สวัสดีทุกท่านครับ วันนี้ผมนำรีวิวบุฟเฟต์อาหารเม็กซิกันจากโรงแรมแห่งหนึ่งมาฝากครับ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงของการรีวิวอาหารนั้นผมต้องขออนุญาตเล่าที่มาที่ไปของการได้ไปรีวิวครั้งนี้ให้ละเอียดก่อนนะครับ เพราะมันเหมือนจะมี Story……นิดๆ (มั้ง)
เริ่มเรื่องก็คือผมมักจะเป็นคนที่ชอบไปชิม ไปลองอาหารอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยจะเห็นได้ชัดคือเวลาเข้าไปที่ร้านอาหารใหม่ๆ ที่ไม่เคยไป ผมมักจะสนใจและสั่งอาหารที่ชื่อเมนูแปลกๆ อยู่เป็นประจำ ซึ่งมันก็อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้าง ตามแต่บุญแต่กรรมผมแหละครับ ฮา
ทีนี้ด้วยความที่ผมเริ่มเอียนกับอาหารญี่ปุ่น จีน เกาหลี inter ปิ้งย่าง ชาบูและ อีสาน ผมจึงเริ่มมองหาอะไรที่แปลกๆ ใหม่ๆ จากเดิมบ้าง และในที่สุดก็พบว่ามันมีอาหารเม็กซิกันแบบบุฟเฟต์ด้วย!!
เอาล่ะสิ ฟังชื่อดูน่าสนใจดี ผมจึงได้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมทั้งใน internet และจากเพื่อนๆ รอบตัวใน facebook ว่าอาหารเม็กซิกันเนี่ยรสชาติเป็นอย่างไร เพราะลึกๆ ในใจก็ยังลังเลกลัวว่ามันจะไม่อร่อย ไม่ถูกปาก และการไปกินครั้งนึงก็ไม่ใช่ถูกๆ แถมผมไปกินทีละ 2 คนด้วย หากไม่อร่อย ไม่ถูกปากแล้ว นอกจากจะเสียทรัพย์แล้วผมยังอาจจะยังต้องเสียตัว…….เอ้ย ไม่ใช่ เจ็บตัวด้วยครับ
ซึ่งเสียงจากคนรอบๆ ตัวส่วนใหญ่ของผมก็บอกแตกออกไปหลายทางมากทั้งอร่อย ทั้งรสจัด ทั้งไม่ถูกปากเลย และหนักกว่านั้นคือมีคนนึงบอกว่ากินทีไรท้องเสียทุกทีด้วย เอาล่ะสิ จะเอายังไงดี ผมก็คิดแล้วคิดอีก? จนเวลาผ่านไปนานพอดูเหมือนกัน จนผมแทบจะลืมไปแล้วว่าเคยอยากกิน – -” จู่ๆ ก็เหมือนฟ้าประทานพรมาให้ผม เพราะมีพี่ที่รู้จักท่านนึงได้ให้ของขวัญวันเกิดภรรยาผมมาเป็น “คูปองทานอาหารของบุฟเฟต์เม็กซิกัน” ที่ผมอยากจะกินมาจำนวน 2 ใบ >< ต้องกราบขอบพระคุณพี่คนนั้นเป็นอย่างสูงครับ (จากที่ผมสอบถามมา พบว่าพี่เค้าซื้อมาจากงานไทยเที่ยวไทยครับ และน่าจะลดราคาลงจากราคาปกติประมาณ 200 บาท/คนครับ)
ผมขอเปิดด้วยรูปแรกเป็นรูปนี้ก่อนเลยละกันครับ โฉมหน้าเจ้าของวันเกิดที่ทำให้วันนั้นผมมีลาภปากครับ
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น
เอาล่ะครับ หลังจากที่ผมมีคูปองฟรีอยู่ในมือแล้ว ผมก็ทำการเลือกวันที่จะไปกินทันที โดยวันที่ผมเลือกจะไปนั้นคือวันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม 57 ครับ ซึ่งบุฟเฟต์อาหารเม็กซิกันของที่นี่นั้นจะมีเฉพาะวันเสาร์ เวลา 12.00-15.00 น. เท่านั้นครับ
เมื่อถึงวันผมก็รีบตื่นแต่เช้า จัดเตรียมกล้องและเลนส์อย่างเต็มที่เพราะตั้งใจว่าจะทำรีวิวดีๆ ซักฉบับ เนื่องจากข้อมูลของที่นี่หาอ่านได้น้อยมากและคาดว่าจะมีคนที่ยังไม่รู้จักและอยากจะลองไปทานแบบผมเยอะครับ เมื่อผมเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้วก็ขับรถออกจากบ้านตรงดิ่งไปที่ที่หมายของวันนี้ ร้าน Senor Pico ในโรงแรมแรมแบรนท์ ซอยสุขุมวิท 18 ครับ (ชื่อร้านอ่านว่า ซินญอร์ปิโก้ หรือแปลว่า คุณชายปิโก้ นั่นเองครับ)
ด้วยอารามที่ตื่นเต้นจัด และอยากจะเข้าไปเป็นคนแรกๆ เพื่อที่จะได้ถ่ายรูปอย่างสบายๆ และมีเวลากินอย่างเหลือเฟือ ผลปรากฏว่าผมเลยไปถึงโรงแรมตั้งแต่ 11.15 น. หรืออีกตั้ง 45 นาทีก่อนที่ห้องอาหารจะเปิด ทีนี้ก็เงิบ นั่งรอจนเมื่อยล่ะสิครับ T_T
ช่างมันเถอะ มาเร็วเตรียมการไว้ก่อนดีกว่ามาช้าแล้วกัน งั้นเริ่มจากการถ่ายรูปเล่นแถวๆ โรงแรมและหน้าร้านฆ่าเวลาดีกว่า
หน้าตาโปสเตอร์ของร้าน Senor Pico ที่ติดในโรงแรมครับ ราคาคือ 599++ บาท/ท่าน (รวมแล้วก็ราวๆ 705 บาท/ท่านครับ)
ด้วยความที่เหลือเวลาอีกนานจัด ผมจึงได้เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ทั้งในโรงแรมและบริเวณหน้าร้านอาหารที่เค้าจัดไว้ให้ครับ
อ้อ ร้าน Senor Pico นี่อยู่บริเวณชั้น 1 ของโรงแรมนะครับ แต่ต้องขึ้นบันไดไปสองรอบ อาจจะงงๆ นะครับ เพราะโรงแรมนี้เค้าเรียงชั้นล่างสุดคือ G ถัดมาคือ M และถัดมาคือชั้น 1 ครับ
หลังจากผมเดินถ่ายรูปแถวนั้นไปมาหลายรอบ ก็ถึงเวลา 12.00 ซักที และเมื่อพนักงานเอ่ยปากว่าร้านพร้อมเปิดบริการแล้ว ตาผมก็ลุกวาวทันที แต่ประโยคสนทนาต่อจากนี้ก็ทำเอาผมใจแป้ว
พนักงาน : ไม่ทราบว่าได้จองไว้มั้ยคะ
ผม : ปล่าวครับ
พนักงาน : ต้องขออภัยด้วยนะคะ วันนี้โต๊ะเราทุกตัวถูก booking ไว้หมดแล้ว
ผม : (คิดในใจ ฮ๊ะ!! ซวยแล้วตู)
พนักงาน : แต่เรามีโต๊ะเสริมให้อีกห้องนึงที่ติดกันค่ะ ไม่ทราบว่าสนใจมั้ยคะ
ผม : สนใจครับ (จังหวะนี้อะไรก็เอาล่ะฟระ)
พนักงาน : ถ้างั้นรบกวนเชิญทางนี้ค่ะ
หลังจากที่พนักงานพาผมและภรรยาเดินไปที่โต๊ะ จากตอนแรกที่ผมคิดในใจว่าวันนี้ซวยแน่ๆ เมื่อถึงโต๊ะผมถึงกับยิ้มออกมาแทนครับ เพราะห้องอาหารที่ผมได้ไปนั่งแทนนั้น มีโต๊ะติดกระจกบานใหญ่ที่มีแสงธรรมชาติเข้ามามากกว่าโต๊ะปกติในห้องของ Senor Pico ซึ่งทำให้ผมสามารถถ่ายรูปที่โต๊ะได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
หลังจากที่ผมวางของที่โต๊ะแล้วผมก็รีบเดินไปที่ไลน์อาหารเลยทันทีเพื่อจะรีบถ่ายรูปก่อนที่แขกท่านอื่นๆ จะมา เริ่มจากฝั่งซ้ายมือก่อนเลยแล้วกันนะครับ เพราะมีเมนูเดียวนั่นคือสลัดครับ ลักษณะการจัดวางผมว่าวางได้ค่อนข้างสวย น่ากินมาก โดยเฉพาะสีของพวกผักผลไม้ที่วางตกแต่ง ช่วยให้ดูแล้วรู้สึกถึงความเป็นเม็กซิกัน colorful มากครับ
อ้อ เนื่องจากว่าเมนูอาหารของที่นี่ค่อนข้างเยอะมากครับ ผมคนเดียวคงไม่สามารถชิมได้หมดอย่างแน่นอน รวมทั้งมีบางอย่างที่ผมเองก็ไม่กล้าลองด้วย ดังนั้นในเรื่องของรสชาติอาหารของการรีวิวครั้งนี้นั้นจะเป็นความรู้สึกของผมและภรรยาปนๆ กันไปนะครับ และผมขออธิบายให้ชัดเจนตรงนี้ว่า
“เราสองคนไม่ใช่นักรีวิว หรือคนที่มีลิ้นเทพในการชิมอาหาร เป็นเพียงแค่คนที่ชอบถ่ายรูปและชอบกินเท่านั้น ดังนั้นเรื่องรสชาติหากผมเขียนไปไม่ถูกใจใคร หรือไปชิมแล้วไม่เป็นอย่างที่ผมรีวิวบอก หรือผมเขียนส่วนผสมผิดด้วยความไม่รู้ ก็ต้องกราบขออภัยเป็นอย่างสูงครับ”
สำหรับบรรดาสลัดนั้นผมไม่ได้ชิมครับ เพราะผมไม่เน้นผัก – -” ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณภรรยาผมไป ซึ่งเธอก็บอกว่าโอเค สด ตามมาตรฐานสลัดทั่วๆ ไป
จบจากด้านซ้ายแล้วมาต่อที่ด้านขวากันครับ ตรงนี้จะมีหลายเมนูเลย โดยข้อดีของไลน์อาหารที่นี่คือ ส่วนใหญ่จะมีป้ายชื่อกำกับไว้อย่างชัดเจน โดยบรรทัดบนน่าจะเป็นชื่ออาหารภาษาสเปน (มั้งครับ) แล้วบรรทัดล่างๆ จะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษครับ เริ่มจากรายการนี้ก่อนแล้วกันนะครับ “Croquetas de maiz y chile poblano” หรือ ครอกเก้ นั่นเองครับ เมนูนี้ผมชิมแล้วเฉยๆ ครับ ยังไม่ได้จดในรายการที่ต้องมาซ้ำรอบสอง
ถัดมาเหมือนเป็นเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ และใครมาก็คงจะอยากลองด้วยหน้าตาที่แปลกไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เมนูนี้ชื่อว่า “Huevos rellenos”
ด้วยหน้าตาที่เห็นเป็นไข่เด่นชัด ทำให้เราอาจจะเดารสชาติและส่วนประกอบมันผิดได้ จริงๆ แล้วข้างในไข่นั้นหลักๆ คือทูน่าเลยครับ เรื่องรสชาติ ผมคิดว่ามันเค็มนิดๆ แต่เป็นเมนูที่คิดว่าใครมาก็ควรจะต้องลองซักครั้งครับ
หมายเหตุ : รูปที่โพสต์ในกระทู้นี้อาจจะไม่ได้เรียงตามลำดับเวลาที่ถ่ายนะครับ แต่ผมนำมาเรียบเรียงโพสต์ใหม่เพื่อให้เกิดความลื่นไหลในการอ่านที่ดีครับ
เมนูถัดมาคือ “Empanada de Atun” หรือทูน่าพัฟนั่นเองครับ เมนูนี้รสชาติกลางๆ ครับ
ถัดมาคือเหล่าฝูงทาโก้ “Tacos” อาหารประจำชาติและขึ้นชื่อของเม็กซิโกครับ หลายๆ คนแนะนำว่าให้ลองชิมจากเมนูนี้ก่อน มีหลายแบบเลยครับทั้งเนื้อ ไก่ และแบบแข็งหน้าตาเหมือนกระหรี่ปั๊บ รวมทั้งแบบแป้งนิ่มๆ เหมือนโรตีสายไหมครับ
เรื่องรสชาติผมว่ากลางๆ ครับ โดยผมชอบแบบนิ่มๆ มากกว่าครับ แต่ติดที่จืดไปนิดนึง ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าในร้านเค้ามีซอสหลายแบบให้หยิบไปใช้ได้ครับ
หมายเหตุ : ผมไม่ได้ชิมทุกแบบนะครับ เดี๋ยวจะมาเล่าสาเหตุตอนท้ายๆ ว่าทำไมผมถึงไม่ได้ชิมหมดทุกแบบครับ
เมนูถัดมาหาป้ายชื่อไม่เจอครับ แต่เป็นปลาแซลมอนรมควันกับสลัดครับ ตกแต่งสวยงามโดยวางอยู่บนครกครับ
เมนูนี้แนะนำเลยครับ อร่อยมากกกก แต่ตอนที่ถือไปที่โต๊ะ ให้หยิบไปเฉพาะถาดข้างบนนะครับ ไม่ต้องเอาครกไปด้วย มิฉะนั้นจะหนักและโดนพนักงานมาบอกแบบผมว่าจริงๆ แล้วเค้าห้ามเอาไปที่โต๊ะ T_T
ถัดมาคือครับ Ceviches เหมือนจะมีทั้งหมด 3 แบบ คือ กุ้ง, ทูน่า และแซลมอน ที่ผมกินไปก็คือกุ้ง และ แซลมอนครับ รสชาติโอเคสอบผ่านครับ
ถัดมาครับ จะวางคู่กัน อันนึงเป็นถ้วยเล็กๆ และอีกอันนึงเป็นชามครับ
อันที่เป็นถ้วยเล็กๆ ผมกินแต่ข้างล่าง ส่วนไม้เสียบๆ ข้างบนไม่ได้กินครับ เพราะไม่ค่อยถนัดพวกผักเท่าไหร่ (ฮา) รสชาติโอเคครับ
ส่วนที่เป็นถ้วยนั้น เป็นทูน่ากับแป้งกรอบๆ อันนี้ผมชอบเลยครับ โดยเฉพาะแป้งกรอบๆ นี่ชอบมากครับ กรุบๆ เคี้ยวเพลินดีครับ
ถัดมาคือ cold soup หรือซุปเย็นครับ ตอนแรกผมคิดว่ามันคือเครื่องดื่ม – -” พึ่งรู้ว่าคนเม็กซิกันเค้ากินซุปเย็นกัน
มีทั้งหมด 3 แบบครับ คือ อะโวกาโด, มะเขือเทศ แล้วก็ข้าวโพด
โดยส่วนตัวชอบข้าวโพดสุด เพราะถ้าเป็นมะเขือเทศนั้นผมชอบกินเป็นลูกสดๆ มากกว่าที่เป็นน้ำอยู่แล้ว ส่วนอะโวกาโดนั้นผมเป็นคนไม่ชอบกินอยู่แล้วครับ
เมนูถัดมาหน้าตาเหมือนกระหรีปั๊บอีกแล้ว น่าจะเป็นเนื้อหมูนะครับ เมนูนี้คุณภรรยาผมเธอชอบมากครับ
เมนูนี้ชื่อ “Tacos de pato y salsa de tamarindo” เป็นไม้เสียบเนื้อชิ้นไม่ใหญ่มากครับ แต่ผมไม่ได้ชิมเพราะตำแหน่งที่วางมันไม่เด่นพอถ่ายรูปเสร็จ แล้วเดินมาตักอาหารก็เลยลืมนึกถึงไปเลย – -”
เท่าที่อ่านดูตอนนั่งทำรูป ก็น่าจะเป็นทาโก้เนื้อเป็ดกับซอสมะขามครับ อ่านแล้วก็แอบเสียดายเหมือนกันที่ลืมชิม – -”
ต่อมาเหมือนจะเป็นซอสหรือน้ำจิ้มครับ ทำจากอะโวกาโดครับ โดยใครที่ไม่ชอบรสชาติที่ร้านทำไว้ สามารถจะปรุงเพิ่มเองได้จากเครื่องปรุงที่วางไว้ข้างๆ กันครับ
อย่างที่บอกผมไม่ค่อยชอบอะโวกาโดอยู่แล้ว ดังนั้นเมนูนี้จึงไม่ได้ชิมครับ
อันนี้เป็นหน้าตาของซอสเครื่องปรุงต่างๆ ครับ วางไว้บนชั้นติดไว้ข้างผนังครับ เท่าที่ดูน่าจะมีหลายรสชาติ หลายแบบ แต่ผมไม่เชี่ยวชาญเลยไม่ได้หยิบมาลองซักอันครับ
จบจากไลน์ด้านขวามือแล้ว มาต่อที่ไลน์บริเวณที่ 3 หน้าเวทีครับ จะมีหม้อดินเหมือนหม้อขนมจีนวางอยู่ 5 อันครับ
มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้างดีกว่าครับ หม้อแรกคือ “Arroz con rajas” หน้าตาเหมือนข้าวผัด ซึ่งผมประเมินแล้วว่ามันจะตัดกำลังผมเยอะเกินไป ดังนั้นเมนูนี้ผมขอผ่านไปไม่ชิมครับ ฮา
หม้อที่ 2 “Frijoles refritos” ถั่วอบอะไรซักอย่าง เมนูนี้ผมก็ไม่ได้ลองครับ
หม้อที่ 3 “Papas con queso y tocino” เป็นมันบดผสมชีสและเบคอน เมนูนี้ภรรยาผมชิมและเธอบอกว่าชอบมาก รสชาติเผ็ดนิดๆ ด้วยเครื่องเทศครับ
หม้อที่ 4 “Albondigas” คือ Meat Ball ครับ อันนี้ภรรยาผมก็เป็นคนชิม เธอบอกว่าอร่อย ถูกปาก รสชาติคล้ายๆ กับหม้อที่ 3 ครับ
หม้อสุดท้าย หม้อที่ 5 ตอนนี้แขกคนอื่นๆ เริ่มทยอยเข้ามาในร้านแล้ว โชคดีมากที่ผมถ่ายไลน์อาหารหลักครบแล้ว เหลือแค่เครื่องดื่มและของหวานซึ่งไม่น่าจะโดนกดดันด้วยสายตามาก เพราะคนที่มาน่ายังไม่รีบไปที่ 2 ไลน์นี้เท่าไหร่
หม้อนี้ชื่อว่า “Costillas de cerdo” หรือ ซี่โครงหมูอบบาร์บีคิวครับ เมนูนี้อร่อยมากกก ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เนื้อหมูอบมาได้ดี เปื่อย กินได้ง่ายมาก เมนูนี้ถึงกับมีเบิ้ล 2 รอบครับ
จบจากไลน์อาหารหลักซักที หันไปเหลือบดูเหลือรูปอีกเยอะมากกกกก T_T ต้องขออภัยเลยที่รูปในรีวิวนี้เยอะมากครับ เพราะถ่ายมาแล้วผมเสียดาย อยากจะลงแทบทุกรูป
มาเริ่มที่ไลน์เครื่องดื่มกันครับ ไลน์เครื่องดื่มจะแบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆ แบบแรกคือโต๊ะ Bloody Marry ครับ หรือน้ำมะเขือเทศอันเลื่องชื่อนั่นเอง มีให้เลือก 2 แบบ แบบแรกเป็นค็อกเทลคือผสมวอดก้า และแบบที่สองคือม็อกเทลไม่มีวอดก้าครับ
โดยส่วนตัวเราสองคนได้ยินชื่อเสียงของเครื่องดื่มประเภทนี้มานานและคิดว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะกินน้ำมะเขือเทศได้ จึงสั่งไปทันทีและเพื่อความคุ้มจึงจัดแบบมีวอดก้าด้วย หลังจากที่พนักงานผสมให้เราเสร็จและยิ้มหน้าตาระรื่นถ่ายรูปกับแก้วที่สวยงามกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ทดลองชิม พร้อมกับพูดพร้อมกันว่า “มันไม่ใช่อ่ะ เครื่องดื่มนี่มันไม่ใช่แนวของเรา T_T”
ต่อจาก Bloody Mary ที่สุดจะบรรยายแล้ว ก็มาสู่เครื่องดื่มอีก 4 ชนิดเรียกตามลำดับจากซ้ายไปขวาได้แก่ ข้าว, มะขาม, มะพร้าว และมะนาว ครับ โดยทั้ง 4 อย่างผมว่าสอบผ่านหมด อร่อยมาก โดยเฉพาะน้ำข้าวผมกินไปหลายแก้วมาก
จบจากไลน์หน้าเวทีแล้ว ตอนนี้ก็มาถึงไลน์สุดท้ายแล้ว คือไลน์ของหวาน ขนมหวาน ณ จุดนี้ผมต้องรีบถ่ายภาพมากเพราะคนเริ่มทยอยมามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
อันนี้เป็นภาพโดยรวมกว้างๆ ครับ
มาเริ่มเจาะทีละอันครับ อันนี้ผมคิดว่ามันไม่น่าจะกินได้ น่าจะเอาไว้แต่งเฉยๆ
อันที่ให้กินน่าจะเป็นอันนี้ครับ เป็นฟรุ๊ตสลัด โดยตอนถ่ายรูปเล็งไว้ในใจแล้วว่าจะต้องกิน แต่สุดท้ายไม่ได้กินเพราะอิ่มเกินไป ฮา
ถัดมาเมนูนี้บอกเลยว่าอร่อยมากกกทั้งคัสตาร์ดที่อยู่ข้างบนและช็อคโกแลตที่อยู่ข้างล่าง โดยปกติผมไม่ค่อยชอบกินช็อคโกแลตเพราะว่ามันขม แต่เมนูนี้ยอมเลย เพราะผสมกันลงตัวและช็อคโกแลตนุ่ม ที่สำคัญไม่ขมด้วยครับ
ถัดมาคือ “Manzanas de feria” หรือแอปเปิ้ลที่เคลือบช็อคโกแลตไว้ มีทั้งช็อคโกแลตธรรมดา และไวท์ช็อคโกแลตครับ
เข้าใจว่าเมนูนี้เด็กๆ น่าจะถูกใจมาก เพราะดูแล้วน่ารัก น่ากินดีครับ ไม่เชื่อดูเด็กที่โต๊ะผมสิครับ ลัลล้ามาก
เมนูต่อมาชื่อว่า “Cucuruchos” เมนูนี้หน้าตาเหมือนไอศรีมเลย มี ทั้งหมด 3 แบบ แต่ไม่ต้องถามรสชาติผมนะครับ เพราะไม่ได้ชิมครับ
ถัดมาชื่อ “Arroz con leche” จานสีฟ้าเป็นพุดดิ้งข้าว ส่วนที่เป็นถ้วยเล็กๆ นั่นคือเสาวรสครับ
รสชาติอร่อย สอบผ่านทั้งคู่ครับ
เมนูต่อมาหน้าตาดูน่ากินอีกแล้วครับ ตอนแรกผมคิดว่าจะเป็นน้ำตาลก้อนแข็งๆ ที่ไหนได้มันคือมาร์ชเมโลนั่นเอง รสชาติโอเคครับ กลางๆ ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษครับ
ต่อมาคือ “Halelnut Eclair” หรือ เอแคร์นั่นเอง แต่สิ่งที่ต่างจากปกตินิดนึงคือแป้งจะกรอบและแข็งกว่าครับ เมนูนี้รสชาติกลางๆ ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษครับ
เมนูของหวานถัดมาอีก 6-7 อย่าง ผมขอโพสต์รวมๆ เลยแล้วกันนะครับ เพราะไม่แน่ใจว่าชื่ออะไรกันบ้าง เนื่องจากป้ายชื่อมันวางใกล้กัน กลัวจะบอกผิดไป และก็เมนูเหล่านี้ผมไม่ได้ชิมซักอย่างเพราะอิ่มมากครับ T_T
มาถึงของหวานที่ผมได้ชิมกันบ้างครับ เมนูนี้เหมือนจะเป็นขนมประจำชาติและขึ้นชื่อของเม็กซิโกครับ เนื่องจากผมหาป้ายชื่อเมนูไม่เจอและอยากรู้ว่ามันเรียกว่าอะไรกันแน่ จึงแอบสอบถามพนักงานและได้ความว่ามันชื่อ “ชูโรส” ครับ ลักษณะเป็นแท่งแป้งกรอบๆ มีการเคลือบอะไรไว้หลายแบบ แต่จะเน้นที่ช็อคโกแลตเป็นพิเศษ เพราะมีหม้อดินใส่ช็อคโกแลตอยู่ตรงกลางเลย คนที่ชอบกินช็อคโกแล็ตน่าจะชอบมากครับ
เมนูนี้ขายดีมาก เพราะพอแขกเริ่มทยอยมาซักพัก ผมเดินมาอีกรอบว่าจะชิมพบว่ามันหายไปเพียบเหลือแค่ไม่กี่ชิ้น ที่เคลือบแบบแปลกๆ มีคนหยิบไปหมดแล้ว เหลือแต่แบบแป้งปล่าวๆ แล้วต้องราดช็อคโกแลตลงไปเอง ซึ่งสำหรับผมที่ไม่ค่อยชอบช็อคโกแลตก็คิดว่ามันขมไปครับ แต่ตัวแป้งอร่อยดี แถมร้อนด้วยคาดว่าพนักงานน่าจะพึ่งมาเติมใหม่ๆ โดยสรุปวันนั้นผมได้ชิมแค่แบบเดียวไว้มีโอกาสไปชิมครั้งจะรีบไปหยิบแบบอื่นๆ มาตุนไว้ตั้งแต่แรก ฮา
ในที่สุดผมก็สำรวจและถ่ายภาพอาหารในไลน์ครบหมดแล้ว เหลือบไปดูรอบๆ ก็เห็นว่าคนเริ่มทยอยกันมาแน่นร้านมากขึ้นเรื่อยๆ คงถึงเวลาที่ผมต้องรีบไปช่วงชิงหาอะไรใส่ท้องบ้างแล้วสิ
งั้นไปดูบรรยากาศของคนในร้านกับภาพอาหารบนโต๊ะผมกันนะครับ อย่างที่บอกว่าเนื่องจากวันนี้มีคน booking เต็มทำให้ผมและคน walk in อื่นๆ ต้องมานั่งอีกห้องที่อยู่ถัดกัน ซึ่งผมชอบมากกว่าเนื่องจากแสงธรรมชาติเยอะกว่าในห้องอาหารปกติของ Senor Pico ครับ แต่ก็มีข้อเสียคือต้องเดินไปยังไลน์อาหารไกลกว่าปกติครับ
หลังจากที่ผมทานไปได้ซักพักก็มีนักร้องสไตล์เม็กซิกันขึ้นมาร้องเพลง บรรเลงดนตรีกันบนเวทีครับ ผมก็เลยหยิบกล้องมาถ่ายภาพ ซึ่งคนขวามือของภาพนี่อัธยาศัยดีมาก หันมาเห็นกล้องปั๊บก็ยิ้มแอคชั่นทันที ><
แต่เนื่องจากโต๊ะที่นั่งของผมนั้นอยู่นอกห้องอาหารนี้ดังนั้นถ้าผมไม่เดินมาตักอาหาร ผมก็จะอดเห็น ก็เป็นอะไรที่น่าเสียดายเหมือนกันครับ T_T
เอาล่ะ ทีนี้มาดูกันต่อว่า เหตุผลอะไรกันนะ? ที่ทำให้ผมนั้นกินเมนูที่ผ่านๆ มาได้น้อยจัง มีหลายเมนูมากๆ ที่ไม่ได้ชิม ไม่ได้มาเล่าสู่กันฟัง
นั่นก็เพราะว่าห้องอาหารแห่งนี้ มันสามารถสั่งเมนู a la carte ได้ด้วยครับ และมีเมนูให้เลือกถึง 10 เมนูเลยครับ!!
ใครที่สนใจสามารถขอเมนูจากพนักงานได้เลยครับ หน้าตาจะเป็นแบบนี้ครับ สีส้มๆ เข้ากับบรรยากาศมาก
เมนูเต็มๆ ทั้ง 10 รายการ โดยผมสั่งไปทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ รายการที่ 1, 2, 3, 7 และ 8
ลองอ่านรายการดูนะครับ ว่าอะไรเป็นอะไรบ้างครับ
หน้าตารายการที่ 1 “Chile Relleno De Marisco” เป็นพริกหยวกเม็กซิกันกับซีฟู้ดส์ครับ
ตอนพนักงานมาเสิร์ฟผมแอบอึ้งกับขนาดพริกหยวกเหมือนกันว่ามันใหญ่มาก รสชาติออกเผ็ดๆ หน่อย แปลกดี ใครชอบทานของแปลก ชอบทานเผ็ดน่าจะชอบ ผมคิดว่าเมนูนี้มาถึงแล้วควรลองสั่งมาชิมครับ
เมนูถัดมาชื่อ “Huachinango Embarrado En Chintlextle Con Patatas Rustidas” เป็นข้าวผัดแล้วก็ราดด้วยปลาครับ ปลาอร่อยมาก ส่วนข้าวผมว่าเฉยๆ ครับ
เมนูต่อมาชื่อว่า “Fajitas De Res” หรือเนื้อกระทะย่างร้อนครับ เสิร์ฟพร้อมซอสหรือน้ำจิ้ม 2 แบบ ซาวน์ครีม กับ อะโวกาโด ครับ
ผมว่าจานนี้ใครชอบทานเนื้อน่าจะถูกใจครับ อ้ามมมมมมมมมมมมมมมม
อ้อ ลืมไปครับ จานเนื้อย่างกะทะร้อนเมื่อกี้ จะเสิร์ฟพร้อมแป้งเปล่าด้วยอีกอย่างนะครับ โดยใครจะเลือกกินเฉพาะเนื้อก็ได้หรือเอาแป้งห่อเนื้อก็ได้ครับ
เมนูถัดมาชื่อว่า “Quesadillas De Jalapenos” จานนี้ตอนที่ผมเห็นพนักงานเอามาเสิร์ฟครั้งแรก สารภาพตามตรงว่าน้ำลายไหลเลย แป้งกับชีสเยิ้มๆ แล้วก็คิดต่อว่าข้างในมีเห็ดผสมด้วยน่าจะอร่อยมากแน่ๆ
พอตัดกินคำแรกปั๊บ T___T ไหนเห็ดนี่มันพริกหยวกนี่
พอได้สติเลยหันไปดูเมนูอีกที แล้วก็พบว่าผมสั่งผิดจริงๆ ครับ เมนูที่ผสมเห็ดนั้นคือเมนูที่ 6 แต่ผมคงจะจิ้มพลาดไปสั่งเป็นเมนู 7 ที่เป็นพริกหยวกแทน ชื่อมันคล้ายๆ กัน ยังไงดูดีๆ อย่าพลาดแบบผมนะครับ
จานนี้ไม่ขอวิจารณ์นะครับ เพราะผมไม่ชอบพริกหยวกเท่าไหร่ แต่คิดลึกๆ ในใจว่าถ้าสั่งมาถูกอันน่าจะฟินน่าดู T_T
แล้วในที่สุดก็ถึงเมนู a la carte จานสุดท้ายแล้วครับ จานนี้ชื่อว่า “Tacos Pastor” หรือทาโก้แบบนิ่มๆ ครับ เสิร์ฟแบบเต็มๆ คำมาก มาพร้อมกับน้ำจิ้ม
จากนี้ผมว่าอร่อยเลยครับ แต่กินยากมาก เพราะคำใหญ่มาก จะยัดเข้าปากคำเดียวหมดมันโหดไป
สำหรับเมนูทาโก้แบบนิ่มจานนี้ถ้าเทียบกับทาโก้ที่อยู่ในไลน์ ผมให้จานนี้อร่อยชนะขาดลอยครับ
ตอนนี้ก็หมดทุกเมนูที่ผมได้ชิมไปแล้วครับ อิ่มมากๆ แต่ยังเหลือเมนูอีกเยอะเลยที่ไม่ได้ชิม แอบเสียดายเหมือนกันครับ
อันนี้เป็นภาพที่ผมไปแอบถ่ายโซนห้องครัวในขณะที่พ่อครัวกำลังขมักเขม้นทำอาหาร a la carte ตามใบสั่งครับ
หลังจากกินเพลินๆ ถ่ายรูปเพลินๆ แต่อิ่มแบบจริงจังมาก ผมก็เหลือบมามองนาฬิกา แล้วก็พบว่าเป็นเวลาเกือบ 15.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ห้องอาหารจะปิดแล้วครับ
ผมจึงเรียกพนักงานและทำการเช็คบิล โดยชำระด้วยบัตร Voucher 2 ใบที่ภรรยาผมได้มาเป็นของขวัญวันเกิดครับ หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องอาหาร แต่ขณะที่กำลังจะเดินพ้นร้านก็ได้ยินเสียงเฮฮา สนุกสนานบางอย่างดังมาจากในร้าน ผมก็หันไปแล้วพบว่า มีกลุ่มฝูงชนกลุ่มใหญ่กลุ่มนึงล้อมวงกลมอยู่บริเวณกลางร้าน ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วพบว่า เด็กๆ กำลังผลัดกันเอาไม้ตีไปยังตุ๊กตาผึ้งที่แขวนอยู่
เรียกได้ว่าผลัดกันตีแบบเอาจริงเอาจรัง รุนแรง และดูสนุกมาก สอบถามพนักงานก็ได้ความว่าเป็นกิจกรรมของทางร้านครับ เมื่อตีตุ๊กตาไปเรื่อยๆ จะมีลูกอมร่วงลงมาครับ เป็นกิจกรรมที่เด็กๆ วัยกำลังซนน่าจะชอบกันมากแน่ๆ ครับ
เอาล่ะครับ ในที่สุดก็ถึงภาพสุดท้ายเสียที ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะรีวิวและโพสต์อะไรได้ยาวขนาดนี้ ยาวมากกกกกก เล่นเอามึน
มาสรุปกันดีกว่าสุดท้ายผมคิดยังไงกับการไปทานวันนี้ครับ
รสชาติอาหาร : สำหรับผมถือว่าอร่อย ถูกปาก หลายๆ เมนูชอบมาก กินง่ายกว่าที่คิด แต่ก็มีหลายเมนูเหมือนกันที่เฉยๆ และถึงขั้นไม่ถูกปาก เช่น อะโวกาโด พริกหยวก Bloody marry เป็นต้น ซึ่งเป็นความชอบไม่ชอบส่วนบุคคลของผมกับภรรยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนะครับ
ความหลากหลายของเมนู : ถือว่าเยอะมาก กินคนเดียวไม่หมดทุกรายการแน่ๆ ต้องเลือกกิน การไปหลายคนจะได้เปรียบจะได้ชิมกันคนละนิดคนละหน่อย เมนูของหวานก็มีหลายรายการมาก รวมทั้งไอศรีมด้วยแต่ผมไม่ได้ถ่ายภาพมาครับ มี 2 รส คือ วนิลา กับ เสาวรส ครับ (มีข้อตินิดนึงคือบางเมนูไม่มีป้ายชื่อหรือวางไว้ใกล้ๆ กัน ทำให้เกิดอาการงงและไม่กล้ากินครับ)
พนักงาน : บริการดีมากครับ ยิ้มแย้มใจใส่ เอาใจใส่ โดยที่นี่มีทั้งพนักงานเป็นคนไทยและต่างชาตินะครับ ใครถนัดภาษาไหนก็เดินเข้าไปพูดคุยสอบถามได้ครับ
การเดินทาง : สะดวก มีที่จอดรถเยอะ หากเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็ไม่น่าจะไกลจากสถานีอโศกมาก คิดว่าน่าจะพอเดินไหวครับ
ราคา : หากกินราคาเต็ม 599 บาท++ หรือ 705 บาท/ท่าน (หากผมคำนวนไม่ผิดนะครับ) ผมคิดว่ามันแพงไปนิดนึง แต่หากคิดว่าอาหารพวกนี้ไม่ได้มีขายทั่วไป และหากไม่ได้กินแบบบุฟเฟต์ อาหารเม็กซิกันจานนึงก็หลายร้อยแล้วก็ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มครับ โดยส่วนตัวหากผมถือว่าผมไปใช้บริการในฐานะคนซื้อ Voucher ในงานไทยเที่ยวไทยที่ราคา 499 บาท/ท่าน net แล้ว ราคานี้ผมถือว่าคุ้มมากๆ ครับ และยิ่งหากเป็นคนที่ชอบทานอาหารเม็กซิกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วผมว่าน่าจะยิ่งคุ้มสุดๆ ครับ
ขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่ทนอ่านด้วยความหิวมาจนถึงบรรทัดนี้ครับ ขอบคุณมากๆ ครับ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าถ้าผมมีเงินครับ…..ฮา สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ ได้เลยครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ