ช่วงหลังๆ มานี่ ผมรีวิวร้านอาหารมาติดๆ กันหลายร้านแล้ว วันนี้ผมก็เลยจะพาทุกคนเปลี่ยนบรรยากาศไปรีวิวโรงแรมกันบ้างดีกว่า แต่ว่าโรงแรมนี้ไม่ใช่โรงแรมธรรมดาๆ นะครับเพราะว่าเค้ามีบุฟเฟ่ต์ข้าวต้มสุดอร่อย ในราคาสุดคุ้มไว้บริการอีกด้วย……….อ้าว สุดท้ายก็กลายเป็นว่าผมยังหนีไม่พ้นเรื่องกินนี่นา ><
ก่อนที่จะไปอ่านรีวิวแบบลึกๆ เรามาทำความเข้าใจถึงภาพรวมและจุดเด่นของโรงแรม Mandarin Hotel Bangkok กันตามนี้ก่อนดีกว่า โดยผมได้สรุปออกมาเป็นข้อๆ ให้อ่านง่ายๆ ตามนี้ครับ
-
ทำเลดี เพราะอยู่ใจกลางเมืองอย่างสามย่าน ห่างจากสถานี MRT สามย่านประมาณ 150 เมตรเท่านั้น
-
ขนาดห้องไม่ใหญ่มากนัก แต่โล่งโปร่งสบาย เตียงนอนนุ่ม สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ห้องน้ำดีงามแยกส่วนเปียกแห้งชัดเจน แถมชักโครกยังเป็นชักโครกสุดไฮเทคตามแบบฉบับประเทศญี่ปุ่นด้วย
-
มีฟิตเนสและสระว่ายน้ำสวยๆ ไว้ให้เราเล่นฟรีๆ
-
สัญญาณ wifi ดี เล่นได้เรื่อยๆ ไม่มีสะดุด
-
อาหารเช้าเยอะและหลากหลาย ที่สำคัญรสชาติดี
-
มีอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์ที่อร่อย ราคาไม่แรงไว้บริการ ที่สำคัญอาหารยังแปลกไม่เหมือนใครด้วยเมนูเด่นคือข้าวต้มพร้อมกับข้าวอีกกว่า 20 รายการ
เอาล่ะ อ่านจุดเด่นคร่าวๆ กันไปแล้ว ทีนี้ไปอ่านรีวิวแบบเจาะลึกกันเลย เริ่มจากสถานที่ตั้งของโรงแรมกันก่อน โรงแรม Mandarin Hotel Bangkok นั้นตั้งอยู่ที่สี่แยกสามย่านใกล้ๆ กับวัดหัวลำโพง ห่างจาก MRT สามย่านประมาณ 150 เมตร ทำให้สะดวกต่อการเดินทางของหลายคนมากๆ โดยสำหรับคนที่ขับรถมาเองนั้นในวันปกติที่ทางโรงแรมไม่มีงานอะไรก็คงไม่มีปัญหาสามารถหาที่จอดได้สบายๆ แต่กรณีที่วันนั้นโรงแรมมีหลายๆ งานพร้อมกัน อาจจะเจอปัญหาเรื่องที่จอดรถไม่เพียงพอได้ ซึ่งทางโรงแรมเค้าจะแนะนำให้เราไปจอดรถบริเวณตลาดสามย่านเก่าแล้วเดินข้ามถนนพระราม 4 มาครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
หลังจากที่เราก้าวเท้าเข้ามาในโรงแรมก็จะเจอกับ lobby โล่งๆ เพดานสูงๆ ดูแล้วสบายตาดีคครับ ส่วนการบริการของพนักงานที่เคาน์เตอร์ Check in ก็ถือว่าดี อ้อ…..แต่มีอยู่ 2-3 เรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการ Check in ที่โรงแรมแห่งนี้นะครับ
-
การ Check in ที่ Mandarin Hotel Bangkok นั้น คุณจะต้องมีการมัดจำเงินด้วยเป็นจำนวน 1,000 บาท เพื่อเป็นการประกันห้อง โดยสามารถจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้ ซึ่งหลังจากที่เราทำการ Check out ออกจากโรงแรมและไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติม ทางโรงแรมก็จะทำการคืนเงินเข้าบัตรเครดิตเราภายใน 7 วัน
-
โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมปลอดบุหรี่ และจะมีเอกสารให้เราเซ็นก่อนเข้าพักว่าหากเราสูบบุหรี่ภายในเขตโรงแรม เราจะต้องเสียค่าปรับ 3,000 บาทครับ
บริเวณ lobby ของโรงแรมนั้นนอกจากจะมีเก้าอี้กับโซฟาสวยๆ ไว้ให้นั่งแล้ว เค้ายังมีคอมพิวเตอร์แล้วก็น้ำ Infused Water ไว้บริการด้วยครับ โดยวันที่ผมไปนั้นเป็นน้ำ Lemon Lime แล้วก็ Orange Mint ซึ่งดีต่อสุขภาพเราทั้งคู่เลย
สำรวจด้านล่างกันไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ขึ้นไปสำรวจห้องกันดีกว่า โดยห้องพักที่ผมพักนั้นเป็นประเภท Deluxe Room ขนาดห้อง 30 ตร.ม. และราคาประมาณสองพันปลายๆ ต่อคืนครับ
ตัวห้องนั้นดูโล่งโปร่งสบายมาก แม้จะไม่มีระเบียงแต่ก็มีกระจกและหน้าต่างขนาดใหญ่ทำให้รู้สึกว่าห้องมีขนาดกว้างมากขึ้น โดยม่านหน้าต่างนั้นปรับด้วยไฟฟ้าซึ่งเป็นอะไรที่ดีงามมาก สะดวกสบายไม่ต้องใช้มือชักขึ้นชักลงเลย สำหรับ Key Card ของที่นี่นั้นเค้าจะให้มา 2 ใบนะครับ แล้วก็ยังมีเวลาเปิดปิดของแต่ละห้องอาหาร รวมไปถึงฟิตเนสและสระว่ายน้ำบอกมาในซองใส่ด้วย ส่วนรหัส wifi นั้นจะอยู่ภายในห้องเราเรียบร้อยแล้วครับ
ภาพนี้เป็นวิวที่ถ่ายจากหน้าต่างครับ จะเห็นว่าโรงแรมนั้นอยู่ใกล้กับจามจุรีสแควร์มากๆ
กลับมาสำรวจในห้องกันต่อ นอกจากในห้องจะมีเตียงขนาดใหญ่ที่นุ่มๆ นอนสบายแล้ว ก็ยังมี TV, ตู้เย็น, กาต้มน้ำแล้วก็ไมโครเวฟให้ด้วยครับ ซึ่งอย่างหลังนี่หลายๆ คนน่าจะชอบเลยเพราะบางทีเราก็แอบอยากอุ่นอะไรร้อนๆ ไว้กินตอนดึกๆ ใช่มั้ยครับ
สำหรับการปรับแอร์ภายในห้อง จะเป็นการปรับแบบดิจิทัลนะครับ ซึ่งอันนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมถูกใจ
ส่วนในตู้เสื้อผ้านั้นไม่มีอะไรมาก นอกจากไม้แขวนเสื้อ, ร่ม, ตู้เซฟ แล้วก็รองเท้าแตะครับ
คราวนี้ไปดูห้องน้ำกันดีกว่า ขนาดห้องน้ำนั้นพอประมาณ ไม่ได้ใหญ่มากแต่พอเข้าไปใช้งานแล้วไม่รู้สึกอึดอัด ประตูห้องน้ำเป็นแบบบานเลื่อนซึ่งผมว่าดีทั้งในแง่ความปลอดภัยและการประหยัดพื้นที่ ส่วนในเรื่องของการแยกส่วนแห้งส่วนเปียกในห้องน้ำนั้นก็ทำได้ดี เพราะที่พื้นจะมีการทำผนังกั้นเล็กๆ ไว้ด้วยทำให้น้ำไม่ไหลออกมาจากส่วนเปียกเลย ส่วนชักโครกก็เป็นแบบไฮเทคตามสไตล์ญี่ปุ่น ใช้งานสบายก้นดี ><
ในเรื่องของอ่างล้างหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยข้างๆ อ่างล้างหน้ามีไดร์เป่าผมให้ด้วย ส่วนอุปกรณ์อาบน้ำนั้นถือว่าดี ให้มาเยอะไม่งก สามารถใช้ได้หลายวันสบายๆ และมีชุดแปรงสีฟัน ยาสีฟันมาให้ด้วย แม้จะแข็งไปนิดแต่ก็ถือว่าโอเคแล้วครับ
โดยรวมๆ ต้องบอกว่าผมประทับใจห้องน้ำของที่นี่มาก แม้จะไม่ใหญ่ แต่ครบครัน ใช้งานสบาย หากจะมีเรื่องติก็คงเป็นเรื่องความแรงของน้ำที่ผมว่าเบาไปนิด แล้วก็เรื่องของสัญลักษณ์น้ำอุ่น น้ำเย็นของฝักบัว ที่เลือนรางมากจนผมมองไม่เห็นและต้องเสียเวลาในการลองผิดลองถูกอยู่นานพอดู @_@
สำรวจห้องเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราไปสำรวจส่วนกลางกันดีกว่า ส่วนกลางของที่นี่ที่น่าสนใจจะมีอยู่ 2 อย่างด้วยกันนั่นคือฟิตเนส แล้วก็สระว่ายน้ำครับ โดยทั้ง 2 อย่างนี้จะอยู่ที่บริเวณชั้น M ชั้นเดียวกับเคาน์เตอร์ Check in เลย แขกที่เข้าพักทุกคนสามารถเข้าไปใช้บริการได้ฟรี ตามเวลาที่เปิดบริการตามด้านล่างนี้เลย
Fitness Center : 6.00 – 22.00 น.
สระว่ายน้ำ : 6.00 – 20.00 น.
ทั้งนี้โดยส่วนตัวแล้วแม้ผมจะไม่ได้ลองใช้บริการของทั้ง 2 อย่างนี้ แต่จากการเดินๆ ดู ผมก็ประทับใจนะครับ เพราะทั้งฟิตเนสและสระว่ายน้ำต่างก็ออกแบบมาได้สวยดี ดูสะอาด ใหม่ ปลอดภัย ที่สำคัญขนาดกำลังพอเหมาะไม่เล็กหรือใหญ่เกินไปด้วย
สำหรับใครที่ไม่ชอบการออกแรง ไม่ชอบออกกำลังกาย อยากจะพักผ่อนฟื้นฟูพลังให้ร่างกายไว้สู้ชีวิตในวันต่อไปมากกว่า ทางโรงแรมก็มีอีกหนึ่งทางเลือกดีๆ ไว้บริการนั่นก็คือ Let’s Relax Spa โดยสปาแห่งนี้จะเปิดบริการตั้งแต่ 10.00 น. ไปจนถึง 24.00 น. ซึ่งเค้าจะมีราคาพิเศษให้แขกที่พักที่โรงแรมด้วยนะครับ ใครที่สนใจก็ลองแวะเวียนไปดูราคาและสถานที่ที่ชั้น M บริเวณตรงข้ามเคาน์เตอร์ Check in ได้เลยครับ
เอาล่ะ ดูสถานที่ทั่วๆ ไปในโรงแรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ผมจะพาไปชิมอาหารที่ห้องอาหารของที่นี่ดีกว่า เริ่มจากห้องอาหารแรกที่ชื่อห้องอาหารครัวหลวง โดยห้องอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของโรงแรมเลย และมีเวลาเปิดบริการตั้งแต่ 10.30 น. ไปจนถึง 22.00 น. สำหรับอาหารที่ขึ้นชื่อก็คือบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นที่มีเมนูสุดเด่นอย่างข้าวต้มกุ๊ยพร้อมกับข้าวมากกว่า 20 รายการครับ
ไลน์อาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์ของห้องอาหารครัวหลวงนั้นจะแบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลักๆ ดังนี้
-
อาหารที่กินกับข้าวสวย เช่น หมูแดดเดียว, เนื้อน้ำมันหอย, จับฉ่าย, แกงเขียวหวาน, หมูสับผัดหนำเลี๊ยบ
-
ข้าวต้มกุ๊ยพร้อมกับข้าวอีกกว่า 20 รายการ อาทิ ไชโป๊ผัดไข่, กุนเชียง, ผักกาดดอง, ไข่ต้ม และอื่นๆ อีกมากมาย โดยข้าวต้มนั้นมีให้เลือกทั้งแบบข้าวขาวและข้าวก้องเลยครับ ไลน์นี้ถือว่าเป็นอะไรที่ดีและถูกปากผมมากเลย
-
ของหวานและผลไม้ โดยของหวานจะเป็นของหวานไทยๆ มีให้เลือกหลายรายการดูน่ากินมาก
-
ซุ้มผัดผักรวม ซุ้มที่ให้เราเลือกประเภทผักและเนื้อต่างๆ เพื่อให้เชฟปรุงออกมาสดๆ ร้อนๆ ใครอยากกินผักประเภทไหน ใส่มากน้อยแค่ไหนก็จัดได้เลยครับ
-
ซุ้มอื่นๆ เช่น ก๋วยจั๊บ, โจ๊ก, ต้มแซ่บ
นอกจากไลน์อาหาร 5 ส่วนนี้แล้ว ผมยังอยากจะบอกว่าเรายังสามารถสั่งอาหารเพิ่มได้อีก 4 เมนูได้แก่ ไก่แช่เหล้า, แมงกะพรุนน้ำมันงา, ไข่เจียว แล้วก็ปลาช่อนทอดน้ำปลา แต่ทั้งนี้ผมต้องบอกไว้ก่อนนะครับ อาหารที่สั่งเพิ่ม 4 รายการนี้จะมาอย่างละนิดอย่างละหน่อยเท่านั้น หากใครชิมแล้วถูกปากอยากจะกินเพิ่มก็ลองบอกพนักงานที่ห้องอาหารดูนะครับว่าช่วยเสิร์ฟให้เยอะขึ้นอีกหน่อยได้มั้ย จะได้ไม่ต้องสั่งบ่อยๆ ><
ไปดูหน้าตาอาหารแต่ละรายการกันดีกว่าครับว่าน่ากินมากแค่ไหน แล้วเดี๋ยวค่อยไปดูผลสรุปว่ารสชาติอาหารมื้อนี้ถูกปากผมกับภรรยาหรือเปล่า
สำหรับรสชาติอาหารรวมๆ ของมื้อนี้ ต้องบอกว่าถูกปากถูกใจผมกับภรรยามากครับ แม้จะไม่ได้อร่อยเลิศเลอ มีเนื้ออะไรที่เทพมากนัก แต่ด้วยความแปลกของไลน์บุฟเฟ่ต์ที่ชูโรงข้าวต้มกุ๊ยเป็นหลัก ทำให้ดูโดดเด่นจากไลน์บุฟเฟ่ต์ของหลายๆ ที่มาก อีกทั้งประเภทของกับข้าวที่มีก็เยอะมาก บรรดาผัดผักต่างๆ ก็สดอร่อยดี ก็เลยทำให้ผมค่อนข้างประทับใจ โดยเมนูเด่นๆ ที่ผมอยากจะแนะนำก็คือ ต้มแซ่บที่เนื้อและเอ็นเปื่อยยุ่ยกำลังดี, เนื้อผัดพริกไทดำ ที่เนื้อนุ่มอร่อยมาก, ไส้กรอกที่เปลือกด้านนอกกรอบนิดๆ ทำให้เคี้ยวเพลินๆ, กุนเชียงเกรดดีที่มีมันแทรกหน่อยๆ, หมูสามชั้นต้มเค็มที่อร่อยถูกปาก, โจ๊กทรงเครื่องที่มีเนื้อให้เราเลือกใส่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหมู ตับ แซลมอน หรือกุ้ง และสุดท้ายก็บรรดาผัดผักอย่าง ผัดเห็ดน้ำมันหอย, ผักบุ้งหมูกรอบ แล้วก็กุยช่ายขาวผัดเต้าหู้ครับ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผมเว่อร์และอวยมากไป ทำไมถึงชมเยอะขนาดนี้ ก็ต้องบอกตามตรงว่าเนื่องจากเมนูอาหารของที่นี่เยอะมาก ดังนั้นก็เลยมีรายการที่ถูกปากมากตามไปด้วย และก็ยังมีอีกหลายๆ รายการที่ผมคิดว่าอยู่ในระดับกลางๆ จนไปถึงเมนูที่ไม่ถูกปากผมจนถึงกับกินไม่หมดอย่างก๋วยจั๊บก็มีครับ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับราคาอาหารมื้อนี้ที่โรงแรมกำลังจัดโปรโมชั่นอยู่ที่ 290 บาท/คน net (จากปกติ 412 บาท/คน net) ผมถือว่าเป็นมื้อที่คุ้มราคามากๆ แล้ว และอยากจะบอกว่าสำหรับคนที่มีบัตรเครดิต KTC จะยิ่งคุ้มไปใหญ่เนื่องจากเค้ามีโปรโมชั่นพิเศษอีกต่อคือใครที่มีบัตรเครดิต KTC หากมา 2 ท่านจะจ่ายเพียง 490 บาท/net หรือคนละ 245 บาทเท่านั้น!!
หมายเหตุ : บุฟเฟ่ต์อาหารเย็นของห้องอาหารครัวหลวงเริ่มเปิดบริการตั้งแต่ 17.00 น. จนถึง 22.00 น. นะครับ ส่วนโปรโมชั่น KTC นั้น จะมีถึงวันที่ 30 มิถุนายน นี้เท่านั้น
จบจากอาหารเย็นสุดอิ่มกันไปแล้ว ก่อนที่จะไปต่อกันที่อาหารเช้า ผมขอคั่นด้วยสถานที่น่าสนใจใกล้ๆ กับโรงแรม Mandarin Hotel Bangkok กันก่อนดีกว่าครับว่าหากเราพักที่นี่เราจะสามารถไปที่ไหนได้บ้าง เริ่มจากง่ายๆ สุดเลยก็คือ จามจุรีสแควร์ แหล่งช็อปปิ้ง กินเที่ยวเล็กๆ ของชาวจุฬา หรือไม่ก็วัดหัวลำโพงและมูลนิธิร่วมกตัญญู 2 สถานที่ที่เหมาะแก่การไปทำบุญและทำจิตใจให้ผ่องใส โดยทั้ง 3 สถานที่นี้อยู่ใกล้โรงแรมมากๆ ชนิดที่ว่าเดินประมาณ 5 นาทีก็ถึงครับ
แต่สำหรับใครที่คิดว่าสถานที่ช็อปปิ้งแค่นี้ไม่สะใจ ผมแนะนำเลยว่าจากโรงแรมคุณสามารถใช้เวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้นก็ไปถึงสำเพ็งแหล่งช็อปปิ้งสินค้าราคาถูก หรือไม่ก็เลือกไปช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์ดังๆ ที่มาบุญครอง, Siam Discovery หรือ Siam Paragon ได้สบายๆ เลยครับ
เอาล่ะ เดินช็อปปิ้งกันเสร็จแล้ว ทีนี้เรามาต่อกันที่อาหารเช้ากันดีกว่า อาหารเช้าของ Mandarin Hotel Bangkok นั้น จะอยู่ที่ห้องอาหารรจนา บริเวณชั้น M และเปิดบริการตั้งแต่ 6.00 น. – 10.30 น. ครับ ขนาดของห้องอาหารนี้ถือว่าใหญ่พอควรเพราะจะมีทั้งรจนา 1 และ 2 จุคนทั้งหมดได้ประมาณ 200 คน โดยการเช็คสิทธิ์การใช้ห้องอาหารของโรงแรมแห่งนี้จะใช้ Key Card ในการสแกนเข้าระบบ ดังนั้นอย่าลืมถือ Key Card ติดตัวมาด้วย และบอกเลยว่าระบบนี้หมดสิทธิ์มั่ว หมดสิทธิ์เนียนอย่างแน่นอน
สำหรับไลน์อาหารโดยรวมๆ นั้นถือว่าให้มาเยอะดีมีทั้งกับข้าวอย่างซุปกระดูกหมูตุ๋นเห็ดหอม, ปลาทอดซอสมะขาม, แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย, ไข่เจียวหมูสับ, ผัดไทย, อกไก่ซอสเห็ด, ผัดผัก, สลัด, เบคอน, ไส้กรอก, Egg Station, ขนมจีบ ซาลาเปา, ขนมปังปิ้ง, ซีเรียล, โยเกิร์ต, ขนมหวานไทยๆ แล้วก็พวกเบเกอรี่ครับ ซึ่งโดยรวมๆ ต้องบอกว่าผมชอบในหน้าตาอาหารของที่นี่นะครับ ดูน่ากินดี พวกผักก็สด โยเกิร์ตก็ทอปปิ้งเยอะ ส่วนขนมไทยๆ อย่างขนมปังสังขยาและข้าวต้มมัดก็ทำออกมาได้จุ๋มจิ๋มน่ารักมาก สำหรับรสชาติอาหารหลังจากที่ได้ลองชิมแล้วผมกับภรรยาก็ให้คะแนนไปในเกณฑ์บวก เพราะรสชาติอาหารดีสอดคล้องกับหน้าตาอาหาร โดยเฉพาะเบคอน, ไส้กรอก และน้ำผลไม้นั้นสัมผัสได้เลยว่าทางโรงแรมเลือกวัตถุดิบเกรดดีมาทำครับ
ทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์ที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปพักที่ Mandarin Hotel Bangkok ระหว่างวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2560 และสุดท้ายนี้ผมขอสรุปการรีวิวออกมาเป็นเรื่องๆ ตามนี้นะครับ
การออกแบบ : ไม่ได้สวยหรู แต่ดูดี สะอาดสะอ้าน โปร่ง โล่งสบาย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมชอบครับ
ความสะอาด : ไม่มีปัญหาอะไรในข้อนี้ สะอาดสะอ้านดูใหม่และน่านอนมาก
สิ่งอำนวยความสะดวก : มีมาให้ครบครันเลย แถมหลายๆ อย่างยังไฮเทคด้วย เช่น ม่านไฟฟ้า, ชักโครก, สวิซท์แอร์ และส่วนที่ผมชอบที่สุดก็คือมีแปรงสีฟันกับไมโครเวฟมาให้ด้วยนี่แหละครับ แม้จะเป็นอะไรที่เราไม่ได้ใช้บ่อย แต่พอได้เข้าไปพักในโรงแรมที่เค้ามีของพวกนี้เตรียมไว้ให้มันก็รู้สึกดีครับ ส่วนสัญญาณไวไฟนั้นก็เสถียรดี ใช้งานได้เรื่อยๆ ไม่รู้สึกหงุดหงิดเลย
การเดินทาง : เป็นโรงแรมที่ถือว่าอยู่ใจกลางเมืองเลย สามารถเดินทางไปหลายๆ ที่สะดวกมากทั้งการเดินทางด้วยรถเมล์ และ MRT โดยเฉพาะ MRT นั้นถือว่าโรงแรมอยู่ใกล้สถานีมากๆ ครับ
การนอนหลับพักผ่อน : หลับสบาย เตียง หมอน ผ้าห่ม นุ่ม ส่วนแอร์ก็เย็นสบาย ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าจะมีอะไรอะไรที่ติดขัดนิดหน่อย ผมก็ติดเรื่องน้ำในห้องน้ำนี่แหละที่เบาไปนิด กับหาสัญลักษณ์น้ำอุ่น น้ำเย็นยากไปหน่อย T_T
การบริการของพนักงาน : บริการดี ไม่ติดขัดหรือเจออะไรที่ทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจครับ
อาหารเช้า : ไลน์อาหารเยอะ หน้าตาน่ากิน อาหารส่วนใหญ่รสชาติถูกปาก และใช้วัตถุดิบที่ดีในการทำ ถือว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่เราควรตื่นมากินครับ
อาหารเย็น : สำหรับบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นที่ห้องอาหารครัวหลวงนั้นก็เป็นอีกอย่างที่ผมประทับใจในการเข้าพักที่นี่ เพราะราคาอาหารไม่แรง รสชาติอาหารส่วนใหญ่ก็ถูกปาก ที่สำคัญคือผมไม่ค่อยเจอไลน์บุฟเฟ่ต์แบบนี้ซักเท่าไหร่ครับ ดังนั้นสำหรับใครที่ไปพักที่นี่แล้วไม่รู้จะไปทานข้าวเย็นที่ไหน ผมแนะนำเลยว่าเราสามารถฝากท้องไว้ที่ห้องอาหารครัวหลวงได้เลยครับ
สรุป : Mandarin Hotel Bangkok เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ทำเลดี ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก แม้ห้องขนาดจะไม่กว้างมาก ไม่ได้มีระเบียงแต่ก็โปร่ง โล่ง สบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน ที่นอนนุ่ม ห้องน้ำไฮเทคและแยกสัดส่วนชัดเจน ไลน์อาหารเช้าดี อีกทั้งยังมีฟิตเนส สระว่ายน้ำไว้ให้ใช้บริการฟรีอีกด้วย เรียกว่าครบครันจริงๆ เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องการที่พักย่านใจกลางเมือง ต้องการความสะดวกสบายสูง และพร้อมที่จะจ่ายค่าห้องพักในราคาราวๆ 3,000 บาทต่อคืนครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ และสำหรับท่านที่อยากจะได้ข้อมูลของโรงแรมแห่งนี้เพิ่มเติม หรืออยากจะจองที่พักราคาพิเศษสามารถเข้าไปดูข้อมูลตามลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ
เช็คราคาและจองที่พักผ่าน agoda.com
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป