สวัสดีทุกคนครับ รีวิวนี้ผมจะมาแจกแผนเที่ยวปักกิ่ง (Beijing) ประเทศจีน 5 วันเต็ม โดยเก็บไฮไลท์ทุกอย่างแบบครบ ๆ พร้อมชี้แจงทุกอย่างตั้งแต่ค่าใช้จ่าย, วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุด และแอพมือถือจำเป็นที่คุณควรต้องมีติดไว้ รับรองว่าใครอ่านจบสามารถไปเที่ยวปักกิ่งเองได้โดยที่ไม่ต้องง้อทัวร์เลยครับ!!
ช่วงเวลาที่แนะนำ
- ปลาย มี.ค. ถึงกลาง เม.ย. (ฤดูใบไม้ผลิ, มีดอกไม้สวย ๆ ให้ดู)
- ปลาย ต.ค. ถึงกลาง พ.ย. (ฤดูใบไม้ร่วง, ใบไม้เปลี่ยนสีสวย)
ทั้งสองช่วงนี้อุณหภูมิโดยประมาณจะอยู่ที่ 5-18 องศาครับ อากาศกำลังดี เหมาะแก่การเดินเที่ยวมาก ๆ
หมายเหตุ : วันที่ 1 เม.ย. – 31 ต.ค. ของทุกปีจะเป็นช่วง High Season ของการเที่ยวในประเทศจีนนะครับ บัตรค่าเข้าสถานที่ต่าง ๆ จะมีราคาสูงกว่าช่วง Low season ครับ
วิธีการเดินทางเข้าจีนช่วงฟรีวีซ่า
เป็นอะไรที่เข้าง่ายมาก ๆ ครับ เราเตรียมไปแค่พาสปอร์ต, ข้อมูลไฟล์ทขากลับ และที่อยู่ของโรงแรมที่เราเข้าพักก็พอ โดยพอเราไปถึงสนามบินปลายทางแล้วก็ให้เราไปหยิบใบ Arrival Card มากรอก (มีทั้งหมด 2 หน้า คำถามง่าย ๆ และในนี้จะมีให้กรอกไฟล์ทที่เราจะกลับ และโรงแรมที่เราจะพัก) จากนั้นก็ไปต่อแถว ตม. และยื่นเอกสารให้เค้าได้เลยครับ ทั้งนี้สำหรับบางคนที่ไม่มั่นใจหรือแอบกังวลก็ให้เตรียมพวกแผนเที่ยว, ข้อมูลการจองโรงแรมที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดติดตัวไปด้วยนะครับ
หมายเหตุ : สำหรับพาสปอร์ตไทยจะอยู่ในจีนได้ไม่เกิน 30 วันนะครับ และบางสนามบินจะมีตู้สแกนนิ้วอัตโนมัติด้วย หากเราเจอก็เข้าไปสแกนที่ตู้นี้ก่อน เมื่อสแกนเสร็จแล้วมันจะมีเอกสารใบเล็ก ๆ ออกมา เราก็นำติดตัวไปเพื่อยื่นให้ ตม.จีนได้เลยครับ
แอพในโทรศัพท์ที่ควรมีติดไว้
▪ Apple Map : แอพสำหรับดูแผนที่และการเดินทางเฉพาะคนใช้ iOS พิกัดต่าง ๆ ค่อนข้างตรง และสามารถเอาตัวรอดในจีนได้เลย แต่ว่าความละเอียดของฐานข้อมูลนั้นยังเป็นรอง Baidu อยู่พอควรนะ
▪ Maps.me : แอพสำหรับดูแผนที่และการเดินทางสำหรับคนใช้ iOS และ Android การใช้งานต่าง ๆ ง่าย เพราะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ใช้ดูการเดินทางในปักกิ่งได้สะดวกดี และครอบคลุมทั้งรถส่วนตัว, รถไฟฟ้า, รถเมล์ แต่ว่าพวกข้อมูลร้านค้าต่าง ๆ ยังมีในระบบไม่ครบนะ ทำให้บางครั้งเราอาจจะค้นหาไม่เจอก็ได้ และการจะใช้งานแอพนี้ได้นั้นเราจะต้องมีการโหลดแผนที่ของเมืองที่จะไปก่อนด้วยนะครับ (แอพนี้จะไม่สามารถดูค่าโดยสารได้นะครับ)
▪ MetroMan China : แอพสำหรับดูการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าในประเทศจีน ข้อมูลแม่นยำ บอกละเอียดทั้งสถานี, การต่อรถ, เวลา, ราคา และสามารถเลือกดูเวลารถล่วงหน้าได้ด้วย แต่ข้อเสียก็คือเวลาจะใช้แต่ละครั้งต้องดูโฆษณาก่อน รวมทั้งเราจะต้องรู้ชื่อของสถานีปลายทางที่ต้องการไปด้วย เพราะเราไม่สามารถที่จะค้นหาเป็นชื่อของสถานที่หรือร้านค้าโดยตรงได้ครับ
▪ Alipay : แอพสำคัญสุด ๆ ที่ต้องมีติดตัวไว้ ใช้ทั้งสแกนดูเมนู, จ่ายเงิน, เช่าจักรยาน, เรียกแท็กซี่, สร้าง QR Code เพื่อขึ้นลงรถเมล์-รถไฟฟ้า รวมถึงจองเข้าสถานที่ต่าง ๆ ตัวแอพใช้งานไม่ยากเพราะว่ามีภาษาอังกฤษด้วยครับ
▪ Wechat : แอพแชทยอดนิยมของจีนที่ปัจจุบันนี้ทำอะไรได้หลายอย่างสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นแชท, สแกนเมนู, เช่าจักรยาน, จ่ายเงิน หรือจองนั่นนู่นนี่ แต่โดยรวมแล้วคนไทยที่ไปท่องเที่ยวส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ใช้แอพนี้เท่าไหร่ เพราะฟังก์ชั่นบางอย่างมันซ้ำกับ Alipay รวมทั้งแอพนี้หากเราไม่ได้เข้าไปใช้นาน ๆ มันก็จะล็อคแอคเคาท์เราด้วย แต่อย่างไรก็ตามผมแนะนำว่าควรโหลดติดเครื่องไว้ก่อนจะดีกว่าครับ เพราะบางทีมันอาจเจอเหตุการณ์ที่ต้องใช้แอพนี้อย่างเดียวก็ได้
▪ Google Translate : อีกหนึ่งแอพที่สำคัญโคตร ๆ ใช้แปลภาษาได้สะดวกมาก ๆ ทั้งการพิมพ์, พูด หรือสแกนรูป ใครที่ไม่เคยใช้แนะนำให้ใช้คล่อง ๆ นะ โดยเฉพาะฟังก์ชั่นการพูดแล้วแปล กับการสแกนรูป มันช่วยได้เยอะมากครับ ทั้งนี้หากใครที่พอจะมีสกิลภาษาอังกฤษอยู่บ้าง ผมแนะนำให้ใช้การแปลเป็นอังกฤษ – จีน จะดีกว่าไทย – จีน นะครับ
▪ K Plus และ True Wallet : 2 แอพนี้มีไว้เผื่อจ่ายเงินกรณีที่แอพ Alipay มีปัญหา และร้านเค้าไม่รับเงินสดนะครับ โดยแอพ K Plus นั้นเหมาะสำหรับคนที่มีบัญชีธนาคารกสิกรไทยและมีแอพอยู่แล้ว เพราะแอพนี้ขอแค่เรามีเงินในบัญชีเราก็จะสามารถทำการสแกนจ่ายเงินให้ร้านค้าที่รับ Unionpay ในประเทศจีนได้ทันที โดยที่ไม่ต้องมีการลงทะเบียนหรือทำอะไรเลย ที่สำคัญมันคิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ ตอนนั้น และไม่มีการชาร์จใด ๆ ทั้งสิ้นครับ ส่วนแอพ True Wallet อันนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ใช้งานแอพนี้ในไทยเป็นประจำอยู่แล้ว โดยหากเรามีการเติมเงินเข้าไปใน Wallet เราก็จะสามารถทำการสแกนจ่ายเงินที่จีนได้เช่นกัน แต่ว่าข้อเสียของแอพ True Wallet นั้นก็คือมันจะมีค่าธรรมเนียมในการใช้นิดหน่อยนะ
ซิมอินเตอร์เนทที่แนะนำ
แนะนำให้ใช้ซิมจากไทยไปเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการโรมมิ่งเบอร์เดิมที่เราใช้อยู่แล้ว หรือเป็นการซื้อซิมใหม่อย่าง AIS Sim2Fly และ True Travel Sim โดยข้อดีของการใช้ซิมไทยไปนั้นก็คือเราจะสามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เราคุ้นชินได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Facebook, IG, X, Youtube, Google และอื่น ๆ ได้โดยที่ไม่ถูกบล็อคอะไร โดยราคาการโรมมิ่งหรือซื้อซิมใหม่ในปัจจุบันนี้จะอยู่ที่ 399 บาท ต่อการใช้ 10 วัน และจะได้ปริมาณดาต้าทั้งหมด 6GB ครับ ซึ่งหากเราวางแผนการใช้งานดี ๆ ไม่มีการดูวีดีโอหรือเผลอโหลดอะไรหนัก ๆ ปริมาณดาต้าขนาดนี้เพียงพอแน่นอนครับ อย่างทริปนี้ผมไปทั้งหมด 7 วันก็ใช้ไปแค่ 5GB นิด ๆ ครับ (ผมใช้ AIS Sim2Fly นะครับ ไปที่ปักกิ่งจะจับสัญญานของ China Mobile เป็นหลัก สัญญาณต่าง ๆ ดีเลย ต่อให้อยู่ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินก็ยังสามารถเล่นได้ครับ)
อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่คิดว่าตัวเองใช้ปริมาณดาต้าอินเตอร์เนทเยอะมาก ๆ ก็สามารถไปซื้อแพคเกจเพิ่มระหว่างทริปได้นะครับ โดยกดซื้อผ่านแอพของมือถือแต่ละค่ายได้เลย
หมายเหตุ : ซิมไทยที่เราใส่ไปนั้น จะสามารถรับ OTP ที่จีนได้นะครับ และไม่ได้มีค่าใช้จ่ายในการรับ SMS แต่อย่างใด
ไฮไลท์เด่นในปักกิ่ง
▪ พระราชวังต้องห้าม (กู้กง / Forbidden City) : หนึ่งในสถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของปักกิ่ง และต้องทำการจองล่วงหน้าเท่านั้น โดยเราสามารถจองล่วงหน้าได้ 7 วันนะครับ และเริ่มจองได้ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของประเทศไทย ตัวพระราชวังมีขนาดใหญ่มาก หากเดินแบบเร็ว ๆ ไม่ได้เก็บรายละเอียดอะไรมากก็น่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ส่วนใครที่เป็นสายละเอียด ต้องการสำรวจให้ครบ ๆ ก็ควรจะต้องมีเวลา 5-6 ชม. ขึ้นไปครับ ทั้งนี้ผมแนะนำให้เช่าออดิโอไกด์เพิ่มด้วยนะ (ราคา 40 หยวน) มันจะมีภาษาไทยบรรยายให้เราฟังเลย และมันจะช่วยให้เราเข้าใจในจุดต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเยอะมากครับ
▪ สวนจิงซาน (Jingshan Park) : สวนที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของพระราชวังต้องห้าม เดินข้ามถนนปั๊บก็ถึงเลย ส่วนไฮไลท์ของสวนนี้ก็คือมันเป็นสวนที่ประกอบด้วยเนินเขาห้ายอด แต่ละยอดมีการสร้างศาลาไว้เพื่อเป็นตัวแทนของธาตุทั้ง 5 อันได้แก่ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ และทอง โดยถ้าเราเดินขึ้นไปยังศาลาที่อยู่ด้านบนสุด เราก็จะสามารถมองเห็นวิวของพระราชวังต้องห้ามจากมุมสูงได้อย่างเต็มตา และเราจะเห็นเลยว่าพระราชวังแห่งนี้มันใหญ่โตมโหฬารขนาดไหนครับ ทั้งนี้เส้นทางการเดินขึ้นไปยังศาลาบนสุดนั้นจะเป็นทางสโลปขึ้นไปเรื่อย ๆ และมีบันไดเป็นบางช่วง ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็จะถึงครับ
▪ จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square) : จัตุรัสกลางเมืองปักกิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศจีนมากมาย โดยจัตุรัสนี้จะตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับพระราชวังต้องห้ามเลย ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงมักจะแวะไปเที่ยวที่นี่ก่อนแล้วค่อยเดินต่อไปยังพระราชวังต้องห้ามครับ ทั้งนี้ภายในพื้นที่ของจัตุรัสเทียนอันเหมินนั้นจะประกอบไปด้วยอนุสาวรีย์วีรชน, มหาศาลาประชาชน, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจีน และอนุสรณ์สถานประธานเหมา แต่โดยส่วนมากแล้วคนไทยก็จะแวะไปถ่ายรูปตรงจุดยอดนิยมแป้บ ๆ แล้วก็ไปต่อครับ ไม่ค่อยมีใครเดินชมอะไรในบริเวณนี้เท่าไหร่
▪ พระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace) : อีกหนึ่งพระราชวังที่มีชื่อเสียงของปักกิ่งและประเทศจีน ตัวพระราชวังมีขนาดใหญ่มาก และมีภูมิทัศน์สวยงามสุด ๆ เพราะมันจะประกอบไปด้วยภูเขา, ทะเลสาบขนาดใหญ่ และตำหนักอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งนี้โดยส่วนตัวแล้วผมชอบพระราชวังฤดูร้อนมากกว่าพระราชวังต้องห้ามอีกนะครับ ผมว่าบรรยากาศมันร่มรื่นกว่า เดินสบายกว่า ถ่ายรูปง่ายกว่า และมีอะไรให้ดูมากกว่า ส่วนระยะเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวที่นี่นั้นอย่างน้อยก็ควรจะต้องมี 4 ชั่วโมงครับ เพราะพื้นที่มันใหญ่จริง ๆ (บางคนสามารถอยู่ได้ทั้งวันเลยครับ)
▪ หอสักการะฟ้าเทียนถัน (Tian Tan Temple of Heaven) : หอสักการะฟ้าที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ของประเทศจีน และเราน่าจะเคยได้เห็นผ่านตาในภาพยนต์จีนต่าง ๆ โดยหอนี้มีอายุมากกว่า 600 ปีแล้ว และได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกด้วยครับ
▪ กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China) : 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 2,000 ปี โดยจากตัวเมืองปักกิ่งนั้นเราจะสามารถไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนได้หลายด่านมาก เช่น ปาต้าหลิง, มู่เถียนอวี้ (มู่เทียนยู่), ซือหมาไถ เป็นต้น แต่ว่าผมเลือกไปที่ด่านมู่เถียนอวี้ (Mu Tian Yu) โดยผ่านบริการของ Mubus นะครับ เพราะผมว่ามันสะดวกในการเดินทางและการจัดการดี อีกทั้งด่านนี้คนไม่ได้เยอะมาก และเค้ามีกิจกรรมให้ทำหลายอย่างเลยครับ เช่น นั่งเคเบิ้ลคาร์, นั่งรถรางสไลด์ Toboggan เป็นต้น
▪ Universal Beijing Resort : สวนสนุก Universal ที่ใหม่ที่สุดของโลกในตอนนี้ แถมยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสวนสนุก Universal ทั้งหมดทั่วโลกด้วย โดยที่นี่จะมีพื้นที่ทั้งหมด 2,500 ไร่ (ใหญ่กว่าที่สิงคโปร์ 5 เท่า)และภายในจะมีการแบ่งออกเป็นทั้งหมด 7 โซน ได้แก่ Hollywood, The Wizarding World of Harry Potter, Jurassic World, Minion Land, Transformers, Kung Fu Panda และ Waterworld โดยในส่วนของ Kung Fu Panda นั้น ที่นี่จะเป็นที่เดียวในโลกที่มีเลยนะครับ
▪ วัดลามะ (Lama Temple) : วัดขนาดใหญ่ในปักกิ่งที่รวมความเชื่อและวัฒนธรรมทั้ง 4 สายหลักของจีนอย่างฮั่น, มองโกล, แมนจู และธิเบตไว้ด้วยกัน ตัววัดมีขนาดใหญ่มากและมีของที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนามากมาย รวมทั้งยังมีคนเข้ามาสักการะเป็นจำนวนมากตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่แพ้ควันธูป, มีเวลาจำกัด หรือไม่ได้อินการท่องเที่ยวแนวนี้เท่าไหร่ก็สามารถข้ามสถานที่นี้ไปได้นะครับ เพราะมันเป็นสถานที่เฉพาะทางเหมือนกัน และไม่ได้มีมุมอะไรให้ถ่ายรูปด้วย
▪ เทียนจิน (Tianjin) : เมืองที่อยู่ห่างจากปักกิ่งประมาณ 30 นาที เดินทางสะดวกและรวดเร็วด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูง ภายในเมืองนี้จะมีตึกและสถาปัตยกรรมที่มีความเป็นยุโรปเยอะมาก ๆ และเหมาะแก่การเดินถ่ายรูปเล่นเป็นที่สุด แต่ว่าการเดินทางในเมืองนี้สำหรับคนที่ไม่รู้ภาษาจีนอาจจะลำบากหน่อยนะ เพราะต้องใช้การเดินหรือนั่งแท็กซี่เป็นหลัก แต่ถ้าใครพอรู้ภาษาจีนและนั่งรถเมล์เป็นก็จะสะดวกมาก ๆ ครับ
▪ หวังฟู่จิง (Wangfujing) : ย่านที่มีชื่อเสียงย่านหนึ่งของเมืองปักกิ่ง โดยหลาย ๆ คนมักจะมาเดินเล่นหรือช้อปปิ้งซื้อของที่นี่ นอกจากนี้ภายในย่านก็ยังมีร้านอาหารอร่อย ๆ อีกมากมายด้วยครับ โดยเฉพาะเป็ดปักกิ่งกับหม้อไฟหม่าล่า
▪ โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph’s Church) : โบสถ์ภายในย่านหวังฟู่จิง ตัวโบสถ์และบริเวณรอบ ๆ มีความสวยงามและดูขลังมาก นอกจากนี้เวลาที่เราถ่ายรูปมามันยังให้อารมณ์เหมือนกับเรากำลังอยู่ที่ยุโรปด้วยครับ
▪ ถนนโบราณเฉียนเหมิน (Qianmen Street) : ถนนสายประวัติศาสตร์ในเมืองปักกิ่งที่มีอายุมากกว่า 600 ปี โดยถนนเส้นนี้จะเป็นถนนเส้นตรงยาวเกือบ 1 กม. และมีความกว้างถึง 21 เมตรครับ ทั้งนี้ในอดีตถนนเส้นนี้จะเป็นถนนที่องค์จักรพรรดิของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ใช้เป็นเส้นทางเสด็จเพื่อไปทำพิธีบวงสรวงสวรรค์และสักการะที่หอฟ้าเทียนถานครับ ส่วนในปัจจุบันนั้นทางรัฐบาลจีนเค้าได้ทำการบูรณะพื้นที่ทั้งหมดใหม่และปรับปรุงให้เป็นแหล่งช้อปปิ้งและถนนคนเดิน โดยเค้าได้สร้างรูปแบบอาคารตลอด 2 ข้างทางให้เป็นอาคารรูปทรงโบราณตามแนวสถาปัตยกรรมจีนผสมตะวันตกครับ
Flight บินของผม
ทริปปักกิ่งรอบนี้ผมเลือกใช้บริการของสายการบิน Vietjet นะครับ โดยจุดเด่นมาก ๆ ของไฟล์ทเค้าก็คือวันแรกเราจะไปถึงตอนตี 2 และวันกลับเราจะออกจากที่นั่นตอนตี 3 ทำให้เราสามารถเที่ยวได้แบบเต็ม ๆ ทั้งวันไปและวันกลับเลย และยิ่งถ้าใครเลือกจองโรงแรมที่สามารถฝากกระเป๋าได้ทั้งก่อนเช็คอินและหลังเช็คเอาท์ มันก็จะช่วยให้เราประหยัดค่าโรงแรมไปได้ด้วยครับ
- ขาไป BKK- PKX ไฟลท์ VZ3718 (20.20 น. – 02.00 น.)
- ขากลับ PKX-BKK ไฟลท์ VZ3719 (03.00 น. – 07.10 น.)
ทั้งนี้ที่ปักกิ่งนั้นจะมีสนามบินนานาชาติ 2 สนามบินนะครับ คือ PKX (Beijing Daxing International Airport) และ PEK (Beijing Capital International Airport) โดยทั้ง 2 สนามบินนี้จะอยู่กันคนละทิศละทางเลย และห่างกันมากกว่า 80 กม. อีกครับ
ใครที่ดูแล้วสนใจไฟลท์บินแบบผมก็ลองเข้าไปดูราคาและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ vietjetair.com นะครับ โดยนอกจากเส้นทางบินสุวรรณภูมิ – ปักกิ่งแล้ว ทางไทยเวียตเจ็ทก็ยังมีเส้นทางบินไปจีนอีกหลายที่เลย เช่น เซี่ยงไฮ้, หางโจว, กวางโจว เป็นต้น
การเดินทางในปักกิ่ง
ตลอดทริปผมใช้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า (ซับเวย์) + การเดินเท้าทั้งหมดเลยนะครับ โดยที่ปักกิ่งนั้นระบบรถไฟฟ้าเค้าดีมาก มีให้บริการเกือบ 20 สาย และครอบคลุมพื้นที่ที่เราต้องการไปเที่ยวทั้งหมด นอกจากนี้ค่ารถไฟฟ้าเค้าก็ถูกมาก ๆ ครับ นั่งทีนึงก็แค่ 20 บาทเท่านั้น และต่อให้นั่งไกล ๆ แบบเป็นชั่วโมงก็แค่ 30-35 บาทเอง ส่วนวิธีการขึ้นรถไฟฟ้าที่สะดวกที่สุดในความเห็นของผมก็คือให้ซื้อบัตร iccard ไว้เลยครับ โดยบัตรนี้มันจะสามารถใช้ในการขึ้นลงรถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าความเร็วสูง, รถเมล์ได้หมดเลย แตะเข้าแตะออกรวดเร็วทันใจ และเราสามารถเติมเงินเพิ่มได้ที่ตู้อัตโนมัติในสถานีหรือที่เจ้าหน้าที่ในสถานีได้เลยครับ (หาซื้อบัตรได้ที่สนามบินหรือตามสถานีรถไฟฟ้าใหญ่ ๆ โดยการซื้อครั้งแรกมันจะมีค่ามัดจำบัตร 20 หยวน แต่ว่าตอนที่เราเอาบัตรไปคืนเราจะได้เงินที่เหลือในบัตรและค่ามัดจำคืนทั้งหมดครับ)
ส่วนวิธีการดูว่าเราจะต้องนั่งรถไฟฟ้าสายไหน, ไปเปลี่ยนสายที่ไหนบ้าง ก็ดูผ่านแอพ Maps.me และ Metroman China ได้เลย โดยแอพ Maps.me นั้น เราจะสามารถใส่เป็นชื่อสถานที่ปลายทางที่ต้องการไปได้เลย เช่น พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) แล้วแอพมันจะบอกว่าพอออกจากสถานีปลายทางแล้วเราจะต้องเดินไปทางไหนต่อ แต่ว่าแอพนี้มันจะไม่มีการบอกค่าโดยสารนะ ส่วนแอพ Metroman China นั้น มันจะบอกค่าโดยสารที่เราต้องจ่ายด้วย รวมทั้งยังสามารถกดดูเวลาล่วงหน้าได้ด้วยว่าหากเราต้องการจะไปถึงตอนกี่โมง เราจะต้องเริ่มขึ้นรถตอนไหน แต่ว่าข้อเสียของแอพ Metroman China นั้นก็คือมันจะใส่ได้แค่ชื่อสถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น จะไม่สามารถใส่ชื่อเป็นสถานที่ที่ต้องการไปได้ ดังนั้นเราจะต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการไปลงสถานีไหนครับ สุดท้ายแล้วในการใช้งานจริงผมก็เลยจะใช้ 2 แอพนี้ผสม ๆ กันไปครับ
การจ่ายเงินต่าง ๆ ในปักกิ่ง
▪ เงินสด : เท่าที่ผมไปมา 7 วัน สามารถใช้เงินสดได้มากกว่า 95% ยกเว้นตู้เติมเงินอัตโนมัติกับร้านสะดวกซื้อบางที่เท่านั้นที่บังคับให้ใช้การสแกนอย่างเดียวครับ
▪ Alipay : สำหรับวิธีนี้จะต้องผูกบัตรเครดิตหรือบัตร Travel Card เข้าไปในแอพก่อนนะครับ การใช้งานต่าง ๆ สะดวกดี ใช้ได้แทบจะทุกที่ แต่ถ้าเราจ่ายเกินครั้งละ 200 หยวน จะโดนชาร์จเพิ่ม 3% นะ
▪ แอพ K Plus : สามารถใช้จ่ายกับร้านต่าง ๆ ที่รับ Unionpay ได้เลย สะดวกมาก ไม่ต้องลงทะเบียนอะไร ใช้งานได้ทันทีขอแค่เรามีเงินในบัญชีเท่านั้น ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนก็จะคิดตามจริง ณ ตอนนั้น แต่ว่ามันจะเป็นอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารกสิกรไทยนะ ซึ่งมันจะสูงพอควร
แผนเที่ยว
วันที่ 1 : สนามบิน PKX – ฝากกระเป๋าที่โรงแรม – เทียนอันเหมิน – พระราชวังต้องห้าม – สวนจิงซาน – โบสถ์เซนต์โจเซฟ – หวังฟู่จิน
วันที่ 2 : หอเทียนถัน – วัดลามะ – พระราชวังฤดูร้อน (สำหรับใครที่เวลาจำกัด และไม่ได้อินกับการเข้าวัด ให้ข้ามวัดลามะไปได้เลยครับ)
วันที่ 3 : กำแพงเมืองจีนด่านมู่เถียนอวี้ (Mu Tian Yu) – ถนนโบราณเฉียนเหมิน
วันที่ 4 : Universal Beijing Resort
วันที่ 5 : เช็คเอาท์และฝากกระเป๋าที่โรงแรม – เทียนจิน – รับกระเป๋าที่โรงแรม – สนามบิน
สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 15,500 บาท
- ค่ารถไฟความเร็วสูงไปกลับสนามบิน PKX 350 บาท (70 หยวน)
- ค่าที่พัก 4 คืน 6,000 บาท
- ค่าเดินทางในปักกิ่ง (เน้นนั่งซับเวย์เป็นหลัก) 400 บาท
- ค่าอาหาร 3,000 บาท (ในส่วนนี้แต่ละคนอาจจะแตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับประเภทอาหารที่เลือกทาน แต่โดยปกติแล้วอาหารโดยทั่วไป 1 มื้อจะอยู่ที่ 40-50 หยวนต่อคน หรือประมาณ 200-250 บาท)
- ค่าเข้าพระราชวังต้องห้ามแบบรวมทุกอย่าง 300 บาท (60 หยวน)
- ค่าเช่าออดิโอ้ไกด์พระราชวังต้องห้าม – ภาษาไทย 200 บาท (40 หยวน)
- ค่าเข้าสวนจิงซาน 10 บาท (2 หยวน)
- ค่าเข้าหอเทียนถันแบบรวมทุกอย่าง 140 บาท (28 หยวน)
- ค่าเข้าวัดลามะ 125 บาท (25 หยวน)
- ค่าเข้าพระราชวังฤดูร้อนแบบรวมทุกอย่าง 250 บาท (50 หยวน)
- ค่าเที่ยวกำแพงเมืองจีนด่าน Mu Tian Yu กับ Mubus แบบรวมทุกอย่าง เที่ยวทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก 2,050 บาท (430 หยวน)
- ค่าเข้า Universal Beijing Resort (ไม่รวม Express Pass) 2,100 บาท
- ค่ารถไฟความเร็วสูงไปกลับปักกิ่ง – เทียนจิน (จองผ่าน Trip.com) 700 บาท
- AIS Sim2Fly 399 บาท
รวมทั้งหมด 31,524 บาท/คน
หมายเหตุ : คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 หยวน = 5 บาท นะครับ
ข้อควรพิจารณา
- แผนแต่ละวันสามารถสลับได้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับวันเปิดปิดของแต่ละสถานที่ และไฟลท์เดินทาง โดยพระราชวังต้องห้าม, พระราชวังฤดูร้อน และหอเทียนถัน จะหยุดทุกวันจันทร์ ส่วนการไป Universal Beijing Resort นั้น ควรเลือกไปวันธรรมดาจะดีที่สุด เพราะหากไปตรงกับวันเสาร์, อาทิตย์ หรือวันหยุด คนจะเยอะมากครับ
- หากมีเวลาน้อยหรือต้องการประหยัดงบ สามารถตัด Universal Beijing Resort หรือเทียนจินออกได้เลย
- ค่าใช้จ่ายและค่าเข้าสถานที่ต่าง ๆ ผมอ้างอิงจากที่ผมไปช่วงปลายเดือนมีนาคม 67 ซึ่งยังอยู่ในช่วง Low season ของประเทศจีนนะครับ แต่ถ้าใครไประหว่าง 1 เม.ย. – 31 ต.ค. อันนี้จะเป็นช่วง High season แล้ว ค่าเข้าต่าง ๆ จะสูงกว่านี้เล็กน้อยนะครับ
- พาสปอร์ตคือสิ่งจำเป็นมาก ๆ ในการขึ้นรถไฟความเร็วสูง และเข้าสถานที่ต่าง ๆ ดังนั้นต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลาเลยครับ
ทั้งนี้ทุกท่านสามารถอ่านรีวิวเต็มพระราชวังต้องห้าม (Forbidden City), กำแพงเมืองจีนด่าน Mu Tian Yu, Universal Beijing Resort, โรงแรมที่ผมพัก รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ควรรู้ได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยนะครับ ผมมีเขียนแบบละเอียดแยกเป็นเรื่อง ๆ ไว้แล้วครับ
- Beijing XinQiao Hotel : โรงแรมในปักกิ่ง ทำเลดี ติดรถไฟฟ้า 2 สาย ห้องกว้าง สิ่งอำนวยความสะดวกครบ
- รีวิวพระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) แห่งเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน
- รีวิวการเที่ยวกำแพงเมืองจีนด่าน Mu Tain Yu ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก
- รีวิว Universal Beijing Resort สวนสนุก Universal ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้!!
- สรุปเรื่องควรรู้ก่อนไปเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเอง ปี 2567
ก็จบลงแล้วนะครับสำหรับการแจกแผนเที่ยวปักกิ่งแบบ 5 วันเต็ม พร้อมชี้แจงรายละเอียดแบบครบ ๆ ยังไงขอให้ทุกคนมีความสุขมาก ๆ กับการไปเที่ยวปักกิ่ง (Beijing) ประเทศจีนนะครับ ส่วนท่านใดที่ต้องการจะติดตามเรื่องราวกินและเที่ยวของผมกับต๋งเพิ่มเติม ก็สามารถกดติดตามได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ