หากพูดถึงของฝากหรือของขึ้นชื่อของประเทศไทยแล้ว ผมเชื่อว่า “ผ้าไหมไทย” คือหนึ่งในรายชื่อที่จะมีคนหยิบมาพูดถึงเป็นอันดับแรกๆ เพราะผ้าชนิดนี้มีเสน่ห์และมีความสวยงามที่ไม่เหมือนใคร ยิ่งเป็นผ้าไหมไทยที่ได้รับการถักทอมืออย่างประณีต มีการคิดลวดลายอย่างพิถีพิถันก็ยิ่งทำให้ผ้าไหมผืนนั้นมีความสวยงาม มีมูลค่า และมีความเหมาะสมมากๆ ที่จะนำไปฝากผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือหรือนำไปตัดเป็นเสื้อผ้าเพื่อใช้ใส่ในวาระต่างๆ ครับ
และเมื่อเราพูดถึงผ้าไหมไทยขึ้นมา สถานที่แรกๆ ที่หลายคนจะนึกถึงว่าเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมที่ขึ้นชื่อของประเทศไทยก็คงจะเป็นภาคอีสาน โดยเฉพาะที่อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น และอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา แต่ทุกคนรู้มั้ยครับว่ายังมีอีกหนึ่งชุมชนที่มีฝีมือเป็นที่เลื่องลือในการทอผ้าไหมด้วยมือมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และเป็นชุมชนที่เคยทอผ้าไหมส่งให้จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) ส่งขายไปทั่วโลก ที่สำคัญชุมชนแห่งนี้ยังเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ อย่างสยาม – ราชเทวี ย่านที่ว่ากันว่ามีราคาที่ดินแพงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันนี้ชุมชนดังกล่าวยังคงมีการผลิตผ้าไหมทอมือออกจำหน่ายอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ครับ!!
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
สำหรับวันที่ผมกับทาง Local Alike เดินทางกันในทริปนี้นั้นก็คือวันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561 โดยมีจุดเริ่มต้นของการเดินทางอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ หลังจากนั้นเราก็เดินเท้าเข้าซอยเกษมสันต์ 2 เพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน (Jim Thompson House Museum) บ้านของชาวอเมริกันผู้ที่ทำให้ผ้าไหมไทยเป็นที่รู้จักในระดับโลกตั้งแต่สมัยที่สงครามโลกครั้งที่ 2 พึ่งจบลงได้ไม่นานครับ
คุณจิม ทอมป์สัน เป็นสถาปนิกชาวอเมริกัน เกิดที่เมืองกรีนวิลล์ รัฐเดลาแวร์ โดยในช่วงปี พ.ศ. 2488 ซึ่งตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณจิมได้เป็นอาสาสมัครในกองทัพอเมริกาและเดินทางมาประจำการในประเทศไทย โดยคุณจิมได้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังวางแผนปลดปล่อยอิสระประเทศไทย แต่หลังจากที่คุณจิมเดินทางมาถึงประเทศไทยได้เพียงแค่ 2 วัน สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้จบลงครับ!!
และด้วยความที่คุณจิมนั้นชื่นชอบในวิถีชีวิตและสิ่งต่างๆ ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก หลังจากลาออกจากราชการคุณจิมจึงได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ประเทศไทยเป็นการถาวร และได้เริ่มรู้จักกับอุตสาหกรรมการทอผ้าไหมด้วยมือ อุตสาหกรรมครัวเรือนที่ถูกเพิกเฉยมานาน ซึ่งเมื่อคุณจิมได้เห็นการทอผ้าไหมด้วยมือนี้เป็นครั้งแรกก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก และเริ่มอุทิศตัวเองเพื่อที่จะฟื้นฟูศิลปะหัตกรรมนี้ โดยคุณจิมได้ทำการซื้อที่ดินประมาณ 1 ไร่ เพื่อปลูกบ้านเรือนไทยริมคลองแสนแสบ บริเวณซอยเกษมสันต์ 2 ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับชุมชนบ้านครัวเหนือ ชุมชนขาวแขกจามที่มีฝีมือในการทอผ้าไหมด้วยมือ หลังจากนั้นคุณจิมก็ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปกับการพัฒนาการทอ, การใช้สี และการปรับปรุงลวดลายของการทอผ้าไหม จนทำให้ผ้าไหมไทยประสบความสำเร็จในระดับโลก
ซึ่งจากความทุ่มเท ความตั้งใจจริงของคุณจิมที่ต้องการผลักดันผ้าไหมไทยให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลก รวมไปถึงฝีมือในการย้อมสีไหม, การทอผ้าไหม และการตัดเย็บแปรรูปต่างๆ ของชาวบ้านที่คุณจิมได้ไปคลุกคลีด้วย ทำให้เวลาเพียงไม่นานผ้าไหมจิม ทอมป์สันก็กลายเป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดโลก มียอดสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก และชาวบ้านในชุมชนบ้านครัวเหนือกับชุมชนมัสยิดฮารูณต้องเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิมอีกหลายเท่าตัว
และจากประวัติคร่าวๆ ที่ผมเล่ามาให้ทุกคนฟังนี้ ก็จะเห็นได้เลยว่าคุณจิม ทอมป์สัน เป็นชาวต่างชาติอีกหนึ่งคนที่รักความเป็นไทยมาก และได้ช่วยประชาสัมพันธ์ความเป็นไทย โดยเฉพาะความงามของผ้าไหมไทยให้ทั่วโลกได้รับรู้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยครับว่าทำไมพิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สันแห่งนี้จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะเวียนกันมามากมายในทุกๆ วัน โดยในการเข้าชมที่นี่จะมีค่าใช้จ่าย 200 บาทต่อคน และจะมีการแบ่งการชมออกเป็นรอบ รอบละประมาณ 1 ชั่วโมง โดยในการเดินแต่ละรอบจะมีเจ้าหน้าที่ของทางพิพิธภัณฑ์นำชม และจะมีการแบ่งรอบออกเป็นภาษาไทยและภาษาต่างๆ ใครที่พาเพื่อนชาวต่างชาติไปด้วยก็สามารถสอบถามเวลาของรอบภาษาที่ตัวเองต้องการได้ที่เจ้าหน้าที่ที่จุดจำหน่ายตั๋วได้เลยครับ
หมายเหตุ : พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 18.00 น.
สำหรับการเข้าชมบ้านของคุณจิม ทอมป์สัน เราจะต้องถอดรองเท้าและฝากกระเป๋าไว้ที่บริเวณทางเข้าก่อนนะครับ (สามารถฝากได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ) และนอกจากนี้เราจะไม่สามารถถ่ายภาพภายในบ้านได้ โดยเราจะสามารถถ่ายภาพได้เฉพาะบริเวณโถงชั้นล่างและทางเดินรอบๆ เท่านั้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ที่นำชมจะเป็นผู้บอกเราเองว่าจุดไหนที่เราจะสามารถถ่ายภาพได้บ้างครับ
ใครที่มีโอกาสได้ไปที่นี่และชอบบรรยากาศแบบนี้ ก็อย่าลืมแวะไปใช้บริการนะครับ
เอาล่ะ หลังจากที่ผมได้พาทุกคนไปรู้จักกับบ้านจิม ทอมป์สัน บ้านของคนที่ทำให้ผ้าไหมไทยเป็นที่รู้จักในระดับโลกมาแล้ว คราวนี้ผมกับ Local Alike จะพาทุกคนไปรู้จักกับชุมชนบ้านครัวเหนือ ชุมชนชาวแขกจามใจกลางกรุงเทพฯ ชุมชนที่ในอดีตคุณจิม ทอมป์สัน ได้ข้ามคลองแสนแสบมาหาทุกเช้า ชุมชนที่ผลิตผ้าไหมทอมือส่งให้จิม ทอมป์สันส่งออกไปขายทั่วโลก และชุมชนที่ครั้งนึงเคยได้มีโอกาสถวายงานรับใช้พระมหากษัตริย์ไทยและพระบรมวงษาณุวงศ์ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงช่วงรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
โดยประวัติคร่าวๆ ของชาวจามหรือแขกจามก็คือ กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งในตระกูลมาลาโย-โพลินีเชียน เคยมีอาณาจักรเป็นของตัวเองชื่อว่าอาณาจักรจามปา โดยอาณาจักรนี้ตั้งอยู่ระหว่างญวนกับเขมรและมีความเจริญรุ่งเรืองมากในช่วง 500 – 1,800 ปีก่อน ชาวจามส่วนใหญ่มีความสามารถในด้านการรบ, การเดินเรือ และการค้าขาย รวมถึงมีสินค้าที่เด่นๆ ที่คนในสมัยก่อนรู้จักคือผ้าทอ, ไม้หอม และเครื่องปั้นดินเผา ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และสื่อสารกันด้วยภาษาในตระกูลเดียวกับภาษามลายู โดยชามจามหรือแขกจามกลุ่มแรกๆ ได้เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงต้นกรุงศรีอยุธยาและได้มาอาศัยอยู่ที่เมืองชุมพร จนกระทั่งอาณาจักรอยุธยาได้เริ่มมีการขยายอาณาเขตมาทางใต้มากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เมืองชุมพรและเมืองทางใต้ทั้งหลายได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรอยุธยา และด้วยความสามารถทางการรบ, การเดินเรือ และการค้าขายของแขกจามที่เป็นที่น่าประทับใจ ทำให้แขกจามได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือกรุงศรีอยุธยาในด้านต่างๆ เรื่อยมา จนกระทั่งถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่พระบาทสมเด็จพระยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงให้แขกจามช่วยรบในสงคราม ๙ ทัพ และด้วยความดีความชอบในการช่วยรบในครั้งนั้น พระองค์ท่านจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินผืนหนึ่งบริเวณริมคลองมหานาคและคลองแสนแสบนอกเขตพระนคร เพื่อให้แขกจามทำมาหากินอยู่รวมกัน ซึ่งชุมชนดังกล่าวนั่นก็คือชุมชนบ้านครัว เขตปทุมวัน ที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านของจิม ทอมป์สันในปัจจุบันนั่นเองครับ
สำหรับภาพนี้เป็นภาพของแขกจามในสมัยช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ครับ โดยว่ากันว่าฝีมือการทอผ้าไหมด้วยมือของแขกจามนั้นเป็นที่เลื่องลือมาก จนทำให้แขกจามในชุมชนบ้านครัวเหนือได้มีโอกาสถวายงานให้แก่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ ด้วยครับ
และเนื่องจากว่าในปัจจุบันนี้ท่าน้ำที่อยู่ในบ้านของคุณจิมไม่ได้มีการเปิดใช้งานแล้ว ดังนั้นเส้นทางในการเดินทางจากบ้านคุณจิมไปยังชุมชนบ้านครัวเหนือก็เลยต้องใช้การเดินข้ามสะพานคลองแสนแสบไปแทน ซึ่งเส้นทางการเดินนั้นก็สะดวกสบายดี ใช้เวลาในการเดินประมาณ 5 นาทีก็ถึง โดยในระหว่างการเดินไปนั้นเราก็จะได้เห็นชีวิตของผู้คนริมคลองแสนแสบที่โดยปกติเราไม่ค่อยจะได้มีโอกาสเห็นซักเท่าไหร่ด้วยครับ
หมายเหตุ : ที่ชุมชนบ้านครัวเหนือจะไม่ได้มีการเลี้ยงไหมเองนะครับ เค้าจะใช้การซื้อไหมมาจากที่อื่นแล้วมาทำการย้อมสีเอง หรือไม่ก็ซื้อไหมที่ย้อมสำเร็จแล้วมาทอครับ
ภายในบ้านของลุงอี๊บเต็มไปด้วยภาพในสมัยอดีต, กี่ทอผ้าไหม, ไหมสีต่างๆ รวมไปถึงผ้าไหมที่สวยงามมากมาย โดยเฉพาะผ้าไหมเกล็ดเต่าและผ้าไหมเหลืองสิรินธร โดยผ้าไหมเหลืองสิรินธรนั้นเป็นผ้าไหมที่ลุงอี๊บคิดค้นขึ้นมาเอง เป็นผ้าไหมที่ผลิตมาจากไหมพันธุ์ดอกบัว ซึ่งเป็นไหมที่เกิดจากการผสมกันระหว่างไหมที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้นำมาจากเมืองจีน และโปรดฯ ให้ศูนย์หม่อนไหมที่จังหวัดอุบลราชธานีนำมาผสมกับพันธุ์ไทย โดยทางลุงอี๊บได้นำไหมชนิดนี้มาผ่านกระบวนการผลิตแบบพิเศษจนทำให้ไหมมีความนิ่ม และมีความบางเหมือนผ้าแก้ว รวมทั้งมีสีเหลืองตามธรรมชาติที่สวยงามมาก นอกจากนี้ทางลุงอี๊บยังได้นำผ้าไหมชนิดนี้ไปคุยกับทางกรมหม่อนไหมเพื่อขอถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมทั้งขอพระราชทานชื่อ ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน พระองค์ท่านก็ได้มีหนังสือตอบรับกลับมา อันนำมาซึ่งความปลื้มปิติแก่ลุงอี๊บและครอบครัวเป็นอย่างมาก
โดยตลอดระยะเวลาที่ผมกับเพื่อนๆ ได้อยู่ในบ้านของลุงอี๊บ พวกเราได้รับฟังเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย ตั้งแต่ประวัติของชาวแขกจามในเมืองไทยที่มีทักษะด้านการรบ, การค้า, การทอผ้า จนมาถึงการได้รับพระราชทานที่ดินชุมชนบ้านครัวแห่งนี้ รวมไปถึงเรื่องการของการทอผ้าในสมัยอดีตที่ชาวแขกจามส่วนใหญ่จะเน้นการทอผ้าขาวม้า, ผ้าโสร่งเป็นหลัก จนกระทั่งคุณจิม ทอมป์สันได้เข้ามาที่ชุมชนแห่งนี้และเริ่มมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทอผ้าใหม่ เพิ่มลวดลาย สีสัน และลูกเล่นต่างๆ ลงไปจนทำให้เกิดบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด และการส่งผ้าไหมไทยแบรนด์ Jim Thompson ออกไปทั่วโลกจนมีชื่อเสียงโด่งดังจนถึงทุกวันนี้
โดยการเปลี่ยนแปลงที่ว่าก็คือการที่บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ได้เริ่มมีการก่อสร้างโรงงานทอผ้าด้วยมือเองที่อำเภอปักธงชัย ซึ่งในช่วงแรกนั้นโรงงานแห่งนี้มีกี่ทอมือเพียงประมาณ 20 กี่เท่านั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการขยับขยายจนมีกี่ทอมือมากกว่า 1,000 กี่ และกลายเป็นโรงงานทอผ้าไหมด้วยมือที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงในปี พ.ศ. 2539 บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ก็ได้มีการสั่งซื้อเครื่องทอที่มีการควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชาวชุมชนบ้านครัวเหนือต้องมีการปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานของตัวเอง จากการผลิตส่งให้ผู้อื่นจัดจำหน่ายก็กลายเป็นการผลิตผ้าไหมในแบรนด์ของตัวเองออกมาและทำการส่งขายไปยังที่อื่นๆ ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็หันประกอบอาชีพอื่นๆ แทน
พวกเราใช้เวลานั่งตุ๊กตุ๊กได้ประมาณ 20 นาทีก็มาถึงชุมชนมัสยิดฮารูณ แต่ด้วยความที่ช่วงเวลาที่พวกเราไปถึงนั้นก็เป็นเวลาเกือบ 13.00 น. แล้ว ดังนั้นพวกเราก็เลยแวะรับประทานอาหารกลางวันกันก่อน โดยร้านที่พวกเราเลือกฝากท้องในวันนั้นคือร้าน Home Cuisine Islamic Restaurant ร้านอาหารอิสลามที่มีชื่อเสียงมากในละแวกนั้นครับ
ใครที่ชื่นชอบการทานอาหารอิสลามและได้มีโอกาสผ่านไปแถวนั้นก็ลองแวะไปทานดูนะครับ อาหารหลายๆ อย่างรสชาติดีเลย ^^
โดยในสมัยก่อนนั้นคุณจิม ทอมป์สันได้พยายามค้นหาคนที่จะช่วยแปรรูปผ้าไหมที่ทอได้ออกเป็นของต่างๆ ซึ่งหนึ่งในของที่คุณจิม ทอมป์สันต้องการมากและตลาดโลกต่างก็ให้ความสนใจนั่นก็คือเนคไท แต่ด้วยความที่ประเทศไทยในตอนนั้นแทบไม่มีใครที่รู้จักหรือใช้เนคไทกันเลย ดังนั้นคุณจิม ทอมป์สันก็เลยต้องใช้เวลาในการหาคนที่มีความเข้าใจเรื่องแบบ รวมทั้งมีฝีมือในการตัดเย็บงานให้เหมาะสมอยู่เป็นเวลานานมาก จนกระทั่งได้มาพบกับคุณการันต์ เรสลี (คุณพ่อของคุณอิม เจ้าของร้าน IMMAS ในปัจจุบัน) และได้เริ่มพูดคุยกันจนในที่สุดก็เกิดเป็นเนคไทเส้นแรกขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นานชุมชนบ้านฮารูณก็ได้มีการรวมตัวผู้ที่มีฝีมือในการตัดเย็บกว่า 30 คน เพื่อมาร่วมทำงานร่วมกัน โดยมีกำลังการผลิตเนคไทผ้าไหมส่งให้กับทางจิม ทอมป์สันในตอนนั้นเดือนละเกือบ 10,000 เส้น!!!
ภาพด้านล่างนี้คือภาพของคุณลุงการันต์ เรสลี ซึ่งเป็นคนที่ตัดเนคไทเส้นแรกตามที่คุณจิม ทอมป์สันต้องการ โดยในปัจจุบันนี้คุณลุงอายุเกือบ 80 ปีแล้วแต่ก็ยังแข็งแรงอยู่มาก ความทรงจำต่างๆ ถือว่าดีสุดๆ เมื่อเทียบกับคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน ที่สำคัญคุณลุงยังกระฉับกระเฉงและยังสามารถตัดเนคไทด้วยมือให้ผมกับเพื่อนๆ ดูได้อย่างสบายๆ อีกด้วย
ใครที่สนใจผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็ลองแวะเวียนไปดูใน website ของ IMMAS Design ตามลิงก์นี้ได้เลยนะครับ http://immas.net/ ผมว่าของหลายๆ ชิ้นเค้าสวยดี ^^
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณ Local Alike และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกรุงเทพมหานครมากๆ ที่ให้โอกาสผมกับเพื่อนๆ ได้ไปเรียนรู้ ได้ไปเปิดหูเปิดตา ได้ไปสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ และได้กลับมาเขียนเรื่องราวเหล่านี้ให้ทุกคนได้อ่านกันครับ หากใครที่สนใจเรื่องราวเหล่านี้และอยากจะตามรอยผมกับเพื่อนๆ ก็ลองติดต่อกับทาง Local Alike ดูนะครับว่าเค้าจะมีโปรแกรมออกเดินทางแบบนี้ในวันไหนอีกบ้าง แต่หากช่วงวันเวลาต่างๆ ไม่ลงตัวกัน ก็ลองก้าวเท้าออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเองเลยก็ได้ครับ
.
.
.
.
ทุกอย่างนั้นไม่ยาก หากเรากล้าที่จะก้าวเดินครับ!!
Fanpage : Local Alike
อ่านรีวิว สัมผัสชีวิตชาวเขาเผ่าอาข่า บ้านหล่อโย จ.เชียงราย คลิกที่นี่
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้