เมื่อพูดถึงร้านปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น มีร้านอยู่ร้านนึงที่ผมได้ยินชื่อเสียงมานานและอยากจะหาโอกาสไปลองชิมแต่ก็ไม่ได้ลองซักทีเพราะแต่ละสาขานั้นอยู่ไกลจากชีวิตประจำวันผมพอควร จนกระทั่งร้านนี้ได้มาเปิดสาขาใหม่ใกล้ๆ กับบ้านผม และร้านที่ว่านั่นก็คือร้าน “Gyu Gyu Tei – กิว กิว เต้” นั่นเองครับ
ร้านกิว กิว เต้ นั้น ให้คำนิยามตัวเองว่าเป็น Premium Yakiniku หรือแปลแบบมันส์ๆ ก็คือ ปิ้งย่างขั้นเทพครับ สำหรับสาขาที่ผมจะไปทานในวันนี้นั้นตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของ Home Pro ราชพฤกษ์ครับ (อยู่บริเวณเดียวกับ MK โดย MK จะอยู่ที่ชั้น 1 ครับ) ถ้าพูดให้ง่ายสำหรับคนที่เคยไปที่นี่มาก่อนก็คือร้านจะอยู่ตำแหน่งเดิมของร้าน Tokusen และก็ Shabu Sun นั่นเองครับ (ไม่รู้ทำเลนี้มันทำไมเหมือนกัน เกือบๆ 2 ปีมานี้ นี่เป็นการเปลี่ยนร้านครั้งที่ 3 ในทำเลเดิมแล้ว – -“)
เอาล่ะครับ ถ้าพร้อมแล้วก็เข้าสู่การรีวิวกันได้เลยครับ
วันที่รับประทาน : วันอาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 58
เวลา : 12.44-14.08 น.
สาขา : Home Pro ราชพฤกษ์
จำนวน : 2 คน
เปิดกันด้วยภาพแรกครับ ภาพหน้าปกเมนูครับ ดูสวยและน่าทานมากครับ
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับร้านนี้เป็นร้านแบบ a la carte นั่นคือสั่งเป็นจานๆ คิดราคาตามจริงไม่มีเหมาจ่ายแบบบุฟเฟต์ครับ
มาดูเมนูกันต่อครับ หน้าแรกเลยจะเล่าถึงความเป็นมาของร้านกิว กิว เต้ ครับ สั้นๆ ก็คือ เจ้าของร้านนี้เคยไปทำงานที่ร้านเนื้อย่างอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นที่ชื่อ “Jojoen (โจโจเอ็น)” อยู่ประมาณ 8 ปี แล้วก็ออกมาเปิดร้านตัวเองที่ชิบะ ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ชื่อร้านว่ากิว กิว เต้ นี่แหละครับ เปิดร้านได้ประมาณ 10 กว่าปี จนกระทั่งเศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซาก็เลยปิดร้านและกลับมาเปิดร้านที่ไทยเอง โดยตอนมาเปิดร้านที่ไทยก็ได้มีการปรับสูตรน้ำจิ้มให้เหมาะกับคนไทยมากขึ้นครับ
มาต่อกันที่เมนูหน้าสอง จะเป็นการพูดถึงเนื้อวัวของญี่ปุ่นที่ชื่อสายพันธุ์ว่า “วากิว” ครับ ซึ่งสายพันธ์นี้ได้ถูกนำไปเลี้ยงในสองสถานที่ที่ดังมากๆ จนเกิดเป็นชื่อติดปากอีกอย่างหนึ่งว่า มัสซึซากะ (King of beef) และ โกเบ (Queen of beef) ครับ
อ่านกันเพลินๆ ได้ความรู้ดีครับ
หลังจากนั้นก็เข้าสู่หน้าตาของอาหารกันแล้วครับ โดยจะแบ่งออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ ได้แก่ เนื้อ, หมู, ทะเล และ ผัก, ของทางเล่น และเครื่องดื่ม
ซึ่งเมนูของเนื้อจะเยอะสุดครับ มีถึง 2 หน้าคู่เต็มๆ ครับ รวมทั้งหมด 19 รายการ และราคามีตั้งแต่จานละ 250 บาท จนถึง 2,500 บาทครับ!!
มาต่อกันที่เมนูหมูครับ มีอยู่ 1 หน้าคู่ รวม 10 รายการ ราคามีตั้งแต่จานละ 150 บาท จนถึง 700 บาทครับ
สำหรับคนที่อยากทานอย่างอื่นมากกว่าเนื้อและหมูทางร้านก็มีพวกอาหารทะเลอีก 1 หน้าคู่ครับ เช่น ปลาหมึก, ปลาดอรี่, กุ้ง, แซลมอน, ปลาหิมะ และก็หอยเชลล์ครับ
ส่วนของทานเล่นและเครื่องดื่มผมไม่ขอพูดถึงนะครับ หลังจากดูเมนูคร่าวๆ เสร็จแล้ว ผมก็คิดในใจว่ารูปเนื้อในเมนูมันดูสวยและน่ากินมาก!! ตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าจะลองทานอะไรดี เพราะหลายๆ อย่างผมก็ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่สุดท้ายแล้วการกินครั้งนี้พวกเราก็ตัดสินใจลองเนื้ออยู่ 3 อย่าง ตามงบประมาณที่เรามีครับ…..ฮา
สำหรับเนื้อ 3 อย่างที่เราสั่งมีดังนี้ครับ
เนื้อคะรุบิ ราคา 250 บาท/จาน (สามารถเลือกได้ 2 อย่างว่าจะหมักซอสหรือหมักเกลือ ผมเลือกหมักซอสไปครับ)
เนื้อชิโอะ ฮารามิ ราคา 300 บาท/จาน
สันคอหมู ราคา 150 บาท/จาน (สามารถเลือกได้ 2 อย่างว่าจะหมักซอสหรือหมักเกลือ ผมเลือกหมักซอสไปครับ)
เอาล่ะครับมาดูหน้าตาของจริงกันครับ เริ่มจากเนื้อคะรุบิครับ หน้าตาดูดี ไม่ต่างจากรูปในเมนูมาก (หมายถึงหน้าตาของเนื้อนะครับ ส่วนการวางเรียงในจานแตกต่างกันครับ)
รสชาติ อร่อย ถูกปากครับ ชอบเลยครับ
จานที่ 2 เนื้อชิโอะ ฮารามิ จานนี้หน้าตาและสีดูแปลกกว่าที่คิดไว้พอควรครับ เท่าที่สังเกตและชิมดูน่าจะเป็นการหมักเกลือและมีพริกไท รวมทั้งหอมผสมอยู่ครับ เทียบกับจานแรกแล้วผมว่าจานแรกอร่อยกว่าครับ จานนี้มันดูเหนียวไป และไม่ค่อยได้รสชาติของเนื้อเท่าไหร่ เนื่องจากโดนพริกไท และกลิ่นหอมกลบไปพอควรครับ
จานที่ 3 สันคอหมู หน้าตาดูดี ไม่ต่างจากในรูปเช่นกันครับ สำหรับเรื่องรสชาติ อร่อย นุ่ม ถูกปากครับ เมื่อย่างเสร็จแล้วเนื้อก็ยังฉ่ำอยู่ครับ โดยจานนี้ผมชอบที่สุดใน 3 จานในวันนี้เลยครับ
หมายเหตุ : ทางร้านจะแบ่งแยกเนื้อกับหมูด้วยสีจานนะครับ โดยจานเนื้อจะเป็นสีดำ ส่วนจานหมูจะเป็นสีขาวครับ จะได้ไม่ทานผิดครับ ^^
โดยภาพรวมของเนื้อทั้ง 3 จานนั้น ถือว่าแต่ละจานมีปริมาณเนื้อค่อนข้างมากครับ โดยผมว่าคนนึงทานแค่ 2 จานก็อิ่มแล้วครับ
เอาล่ะครับ หลังจากที่ดูเรื่องเนื้อไปหมดแล้ว ก่อนที่จะเข้าสู่บทสรุปของการรีวิว มันมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ผมแอบเห็นด้วยกับคำว่า Premium Yakiniku ของร้านนี้ครับ
1. ในส่วนของเครื่องปรุงที่เอาไว้ใส่น้ำจิ้มนั้น ทางร้านเลือกที่จะใช้มะนาวจริงๆ เป็นชิ้นๆ แทนที่จะเป็นน้ำมะนาวครับ ผมมองว่ามันเป็นความใส่ใจที่ดีและทำให้คนทานรู้สึกดีเลยล่ะครับ
2. ไม่ว่าคุณจะสั่งมาทานมากหรือน้อยแค่ไหน ทางร้านก็จะมีของหวานและผลไม้ให้ทุกคนได้ทานฟรี เหมือนๆ กันครับ โดยไลน์ที่ว่าจะอยู่ที่ตรงกลางของร้านครับ สามารถเดินไปตักมาทานได้ตลอดครับ
สำหรับของหวานจะเป็นพวกน้ำแข็งไสมีอยู่ประมาณ 5-6 อย่าง เช่น ถั่วแดง, เฉาก๊วย, ลอดช่อง, วุ้นมะพร้าว, ลูกชิด ครับ และนอกจากน้ำกะทิ น้ำเชื่อมแล้ว ทางร้านยังมีน้ำแดงให้ใส่เพิ่มด้วยครับ
เรื่องของรสชาติ ถือว่าโอเคครับ
นอกจากน้ำแข็งไสแล้ว ยังมีมันเชื่อมด้วยครับ รสชาติใช้ได้ครับ
และปิดท้ายด้วยผลไม้ครับ มีทั้งหมด 4 อย่างได้แก่ มะม่วง, ฝรั่ง, สับปะรด และ แตงโมครับ โดยรวมๆ ถือว่าคุณภาพโอเคครับ มะม่วงก็เป็นมะม่วงมัน อร่อยใช้ได้ครับ
เอาล่ะครับ ทีนี้ก็ถึงบทสรุปของการรีวิวแล้ว เดี๋ยวผมขอแยกเป็นข้อๆ ตามเดิมนะครับ
ความหลากหลายของอาหาร : มีเมนูให้เลือกค่อนข้างเยอะเลยครับ ครบทั้งเนื้อ หมู และทะเล โดยเฉพาะเนื้อมีให้เลือกเยอะมากครับ
รสชาติ : โดยภาพรวม เนื้อทั้ง 3 จานที่ผมทานนั้น รสชาติดีจนถึงดีมากเลยครับ นุ่ม ฉ่ำ ไม่แห้ง นี่ขนาดผมเลือกทานเฉพาะเมนูที่ราคาค่อนข้างต่ำสุดของร้านแล้วนะครับ ถ้าเป็นเมนูที่ราคาสูงกว่านี้อย่างกิว กิว เต้, วากิว หรืออื่นๆ น่าจะยิ่งอร่อยกว่านี้ครับ สำหรับเรื่องน้ำจิ้มนั้นก็ถือว่ารสชาติดีครับ มีจุดติเพียงอย่างเดียวที่ผมเจอในวันนี้คือ ข้าวญี่ปุ่นที่ผมว่ายังหุงมาไม่อร่อย แข็งไปหน่อยครับ
การบริการ : โดยรวมๆ บริการดีและรวดเร็วใช้ได้ครับ แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากที่คนในร้านค่อนข้างน้อยครับ น่าจะราวๆ 20-25% ของความจุของร้านเท่านั้นครับ (สำหรับใครที่เคยมาทาน Tokusen หรือ Shabu sun ที่สาขานี้ lay out ต่างๆ ของร้านนี่เหมือนเดิมเลยครับ)
ความสะอาดของร้าน : ถือว่าดีครับ สอบผ่าน ไม่ได้เจออะไรที่ทำให้เห็นแล้วรู้สึกไม่น่าทานครับ
ความสะดวกในการเดินทาง : หากใครจะมาทานร้านอาหารและ community mall ในโซนนี้ต้องทำใจอย่างหนึ่งครับ เพราะเป็นโซนที่ไม่ค่อยมีรถประจำทางหรือรถสาธารณะอะไรเลย เหมาะสำหรับคนมีรถเท่านั้น โดยเรื่องที่จอดรถนั้นมีเพียงพอหายห่วงครับ
ความคุ้มค่า : เมื่อเทียบกับราคาที่ผมจ่ายไป 918 บาท (แบ่งเป็นราคาอาหาร 810 บาท ที่เหลือเป็น Service Charge 10% และ Vat 7%) เฉลี่ยแล้ว 459 บาท/คน ก็ถือว่าราคาแอบสูงไปนิด เพราะราคานี้สามารถไปทานบุฟเฟต์ปิ้งย่างได้หลายๆ ร้านเลย และอิ่มกว่านี้ด้วย สำหรับมื้อนี้ผมกับภรรยาแค่อิ่มแบบพอดีๆ แต่สิ่งที่ได้มามากกว่าการไปทานบุฟเฟต์ทั่วๆ ไปก็คือ คุณภาพเนื้อที่ต้องยอมรับว่าดีกว่าร้านปิ้งย่าง บุฟเฟต์ทั่วไปครับ (ร้านปิ้งย่างบุฟเฟต์ที่ได้เนื้อคุณภาพประมาณนี้ อาจจะต้องราวๆ 600-700 บาท/คนครับ) ดังนั้นร้านนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ต้องการทานแบบไม่เน้นปริมาณ แต่ต้องการทานเนื้อคุณภาพดีๆ แบบไม่จำกัดเวลา สามารถนั่งทานได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะกับแก๊งเพื่อนที่รู้ใจ (ผมว่าการมาทานที่ร้านนี้หลายๆ คน จะทำให้เลือกเมนูได้หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะเมนูที่ราคาสูงๆ ครับ เนื่องจากเนื้อแต่ละจานนั้นจานค่อนข้างใหญ่ หากมาแค่ 2-3 คนจะทำให้ไม่สามารถสั่งหลากหลายได้ครับ)
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ ได้เลยครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ