับฟองน้ำกันลมมาให้เรียบร้อย
มีประเภทของสาย output มาให้ถึง 3 ชนิด สามารถใช้กับอุปกรณ์ได้หลากหลาย ครอบคลุมทุกการใช้งาน
มี Mixer ให้ในชุด โดย Mixer นี้มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา สามารถต่อไมค์ได้ถึง 2 ตัว รวมถึงสามารถปรับระดับเสียง, มีช่องเสียบหูฟังคอยมอนิเตอร์ และเลือกระบบเสียงได้เลยว่าจะเอาเป็น Mono หรือ Stereo
ฟังก์ชั่นการปรับระดับเสียงให้ดังหรือเบาที่ Mixer นั้น ทำให้เราทำงานได้สะดวกมาก เพราะเวลาที่เราเจอสถานการณ์ที่เสียงจากสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน เราจะสามารถปรับระดับเสียงที่ Mixer เพื่อให้เสียงจากไมค์เหมาะสมกับที่เราต้องการได้ง่ายมาก
มีไฟแสดงสถานะการทำงานของ Mixer ชัดเจน และสามารถเปลี่ยนถ่านได้ง่าย
Mixer บริโภคพลังงานน้อย โดยจากที่ใช้งานมามากกว่า 30 วัน ถ่ายคลิปรวมกันมากกว่า 5 ชั่วโมง ถ่านก้อนแรกที่ใส่ไปยังคงสามารถใช้งานได้อยู่
ใช้ถ่าน AAA ซึ่งเป็นถ่านรุ่นที่หาซื้อง่ายมาก สามารถซื้อได้ที่ 7-11 ทุกสาขา ไม่ต้องห่วงเรื่องแบตหมดกลางทางแล้วจะหาซื้อไม่ได้
ทั้งสายต่อ output และสายแจ๊คของไมค์นั้นจะเป็นสายที่มีเกลียวโลหะมาให้ด้วย ทำให้เมื่อเวลานำไปต่อกับ Mixer จะมีความแข็งแรง ไม่หลุดแม้โดนกระชาก
จุดด้อย
พบปัญหาในการใช้งานกับมือถือบางรุ่น โดยเมื่อต่อสาย TRRS เข้ากับมือถือ Huawei P9 จะพบว่าบางครั้งก็สามารถ Detect ไมค์ได้ แต่หลายๆ ครั้งก็ไม่สามารถ Detect ได้ ทำให้ต้องค่อยตรวจเช็คทุกครั้ง และทำให้เกิดความล่าช้าในการทำงาน
เมื่อต่อไมค์ 2 ตัวพร้อมกัน (ไมค์คนละยี่ห้อ) ตัว Mixer จะไม่สามารถปรับให้เสียงจากไมค์ทั้ง 2 เท่ากันได้ เราจะต้องทำการปรับตำแหน่งไมค์แต่ละตัวเองเพื่อให้เสียงจากทั้งสองตัวมีระดับที่ใกล้เคียงกัน
ความสะดวกในการทำงานน้อยกว่า Wireless Mic ซึ่งเป็นเรื่องปกติของไมค์สายอยู่แล้ว
สถานการณ์ที่เหมาะกับการใช้งาน : ไมค์สายติดปกเสื้อชุดนี้เป็นไมค์ที่เหมาะสมมากทั้งการใช้งาน Indoor และ Outdoor โดยเฉพาะในกรณีที่เราต้องการเน้นเก็บเสียงพิธีกรเป็นหลัก ต้องการเสียงเนี้ยบๆ ใสๆ ไม่มีเสียงจากภายนอกรบกวน และต้องการความสม่ำเสมอของเสียงพิธีกรสูงแม้จะมีการเคลื่อนที่ไปมา เพราะจุดเด่นที่สำคัญของไมค์ติดปกเสื้อคือระยะห่างจากปากพิธีกรกับไมค์จะอยู่ในระยะเดิมตลอด อีกทั้งไมค์ชุดนี้ยังมีคุณภาพในการเก็บเสียงและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ยืดหยุ่นและดีมาก เพียงแต่ข้อด้อยของไมค์ชุดนี้คือจะสามารถรับเสียงของพิธีกรได้สูงสุดแค่ 2 คน, เก็บเสียงสภาพแวดล้อมได้ไม่ดีเท่าไมค์ช็อตกัน, ขาดความคล่องตัวในการทำงานในกรณีที่พิธีกรหรือกล้องมีการเคลื่อนที่ไปมาเยอะๆ เพราะมีโอกาสที่คนดูจะมองเห็นสายไมค์ได้ชัดเจน รวมถึงพิธีกรและช่างภาพอาจจะเคลื่อนไหวไปมาไม่ค่อยสะดวกเนื่องจากสายไมค์มักจะไปเกี่ยวกับสิ่งของต่างๆ
สามารถดูคลิปตัวอย่างเสียงของไมค์นี้ได้ที่คลิปด้านล่างนี้ หรือคลิกอ่านรีวิวฉบับเต็มของ Saramonic Audio Mixer with Lavalier Mic ได้ที่นี่
ก็จบลงแล้วสำหรับบทความนี้นะครับ หวังว่าจะได้ประโยชน์ไปบ้างไม่มากก็น้อย โดยในอนาคตหากผมได้มีโอกาสใช้ไมค์ชนิดอื่นเพิ่มเติม เช่น ไมค์ไวเลส (Wireless Microphone) ผมจะนำมาเขียนเพิ่มในบทความนี้นะครับ ทั้งนี้หากใครต้องการติดตามเรื่องราวการกินและเที่ยวของผมแบบใกล้ชิดก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป