สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวชมบ่อนรกทั้ง 7 แห่งของเมืองเบปปุ (Beppu) จังหวัดโออิตะ (Oita) ประเทศญี่ปุ่นกันครับ โดยการเที่ยวชมบ่อนรกนี้เค้าจะมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า “Beppu Hell Tour” นะครับ ส่วนในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกกันว่า “Jigoku (จิโกกุ)” ครับ
ภาพรวมของเมืองเบปปุ
เบปปุ (Beppu) เป็นชื่อของเมือง ๆ นึง ในจังหวัดโออิตะ (Oita) ครับ โดยเมืองนี้จะอยู่ในภูมิภาคคิวชู ของประเทศญี่ปุ่น และมีชื่อเสียงในเรื่องของบ่อน้ำร้อนและออนเซนมาก ว่ากันว่าในเมืองเบปปุนั้นมีปริมาณของบ่อน้ำร้อนมากถึงเกือบ 3,000 แห่งเลยครับ และนั่นก็ทำให้ในระหว่างที่เราเดินเล่นในเมืองนี้เราจะเห็นเลยว่ามันจะมีไอน้ำและควันพวยพุ่งออกมาจากที่ต่าง ๆ อยู่เสมอครับ
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเบปปุก็คือบ่อนรกทั้ง 7 แห่งนั่นเองครับ โดยแต่ละบ่อนั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งรูปร่าง, สีของน้ำ รวมไปถึงอุณหภูมิของน้ำครับ ยิ่งไปกว่านั้นเค้ายังมีการตั้งชื่อให้แต่ละบ่อมีความน่าสนใจมาก ๆ ด้วย
เริ่มต้นการทัวร์และการซื้อบัตรเข้าชมบ่อนรก
สำหรับวิธีที่ง่ายและประหยัดที่สุดในการเที่ยวชมบ่อนรกทั้ง 7 แห่งของเมืองเบปปุ ก็คือการซื้อพาส “7 Hells pass” และการนั่งรถบัสครับ โดยเราสามารถซื้อ 7 Hells pass นี้ได้ที่ Tourists’ Hub & Lounge บริเวณสถานีเบปปุ (Beppu Station) ได้เลยครับ มันจะราคา 2,200 เยน/คน ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วราคาพาสนี้มันจะถูกกว่าการที่เราซื้อแยกเป็นบ่อ ๆ พอควรครับ
นี่เป็นหน้าตาของ Tourists’ Hub & Lounge นะครับ เราเดินออกมาจากสถานีเบปปุแล้วเลี้ยวขวา เดินไปนิดนึงก็เจอเลยครับ เข้าไปแล้วจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการอย่างดีเลย และเจ้าหน้าที่หลายท่านก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ด้วยครับ
และนี่ก็เป็นหน้าตาของ 7 Hells pass เวอร์ชั่นแรกครับ โดยบัตรที่เห็นนี้จะยังไม่สามารถใช้เข้าชมบ่อนรกทั้ง 7 แห่งได้นะ เราต้องเอาบัตรนี้ไปแลกเป็นบัตรตัวจริงที่หน้าบ่อใดบ่อนึงก่อน มันถึงจะใช้งานได้ครับ โดยบัตรเวอร์ชั่นแรกที่เราเห็นนี้จะมีอายุ 3 วันนับจากวันที่ซื้อครับ ดังนั้นเราสามารถซื้อไว้ล่วงหน้าได้เลย แล้วค่อยไปแลกเป็นบัตรตัวจริงวันหลังก็ได้ครับ
ทั้งนี้สำหรับใครที่อยากจะเริ่มเที่ยวชมบ่อนรกตั้งแต่เช้า ผมแนะนำให้ซื้อบัตร 7 Hells Pass ที่บริเวณสถานีไว้ล่วงหน้า 1 วันนะครับ เพราะโดยปกติแล้วบ่อทุกบ่อจะเปิดตั้งแต่ 8.00 น. แต่ว่า Tourists’ Hub & Loungeนั้นจะเปิดบริการตอน 8.30 น. ครับ ซึ่งถ้าเราไปรอซื้อเช้าวันที่ต้องการเที่ยวเลยมันจะทำให้เราเสียเวลาไปอีกพอควร อีกทั้งหลังจากที่เราซื้อเสร็จแล้วเรายังต้องนั่งรถบัสจากสถานีไปที่บ่อแรกอีกประมาณ 20 นาทีด้วยครับ
โดยหลังจากที่เราซื้อ 7 Hell Pass ที่ Tourists’ Hub & Loungeเสร็จแล้ว ให้เราขอแผนที่จากเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ เค้าจะมีแผนที่เมืองขนาดใหญ่ให้ ในนั้นมันจะมีหมายเลขรถบัสที่เราต้องนั่ง, จุดที่เราต้องขึ้นลง, ราคา รวมถึงเวลาของรถบัสในแต่ละป้ายเรียบร้อยเลยครับ
หมายเหตุ : ภาพของแผนที่เมืองที่เราได้มามันจะไม่ใช่ภาพด้านล่างนี้นะครับ มันจะมีรายละเอียดและมีข้อมูลเยอะกว่านี้พอควรเลย แต่พอดีผมลืมถ่ายภาพมาครับ
และจากแผนที่เมืองเราจะเห็นเลยว่าบ่อนรกทั้ง 7 นั้น มันจะกระจุกรวมกันอยู่แค่ 2 ที่ครับ ที่แรกคือบริเวณป้ายรถบัสชื่อ “Umi Jigoku Mae” ครับ (บริเวณนี้จะมีอยู่ทั้งหมด 5 บ่อ) ส่วนที่ที่ 2 จะเป็นบริเวณป้ายรถบัสชื่อ “Chinoike Jigoku” ครับ (บริเวณนี้จะมีอีก 2 บ่อ) ส่วนเรื่องสายรถบัสและเวลาขึ้นของแต่ละป้ายนั้น ทุกคนสามารถดูในแผนที่ที่ได้รับมาจาก Tourists’ Hub & Loungeได้เลยครับ เค้าจะมีรายละเอียดต่าง ๆ บอกไว้ครบถ้วนเลย
และเมื่อพอเราไปถึงที่หน้าบ่อแรกแล้ว ก็ให้เราเอา 7 Hell Pass ที่ซื้อมาไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ตรงจุดขายตั๋วครับ จากนั้นเค้าก็จะเปลี่ยนเป็นเล่มแบบนี้ให้ โดยภายในเล่มจะมีคูปองทั้งหมด 7 ใบ (แยกเป็นบ่อละ 1 ใบ แต่ละใบมีรูปและชื่อชัดเจน) และพอเราจะเข้าไปที่บ่อไหน ก็ให้เราฉีกหางตั๋วของบ่อนั้นหย่อนลงในกล่องที่อยู่บริเวณประตูทางเข้าของบ่อนั้น ๆ ได้เลยครับ สะดวกและง่ายมาก
หมายเหตุ : คูปองในรูปแบบเล่มที่มีทั้งหมด 7 ใบนั้น จะมีอายุ 2 วันนะครับ และทั้ง 7 บ่อจะเปิดเวลา 8.00 น. – 17.00 น. เหมือนกันทั้งหมด ส่วนเวลาในการเที่ยวชมทั้ง 7 บ่อ แบบสบาย ๆ ไม่รีบเร่งมาก จะอยู่ที่ 3 ชั่วโมงครับ ยังไงก็ลองวางแผนการเดินทางให้ดีนะว่าจะไปที่ไหนยังไงตอนไหนบ้าง
รายละเอียดเชิงลึกของทั้ง 7 บ่อ
เดี๋ยวเราไปไล่ดูรายละเอียดของแต่ละบ่อกันดีกว่าครับว่าบ่อไหนมีจุดเด่นในเรื่องอะไรบ้าง โดย 5 บ่อแรกที่ผมจะพูดถึงนี้มันจะอยู่ใกล้ ๆ กันเลยนะครับ เราสามารถลงรถบัสที่ป้าย “Umi Jigoku Mae” แล้วก็ตระเวนเดินชมทั้ง 5 บ่อได้เลย และเมื่อชมบ่อที่ 5 เสร็จแล้ว ก็ให้เราเดินไปที่ป้าย “Kannawa” เพื่อขึ้นรถบัสไปยังอีกจุดนึงครับ โดยป้ายที่รอขึ้นรถรอบหลังนี้มันจะเป็นคนละป้ายกับที่เราลงนะ แต่ว่าจะอยู่ไม่ไกลจากบ่อที่ 5 มากนัก เดินแป๊บเดียวก็ถึงแล้วครับ
บ่อที่ 1 : Umi Jigoku
บ่อนี้จะเป็นบ่อสีฟ้าสดใสที่มีขนาดใหญ่มากครับ รวมถึงมีควันพวยพุ่งตลอดเวลาด้วย โดยอุณหภูมิของน้ำในบ่อนี้จะอยู่ที่ 98 องศาเซลเซียสครับ และมีความลึกอยู่ที่ 200 เมตร ทำให้บ่อนี้กลายเป็นบ่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน 7 แห่งเลยครับ
ทั้งนี้ตัวบ่อแห่งนี้จะอยู่ด้านหลังของร้านขายของฝากของที่ระลึกนะครับ เราเดินผ่านร้านเข้าไปได้เลยแล้วเดี๋ยวจะเจอบ่ออยู่ตรงหน้าครับ ส่วนคำว่า “Umi Jigoku” นั้น จะมีความหมายว่า “ทะเลนรก” ครับ และน้ำในบ่อที่เราเห็นเป็นสีฟ้านั้น เป็นเพราะว่ามันเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟซึรุมิ (Tsurumi) เมื่อ 1,200 ปีก่อนนั่นเองครับ
ส่วนนี่เป็นวิวระหว่างทางก่อนที่เราจะเดินไปถึงบ่อครับ ผมไปในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2566 ซากุระหลายต้นกำลังออกดอกสวยงามเลยครับ
และหลังจากที่เราชมบ่อสีฟ้าเสร็จแล้วก็ให้เราเดินย้อนกลับมาตามทางเดิมนะครับ และให้เราสังเกตทางขวามือไว้ดี ๆ มันจะมีทางเดินไปชมบ่อสีแดงแบบนี้ รวมถึงมีทางเดินไปยังจุดแช่ออนเซนเท้าด้วยครับ
หมายเหตุ : หลาย ๆ บ่อจะมีจุดให้แช่เท้าฟรีนะครับ โดยรูปแบบของแต่ละที่จะไม่เหมือนกัน ใครที่สนใจก็เตรียมใส่เสื้อผ้าไปให้พร้อม และเตรียมผ้าไปเช็ดเท้าด้วยก็ดีครับ
บ่อที่ 2 : Oniishi Bozu Jigoku
บ่อนี้จะอยู่ข้าง ๆ กับบ่อที่ 1 เลยครับ โดยจุดเด่นของบ่อนี้ก็คือมันเป็น “บ่อโคลนเดือด” ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 99 องศาเซลเซียส และมันมีหลายบ่อมาก โดยถ้าเรามองไปในบ่อจะเห็นเลยว่ามันมีโคลนสีเทาเดือดปุด ๆ อยู่แบบนี้ทุกบ่อเลย ซึ่งคนญี่ปุ่นเค้ามองว่ามันมีลักษณะคล้ายกับศีรษะของพระพุทธรูปครับ
ที่บ่อนี้ก็มีที่แช่เท้าเหมือนกันนะ รูปแบบจะแตกต่างจากที่บ่อแรกครับ ใครอยากแช่ก็เตรียมชุดไปให้พร้อมนะครับ
บ่อที่ 3 : Kamado Jigoku
สำหรับบ่อนี้เราจะต้องเดินมาจากบ่อที่ 2 ประมาณ 400 เมตรนะครับ โดยถ้าใครหาไม่เจอก็สามารถเดินตาม google map ได้เลย โดยชื่อของบ่อนี้จะหมายความว่า “เตาอบนรก” ครับ โดยที่เค้าได้ชื่อนี้ก็เพราะว่าในสมัยก่อนเค้าได้มีการใช้ความร้อนจากบ่อนี้ไปประกอบอาหารครับ ส่วนจุดเด่นของบ่อนี้ในปัจจุบันก็คือ มีความร้อนของน้ำสูงถึง 100 องศาเซลเซียส, มีบ่อยิบบ่อย่อยที่มีความแตกต่างกันหลายบ่อ, มีที่แช่เท้า, มีจุดให้ชิมน้ำแร่จากบ่อ, มีจุดที่ให้เราเอาหน้าไปอังกับไอน้ำแร่ธรรมชาติ และมีอาหารที่ปรุงสุกจากความร้อนของบ่อนี้จำหน่ายครับ ใครสนใจก็ลองใช้บริการแต่ละอย่างได้นะ ส่วนตัวผมว่ามันเก๋ดีครับ
อันนี้จะเป็นรูปปั้นยักษ์ที่อยู่บนเตาทำอาหารนะครับ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของบ่อนี้เลย แล้วก็มีความสวยงามเด่นดีครับ
ส่วนนี่จะเป็นจุดชิมน้ำแร่ และจุดที่ให้เราเอาหน้าไปอังกับไอน้ำแร่ธรรมชาติครับ โดยในการชิมน้ำแร่นั้นจะมีค่าแก้ว 10 เยนนะ เค้าจะมีป้ายบอกและกล่องให้เราใส่เงินตรงนั้นเลย
ส่วนนี่จะเป็นบ่อน้ำพุร้อนต่าง ๆ ในพื้นที่นี้ครับ จะมีหลายแบบหลายสีสันมาก หรือเรียกว่ารวมเอาของเด็ดจากทุกบ่อมาไว้ที่นี่เลยก็ได้
บ่อที่ 4 : Oniyama Jigoku
บ่อนี้เป็นอะไรที่ว้าวมากครับ เพราะมันคือ “บ่อจระเข้” ครับ ที่สำคัญมันเป็นจระเข้จริง ๆ ด้วย นับ 100 ตัวเลยครับ!! แถมบางตัวนั้นยังใหญ่มากกกกกก น่าจะยาว 5-6 เมตรได้เลยครับ เห็นแล้วตกใจเลย
ตรงนี้จะเป็นบริเวณบ่อน้ำร้อนนะครับ จรเข้จะไม่ได้อยู่ในบ่อนี้นะ แต่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ข้าง ๆ กัน ห่างกันแค่ไม่กี่เมตรครับ โดยตัวบ่อน้ำร้อนนี้จะไม่ได้มีอะไรน่าสนใจซักเท่าไหร่ แต่ที่ทำให้ผมและหลายคนว้าวมาก ๆ ก็คือ เค้าสามารถนำเอาความร้อนจากบ่อมาเลี้ยงจระเข้นับ 100 ตัวได้อย่างไม่มีปัญหา และเค้าเลี้ยงแบบนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 แล้วครับ
บ่อที่ 5 : Shiraike Jigoku
บ่อนี้จะมีชื่อว่า “บ่อสีขาว” นะครับ ลักษณะน้ำในบ่อจะเป็นสีฟ้านม ๆ หน่อย และมีอุณภูมิน้ำอยู่ที่ 95 องศาเซลเซียสครับ โดยภาพรวมแล้วผมว่าบ่อนี้ค่อนข้างธรรมดา ไม่มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจซักเท่าไหร่ แต่ว่าภายในพื้นที่ของเค้าจะมีจุดแสดงปลาขนาดใหญ่ให้ดูด้วยครับ ใครที่พอมีเวลาก็ลองเดินเลี้ยวเข้าไปดูนะ ผมเห็นคนญี่ปุ่นตั้งอกตั้งใจดูและชอบกันพอควรเลย
หลังจากจบ 5 บ่อนี้แล้ว เราจะต้องเดินทางไปยังอีกโซนนึงนะครับ โดยเราจะต้องเดินจากบ่อที่ 5 ไปยังป้ายรถบัสที่ชื่อ “Kannawa” ครับ ระยะทางเดินสั้น ๆ เดินแค่ 2-3 นาทีก็ถึงแล้ว โดยเมื่อเราถึงป้ายแล้วก็ให้เรารอขึ้นรถบัสสาย 16 ครับ นั่งรถประมาณ 3 กม. จนถึงป้ายที่ชื่อ “Chinoike Jigoku” แล้วเราก็ลงครับ
บ่อที่ 6 : Chinoike Jigoku
บ่อนี้จะเป็นบ่อน้ำร้อนสีแดงฉานขนาดใหญ่นะครับ ดูแล้วตื่นตาตื่นใจและน่าสะพรึงใช้ได้ นอกจากนี้เค้ายังมีการตั้งชื่อบ่อนี้ว่า “บ่อสีเลือด” ด้วย รวมถึงมันจะมีจุดเดินขึ้นเนินเล็ก ๆ เพื่อไปชมวิวมุมสูงของบ่อด้วยครับ ใครมีเวลาก็ลองเดินขึ้นไปดูนะ เดินสบาย ๆ ง่ายมาก
ทั้งนี้อุณหภูมิของน้ำที่บ่อนี้จะอยู่ที่ประมาณ 78 องศาเซลเซียสนะครับ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าบ่ออื่น ๆ พอควรเลย และที่บริเวณทางเข้าของบ่อนี้จะมีร้านขายของที่ระลึกและของกินต่าง ๆ ใหญ่ใช้ได้ตั้งอยู่ครับ ใครที่เป็นสายช้อปปิ้งหรือต้องการหาอะไรอร่อย ๆ ทานก็แวะเข้าไปอุดหนุนได้นะครับ
บ่อที่ 7 : Tatsumaki Jigoku
อันที่จริงตรงจุดนี้มันไม่ควรเรียกว่าบ่อซักเท่าไหร่ครับ มันควรเรียกว่าน้ำพุร้อนมากกว่า เพราะลักษณะของมันจะเป็นน้ำที่พุ่งสูงขึ้นมาจากพื้นดินครับ พุ่งขึ้นมาแบบสูงมาก ๆ เลย แต่ว่าน้ำที่พุ่งขึ้นมาเนี่ยมันจะไม่ได้พุ่งตลอดเวลานะ ประมาณ 30-40 นาที มันถึงจะพุ่งขึ้นมาซักทีครับ ดังนั้นที่จุดนี้เค้าก็เลยมีการสร้างพื้นที่นั่งรอไว้รอบ ๆ เพื่อให้คนนั่งรอดูกัน และเวลาน้ำมันพุ่งขึ้นมาแต่ละครั้ง ทุกคนก็จะเฮฮาตื่นตาตื่นใจกันใหญ่เลยครับ
และนี่ก็คือภาพตอนที่น้ำพุ่งขึ้นมาครับ เรียกว่าแรงและสูงมาก ๆ โดยเวลาที่น้ำพุ่งขึ้นมาแต่ละครั้งนั้นจะพุ่งนานใช้ได้ครับประมาณ 6-10 นาทีค่อยหยุด ส่วนน้ำที่เราเห็นมันพุ่งขึ้นมานั้นมันจะมาจากใต้ดินที่ลึกลงไปกว่า 50 เมตรครับ และมีอุณหภูมิของน้ำสูงถึง 150 องศาเซลเซียสเลย!!
หมายเหตุ : บ่อน้ำร้อนลักษณะนี้เค้าจะเรียกว่าบ่อน้ำร้อนแบบไกเซอร์ (Geyser) นะครับ โดยที่ประเทศไทยก็มีเหมือนกัน อยู่ที่โป่งเดือด จ.เชียงใหม่ครับ
ก็จบกันไปแล้วสำหรับ Beppu Hell tour หรือทัวร์บ่อนรกทั้ง 7 ของเมืองเบปปุครับ ใครที่สนใจก็ลองไปเที่ยวชมกันได้นะ ส่วนตัวผมว่ามันเป็นอะไรที่แปลกตาและตื่นตาตื่นใจดี บ่อแต่ละบ่อมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และการเดินทางต่าง ๆ ก็สะดวก ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากครับ นอกจากนี้ในช่วงที่ผมไปนั้น (ปลายเดือนมีนาคม 66) มันยังเป็นช่วงที่ซากุระกำลังบานสะพรั่งสวยงามด้วย มันก็เลยยิ่งทำให้การเที่ยวชมที่นี่ของผมมีความน่าประทับใจยิ่งขึ้นครับ
อ้อ และสำหรับใครที่อยากจะชมรีวิว Beppu Hell tour หรือทัวร์บ่อนรกทั้ง 7 ของเมืองเบปปุแบบภาพเคลื่อนไหว ก็สามารถกดดูที่คลิปด้านล่างนี้ได้นะครับ จะได้เห็นภาพอะไรชัดเจนขึ้นครับ
ส่วนใครที่กำลังมองหาที่พักในเมืองเบปปุอยู่ ลองดูที่นี่นะ ผมไปพักมาแล้ว สะอาด ราคาดี และอยู่ใกล้สถานีมาก เดินแค่ 1 นาทีก็ถึงแล้วครับ สะดวกสุด ๆ!!
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนจบนะครับ และสำหรับใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ของผมอย่างใกล้ชิด ก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ