สวัสดีทุกคนครับ บทความนี้จะเป็นบทสรุปการเดินทางเกือบ 2 ปีของผม จากคนที่ไม่ชอบวิ่งเลย สู่การพิชิตฟูลมาราธอนแรก ในสนามที่หลายคนบอกว่าเนินโหดเอาเรื่องครับ

ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าผมเป็นคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายด้วยการวิ่งเลยครับ เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากกกก ผมวิ่งได้แค่ 10-15 นาทีก็รู้สึกเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ อยากไปทำอย่างอื่นแล้วครับ

แต่เมื่อช่วงสิ้นปี 2565 จู่ ๆ ผมก็เกิดความรู้สึกอยากจะโหลดเกมส์มือถือที่ชื่อ “Pokemon Go” กลับมาเล่นใหม่ และเกมส์นี้แหละครับที่เปลี่ยนชีวิตการออกกำลังกายและสุขภาพของผมไปเยอะมาก ๆ

ผมโหลดเกมส์ Pokemon Go มาก่อนที่จะถึงวันสิ้นปีแค่ไม่กี่วัน และเกมส์นี้มันก็ผลักดันให้ผมอยากจะเดินต่อวันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยลักษณะการทำงานของผมที่อยู่บ้านเป็นหลัก ไม่ค่อยได้ออกไปไหน การจะเดินวนไปวนมาอยู่แต่ในหมู่บ้านก็คงเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก แถมยังได้ระยะทางต่อวันน้อยด้วย ไม่ทันใจผมที่อยากจะฟักไข่และได้ลูกอมในเกมส์เยอะ ๆ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะเริ่มวิ่งครับ

ผมเริ่มวิ่งครั้งแรกด้วยการหยิบรองเท้าผ้าใบเก่า ๆ มาวิ่งในหมู่บ้าน และการวิ่งครั้งแรกนั้นก็เป็นอะไรที่ทรมานร่างกายกับขาของผมมาก ๆ วิ่งได้แค่ 1-2 กม. ก็หอบแฮ่ก ๆ และทำเอาขาเดี้ยงไปหลายวันเลยครับ

แต่ผมก็ยังไม่ถอดใจนะ พอขาผมเริ่มดีขึ้นผมก็ออกไปวิ่งใหม่ วิ่งวันละ 2-3 กม. แล้วก็สลับพัก 2-3 วัน แบบนี้วนไปเรื่อย ๆ จนเกือบจะครบ 1 เดือน จนภรรยาผมแนะนำให้ผมไปซื้อรองเท้าวิ่งแบบจริงจังมาใส่แทน เพราะมันจะดีต่อสุขภาพขาเรามากกว่า และรองเท้าวิ่งคู่แรกที่ผมได้มาก็คือ “Adidas Pure Boost 22” ในราคาหนึ่งพันปลาย ๆ ครับ

จากนั้นเมื่อช่วงกลางเดือน ก.พ. 66 ภรรยาผมก็ได้รางวัลจากการร่วมกิจกรรมมาเป็นนาฬิกา “Amazfit Bip U Pro” และทำให้ผมได้มีโอกาสเริ่มเก็บสถิติต่าง ๆ เกี่ยวกับการวิ่งมากขึ้นครับ

ภาพรวมการวิ่งของผมในปีแรกนั้น ต้องบอกว่าอยู่ในรูปแบบค่อยเป็นค่อยไปครับ ผมพยายามวิ่งช้า ๆ ไม่รีบร้อนที่จะเพิ่มระยะ และระมัดระวังตัวเองในเรื่องของอาการบาดเจ็บต่าง ๆ เป็นอย่างมาก โดยผมเริ่มจากการวิ่งระยะ 3-4 กม. ให้ชินก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยับเพิ่มไปทีละ 1-2 กม. และหากรู้สึกว่ามีอาการบาดเจ็บหรือตึงตรงไหน ผมจะก็หยุดพักให้หายดีก่อนจึงกลับมาเริ่มวิ่งใหม่ และที่สุดแล้วผมต้องใช้เวลาถึง 4 เดือนนิด ๆ เลย ถึงจะสามารถวิ่ง 10 กม. ได้แบบไม่หยุดเดินครับ แต่เวลาก็ไม่ได้ดีอะไรนะ อยู่ที่ 1 ชั่วโมง 17 นาทีนู่นนนน

หลังจากที่ผมวิ่ง 10 กม. แบบไม่หยุดเดินได้แล้ว ทีนี้ก็เกิดโปรเจ็คใหญ่ขึ้นมาในปีนั้นครับ นั่นก็คือภรรยาผมอยากจะไปวิ่งฟูลมาราธอนแรกของเค้า ที่งาน “ฟูจิมาราธอน ประเทศญี่ปุ่น” ซึ่งผมเองก็รู้ตัวดีว่าตัวผมยังไม่สามารถไปถึงระยะนั้นได้ แต่โชคดีที่ปีนั้นทางฟูจิมาราธอนเค้ามีระยะ 10 กม. และ 29 กม. ให้สมัครด้วย ผมจึงตัดสินใจสมัครระยะ 29 กม. ไป โดยมีระยะเวลาการซ้อมประมาณ 6 เดือนครับ และในที่สุดผมก็สามารถพิชิตงานนี้ได้สำเร็จที่เวลา 3 ชั่วโมง 2 นาที (เพซ 6.21) และงานนี้นอกจากจะเป็นงานวิ่งที่ผมประทับใจมาก ๆ แล้ว มันยังเป็นการวิ่งระยะไกลที่สุดในชีวิตผม ณ ตอนนั้นด้วยครับ

  • วิ่งไปประมาณ 1,080 กม. (เฉลี่ยเดือนละ 90 กม.)
  • ลงงานวิ่งไปทั้งหมด 4 งาน งานที่ระยะทางเยอะที่สุดคือ 29 กม.
  • น้ำหนักตัวลดไปประมาณ 10 กก. เอวเล็กลงกว่าเดิมหลายนิ้ว
  • ค่าไขมัน และค่าน้ำตาลในร่างกาย ดีกว่าปีก่อนหน้าเยอะมาก ๆ รวมทั้งสุขภาพร่างกาย และรูปร่างก็ดีกว่าเดิมแบบที่รู้สึกได้
  • มีรองเท้าวิ่ง งอกเป็น 4 คู่

หลังจากจบปี 2566 ผมก็ยังรู้สึกสนุกกับการวิ่ง พร้อมกับการเล่นเกมส์ Pokemon Go อยู่ ผมก็เลยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2567 นี้ ผมจะวิ่งระยะ 10 กม. ให้ต่ำกว่า 55 นาทีให้ได้ และจะเก็บระยะการวิ่งสะสมตลอดทั้งปีให้เกิน 1,200 กม. แต่พอผ่านไปได้แค่ 4 เดือน ผมก็สามารถพิชิตเป้าหมายแรกได้สำเร็จ แถมในเรื่องการเก็บระยะต่อปีก็ดูจะทำได้แบบไม่ลำบากอะไรมากด้วย ทีนี้ช่วงนั้นผมก็เลยรู้สึกเคว้ง ๆ หวิว ๆ ขึ้นมานิด ๆ ครับ ว่าหลังจากนี้จะหาอะไรมาเป็นแรงจูงใจในการซ้อมวิ่งต่อดี

และในที่สุด ในช่วงปลายเดือน มิ.ย. 67 ผมก็ตัดสินใจที่จะวิ่งงานฟูลมาราธอนแรกของผมครับ ทั้ง ๆ ที่ตลอดระยะเวลาการวิ่งเกือบ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมานั้น ระยะฟูลมาราธอนเป็นระยะที่ผมไม่เคยคิดจะลงเลย เพราะผมรู้สึกว่ามันไกลมากกกกก แถมยังต้องใช้เวลา ใช้วินัยในการซ้อมสุด ๆ แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจที่จะลองพิชิตมันดูซักครั้งครับ

และงานที่ผมเลือกที่จะเป็นฟูลมาราธอนแรกก็คือ “Prudential Scenic Marathon Chanthaburi 2024″ ในวันอาทิตย์ที่ 22 ธ.ค. 67 ครับ

หลังจากตัดสินใจแล้วผมก็เริ่มทยอยซ้อมเก็บระยะต่อเดือน โดยจากตอนแรกที่ผมมีค่าเฉลี่ยการวิ่งในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 102 กม./เดือน ก็ขยับเป็น 155 กม. ในเดือนกรกฎาคม และค่อย ๆ เพิ่มไปเรื่อย ๆ จนไปสูงสุดที่ 183 กม. ในเดือนกันยายน (จริง ๆ ควรจะต้องให้เดือน ต.ค. เป็นเดือนที่พีคที่สุด และเก็บระยะได้มากกว่านี้ แต่ผมมีทริปไปต่างประเทศยาว ๆ 10 วัน ก็เลยทำให้ตกเป้าไปครับ)

ส่วนในเรื่องซ้อมลองรัน อันนี้เป็นอะไรที่ผมสอบตกสุด ๆ เพราะผมเป็นคนขี้เกียจวิ่งลองรันมาก ๆ โดยตามแผนซ้อมผม ผมวางลองรันแบบยาว ๆ ไว้แค่เดือนละประมาณ 1 ครั้งเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก โดยระยะลองรันที่ผมซ้อมตลอด 6 เดือนก็มีตามนี้เลยครับ

  • 21 กม.
  • 25 กม.
  • 29 กม.
  • 21 กม.
  • 32 กม.
  • 33 กม.
  • 23.5 กม.

ที่เหลือส่วนใหญ่ผมซ้อมวิ่งระยะ 7-9 กม. เป็นหลัก และมี 10-12 กม. บ้างแบบนาน ๆ ครั้ง ส่วนช่วง 4 วันสุดท้ายก่อนการวิ่ง อันนี้ผมหยุดซ้อมเลยครับ ผมเน้นยืดเหยียดและพักผ่อนร่างกายแบบเต็มที่เลย เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์สุด ๆ ส่วนการวางแผนวิ่งในวันจริง ผมก็เตรียมไว้ประมาณนี้ครับ

  • เพซเป้าหมาย 6.15
  • พยายามตัดโค้งให้มากที่สุด เท่าที่ทำได้
  • กินเจลพลังงานทุก 8 กม. ยกเว้นช่วง กม. ที่ 32 – 42 ที่อาจจะมีการปรับแผนการกิน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ณ ตอนนั้น (เตรียมเจลไปเองทั้งหมด 5 ซอง)
  • กินเม็ดเกลือก่อนวิ่ง 2 เม็ด และกินเพิ่ม 1 เม็ด ทุก ๆ 30 นาที
  • เน้นวิ่งที่ Heart Rate โซน 3 และ 4 เป็นหลัก หากมีขยับไปโซน 5 เมื่อไหร่ต้องอย่าแช่ไว้นาน ต้องรีบชะลอฝีเท้า หรือพักเดินก่อน
  • ทุกจุดการให้น้ำ ต้องแวะจิบน้ำทุกจุด และจะใช้การหยุดเดิน รับน้ำ ค่อย ๆ จิบ แล้วจึงออกเริ่มวิ่งต่อ เพื่อให้ร่างกายและหัวใจผมไม่ล้าจนเกินไป เนื่องจากที่ผ่านมาผมไม่เคยวิ่งไกลเกินกว่า 33 กม. มาก่อนเลย ผมจึงกลัวว่าช่วง กม. ท้าย ๆ ร่างกายผมจะไม่ไหว

และในที่สุด เช้าวันอาทิตย์ที่ 22 ธ.ค. 67 เวลา ตี 3.30 น. ก็มาถึง เช้าวันนั้นอากาศดีมากกก เย็นสบาย เป็นใจสุด ๆ ผมใส่เสื้อผ้าชุดเก่งของผม รวมทั้งรองเท้าคู่ใจคู่ใหม่ “Apexbeat Swift” ออกวิ่งจากจุด Start และหมั่นสังเกตอาการตัวเองอยู่ตลอด โดยผมมีการตั้งธงในใจแล้วว่าเมื่อครบ 10 กม., 20 กม. และ 30 กม. เพซเฉลี่ยผมควรจะเป็นเท่าไหร่ และหากเพซเฉลี่ยที่ได้ออกมาในช่วงนั้นดีหรือแย่กว่าแผน จะต้องมีการปรับเปลี่ยนยังไงบ้าง

สุดท้ายแล้วผมก็สามารถเข้าเส้นชัยได้ที่เวลา 4 ชั่วโมง 16 นาที (เพซ 6.04) ซึ่งดีกว่าที่ผมตั้งใจไว้มาก ๆ และมันเป็นการเข้าเส้นชัยแบบที่ผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่เยินจนเกินไปด้วย ยังเหลือแรงและมีสภาพขาที่ดีกว่าหลาย ๆ งานครับ

  • วิ่งไปประมาณ 1,738 กม. (เฉลี่ยเดือนละ 144.8 กม.)
  • ลงงานวิ่งไปทั้งหมด 6 งาน งานที่ระยะทางเยอะที่สุดคือ 42.195 กม.
  • มีรองเท้าวิ่ง งอกมาอีก 1 คู่

หลังจากนี้ผมก็ยังไม่รู้นะว่าตัวเองจะยังคงวิ่งต่อไปอีกนานแค่ไหน และจะกลับมาวิ่งระยะฟูลมาราธอนอีกครั้งเมื่อไหร่ เพราะรู้สึกว่ามันใช้พลังงานในการซ้อมเยอะมาก แต่ ณ ตอนนี้ผมก็ยังคงสนุกกับการวิ่ง รวมทั้งการเล่มเกมส์ Pokemon Go อยู่ครับ อีกทั้งผมยังได้ตั้งเป้าหมายการวิ่งของตัวเองในปี 2568 เอาไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือ “วิ่ง 10 กม. ต่ำกว่า 50 นาที” ให้ได้ ก็หวังว่าผมจะทำมันสำเร็จนะ

ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่คอยเป็นกำลังใจ และส่งเสียงเชียร์กันมาโดยตลอด

ขอบคุณเกมส์ Pokemon Go ที่ทำให้ผมเริ่มวิ่ง

ขอบคุณ Scenic Marathon สำหรับสนามวิ่งที่ดีมาก ๆ และมันจะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป

ขอบคุณภรรยาคนดี ที่คอยอยู่เคียงข้าง และคอยสนับสนุนทุกอย่าง

สุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้จบมีสุขภาพที่ดี แข็งแรงตลอดไป มีความสุขมาก ๆ ในทุกวันครับ และผมขอเป็นหนึ่งกำลังใจให้กับทุกคนที่เริ่มวิ่ง เริ่มออกกำลังกังกาย หันมาดูแลสุขภาพของตัวเองนะครับ ผมเชื่อว่าเมื่อถึงวันนึงทุกคนจะมีจุดเปลี่ยนให้หันมารักสุขภาพตัวเองมากขึ้น และทุกคนจะเจอหนทางที่เหมาะสมกับตัวเองครับ