สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผม นาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะพาทุกคนไปเที่ยวสถานที่ที่ผมอยากจะไปมากตั้งแต่ที่ได้เห็นภาพที่มีคนแชร์มา โดยสถานที่นี้ก็คือ Zao Fox Village หรือหมู่บ้านจิ้งจอก แห่งเมืองมิยากิ (Miyagi) ประเทศญี่ปุ่นครับ
สำหรับการเดินทางไปที่หมู่บ้านแห่งนี้ โดยส่วนตัวผมว่าไม่ยากนะครับ เพียงแต่เราต้องมีเงินหรือเวลาซักหน่อย T_T โดยเส้นทางการเดินทางหลักนั้น จะนิยมใช้กัน 3 วิธีดังนี้นี้ครับ
- นั่งรถบัสจากสถานี Shiroishi (ชิโรอิชิ) ไปยังหมู่บ้านจิ้งจอก ใช้เวลานั่งรถประมาณ 50 นาที ค่ารถคนละ 200 เยน โดยจะมีรถบัสให้บริการเฉพาะวันอังคารและศุกร์ ในเวลา 7.58 น. และ 13.35 น. เท่านั้น
- นั่งรถบัสจากปราสาทชิโรอิชิ (Shiroishi Castle) ไปยังหมู่บ้านจิ้งจอก ใช้เวลานั่งรถประมาณ 45 นาที ค่ารถคนละ 500 เยน โดยรถบัสจะให้บริการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด วันละ 2 เที่ยว ในช่วงเวลา 9.30 น. และ 11.30 น. และรถบัสนี้จะเปิดให้บริการในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ถึงวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2561 เท่านั้น
- นั่ง Taxi จากสถานี Shiroishi หรือ Shiroishizao โดยค่ารถ Taxi จะ ประมาณ 4,000 เยน/เที่ยว (สามารถนั่งได้สูงสุด 4 คน)
หมายเหตุ : สถานี Shiroishi จะเป็นสถานี JR ธรรมดา ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวประมาณ 120-150 นาทีแล้วแต่ขบวน ส่วนสถานี Shirosishizao จะเป็นสถานีชินคันเซน (Shinkanzen) ใช้เวลานั่งรถไฟจากโตเกียวประมาณ 110 นาที (เวลาการเดินทางของรถไฟอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ก่อนเดินทางควรเช็คข้อมูลจาก www.hyperdia.com ก่อนทุกครั้ง)
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น


สำหรับผมกับต๋งเราวางแผนการเดินทางไปยัง Fox Village ในวันอังคาร ดังนั้นวิธีการเดินทางที่เราเลือกก็คือนั่งรถบัสจากสถานี Shiroishi โดยเที่ยวรถบัสที่เราเลือกก็คือเวลา 7.58 น. เพราะหากเราเลือก 13.35 น. เราจะไปถึงที่ Fox Village ตอน 14.20 น. ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีรถบัสกลับสถานีแล้ว และเราต้องนั่งรถ Taxi กลับเพียงอย่างเดียวครับ ดังนั้นใครที่อยากจะไปที่นี่แบบประหยัดก็ต้องตื่นให้เช้าและห้ามพลาดเที่ยวรถเที่ยวแรกตอน 7.58 น. เด็ดขาดครับ
นี่เป็นภาพของสถานี Shiroishi สถานีนี้เป็นสถานีที่ไม่ใหญ่มาก ภายในสถานีมีร้านสะดวกซื้อ NewDays เล็กๆ อยู่ 1 ร้าน ส่วนด้านนอกสถานีทางด้านซ้ายจะมี FamilyMart ที่มีขนาดใหญ่อยู่ โดยผมแนะนำให้ทุกคนที่จะไป Zao Fox Village ซื้อของกินไปให้พร้อมทั้งอาหาร, เครื่องดื่ม และขนม เพราะที่ Fox Village แทบจะไม่มีอาหารและเครื่องดื่มบริการเลย หากใครเตรียมตัวไปไม่ดีมีหวังหิวจนท้องร้องแน่ๆ




สำหรับใครที่เลือกจะนั่ง Taxi ไปจากสถานีนี้ก็สามารถเรียกใช้บริการที่หน้าสถานีได้เลยครับ โดยผมแนะนำว่าควรจะหาคนมาช่วยหารด้วยไม่งั้นโดนค่า Taxi อ่วมแน่ๆ (เราสามารถนั่งได้สูงสุด 4 คน/คัน ครับ)

ส่วนจุดรอรถบัสที่เป็นพระเอกของเรา เพราะค่าบริการถูกแสนถูกเพียงคนละ 200 เยน/เที่ยว จะอยู่ที่ด้านซ้ายมือของสถานี หาไม่ยาก หันไปมองแป๊บเดียวก็เจอครับ

โดยปกติแล้วรถบัสของประเทศญี่ปุ่นนี่จะมาตรงเวลาๆ มาก แต่ในวันที่ผมไปนั้นรถมาช้ากว่าปกติประมาณ 15 นาที ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นเพราะสภาพอากาศที่ไม่ค่อยดี หิมะตกแทบจะตลอดทำให้รถไม่สามารถทำความเร็วเท่ากับปกติได้ แต่อย่างไรก็ตามผมแนะนำว่าแม้อากาศจะหนาว อากาศจะไม่ดีแค่ไหน ทุกคนควรจะไปยืนรอที่ป้ายรถล่วงหน้าซัก 5 นาที เพราะถ้าพลาดแล้วคือพลาดยาวเลยนะครับ
อ้อ ที่ป้ายรถนี้จะมีรถบัสวิ่งเข้ามาจอดหลายสายมากๆ ซึ่งจุดสังเกตในการขึ้นรถให้ถูกของเราจะมี 4 อย่างดังนี้ ถ้าใครทำตามซัก 2 ใน 4 ข้อ ก็ไม่น่าพลาดในการขึ้นรถครับ
- ดูเวลาที่รถจอด ว่าตรงกับเวลาของรถที่เราจะขึ้นหรือไม่
- ดูว่าที่ข้างรถมีคำว่า Fox Village ติดอยู่หรือเปล่า
- สังเกตคนข้างหน้าว่าเค้าขึ้นรถคันไหนเยอะ เพราะที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติไปกันพอสมควร
- ถามคนขับสั้นๆ ว่า “Fox Village” เดี๋ยวเค้าจะพยักหน้าหรือส่ายหน้าเองครับ


หลังจากที่ขึ้นรถแล้ว เราก็ต้องใช้เวลานั่งรถประมาณ 50 นาที ซึ่งหากใครที่ไปที่นี่ในช่วงฤดูหนาว และมีหิมะตกแล้ว ก็จะได้เห็นวิวสองข้างทางที่สวยมากๆ ครับ

สำหรับวันนี้ผมกับต๋งใช้เวลานั่งรถบัสประมาณ 65 นาที ซึ่งนานกว่าปกติถึง 15 นาที เพราะสภาพอากาศไม่ค่อยดี มีหิมะตกตลอดเวลาเลยครับ และนี่ก็คือบริเวณทางเข้า Zao Fox Village ซึ่งที่จุดนี้เค้าจะมีจุดรอรถบัสขากลับอยู่ หากใครจะนั่งรถบัสกลับต้องมายืนรอที่นี่ตอน 14.15 น. และผมแนะนำเหมือนเดิมว่า ควรมายืนรอล่วงหน้าอย่างน้อย 5 นาทีนะครับ



ภาพบรรยากาศบริเวณด้านหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปที่ Zao Fox Village สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป และไม่ค่อยได้เห็นหิมะแบบผม ผมว่ามันเป็นภาพที่สวยดีนะครับ หิมะขาวๆ นุ่มๆ กับบ้านที่สงบในธรรมชาติ ดูแล้วชอบมาก





หลังจากเราเข้าไปใน Fox Village แล้ว เราจะเจอกับจุดจำหน่ายตั๋วแบบนี้ โดยราคาค่าเข้าของที่นี่จะ 1,000 เยน/คน สำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 13 ปีขึ้นไป ส่วนใครที่อายุน้อยกว่านั้นก็เข้าฟรีครับ และสำหรับเวลาเปิดปิดของที่นี่ก็ตามนี้เลยครับ
ช่วงระหว่างวันที่ 16 มี.ค. – 30 พ.ย. : เปิด 9.30 – 17.00 น. (ปิดทุกวันพุธ)
ช่วงระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. – 15 มี.ค. : เปิด 9.30 – 16.00 น. (ปิดทุกวันพุธ)
หมายเหตุ : นอกจากที่นี่จะปิดทุกวันพุธแล้ว ยังมีการปิดบริการในวันอื่นๆ ที่เป็นวันหยุดพิเศษของญี่ปุ่นด้วย โดยทุกท่านสามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ รวมถึงวิธีการเดินทางไปแบบ update ได้ที่ http://zao-fox-village.com/en

หลังจากที่เราจ่ายเงินค่าเข้าเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จะถามเราว่าเราเป็นคนประเทศอะไรเพื่อที่เค้าจะได้อธิบายกติกาการเข้าไปใน Fox Village ได้อย่างถูกต้อง สำหรับคนไทยอย่างเราก้ต้องเลือกภาษาอังกฤษนะครับ โดยรายละเอียดคร่าวๆ ที่ผมสรุปใจความสำคัญมาให้ทุกคนอ่านก็มีดังนี้ครับ
- ห้ามจับหรือสัมผัสจิ้งจอกและกระต่าย เพราะพวกเค้าอาจจะกัดคุณได้
- ระวังพวกสายต่างๆ ที่ห้อยออกจากตัว เช่น สายโทรศัพท์, สายกระเป๋า, พวงกุญแจ เพราะจิ้งจอกจะคิดว่าเป็นอาหารแล้วเข้ามาแย่งไป
- ระวังห้ามทำอะไรหล่น เดี๋ยวจะโดนจิ้งจอกขโมยไปซ่อน @_@
- หากใครมีเด็กตัวเล็กๆ มาด้วย เพื่อความปลอดภัย ควรอุ้มหรือเดินจูงมือใกล้ๆ ตลอดเวลา
- ห้ามนั่งยองๆ ในเขตพื้นที่เปิด (Pasture Area) เพราะจิ้งจอกอาจจะเข้ามากัดหรือฉี่ใส่!!
- ถ้าใครต้องการให้อาหารจิ้งจอกในพื้นที่เปิด (Pasture Area) ต้องให้ในจุดที่เค้ากำหนดเท่านั้น และการให้อาหารต้องใช้การโยนลงไป ห้ามป้อนใส่ปากจิ้งจอกโดยตรง
- สำหรับคนที่ซื้ออาหารจิ้งจอกไปต้องระมัดระวังในการเก็บดีๆ โดยควรใส่กระเป๋าให้มิดชิด มิฉะนั้นอาจจะโดนน้องจิ้งจอกเข้ามาแย่งไปได้
- เมื่อเข้าไปในเขตพื้นที่เปิด (Pasture Area) ต้องปิดกระเป๋าต่างๆ ของคุณให้มิดชิด
- เมื่อจิ้งจอกเดินเข้ามาคุณ ให้คุณทำตัวตามสบาย และเดินต่อไป อย่าเกร็งหรือทำอะไรให้ผิดปกติจนเกินไป
- กรุณาเดินบนเส้นทางที่ทาง Fox Village จัดเตรียมไว้ให้เท่านั้น



เอาล่ะ รับรู้กติกากันแล้ว คราวนี้เราเข้าไปใน Fox Village กันดีกว่า โดยภายใน Fox Village แห่งนี้จะแบ่งออกเป็น 2 โซน ได้แก่ Cage Zone และ Pasture Area ซึ่งในส่วนของ Cage Zone นั้นจะเป็นส่วนที่เราเห็นแรกสุดเลยหลังจากที่ก้าวเท้าเข้าไป ภายในส่วนนี้จะเป็นการดูจิ้งจอกประเภทต่างๆ ที่อยู่ในกรงหรือคอก โดยขนาดของกรงก็มีใหญ่บ้างเล็กบ้างแตกต่างกันไป ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกหดหู่กับการดูในโซนนี้ ดูแล้วรู้สึกเศร้า แต่ก็เข้าใจว่าทาง Fox Village คงมีเหตุผลบางอย่างจึงต้องทำแบบนี้ เช่น แยกตัวที่อ่อนแอ, ป่วย หรือหาดูได้ยาก เป็นต้น





จิ้งจอกในโซนนี้มีหลากหลายสายพันธุ์ และมีจำนวนประมาณ 50 ตัวได้ ส่วนในเรื่องของการถ่ายรูปต่างๆ ก็ต้องบอกว่ายากมากครับ เพราะจะติดกรงไปหมด ดังนั้นในโซนนี้ผมว่าหลายๆ คนน่าจะใช้เวลาอยู่กันแค่ 15-20 นาทีเท่านั้น







ถัดมาที่โซนที่ 2 Pasture Area ซึ่งเป็นโซนที่แปลให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือพื้นที่เปิดให้จิ้งจอกเดินไปมาอย่างอิสระภายในรั้วขนาดใหญ่มาก โดยเราจะสามารถเดินเข้าไปในพื้นที่นี้เพื่อถ่ายรูปจิ้งจอกในอิริยาบถต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิด แต่ทั้งนี้ก็ต้องเดินอยู่ในเส้นทางและภายใต้กติกา 10 ข้อที่เค้าได้แจ้งเราไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่ซื้อตั๋วนะครับ









สำหรับโซนนี้เป็นอะไรที่ผมชอบมากกกกกก เพราะโดยปกติผมเป็นคนชอบหมาป่าและจิ้งจอกสุดๆ พอผมได้มีโอกาสเห็นพวกเค้าเหล่านี้ใกล้ๆ ก็เลยเป็นอะไรที่ประทับใจมาก แม้จะไม่สามารถสัมผัสตัวได้ แต่การได้อยู่ใกล้ชิดแบบนี้ ได้ถ่ายรูปอิริยาบถต่างๆ ที่เค้าใช้ชีวิตในพื้นที่กว้างๆ โดยมีหิมะขาวๆ ปกคลุมรอบตัว มันเป็นอะไรที่ผมรู้สึกคุ้มค่ามากที่เดินทางมาที่นี่ครับ










สิ่งสำคัญที่เราต้องไม่ลืมเวลาที่เข้ามาในโซน Pasture Area นั่นก็คือ สุนัขจิ้งจอกเหล่านี้เค้าเป็นสัตว์ป่า ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง ดังนั้นอย่าคิดจะเข้าไปมุ้งมิ้ง, วิ่งไปจับตัว, เซลฟี่ถ่ายรูป หรือแม้กระทั่งเดินสบายๆ จนไม่ได้ระมัดระวังอะไรนะครับ เพราะจิ้งจอกเหล่านี้ยังมีความเป็นสัตว์ป่าสูง ยิ่งในช่วงที่ผมไป (กลางเดือน ก.พ.) เหมือนจะเป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ของเค้า ดังนั้นเราจึงได้เห็นอิริยาบถของการต่อสู้แย่งชิงและกิจกรรมแบบนี้อยู่เยอะมากครับ










ภายใน Pasture Area นั้นมีจุดให้เราถ่ายรูปจิ้งจอกในอิริยาบถต่างๆ เยอะมากครับ ทั้งมุมที่เป็นโทริอิสีแดง หรือมุมที่เป็นบ้านไว้หลบหนาว โดยหลายๆ มุมถ้าเราเลือกทิศทางในการถ่ายและฉากหลังดีๆ เราจะได้ภาพที่หมือนเค้าอยู่ในธรรมชาติจริงๆ เลยครับ














และหากเราสังเกตดีๆ เราจะเห็นว่ามีบางมุมที่จะมีจิ้งจอกไปรวมกันเยอะ หรือจะมีจิ้งจอกเดินผ่านบ่อยๆ ซึ่งถ้าเราไปที่จุดนั้นถูก เราก็จะได้ภาพเรากับฝูงจิ้งจอกมาอวดเพื่อนแบบนี้ครับ ^^






ส่วนนี่เป็นจุดที่เค้ากำหนดให้เราให้อาหารสุนัขจิ้งจอก โดยจะมีเพียงจุดเดียวภายในพื้นที่ Pasture Area เป็นอาคารไม้เล็กๆ ชั้นเดียวที่มีประตู 2 ชั้น ใครที่อยากจะให้อาหารจิ้งจอกก็มาให้ที่จุดนี้กันนะครับ ราคาอาหารถุงละ 200 เยน สามารถซื้อได้ที่จุดจำหน่ายตั๋ว ส่วนการอาหารนั้นเราต้องโยนอาหารลงไปจากบนอาคารครับ





และเนื่องจากวันที่ผมไปนั้นสภาพอากาศหนาวมาก อุณหภูมิประมาณ -3 องศาเซลเซียสและมีหิมะตกแทบจะตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงใช้เวลาในการเดินรอบแรกได้ไม่นานมากก็ต้องหาที่หลบหนาวกันแล้ว แต่เราไม่ต้องกังวลไปนะครับว่าไปแล้วจะเที่ยวไม่คุ้ม เพราะเมื่อเราซื้อตั๋วเข้าไปแล้วตราบใดที่เรายังไม่ก้าวเท้าออกจากประตูทางออกสุดท้ายของ Zao Fox Village เราก็จะสามารถเดินสลับไปมาระหว่าง Cage Zone, Pasture Area และบริเวณจุดจำหน่ายของที่ระลึกที่เป็นอาคารหลบหนาวของเรากี่รอบก็ได้ครับ


สำหรับอาคารจำหน่ายของที่ระลึก ซึ่งเป็นที่หลบหนาวชั้นดีของเรานั้นก็คือจุดเดียวกับที่เราซื้อตัวเข้าชม Fox Village ในตอนแรกนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าเค้ามีการจัด Lay Out ให้อยู่คนละด้านกัน โดยภายในอาคารนี้นอกจากจะมีเตาผิงอุ่นๆ และเก้าอี้ที่รองรับคนได้ประมาณ 20 คนแล้ว ที่นี่ยังมีน้ำดื่มและขนมปังจำหน่ายด้วยเล็กน้อย โดยขนมปังนั้นมีแค่แบบเดียวราคา 200 เยน ส่วนน้ำดื่มก็เป็นตู้เล็กๆ ที่มีให้เลือกไม่กี่ชนิด หากใครหิวข้าวต้องการกินเป็นมื้อหลักน่าจะไม่สามารถทำให้อิ่มได้ ดังนั้นผมก็เลยแนะนำให้ทุกคนซื้อเตรียมมานั่งทานจะดีกว่าครับ โดยเฉพาะคนที่ต้องการเดินทางไปกลับด้วยรถบัส เพราะเราจะต้องอยู่ที่ Fox Village นี้ประมาณ 5 ชั่วโมงเลย


ส่วนนี่เป็นหน้าตาของที่ระลึกที่เค้ามีจำหน่ายครับ มีหลายแบบให้เลือกซื้อเลย แต่ละอย่างก็น่ารักทั้งนั้น ใครที่ชอบจิ้งจอกนี่ควรจะต้องเตรียมเงินมาเยอะๆ เลยครับ ><


















หลังจากที่ผมกับต๋งเข้ามาผิงไฟซักพัก ร่างกายของเราก็พร้อมจะออกไปลุยถ่ายรูปกันต่อแล้ว โดยคราวนี้เราไปเริ่มกันที่กรงกระต่าย ซึ่งกรงกระต่ายนี้จะอยู่ในโซนของ Cage Zone ครับ ประตูทางเข้าจะปิดอยู่แต่เราสามารถเปิดเข้าไปได้เลย จะมีอยู่ทั้งหมด 2 กรง กรงแรกจะเป็นกระต่ายที่ตัวใหญ่มากกกก ดูแล้วแอบเหมือนจิงโจ้ ส่วนอีกกรงจะเป็นกรงกระต่ายทั่วไปที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากัน





จากนั้นเราก็กลับไปยัง Pasture Area อีกครั้ง เพื่อดูความน่ารักและเก็บภาพอิริยาบถต่างๆ ของเจ้าสุนัขจิ้งจอกเพิ่มเติม ซึ่งผมว่าใครที่ชอบถ่ายรูปนี่น่าจะถูกใจมากแน่ๆ เพราะมี subject กับ action ดีๆ ให้เราถ่ายอยู่เยอะแยะเลย

















และหลังจากที่ผมกับต๋งถ่ายภาพจนหนำใจและกลับออกมาจาก Pasture Area อีกรอบก็เป็นเวลา 12.30 น. เท่านั้น ทำให้เราต้องตัดสินใจว่าเราจะนั่งรอประมาณ 1.30 ชั่วโมง เพื่อกลับรถบัสเที่ยว 14.15 น. หรือจะให้ที่ Zao Fox Village เรียก Taxi ให้ ซึ่งหลังจากที่เราใช้เวลาตัดสินใจและเช็ครอบรถไฟแล้ว เราทั้งคู่ก็ตัดสินใจเรียกรถ Taxi กลับสถานี Shiroishi เพราะแม้ว่าเราจะต้องจ่ายค่า Taxi สูงถึง 3,800 เยน (แพงกว่านั่งรถบัสถึง 3,400 เยน) แต่เราก็จะได้เวลาไปทำอย่างอื่นเพิ่มอีก 2 ชั่วโมงครับ
สำหรับใครที่จะไปที่นี่ก็ลองตัดสินใจดูนะครับว่าจะอยู่นานแค่ไหน หรือมีโปรแกรมที่อยากจะไปที่ไหนต่อหรือเปล่า เพราะหากใครเลือกที่จะใช้บริการ Taxi นั้นก็ต้องเตรียมเงินไปให้เพียงพอด้วย โดยการเรียก Taxi นั้นก็ไม่ยาก เราแค่เดินไปแจ้งพนักงานของ Zao Fox Village ที่อยู่บริเวณจุดจำหน่ายของที่ระลึก เดี๋ยวเค้าจะเอาบัตรหมายเลขมาให้ จากนั้นเราก็แค่รอเค้าเรียกหมายเลขแล้วเดินออกไปขึ้น Taxi ครับ
อ้อ ระยะเวลาในการเรียก Taxi จะประมาณ 30 นาทีนะครับ เพราะเค้าจะต้องเรียกมาจากสถานี Shiroishi โดยรถ Taxi นี่จะใช้เวลาในการขับรถในเส้นทางนี้ประมาณ 25-30 นาที ซึ่งน้อยกว่ารถบัสที่ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีครับ

ก็จบลงแล้วนะครับ สำหรับการเดินทางของผมกับต๋งที่ Zao Fox Village โดยผมขอแนะนำว่าใครที่อยากจะมาที่นี่นั้นนอกจากจะต้องวางแผนเรื่องวันและเวลาในการเดินทางดีๆ เพื่อให้ประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ก็ควรจะต้องเตรียมอาหาร, กล้อง, memory มาให้พร้อม รวมถึงถ้าเป็นไปได้ผมอยากแนะนำให้ทุกคนมาในช่วงเดือน ธ.ค. – ก.พ. เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงที่จิ้งจอกขนฟูและพื้นผิวต่างๆ เต็มไปด้วยหิมะ ดูแล้วสวยกว่าฤดูอื่นๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความหนาวกับเสื้อผ้าที่เราต้องเตรียมมาให้พร้อมนะครับ ><
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับคนที่อยากจะดูการเดินทางของเราในครั้งนี้ในรูปแบบของภาพเคลื่อนไหวก็สามารถดูที่คลิปด้านล่างได้เลย หรือถ้าใครอยากจะพูดคุยกับเราแบบใกล้ชิดทั้งเรื่องกินและเที่ยว ก็เข้าไปติดตามที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลย แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป