มาเรีย ณ ไกลบ้าน
นายเตร็ดเตร่ สะพายเป้ เท่ทั่วไทยไปทั่วโลก
เอ๋อ้อย Travel Planet Xperiences
Tummeng travel /แบกเป้เท่ทั่วโลก
POGGHI (ป๊อกกี้)
นุ๊ก one22.com

 

6 ชื่อนี้ ผมเชื่อว่าบรรดาเหล่าขาเที่ยวทั้งหลายน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะ 6 ชื่อนี้คือ Blogger/นักเดินทาง ระดับตัวท็อปของเมืองไทย ที่ฝากรีวิวเก๋ๆ สวยๆ มีคุณค่าไว้มากมายนับไม่ถ้วน และหลอกล่อให้คนไปเที่ยวตามได้นับแสนคน
และผมเองก็เป็นคนหนึ่งในหลายแสนคนนั่นแหละครับ ที่เสียเงินตามรอยไปหลายทริป แต่ให้ตายสิ!! ผมไม่เคยเสียดายเงินเหล่านั้นเลยเพราะว่ามันเจ๋งและน่าประทับใจจริงๆ
และมันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ถ้า 6 นักเดินทางเหล่านี้เกิดอยากจะไปเที่ยวประเทศเดียวกัน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แต่คนละโซน!!
.
.
.
มันก็เกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาน่ะสิครับ……กับหนังสือที่ชื่อว่า “Japan Diary กาลครั้งหนึ่งเมื่อใบไม้เปลี่ยนสี”
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น
DSCF9104
เมื่อผมทราบข่าวของหนังสือเล่มนี้ผมก็ไม่รอช้าเลยที่จะไปหาซื้อมาครอบครอง เพราะประทับใจในผลงานของหลายๆ คนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และด้วยความที่หนังสือเล่มนี้เปิดตัวครั้งแรกในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 44 ดังนั้นผมจึงสามารถซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ในราคาพิเศษ เพียง 295 บาทจากราคาเต็ม 325 บาท (ลดไป 10% จากราคาปกติ)
แว่บแรกที่ผมได้เห็นหนังสือเล่มนี้ต้องบอกว่าประทับใจหลายอย่างเลย ตั้งแต่ lay out หน้าปกที่ดูสวยงาม และภาพประกอบภายในเล่มที่ชวนให้สตั๊นไปหลายภาพ และที่สำคัญหนังสือเล่มนี้มันหนากว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยวุ้ย

DSCF9101

สำหรับขนาดของหนังสือเล่มนี้นั้น กว้าง 8.5 นิ้ว สูง 7.5 นิ้ว หนาราวๆ 0.75 นิ้ว และด้วยความที่ผมเป็นคนที่อยู่ในวงการกระดาษและพิมพ์ ทำให้พอจะรู้จักกระบวนการพิมพ์ และโรงพิมพ์อยู่หลายราย สิ่งที่ผมมองเพิ่มเติมกว่านักอ่านทั่วๆ ไปก็คือชื่อโรงพิมพ์และคุณภาพของงานพิมพ์และกระดาษที่เลือกมาใช้ รวมไปถึงการเข้าเล่ม ซึ่งหนังสือเล่มนี้สามารถสอบผ่านใน 3 หัวข้อนี้หมดเลย ตั้งแต่
  1. พิมพ์ที่โรงพิมพ์ที่มีคุณภาพการพิมพ์ดีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
  2. เลือกใช้กระดาษที่หนาและคุณภาพดี โดยกระดาษที่ใช้เป็นกระดาษ uncoated สีขาว ถึงงานพิมพ์ที่ได้จะไม่เนี้ยบ สีไม่สดเท่ากระดาษอาร์ตมัน แต่ด้วยความที่เป็นกระดาษไม่เคลือบผิว ทำให้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะอ่านสบายตามากรวมทั้งเฉดสีไม่เพี้ยนจากความเป็นจริง นอกจากนี้แกรมกระดาษที่เลือกใช้ยังสูงอีกด้วยทำให้ไม่เกิดการทะลุหลังของภาพพิมพ์ หลายๆ หน้าที่มีการพิมพ์ 4 สีหนักๆ ทั้งหน้าและหลัง ก็ไม่มีการรบกวนกันและกันครับ
  3. รูปแบบการเข้าเล่ม ใช้การเข้าเล่มเป็นยกๆ และเย็บกี่ไสกาว ทำให้หนังสือเล่มนี้มีความแข็งแรงสูงและสามารถเปิดออกได้กว้างมากๆ ครับ
เพียงแค่ 3 ข้อนี้ประกอบกับภาพสวยๆ ในเล่ม มันก็ทำให้ผมคิดในใจแล้วว่าหนังสือเล่มนี้คงจะคุ้มค่าแน่นอน และก็ตัดสินใจซื้อ 2 เล่มทันที โดยเล่มนึงเก็บเอาไว้เอง และอีกเล่มนึงให้พี่สาวที่เคารพรักท่านนึง
 DSCF9102
หลังจากที่ผมได้หนังสือเล่มนี้มา ผมใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมงในการละเมียดอ่านทีละหน้าๆ จากหน้าแรกจนถึงหน้า 256 ค่อยๆ อ่านทีละอักษร ทีละคำ มองภาพทีละภาพและคิดตามตัวอักษรที่ถูกบรรยายมาจนแทบจะทำให้ภาพถ่ายนิ่งๆ เหล่านั้นเคลื่อนไหวและมีชีวิตได้
6 นักเดินทาง ในหนังสือเล่มนี้ แยกย้ายกันไปเที่ยวคนละโซนของประเทศญี่ปุ่น และแต่ละคนก็เที่ยวกันแบบไม่บันยะบันยัง ชนิดไปกันหลัก 10 วันขึ้น ทำเอาพนักงานกินเงินเดือนอย่างผมทำได้แต่อิจฉากับกัดฟันกรอดๆ
6 นักเดินทาง ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้เดินทางในช่วงเดียวกัน แต่อยู่ในช่วงใกล้ๆ กัน นั่นคือช่วงที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นอีก 1 ฤดูกาล “โคโย ใบไม้เปลี่ยนสี” นั่นเอง

DSCF9103

และเมื่อ 6 นักเดินทางท่านนี้นำเรื่องมาร้อยเรียงกันในเล่มเดียวกัน มันก็แทบจะครอบคลุมพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นราวๆ 70-80% เลยทีเดียว
และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนหรือเข้าใจผิด หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือ Guide Book แนะนำแหล่งที่เที่ยว ข้อมูลแน่นปึ๊ก ระบุรายละเอียดการเดินทางว่าต้องขึ้นรถที่ไหน ลงที่ไหน แต่มันคือหนังสือเล่าเรื่องที่จะให้คุณได้รู้จักประเทศญี่ปุ่นในอีกหลายมุมที่เราไม่รู้จัก และมีภาพของสถานที่สวยๆ มายั่วน้ำลายเราจนเราต้องเข้า google เพื่อไปค้นหาข้อมูลต่อ
คุณไม่จำเป็นต้องแบกหนังสือเล่มนี้ไปเที่ยวกับคุณ แต่คุณควรจะวางมันไว้ที่บ้านและหยิบมันมาดูในเวลาที่ต้องการพักผ่อน หรือ หาแรงบันดาลใจในการออกไปท่องโลก

.

.

.

คุณไม่เชื่อผมสินะว่าหนังสือเล่มนี้จะทำได้ ถ้าคุณไม่เชื่อลองอ่านคำโปรยสั้นๆ ที่ผมสรุปมาดูสิครับ
คิวชู…..รักนะรู้มั้ย : เรื่องราวการเดินทางของบลอกเกอร์สาวที่ชอบไปเที่ยวคนเดียว และไปญี่ปุ่นมาแล้วถึง 9 ครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้เปิดซิงสัมผัสความงามของใบไม้แดง และผลที่เกิดขึ้นนะเหรอ ฝนตก ฟ้าเน่า ใบไม้ไม่แดง และโดนจีบ!!
ฮอกไกโด ภาคปฐมบท : เรื่องราวของนักท่องเที่ยวชายหนุ่มที่ภาษาอังกฤษไม่ได้ ภาษาญี่ปุ่นไปกันใหญ่ แต่ดันอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเองคนเดียว แถมไปเป็นครั้งแรกด้วย ผลที่เกิดขึ้นก็แค่โดนเข้าห้องเย็นสอบประวัติ และเงินหายก้อนใหญ่ จนต้องเปลี่ยนแผนใช้ชีวิตเพื่อให้อยู่จนถึงวันสุดท้าย แถมยังได้ไปเยือนนรกมาอีกด้วย!!
13 วัน 1,300 กิโลเมตร ขับรถไล่ล่า ใบไม้เปลี่ยนสี : เรื่องราวของหนุ่มนักเดินทางที่แบ่งร่างตัวเองเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือพ่อที่แสนดี สามีที่น่ารัก เที่ยวกับครอบครัวในบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่น จากนั้นก็ทำการแปลงร่างเป็นขาโหด ขาลุย ตะลุยเที่ยวหลายจุด ชนิดที่ผมไม่เคยได้ยินชื่ออย่าง “ออนเซนแห่งความลี้ลับ” กับ “ปราสาทล่องหน”
ร่องรอยความทรงจำ คันโตะ : ชายหนุ่มคนนี้จะพาเราไปเที่ยว “มหาวิทยาลัยโตเกียว” ที่ๆ เราไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยขนาดนี้ และพาเราไปยัง “คามาคุระ” สถานที่ซึ่งทำให้เค้าเหลือเลนส์ถ่ายภาพเพียงแค่เลนส์ fix 40mm ตัวเดียวเท่านั้น เพราะอุปกรณ์ที่เหลือนั้นหายไประหว่างการเดินทาง ชีวิต slow life กับมุมมองอันน่าทึ่งจึงได้บังเกิดขึ้น
วิถีนักเดินทางแห่งชูบุ : จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหนุ่มคนนึงลาออกจากงานประจำ หันหลังให้กับชีวิตเมืองหลวง จนได้แบกเป้ท่องโลก ไปดูกันว่าญี่ปุ่นในมุมมองของเค้าเป็นอย่างไร มันอาจจะใช่นี่แหละที่เราค้นหาก็ได้!!
เหตุผลของการกลับมาคันไซ : จะมีซักที่คนที่ไปเที่ยวที่เดิมซ้ำๆ บ่อยๆ และที่สำคัญเป็นการขอภรรยาเพื่อมาเที่ยวคนเดียวซะด้วย ร่วมลุ้นและติดตามว่าอะไรคือเหตุผลที่เค้าต้องกลับมาอีกครั้ง และเปิดตาชมภาพหายากที่น้อยคนนักจะได้เห็น “ใบไม้แดงเคียงคู่ซากุระ” เฮ้ย……..มันจะเป็นไปได้เหรอฟระ!!
.

.

เป็นยังไงครับ อ่านถึงบรรทัดนี้แล้ว คุณอยากจะไปซื้อหนังสือเล่มนี้แล้วหรือยัง ส่วนผมน่ะเหรอครับ อีกไม่กี่วันผมก็จะไปญี่ปุ่นครั้งที่ 3 แล้ว แต่ให้ตายเถอะยังไม่ทันจะออกจากไทย ผมเตรียมกดจองตั๋วทริปไปญี่ปุ่นครั้งที่ 4 เพื่อไปล่าใบไม้แดงแล้วคร้าบบบบบบ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ ได้เลยครับ

DSCF9100