Race Note นี้ คือ บันทึกความทรงจำของภรรยาผม (ต๋ง) ที่เค้าตัดสินใจจะลงงานวิ่งระยะ Full Marathon 42.195 km เป็นครั้งแรกครับ โดยงานที่เค้าตัดสินใจลงสมัครก็คือ Fujisan Marathon ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนของปี 2566 งานวิ่งที่ใคร ๆ ก็เอ่ยปากชมว่าวิวสวย บรรยากาศดี กองเชียร์คึกคัก และอาหารการกินระหว่างทางจัดเต็มมาก และถือเป็นหนึ่งในงานวิ่งระยะมาราธอนที่คนรักการวิ่งไม่ควรพลาดเลย

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วไปติดตามบันทึกความทรงจำครั้งนี้กันได้เลยครับ

หมายเหตุ : สำหรับใครที่อยากจะดูภาพบรรยากาศของเรซนี้แบบเต็ม ๆ สามารถดูได้ที่คลิปวีดีโอล่างสุดของบทความนี้เลยนะครับ

ชื่องาน : Fujisan Marathon 2023

วันที่วิ่ง : วันอาทิตย์ที่ 26 พ.ย. 66

สถานที่วิ่ง : รอบทะเลสาบคาวากูจิโกะ และทะเลสาบไซโกะ ประเทศญี่ปุ่น

ระยะวิ่งที่เปิดรับสมัคร : 11 km, 29 km และ 42.195 km

ระยะที่วิ่ง : Full Marathon 42.195 km

ค่าสมัคร : 25,000 เยน + ค่าธรรมเนียม 3,000 เยน

ชื่อ : Resort Inn Fujihashi

Google Map : https://maps.app.goo.gl/gtGDbJJABmgUht8V7

ป้ายรถบัส : ใกล้ ๆ กับป้ายรถเรโทรสายสีแดงและสีเขียว หมายเลข 3 “Chigasaki”

ราคาที่พวกเราจองได้ : ประมาณ 1,500 บาท/ห้อง/คืน (1 ห้องพักได้ 2 คน เฉลี่ยคนละ 750 บาท/คืน)

ช่องทางจอง : https://bit.ly/47zk2bi

พิกัดที่ตั้งของโรงแรมที่พวกเราพักนั้นจะอยู่ห่างจากจุดสตาร์ทประมาณ 1 กม. นะครับ เดินชิล ๆ ประมาณ 10 นาทีก็ถึง และบริเวณหน้าโรงแรมนั้นจะเห็นฟูจิซังชัดมากครับ

Resort Inn Fujihashi
Resort Inn Fujihashi

ก่อนที่ต๋งจะไปวิ่งที่งานนี้ ต๋งยังไม่เคยวิ่งระยะมาราธอนมาก่อนเลยนะคะ เต็มที่ก็แค่ฮาล์ฟมาราธอนเท่านั้น และต๋งเคยคิดว่าไม่วิ่งหรอกมาราธอน มันเหนื่อยเกิ๊นนนนน และพอมาได้ลองวิ่งจริงก็เหมือนกับที่คิดไว้เลยค่ะคือ….เหนื่อยจริ๊ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันก็คุ้มค่ากับความพยายามนะ และถือว่าปลดล็อคความสำเร็จหนึ่งในชีวิตที่แสนจะภาคภูมิใจได้เลยค่ะ

จุดเริ่มต้นการไปวิ่งงาน Fujisan Marathon เพื่อเป็น My First Marathon ของต๋งนั้น เริ่มจากต๋งอยากจะลองก้าวข้ามคำว่าเป็นไปไม่ได้ด้วยการท้าชนมันซักตั้งค่ะ ประกอบกับมีพี่ท่านหนึ่งป้ายยาว่างาน Fujisan Marathon ที่ญี่ปุ่นนั้นวิวสวยงามอลังการควรค่าแก่การไปวิ่งมาก ๆ ต๋งก็เลยหาข้อมูลดูแล้วก็พบว่าคนไทยไปวิ่งที่งานนี้กันเยอะพอควรเลยค่ะ และงานนี้มันก็สมัครง่ายด้วย ใครสมัครก่อนได้ก่อนเลย ไม่ต้องลุ้นล็อตโต้ให้วุ่นวายใจ แถมกว่าคนจะสมัครเต็มก็หลายเดือนมากด้วย แต่ ๆๆๆๆๆ สิ่งที่ยากในการเข้าร่วมวิ่งงานนี้ก็คือการหาที่พักที่คาวากูจิโกะค่ะ เพราะที่พักที่อยู่ใกล้ ๆ จุดสตาร์ทและราคาไม่แรงเท่าไหร่นั้นมีไม่ค่อยเยอะ แถมเต็มไวสุด ๆ เลยล่ะ

ทั้งนี้ในปี 2023 ที่ต๋งวางแผนไปวิ่ง ทางงานเค้าประกาศวันแข่งค่อนข้างช้ามากเลยนะคะ ต๋งก็เลยใช้วิธีการคาดการณ์เอาจากปีก่อน ๆ ว่ามันมักจะจัดในวันอาทิตย์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน จากนั้นต๋งก็รีบจองที่พักที่เล็งไว้ก่อนเลยค่ะ โดยจองแบบ 3 คืนคร่อมหน้าหลังวันวิ่ง เพราะแพลนที่จะเที่ยวละแวกนั้นด้วย และเลือกการจองแบบที่สามารถยกเลิกได้เอาไว้ก่อน เผื่อมีอะไรฉุกเฉินหรือผิดแผนจะได้ไม่มีปัญหาค่ะ

ต๋งเลือกพักที่ “Resort Inn Fujihashi” นะคะ ราคาต่อคืนไม่แรงมาก เพียงแค่ 1,500 บาท/คืน เท่านั้น (พัก 2 คนก็ตกแค่คนละ 750 บาท/คืน ค่ะ) โดยจุดที่ดีมาก ๆ ของ Resort Inn Fujihashi ก็คืออยู่ห่างจากจุดสตาร์ทประมาณ 1 กม. สามารถเดินไปจุดสตาร์ทได้สบาย ๆ แถมยังอยู่ใกล้แหล่งร้านอาหาร, ร้านสะดวกซื้อ และป้ายรถบัสด้วย ใครที่สนใจและอยากอ่านรีวิวที่พักเต็ม ๆ ก็สามารถกดอ่านที่ลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

ห้องของ Resort Inn Fujihashi
อาหารเช้าของ Resort Inn Fujihashi
วิวแถวที่พัก Resort Inn Fujihashi

จากนั้นพอช่วงเดือนพฤษภาคม ทางงานก็เริ่มเปิดรับสมัครค่ะ และวันแข่งก็ตรงกับที่คาดการณ์ไว้เด๊ะ โชคดีสุด ๆ เลยค่ะ โดยในปี 2023 นั้นทางงานเค้ามีการเพิ่มเส้นทางระยะใหม่ 29 กม. ที่เป็นการวิ่งรอบทะเลสาบคาวากูจิโกะมาอีกระยะด้วยนะคะ ทำให้ปีนั้นมีการวิ่งทั้งหมด 3 ระยะด้วยกัน คือ 11กม., 29 กม. และ 42.195 กม. ค่ะ

เอาล่ะ มาว่ากันที่การซ้อมมาราธอนแรกกับระยะเวลาทั้งหมด 4 เดือนกันดีกว่าค่ะ โดยส่วนตัวต๋งจะไม่ได้เข้มมากว่าต้องซ้อมอะไรวันไหน จะเป็นการปรับตามสถานการณ์และสภาพอากาศเอานะคะ โดยแผนการซ้อมของต๋งแบบคร่าว ๆ ก็ตามนี้เลยค่ะ

  • ใน 1 สัปดาห์ ซ้อมวิ่ง 5 วัน Weight training 1 วัน พัก 1 วัน
  • ต๋งไม่ได้ฝึก Interval training เลย แต่ใช้การออกกำลังกายจำพวก HIIT หรือ Circuit training เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและระบบการหายใจแทนค่ะ
  • ซ้อมวิ่ง long run เดือนละ 2 ครั้ง ค่อย ๆ เพิ่มระยะไม่เกิน 10% จากที่ทำได้สูงสุด ซ้อมให้ได้ระยะสูงสุดที่ 32 กม. ก็เพียงพอแล้วค่ะ
  • ในวันที่ซ้อม long run จะซ้อมใส่เสื้อผ้า อุปกรณ์เหมือนวันแข่ง เพื่อดูว่าใช้งานจริงได้หรือไม่ รวมถึงซ้อมกินน้ำ กินเจลตามระยะที่กำหนดไว้ด้วยค่ะ
  • 2 เดือนก่อนแข่ง ให้ลงงาน Half Marathon ไว้ 1 ครั้ง เพื่อให้เราคุ้นชินกับอุปกรณ์ต่าง ๆ การรับน้ำ การทานเจล และการอยู่ในบรรยากาศการแข่งขันค่ะ
  • 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนแข่ง ให้ลดความเข้มข้นของการซ้อมลง ให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและผ่อนคลายค่ะ

ส่วนสิ่งที่น่ากังวลสำหรับการไปวิ่งในต่างประเทศก็คือ สภาพอากาศที่เราไม่คุ้นเคยนี่แหละค่ะ ก่อนเดินทางเราเช็คพยากรณ์อากาศอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนช่วงนั้นบริเวณทะเลสาบคาวากูจิโกะจะมีสภาพอากาศแปรปรวนในระดับนึง บางช่วงก็บอกว่ามีฝน บางช่วงก็บอกว่าอากาศติดลบ ทำให้หวั่นใจเรื่องชุดที่จะใช้วิ่งพอสมควรเลยค่ะ จน 3-4 วันสุดท้ายก่อนวันงาน พยากรณ์อากาศดูเหมือนจะเป็นใจ อากาศแจ่มใสที่อุณหภูมิ 6-15 องศา ทำให้เราอุ่นใจขึ้นเยอะ เพราะก่อนหน้านี้เราได้มีโอกาสไปซ้อมวิ่งที่เมืองเฉินตู ประเทศจีน ที่อุณหภูมิราว ๆ 10-12 องศามาแล้ว ทำให้เราประเมินได้ง่ายขึ้นว่าชุดที่ใช้วิ่งจะเป็นยังไงค่ะ

วันวิ่งจริง ต๋งตัดสินใจใส่ชุดวิ่งที่คุ้นเคย เสื้อวิ่งแขนสั้น กางเกงขาสั้น หมวกกันแดด และสวมเสื้อกันลมทับท่อนบน ส่วนท่อนล่างนั้นมีเพียงที่รัดน่องเฉย ๆ ค่ะ

สำหรับการวิ่งในครั้งนี้ต๋งไปกับสามีและรุ่นน้องอีก 1 คนนะคะ รวมเป็น 3 คน แต่ว่าสามีกับรุ่นน้องเค้าลงระยะ 29 กม. กัน มีเพียงต๋งคนเดียวเท่านั้นที่ลงระยะฟูลมาราธอน 42.195 กม. ค่ะ

ก่อนเริ่มปล่อยตัวประมาณ 15 นาที ต๋งและสามีก็ไปยืนรอที่บล็อค D ค่ะ โดยในปีนั้นการวิ่งในระยะ Full Marathon และระยะ 29 กม. จะสตาร์ทพร้อมกันเลยค่ะ โดยหลังจากที่บล็อค A เริ่มปล่อยตัวในเวลา 9.00 น. ชาวบล็อกหลัง ๆ ก็ค่อย ๆ เคลื่อนที่ตามกันไปเรื่อย ๆ และกว่าที่ต๋งจะผ่านจุดสตาร์ทได้ก็ใช้เวลาเกือบ 9 นาทีเลย ดังนั้นใครที่รู้ตัวว่าวิ่งช้า และได้สตาร์ทบล็อกหลัง ๆ ก็ต้องซ้อมแบบเผื่อเวลาตรงนี้ด้วยนะคะ เพราะระยะเวลาคัทออฟในแต่ละจุดนั้นเค้าจะยึดจาก Gun time เป็นหลักค่ะ หากถึงเวลาที่กำหนดแล้วเรายังไม่ผ่านจุดนั้นก็จะไม่ได้ไปต่อน้า

หมายเหตุ : ปริมาณคนที่ร่วมแข่งขันในปี 2023 น่าจะเกือบ ๆ 10,000 คนได้ค่ะ ส่วนบล็อคสตาร์ทนั้นจะถูกกำหนดจากเวลาที่เราระบุตอนสมัครนะคะ

ในช่วงแรกของการวิ่งนั้นจะเป็นการวิ่งในตัวเมืองคาวากูจิโกะ ผ่านบ้านเรือนน่ารัก ๆ ค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่นักวิ่งยังคงหนาแน่นทำเวลาได้ยากมาก ต้องอาศัยการแทรกตัวและการวิ่งบนฟุตบาทแทน โดยในช่วง กม. ที่ 1-4 เราจะได้เห็นคุณฟูจิออกมาทักทายในระยะประชิด สวยเด่นเต็มตาจนอดที่จะหยุดถ่ายรูปไม่ได้เลยค่ะ (เวลาของต๋งเมื่อผ่าน 5 km แรก อยู่ที่ 34.15 นาที)

ในช่วงถัดไปเส้นทางวิ่งจะเริ่มลัดเลาะไปทางทะเลสาบคาวากูจิโกะ ผ่านหลายจุดที่มีใบไม้เปลี่ยนสีสวย ๆ รวมถึงอุโมงค์ต้นไม้หลากสีค่ะ โดยถึงแม้ปีนี้ใบไม้จะโรยไปบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงความสวยงามอยู่มาก และในการวิ่งช่วงนี้กองเชียร์ก็คึกคักมากค่ะ มีทั้งวงดนตรีบรรเลง และทีมมือกลองสไตล์ญี่ปุ่นมาส่งกำลังใจให้เพียบ ส่วน กม. ที่ 9 นั้นจะเป็นจุดให้น้ำและอาหารนะคะ ของกินเพียบ ทั้งน้ำดื่ม, น้ำเกลือแร่, กล้วย, ขนมต่าง ๆ รวมถึงขนมปังก้อนใหญ่บึ้มอันเป็น signature ของงานนี้ด้วยค่ะ (เวลาของต๋งเมื่อผ่าน 10 km อยู่ที่ 1.05.58 ชั่วโมง)

เส้นทางวิ่งช่วงนี้จะเริ่มเบี่ยงขวาเพื่อข้ามสะพานคาวากูจิโกะค่ะ โดยที่ กม.13 เราจะอยู่กลางสะพานพอดี และที่จุดนี้หากเรากลับหลังหันไปก็จะเจอคุณฟูจิทักทายเราอีกครั้งพร้อมกับวิวที่โคตรสวย บอกเลยว่าจุดนี้คนหยุดถ่ายรูปกันเพียบ ยืนบนสะพานเห็นน้ำในทะเลสาบและมีฟูจิเป็นฉากหลังในวันฟ้าใส ดีต่อใจสุด ๆ และต๋งต้องขอบคุณเพื่อนนักวิ่งแถวนั้นมาก ๆ ที่กรุณาหยุดถ่ายรูปให้ด้วยนะคะ (เวลาของต๋งเมื่อผ่าน 15 km อยู่ที่ 1.39.45 ชั่วโมง)

ถัดจากช่วงที่เป็นสะพานจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนรอบทะเลสาบอีกครั้ง แถว ๆ ป้ายรถบัสยอดฮิตของเหล่านักท่องเที่ยวค่ะ โดยเราจะวิ่งผ่าน Kawaguchiko Music Forest Musuem และผ่านอุโมงค์ใบเมเปิ้ลที่มองไปเห็นใบไม้สีแดงเป็นแนวยาวเหยียด โดย ณ จุดนี้หากเรามองไปทางซ้ายมือเราก็จะเห็นคุณฟูจิยิ้มทักทายอย่างชัดเจนเป็นช่วงระยะเวลายาว ๆ เลยค่ะ ถือเป็นการวิ่งที่ดีต่อใจมาก ๆ เลย (เวลาของต๋งเมื่อผ่าน 20 km อยู่ที่ 2.15.35 ชั่วโมง)

นักวิ่งระยะ 29 km กับ Full Marathon จะวิ่งซ้อนกันถึงแค่ระยะประมาณนี้นะคะ โดยช่วง กม.ที่ 21 นักวิ่ง Full Marathon จะวิ่งเบี่ยงขวาขึ้นเขาเพื่อมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบไซโกะ ซึ่งจุดบริการน้ำท่าและอาหารก่อนที่จะแยกขึ้นเขานั้นช่วยเติมพลังได้มาก ๆ เลยค่ะ มีองุ่นไซมัสคัสให้ทานที่จุดนี้ด้วย อร่อยสุด ๆ ต๋งอยากจะยืนกินให้เต็มที่มาก ๆ แต่ก็กลัวจะจุกเกินไปจนวิ่งต่อไม่ไหว ก็เลยกินแค่นิดหน่อยแล้วก็ออกวิ่งต่อค่ะ

อ้อ เนินช่วงนี้ค่อนข้างชันและยาวต่อเนื่องนะคะ หลายคนจึงเลือกเซฟแรงด้วยการเดินหรือวิ่งซอยเท้าถี่ ๆ โดยจุดนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดชี้ชะตาเลย มีหลายคนที่เหนื่อยล้าหรือเกิดอาการบาดเจ็บที่จุดนี้จนทำให้ต้องออกจากการแข่งขันไปเยอะเลย แล้วก็ระหว่างทางที่เราวิ่งขึ้นเขาอันสูงชันอยู่นั้นก็จะมีแก๊งค์หนุ่ม ๆ นักเรียนชาวญี่ปุ่นมาคอยแปะมือส่งพลังให้ที่ริมถนนด้วยนะ ช่วยเสริมสร้างพลังใจให้ฮึกเหิมขึ้นมาได้เยอะเลยค่ะ (เวลาของต๋งเมื่อผ่าน 25 km อยู่ที่ 2.51.35 ชั่วโมง)

เส้นทางวิ่งช่วงนี้จะเป็นการวิ่งรอบ ๆ ทะเลสาบไซโกะค่ะ บรรยากาศค่อนข้างสงบร่มรื่น มีใบไม้หลากสีอยู่ตลอดสองข้างทาง และเรายังคงมองเห็นภูเขาไฟฟูจิอยู่ค่ะ แต่ระยะจะดูห่างขึ้น ไม่ได้เห็นเต็มตาเหมือนกับในช่วงแรก โดยที่จุดสูงสุดของเส้นทางนี้จะมีจุดให้บริการข้าวปั้นและซุปมิโซะร้อน ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของงานนี้ด้วย รวมไปถึงพวกน้ำดื่ม, น้ำเกลือแร่, กล้วย และขนมปังก็ยังคงมีแบบจัดเต็มเช่นเดิม โดยพื้นที่ตรงนี้เค้าจะทำเป็นลานกว้างเอาไว้เลย และมีนักวิ่งหยุดพักกันที่จุดนี้กันเยอะมาก บางคนก็กินกันแบบจริงจังสุด ๆ แต่ต๋งนั้นไม่กล้ากินอะไรเยอะมาก เพราะกลัวจุกและยังต้องวิ่งต่ออีกไกลค่ะ (เวลาของต๋งเมื่อผ่าน 30 km อยู่ที่ 3.29.19 ชั่วโมง)

ตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่ช่วงของการลงเนินแล้วค่ะ เป็นช่วงที่ทำความเร็วได้ดีเลย ส่วนในเรื่องบรรยากาศนั้นท่อนนี้จะค่อนข้างเหงา ๆ หน่อย วิ่งผ่านป่า ผ่านอุโมงค์ และทะเลสาบอีกครั้ง แต่อยู่ในมุมที่มองไม่เห็นคุณฟูจิแล้วค่ะ โดยที่จุดให้น้ำระยะนี้จะมีการแจกเจลเพิ่มพลังด้วยนะ และหากนับระยะมาถึงตอนนี้มันก็เป็นระยะที่ต๋งเคยวิ่งมาได้ไกลที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ ทั้งน่องและต้นขาก็ค่อนข้างตึงและล้าพอตัวเลย ต๋งก็เลยมีการหยุดพักเพื่อยืดร่างกายหน่อยค่ะ (เวลาของต๋งเมื่อผ่าน 35 km อยู่ที่ 4.03.17 ชั่วโมง)

ช่วง กม. นี้ คือช่วงที่หลาย ๆ คนบอกว่ามันคือช่วงระยะที่ชี้วัดนักวิ่งมาราธอนเลยค่ะว่าจะอยู่หรือไป ดังนั้นต๋งจึงไม่ประมาท พยายามคุมสปีดให้อยู่ในระดับที่วิ่งสบาย โฟกัสที่ท่าทางการวิ่งเป็นหลักเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ และใช้โอกาสแวะถ่ายรูปเป็นการแอบอู้พักเล็กน้อยในบางช่วง โดยจากที่ต๋งสังเกตช่วงนี้มีนักวิ่งหลายคนเริ่มเดิน บางคนก็หยุดยืดเหยียด บางคนก็มีการอาเจียนนอนพับอยู่ข้างสนามค่ะ แต่นักวิ่งคนไทยหลายคนก็ยังกำลังใจดีนะคะ มีการส่งเสียงให้กำลังใจกันตลอดทาง น่ารักมาก ๆ เลย (เวลาของต๋งเมื่อผ่าน 40 km อยู่ที่ 4.38.51 ชั่วโมง)

ยิ่งใกล้เส้นชัยใจยิ่งฮึกเหิมค่ะ พยายามเร่งฝีเท้าขึ้นตามที่ใจสั่ง แต่ก็กลายเป็นว่าขาดันก้าวไม่ค่อยจะออกซะงั้น ก็เลยวิ่งไปพิมพ์ไลน์บอกคุณสามีไปว่าใกล้ถึงแล้ว ให้นางสแตนบายกล้องรอถ่ายรูปด้วยนะ ฮ่า ๆ

อ้อ ถนนช่วงนี้ไม่โล่งเท่าไหร่นะคะ เพราะจะมีนักวิ่งที่เข้าเส้นชัยแล้วเดินสวนกลับมากันเยอะเลย โดยหลายคนก็มาช่วยปรบมือให้กำลังใจ และตรงเกือบจะถึงเส้นชัยต๋งก็ได้เจอคุณเต้ย พงศกรตะโกนบอกว่า “สู้ๆ นะคร้าบบบ” ด้วยแหละ กำลังใจก็เลยพุ่งปรี๊ด โค้งสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัยเลยกดฝีเท้าเร่งแซงไปได้อีก 3 คน และเข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่ 3056 ด้วยเวลา 4.53.18 ชั่วโมงค่ะ

เป็นมาราธอนแรกที่ต๋งเอนจอยและมีความสุขมากค่ะ วิวสวย อากาศดี วิ่งไปเรื่อย ๆ ตามจังหวะ ไม่เร่ง ไม่บีบคั้น ไม่แคร์เวลา สนุกสนานกับบรรยากาศรอบด้าน ชื่นชมวิวทิวทัศน์ และรื่นรมย์กับอาหารต่าง ๆ ตลอดเรซ มันเป็นการวิ่งที่ไม่รู้สึกทรมานเลย ไม่มีอาการบาดเจ็บใด ๆ ไม่เจอปีศาจที่กิโลไหน ๆ ทั้งนั้น และต๋งเชื่อว่าเมื่อเราไม่ประมาท ซ้อมให้ถึง แวะดื่มน้ำเติมพลังงานตามเวลา เราก็จะสามารถพิชิตมาราธอนแรกได้อย่างสวยงามค่ะ และมันจะเป็นความทรงจำดี ๆ ที่จะประทับอยู่ในใจเราตลอดไปเลยค่ะ

หมายเหตุ : การเติมน้ำหรือพลังงานต่าง ๆ นั้นควรอยู่ในแผนการฝึกซ้อมของเราด้วยนะคะ เพื่อให้ร่างกายเราได้ฝึกฝนการดึงพลังงานมาใช้ในช่วงที่เราต้องการค่ะ อย่างเจลเพิ่มพลังที่ต๋งพกติดไปในเรซก็ล้วนแต่เป็นตัวที่ต๋งเคยทดลองทานแล้วทั้งสิ้น (บางคนไม่เคยทานอาจจะไม่ชินรสชาติหรือเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วนได้) ส่วนในเรซต๋งก็แวะดื่มน้ำเปล่า น้ำเกลือแร่ กินขนมและผลไม้ทุกสเตชั่นเลย หากช่วงไหนจุดให้น้ำห่างหน่อยก็จะดื่มน้ำที่พกไปเอง และทานเจลเพิ่มพลังทุก 8 กม. ค่ะ

ก็จบลงแล้วนะคะกับ Race Note Fujisan Marathon 2023 ซึ่งเป็นการวิ่งมาราธอนครั้งแรกของต๋ง ก็หวังว่า Race Note นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่เข้ามาอ่านนะคะ และขอให้ทุกคนมีความสุขกับวิ่ง โดยเฉพาะการไปวิ่งที่สนามนี้ค่ะ Fujisan Marathon วิวสวย บรรยากาศดี ทุกอย่างเลิศ ควรค่าแก่การไปมากค่ะ!!

Facebook : Fujisan Marathon

Website : https://mtfujimarathon.com/english/