สวัสดีครับ เนื่องจากช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมานี้ ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดสุโขทัยถึง 2 ครั้งด้วยกัน ผมก็เลยอยากจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่เที่ยวในจังหวัดนี้มาให้ทุกคนได้อ่าน เผื่อมีใครสนใจหรือมีใครที่กำลังจะไปจังหวัดนี้จะได้มีไอเดียว่าไปแล้วมีอะไรให้ทำบ้าง
สำหรับการเดินทางจากกรุงเทพไปยังสุโขทัยนั้นสามารถไปได้หลายวิธีเลยไม่ว่าจะเป็นการขับรถไปเอง, นั่งรถทัวร์ หรือนั่งเครื่องบิน โดยหากใครเลือก 2 วิธีแรกก็ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางไว้ซัก 6 ชั่วโมงนะครับ แต่ถ้าใครเลือกเดินทางด้วยเครื่องบินก็จะสามารถลดเวลาในการเดินทางลงเหลือเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น
.
.
.
.
อ่านถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะงงใช่มั้ยครับว่าทำไมนั่งเครื่องบินไปสุโขทัยต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ทั้งที่ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมากนัก สาเหตุนั่นก็เพราะว่าสนามบินสุโขทัยนั้นไม่ได้อยู่ที่ อ.เมืองครับ แต่ตั้งอยู่ที่ อ.สวรรคโลก ซึ่งอยู่ห่างจาก อ.เมืองประมาณ 40 กิโลเมตร ดังนั้นเมื่อรวมกับระยะเวลาบนเครื่องบินอีก 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็จะกลายเป็น 2 ชั่วโมงพอดี
และด้วยความที่สนามบินสุโขทัยนั้นมีสายการบินไปลงเฉพาะบางกอกแอร์เวย์เท่านั้น ดังนั้นก็เลยทำให้หลายๆ คนรวมทั้งผมเลือกใช้การนั่งเครื่องบินจาก กทม. ไปลงที่พิษณุโลกแล้วนั่งรถต่อไปยังสุโขทัยแทน ซึ่งเมื่อรวมๆ เวลาทั้งหมดเปรียบเทียบกันแล้วก็พบว่าเวลาไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ครับ แถมการที่เราบินไปลงยังพิษณุโลกนั้นยังจะได้เปรียบเรื่องของการที่มีสายการบินให้เลือกมากกว่าด้วย โดยตัวผมเองนั้นเลือกใช้บริการสายการบิน Air Asia ไฟล์ทเช้า 8.10 น. ไปลงยังพิษณุโลกตอน 9.05 น. จากนั้นก็นั่งรถเพื่อเดินทางไปเที่ยวที่สุโขทัยต่อครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
เอาล่ะ เรารู้วิธีการเดินทางไปสุโขทัยเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราไปดูสถานที่เที่ยวเด่นๆ ของเมืองสุโขทัยกันดีกว่า เริ่มจากอันแรกเลยนั่นก็คือ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกจาก UNESCO โดยการเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้นั้นเราจะต้องเลือกระหว่างการเช่าจักรยานปั่นในราคาคันละ 30 บาท/วัน หรือการนั่งรถรางที่มีคนขับให้ ไม่ต้องปั่นให้เมื่อยเท้าในราคา 30 บาท/คน (ราคาคนไทย) ซึ่งในความคิดผมนั้นหากว่าเรายังวัยรุ่น สู้แดดไหว และอยากถ่ายรูปเยอะๆ ผมอยากให้เช่าจักรยานปั่นมากกว่าครับ เพราะจะสนุกและเป็นอิสระกว่ากันเยอะ โดยวัดเด่นๆ ที่ผมคิดว่าไม่ควรพลาดในการไปชมก็คือ วัดมหาธาตุ, วัดศรีสวาย, วัดสระศรี และวัดศรีชุมครับ
สำหรับร้านเช่าจักรยานนั้นจะอยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์เลยครับ มีจักรยานให้เราเลือกหลายรูปแบบ หลายสี หลายขนาดมาก และถ้าใครปั่นจักรยานไม่เป็นเค้าก็มีจักรยานรุ่นที่มีเบาะนั่งด้านหลังรวมไปถึงจักรยานแบบที่ต้องปั่นสองคนพร้อมกันด้วยนะครับ
และนอกการการปั่นจักรยานกับการนั่งรถรางแล้ว เรายังสามารถเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยอีกวิธีนึงได้ด้วย นั่นก็คือการนั่งเกวียนเทียมวัวเหมือนในสมัยอดีต โดยมีค่าใช้จ่าย 300 บาทต่อเที่ยว สามารถนั่งได้สูงสุด 6 คน (เฉลี่ยคนละ 50 บาท) ซึ่งเส้นทางที่นิยมที่สุดก็คือเส้นทางจากหน้าหอพระพุทธสิริมารวิชัยไปจบที่วัดศรีชุม ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากแห่งนึงในสมัยสุโขทัยและอยุธยา โดยเฉพาะตำนานเรื่องพระพูดได้ครับ
สำหรับใครที่อยากจะทราบประวัติของวัดศรีชุมโดยคร่าวๆ ก็อ่านตามนี้ได้เลยครับ แต่ถ้าใครขี้เกียจก็ข้ามย่อหน้านี้ไปได้เลย
วัดศรีชุม มาจากคำเรียกพื้นเมืองเดิมที่หมายถึง ต้นโพธิ์ ตัววัดนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยเป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ที่มีหน้าตักกว้าง 11.30 เมตร สูง 15 เมตร นามว่า “พระอจนะ” ซึ่งเป็นที่เลื่องลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ในสมัยนั้น ทั้งนี้ได้มีการสันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ต่อมาเมื่อครั้งสมเด็จสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประกาศอิสรภาพในปี พ.ศ. 2127 ที่เมืองแครง ก็ได้ทำให้หัวเมืองต่างๆ ยกเลิกการส่งส่วยให้กับพม่า แต่ยังมีเมืองเชลียง (สวรรคโลก) ที่ไม่ยอมทำตามพระราชโองการของพระองค์ พระองค์จึงนำทัพเสด็จมาปราบเมืองเชลียง โดยได้มาชุมนุมทัพที่วัดศรีชุมแห่งนี้ก่อนที่จะไปตีเมือง แต่ด้วยการรบในครั้งนั้นเป็นการรบระหว่างคนไทยด้วยกันเองทำให้เหล่าทหารไม่มีกำลังใจในการรบ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงได้วางแผนสร้างกำลังใจให้กับทหารโดยให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังองค์พระและพูดให้กำลังใจแก่เหล่าทหาร ทำให้ทหารเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดตำนานพระพูดได้ที่วัดแห่งนี้ และนอกจากนี้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยังได้มีการทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาขึ้นที่วัดแห่งนี้อีกด้วย
หมายเหตุ : ปัจจุบันนี้ทางขึ้นด้านหลังองค์พระได้ปิดไม่ให้บุคคลทั่วไปขึ้นแล้วนะครับ
สำหรับสถานที่เที่ยวแห่งที่ 2 ที่ผมอยากจะแนะนำก็คือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเลย โดยหากใครจะแวะเข้ามาเยี่ยมชมที่นี่ก่อนเข้าไปอุทยานประวัติศาสตร์ก็ได้ครับ จะได้มีความรู้หรือพอเข้าใจเกี่ยวกับเมืองสุโขทัยก่อน โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหงเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 9.00 – 16.00 น. และมีค่าธรรมเนียมในการเข้าชมสำหรับคนไทยที่ 10 บาท/คน และสำหรับชาวต่างชาติที่ 30 บาท/คน
สำหรับศิลปะโบราณที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะสุโขทัยที่รวบรวมมาจากการขุดค้น และบูรณะโบราณสถานบริเวณเมืองเก่าสุโขทัยและเมืองใกล้เคียงอย่างศรีสัชนาลัย, กำแพงเพชร, เพชรบูรณ์ และพิจิตร โดยผ่านการจัดแสดงในอาคาร 2 หลัง ได้แก่ อาคารลายสือไท และอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง
ชมโบราณสถานและโบราณวัตถุต่างๆ มาเยอะแล้ว หลายๆ คนอาจจะเริ่มรู้สึกเบื่อ ดังนั้นสถานที่เที่ยวแห่งต่อไปที่ผมจะพาทุกคนไปรู้จักนั้นก็เลยจะขอเปลี่ยนบรรยากาศเป็นการทำกิจกรรมที่ให้ทุกคนได้เคลื่อนไหวร่างกายกันดีกว่า นั่นก็คือการพิมพ์พระและเผาอบด้วยเตาทุเรียงที่ “บ้านพระพิมพ์ลักษมณศิลป์” โดยการพิมพ์พระแบบนี้ถือเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของการพิมพ์พระเข้าวัดของชาวสุโขทัยตั้งแต่โบราณ ใครที่สนใจกิจกรรมแนวนี้ก็ลองเข้าไปที่บ้านพระพิมพ์ลักษมณศิลป์ดูนะครับ เค้าจะมีการเล่าถึงประวัติของพระเครื่องในสมัยโบราณ จนไปถึงวิธีการทำและกิจกรรมสนุกๆ อย่างการยิงธนูโบราณ โดยมีค่าใช้จ่ายคนละ 250 บาทครับ
สำหรับอุปกรณ์ในการพิมพ์พระนั้นจะประกอบไปด้วยแม่พิมพ์ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 แบบ, ดินเหนียวที่อยู่ในห่อใบตอง แล้วก็มีดคัตเตอร์ ส่วนกระบวนการพิมพ์พระนั้นก็ไม่ยากเท่าไหร่ขอแค่เราต้องมีสมาธิและความประณีตซักเล็กน้อย โดยหลังจากที่เราพิมพ์พระเสร็จแล้วทางบ้านพระพิมพ์ลักษมณศิลป์จะเป็นคนนำไปเข้าเตาทุเรียงให้เป็นเวลา 1 คืนและเช้าวันถัดมาเราก็จะได้พระพิมพ์ที่สำเร็จสมบูรณ์ครับ
ถึงตอนนี้หลายๆ คนก็คงจะเริ่มหิวกันแล้วใช่มั้ยครับ ดังนั้นจุดหมายต่อไปที่ผมจะพาทุกคนไปก็คือการไปกินอาหารพื้นเมืองสุดอร่อยที่บ้านนาต้นจั่น อ.ศรีสัชนาลัย โดยร้านนี้มีชื่อว่า “ร้านยายเครื่อง” สำหรับการเดินทางมาที่นี้นั้นแนะนำว่าให้เปิด Google Map มาเลย รับรองว่ามาถึงหน้าร้านได้อย่างสบายๆ ครับ ส่วนเมนูเด่นๆ ที่อยากจะแนะนำให้ลองก็คือ ข้าวเปิ๊บ, ก๋วยเตี๋ยวแบ, หมี่พัน แล้วก็ข้าวพันไข่ โดยเมนูที่ผมชอบมากที่สุดก็คือก๋วยเตี๋ยวแบ รองลงมาก็คือหมี่พันที่มี 3 สี 3 รส ไล่ตั้งแต่รสกลางๆ จนไปถึงรสที่แอบเผ็ดเล็กๆ
และไหนๆ เราก็มาถึง อ.ศรีสัชนาลัยกันแล้ว ดังนั้นถ้าไม่แวะเข้าไปเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยก็คงจะแปลกๆ ใช่มั้ยล่ะครับ ดังนั้นอย่ารอช้ารีบลุกจากโต๊ะแล้วไปเที่ยวต่อกันเลย!!
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยนั้นมีโบราณสถานและโบราณวัตถุทั้งหมด 215 แห่ง (สำรวจค้นพบแล้ว 204 แห่ง) และได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกจาก UNESCO ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร โดยการเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้นั้น อันดับแรกเราต้องซื้อตั๋วเข้าชมก่อนในราคา 20 บาท/คน (ราคาคนไทย) จากนั้นก็เลือกว่าจะเที่ยวภายในอุทยานประวัติศาสตร์อย่างไรระหว่างการเช่าจักรยานปั่นในราคาคันละ 20 บาท/วัน หรือการนั่งรถรางในราคา 20 บาท/คน (ราคาคนไทย) ซึ่งผมก็ยังแนะนำเหมือนเดิมว่าหากยังมีแรง และสู้แดดไหว ให้เลือกปั่นจักรยานเถอะครับ โดยวัดที่ผมคิดว่าไม่ควรพลาดในการเข้าชมก็ได้แก่ วัดช้างล้อม, วัดเจดีย์เจ็ดแถว, วัดเขาสุวรรณคีรี และวัดนางพญา
เอาล่ะ ไหนๆ เราก็เป็นทริปที่เน้นเที่ยวโบราณสถาน โบราณวัตถุกันซะขนาดนี้แล้ว ดังนั้นจุดหมายต่อไปที่ผมอยากจะพาทุกคนไปต่อนั่นก็คือ “การใส่บาตรที่วัดตระพังทอง” ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสวยงามและมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ภายในบริเวณวัด โดยสระนี้เป็นสระที่ใช้เก็บน้ำไว้อุปโภคบริโภคมาตั้งแต่โบราณ และที่บริเวณเกาะกลางจะเป็นที่ตั้งของโบราณสถานสำคัญของวัดนี้ที่มีความสวยงามมากครับ
สำหรับการเดินทางมายังวัดแห่งนี้ก็ไม่ยากครับ เราสามารถเดินทางตาม Google Map ได้เลย วัดจะอยู่ข้างๆ 7-11 ใกล้ๆ กับตลาดตระพังทองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ส่วนใครที่กังวลเรื่องข้าวปลาอาหารแห้งในการใส่บาตรนั้นก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะที่ตลาดเค้าจะมีการจัดอาหารสำหรับใส่บาตรเป็นชุดๆ ไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เราควรจะต้องกังวลมากกว่าก็คือการตื่นไปให้ทันเท่านั้นเองครับ @_@
หมายเหตุ : เวลาที่พระบิณฑบาตรนั้นจะอยู่ช่วงประมาณ 6.20 น. โดยจะเริ่มเดินจากในวัดผ่านสะพานไม้ไปยังเกาะกลางที่มีเจดีย์เก่าและเดินข้ามสะพานไม้อีกอันเพื่อออกไปยังถนน ดังนั้นสำหรับใครที่เล็งมุมถ่ายรูปดีๆ ไว้ รับรองว่าจะได้รูปพระบิณฑบาตโดยมีเจดีย์เก่าอยู่ด้านหลังแน่ๆ ครับ แต่สำหรับผมผู้ไม่ทราบมาก่อน มันก็แน่นอนว่าผมพลาดมุมนี้ไปอย่างน่าเสียดาย T____T
ครับ และนี่ก็เป็นกิจกรรมเด่นๆ ภายในจังหวัดสุโขทัยที่ผมคิดว่ากำลังเหมาะสมกับการไปเที่ยวแบบ 2 วัน 1 คืน จนไปถึง 3 วัน 2 คืน โดยถ้าใครคิดว่ามันแน่นไปก็สามารถตัดกิจกรรมบางอย่างออกให้เหลือพอดีกับเวลาที่เรามี ส่วนใครที่คิดว่ากิจกรรมน้อยไปหน่อยก็ลองเพิ่มกิจกรรมอย่างการเรียนรู้งานปั้นและเขียนลายสังคโลก หรือการทอผ้าซิ่นตีนจกเข้าไปก็ได้ครับ หรือไม่สำหรับคนที่ต้องเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่จังหวัดพิษณุโลกอยู่แล้วก็ให้เผื่อเวลาส่วนหนึ่งไว้สำหรับการไปการไหว้พระพุทธชินราช และพระพุทธชินสีห์ด้วยก็ดีครับ
เอาล่ะครับเพื่อความสมบูรณ์ของบทความนี้แบบว่าเข้ามาอ่านทีเดียวแล้วจบๆ ได้ข้อมูลครบทั้งหมดเลยว่ามาเที่ยวที่สุโขทัยแล้วมีอะไรให้เที่ยวบ้าง และถ้าจะนอนพักมีโรงแรมไหนที่แนะนำบ้าง ผมก็เลยขอปิดท้ายบทความนี้ด้วยการแนะนำ 2 ที่พักในจังหวัดสุโขทัยที่ผมประทับใจและอยู่ใกล้อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมากๆ ตามนี้แล้วกันนะครับ ใครที่ชอบที่พักสไตล์ไหนก็ตามไปอ่านรีวิวเต็มๆ ตามลิงก์ที่ผมแปะไว้อีกทีแล้วกันครับ
ที่พักแห่งแรกชื่อว่า Legendha Sukhothai Resort (เลเจนด้า สุโขทัย รีสอร์ท) เป็นที่พักที่ผมว่าเค้าออกแบบมาได้อย่างสวยงามมาก มีความงดงามและกลิ่นไอความเป็นไทยสูง บรรยากาศร่มรื่น มีกิจกรรมให้ทำเยอะ ที่สำคัญไลน์อาหารเช้าเค้าเก๋ไก๋มากๆ ด้วยครับ สำหรับใครที่อยากรีวิวเต็มๆ ของที่นี่ก็คลิกที่นี่ได้เลยครับ
ส่วนที่พักอีกแห่งที่ผมอยากจะแนะนำก็คือ Le Charme Sukhothai Resort (เลอ ชาร์ม สุโขทัย รีสอร์ท) ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆ กับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเช่นเดียวกัน โดยเมื่อเทียบกับเลเจนด้าแล้ว ที่พักแห่งนี้จะมีกลิ่นไอความเป็นไทยน้อยกว่า มีกิจกรรมต่างๆ ภายในรีสอร์ทน้อยกว่า แต่ก็จะได้ในแง่ของความโปร่ง สบายตา รวมทั้งความสดชื่นจากบึงบัวขนาดใหญ่มาทดแทน
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวเต็มๆของ Le Charme ก็สามารถคลิกที่นี่ได้เลยครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับบทความนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ ได้เลยครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป