สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผมนาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะขอพาทุกคนไปท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย จังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทยและมีธรรมชาติที่สวยงามกับอากาศที่บริสุทธิ์มาก โดยในบทความนี้ผมจะขอเล่าถึงเรื่องราวของโรงแรม The Riverie by Katathani (เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี) ซึ่งเป็นโรงแรมห้าดาวที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และอยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงรายสุดๆ ก่อนนะครับ และในบทความต่อไปเดี๋ยวผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดของจังหวัดเชียงรายกันต่อครับ

อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช

สำหรับจุดเด่นคร่าวๆ ของโรงแรมแห่งนี้ที่ทำให้ผมประทับใจและอยากจะเชิญชวนทุกคนที่ได้มีโอกาสไปเชียงรายไปลองพักดูซักครั้งก็มีตามนี้เลยครับ

  • เป็นโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนห้องมากถึง 271 ห้อง
  • มีประเภทของห้องพักหลายแบบ สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งนักธุรกิจ, คู่รักและครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ
  • สภาพห้องและอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องและโรงแรมนั้นดูดี มีความสมบูรณ์มาก เนื่องจากโรงแรมแห่งนี้พึ่งรีโนเวทและเปิดบริการเต็มรูปแบบเมื่อไม่นานนี้
  • มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งร้านสะดวกซื้อ, สปา, ฟิตเนส, คิดส์คลับ (Kids Club) รวมไปถึงสระว่ายน้ำ โดยสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุดก็คือ Kids Club ขนาดใหญ่ และสระว่ายน้ำที่มีเครื่องเล่นทางน้ำสุดสนุกครับ
  • ทำเลที่ตั้งของโรงแรมดี อยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงรายและอยู่ไม่ห่างจากสนามบินมากนัก ทำให้เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก
  • สภาพแวดล้อมภายในโรงแรมดีมาก เพราะโรงแรมตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำกก สามารถมองเห็นสายน้ำที่ไหลยาวได้สุดลูกหูลูกตา และเรายังจะได้รับความสดชื่นจากสายน้ำตลอดทั้งวัน
  • มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมาก โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก เพราะบริเวณรอบๆ โรงแรมแห่งนี้จะไม่มีตึกสูงหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ มาบดบังทัศนียภาพเลย
  • มีห้องอาหารหลายห้องและมีอาหารบริการหลากหลายทั้งไทย, จีน, ยุโรป, สไตล์ล้านนา รวมไปถึง Afternoon Tea ซึ่งอาหารส่วนมากที่ผมได้ลองรับประทานนั้นก็มีรสชาติที่ดีเลยครับ
  • ไลน์อาหารเช้าดี อาหารเยอะ รสชาติถูกปาก
  • พนักงานบริการดี พูดจาสุภาพ และเต็มใจช่วยเหลือมาก
  • มีห้องประชุมและห้องสัมมนาขนาดใหญ่หลายห้อง สามารถรองรับการจัดงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสามารถรับคนได้มากถึง 700 คน
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ

เป็นยังไงล่ะครับกับจุดเด่นต่างๆ ของโรงแรม The Riverie by Katathani แห่งนี้ แค่อ่านดูก็รู้สึกว่าที่นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมที่น่าไปพักผ่อนแล้วใช่มั้ยล่ะครับ แต่อย่าพึ่งรีบตัดสินใจหรือด่วนสรุปกันไป เพราะเดี๋ยวผมจะพาทุกคนไปเจาะลึกโรงแรมแห่งนี้แบบทุกซอกทุกมุม และเมื่อทุกคนอ่านจบแล้วจะได้รู้ว่าที่นี่เหมาะกับไลฟ์สไตล์หรือความต้องการของตัวเองหรือเปล่าครับ

และเพื่อไม่ให้คนที่เคยไปเชียงรายมาก่อนมีอาการสับสนมึนงง ดังนั้นก่อนอื่นเลยผมต้องบอกว่าในอดีตนั้นโรงแรมแห่งนี้เคยเป็นโรงแรมดุสิตธานี เชียงรายมาก่อน แต่เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2561 ทางโรงแรมได้มีการปรับเปลี่ยนโฉมครั้งใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น The Riverie by Katathani ซึ่งมีความไฉไล สวยงาม ทันสมัยกว่าเดิม รวมทั้งยังมีการประยุกต์นำเอาความสวยงามตามแบบฉบับไทยล้านนาเข้ามาสอดแทรกได้อย่างลงตัวครับ

ในเรื่องที่ตั้งของโรงแรม The Riverie by Katathani นั้นจะอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายเพียงแค่ 1.5 กิโลเมตรเท่านั้น เรียกว่าหากใครอยากจะไปเที่ยวถนนคนเดิน, เชียงราย ไนท์บาร์ซาร์ หรือวัดต่างๆ ที่มีความเก่าแก่และสวยงาม เราก็สามารถใช้เวลาในการเดินทางจากโรงแรมไปเพียงแค่ 5-10 นาทีเท่านั้นเองครับ ส่วนใครที่ต้องการจะเดินทางไปสนามบินแม่ฟ้าหลวงซึ่งเป็นสนามบินประจำจังหวัดเชียงรายก็จะใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น เรียกว่าจะไปไหนมาไหนก็สะดวกสบายสุดๆ

นี่เป็นภาพบรรยากาศภายในสนามบินแม่ฟ้าหลวงครับ วันนั้นผมลงจากเครื่องบินและรับกระเป๋าที่สายพานเสร็จก็เจอภาพนี้เลย ดูแล้วน่ารักดีแถมเพลงที่พี่ๆ เค้าบรรเลงยังแสดงถึงความเป็นล้านนาได้ดีมากๆ ด้วย

ผมใช้เวลาเดินทางจากสนามบินแม่ฟ้าหลวงประมาณ 15 นาทีก็มาถึงโรงแรม The Riverie by Katathani ครับ ซึ่งแว้บแรกที่ผมได้เห็นหน้าตาของโรงแรมแห่งนี้มันก็ได้สร้างความประทับใจแทบจะทันทีเลย เพราะทางโรงแรมมีการออกแบบตึกให้มีการผสมผสานกันระหว่างความเป็นโมเดิร์นและความเป็นล้านนาออกมาได้อย่างลงตัวมาก นานๆ จะเห็นโรงแรมที่มีสไตล์การออกแบบแบบนี้ซักที

นี่เป็นบริเวณทางเข้าล็อบบี้ครับ จะเห็นว่าโครงสร้างในส่วนที่เป็นอาคารสไตล์ล้านนานั้นจะทำมาจากไม้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้นอกจากจะมีความสวยงามแล้วยังมีความอ่อนช้อยด้วยครับ

และเมื่อเราก้าวเท้าเข้าไปในโรงแรมเราก็จะเจอกับล็อบบี้และโถงกว้างที่มีความสวยงามแบบนี้ โดยเราจะสามารถสังเกตเห็นความเป็นศิลปะของไทยสไตล์ล้านนาได้ในหลายๆ จุดเลย

ส่วนนี่เป็นหน้าตาเคาน์เตอร์เช็คอินครับ มีขนาดใหญ่และมีพนักงานหลายคนคอยประจำการ โดยระหว่างที่เราทำการเช็คอินอยู่นั้นจะมีพนักงานมาเสิร์ฟ Welcome Drink ด้วย ซึ่งวันที่ผมไปนั้นทางโรงแรมเสิร์ฟเป็นน้ำสับปะรดผสมโหระพา รสชาติอร่อยดีครับ แถมยังแปลกใหม่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนด้วย ><

เมื่อเช็คอินเสร็จเราจะได้ Key Card หน้าตาแบบนี้มาครับ โดยหนึ่งห้องจะได้ Key Card 2 ใบ และที่ซองนั้นจะมีข้อความน่ารักๆ ที่บ่งบอกถึงปรัชญาการดูแลลูกค้าของที่นี่ด้วย
.
.
.
สวัสดีเจ้า ยินดียิ่งแล้ว แขกแก้วมาเยือน

เอาล่ะ…….. คราวนี้เรามาดูประเภทห้องต่างๆ ที่ทางโรงแรม The Riverie by Katathani มีให้บริการกันดีกว่า โดยประเภทห้องทั้งหมดของเค้าจะมีดังนี้เลยครับ

  • ห้องดีลักซ์ (Deluxe) ขนาดพื้นที่ 36 ตร.ม. จำนวน 36 ห้อง
  • ห้องดีลักซ์ วิวสวน (Deluxe Garden) ขนาดพื้นที่ 36 ตร.ม. จำนวน 110 ห้อง
  • ห้องดีลักซ์ วิวแม่น้ำ (Deluxe River) ขนาดพื้นที่ 36 ตร.ม. จำนวน 80 ห้อง
  • ห้องแฟมิลี่สวีท (Family Suite) ขนาดพื้นที่ 62-75 ตร.ม. จำนวน 18 ห้อง
  • ห้องริเวอร์รีสวีท (Riverie Suite) ขนาดพื้นที่ 70-100 ตร.ม. จำนวน 26 ห้อง
  • ห้องรอยัลสวีท (Royal Suite) ขนาดพื้นที่ 291 ตร.ม. จำนวน 1 ห้อง

ทั้งนี้ลักษณะของห้องดีลักซ์, ห้องดีลักซ์ วิวสวน และห้องดีลักซ์ วิวแม่น้ำนั้น จะมีความเหมือนกันเกือบจะ 100% เลย แตกต่างกันเพียงแค่ตำแหน่งชั้นและวิวที่มองเห็นเท่านั้น ส่วนการตกแต่งภายในห้อง, เครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จะเหมือนกันทั้งหมด โดยห้องที่ผมพักนั้นจะเป็นห้องประเภทดีลักซ์ วิวแม่น้ำ ขนาดพื้นที่ 36 ตร.ม.ครับ

ที่บริเวณหน้าห้องทุกห้องของโรงแรม The Riverie by Katathani นั้นจะมีลักษณะแบบนี้ครับ คือเปิดปิดด้วยระบบ Key Card และมีแผงควบคุมที่ให้เราบอกพนักงานของโรงแรมได้ว่าต้องการให้ทำความสะอาดหรือไม่อยากให้พนักงานเข้ามารบกวนในช่วงนั้น

เมื่อเราเข้ามาในห้องแล้วก็จะพบกับห้องที่ดูสะอาด สบายตา มีความโปร่ง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแบบนี้ครับ โดยทุกห้องของ The Riverie by Katathani นั้นจะมีการตกแต่งประมาณนี้ทั้งหมดคือเน้นสีขาว เหลือง และมีการนำเอาศิลปะไทยล้านนามาผสมผสานในจุดต่างๆ โดยสิ่งที่เราจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือลวดลายของโคมไฟ แล้วก็ลวดลายบริเวณหัวเตียงครับ

สำหรับโคมไฟที่เราเห็นนี้เค้าจะเรียกกันว่าโคมล้านนา ซึ่งเป็นโคมธรรมจักรพุทธศิลป์ หรือพุทธศิลปะล้านนาอันเก่าแก่ อันแสดงถึงการนำทางไปสู่พลังศรัทธาในพระพุทธศาสนาและเป็นแสงสว่างส่องนำทางในชีวิตของเราครับ

ส่วนลวดลายบนผนังบริเวณหัวเตียงนั้นจะเป็นลวดลายของหม้อดอกล้านนา (ปูรณฆฏะ) ซึ่งจะหมายถึงการอวยพรให้ทุกคนที่เข้ามาพักนั้นมีความมั่งคั่งร่ำรวย ประสบความสำเร็จ มีความร่มเย็นและสมบูรณ์พูนสุขตลอดไป โดยหม้อนั้นคือสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และดอกบัวที่ผลิบานจะหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองครับ

และนอกจากเตียงนอนที่แสนสบาย รวมถึงความสวยงามสไตล์ล้านนาที่ทางโรงแรมได้จัดวางมาไว้อย่างลงตัวแล้ว ภายในห้องดีลักซ์นี้ก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างเลย โดยสิ่งที่ผมประทับใจสุดก็คือการที่ทางโรงแรมมีการติดตั้งระบบไฟฟ้าใหม่ ควบคุมสะดวกด้วยระบบดิจิทัล รวมทั้งมีการติดตั้งพอร์ท USB มาให้ด้วย เรียกว่าใครลืมเอาหัวชาร์จมาก็น่าจะเอาสาย USB มาเสียบชาร์จไฟได้อย่างไม่ลำบากครับ

ส่วนบริเวณที่นั่งพักผ่อนมุมนี้ก็ทำออกมาได้ดีเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะใครที่เข้าพักห้องที่เป็นวิวแม่น้ำ เพราะคุณจะสามารถมองเห็นแม่น้ำกกสวยๆ แบบนี้ได้ตลอดทั้งวัน แต่ทั้งนี้ก็เป็นอะไรที่น่าเสียดายนิดนึงเพราะห้องประเภทดีลักซ์ทุกแบบนั้นจะไม่มีระเบียงด้านนอก ดังนั้นเราจึงไม่สามารถออกไปสูดบรรยากาศบริสุทธิ์ภายนอกให้เต็มปอดได้ ทำได้แต่แค่มองภาพสวยๆ ผ่านกระจกขนาดใหญ่เท่านั้นครับ

มาดูกันที่บริเวณปลายเตียงกันบ้าง โดยที่บริเวณนี้นอกจากจะมีโทรทัศน์ติดอยู่บนผนังแล้ว เค้ายังมีตู้เย็นที่ซ่อนไว้ในตู้สีขาวได้อย่างเนียนตาด้วย โดยบนตู้นั้นจะมีน้ำดื่มให้เราทั้งหมด 4 ขวด รวมทั้งชา, กาแฟ และกาน้ำร้อน ก็ถือว่าเป็นโรงแรมที่ให้น้ำเปล่ามาเยอะดีครับ

และในส่วนของตู้เสื้อผ้านั้นก็ถือเป็นอีกจุดนึงที่ทางโรงแรมออกแบบมาได้ดีเช่นเดียวกันครับ ดูสวยงามและกลมกลืนกับผนังของห้องมาก ภายในตู้เสื้อผ้าจะประกอบไปด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำ, ตู้เซฟ, รองเท้าแตะ และไฟฉาย ก็เรียกว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานมาให้ครบเลย

มาดูในส่วนของห้องน้ำกันบ้าง ห้องน้ำของห้องดีลักซ์นั้นจะมีขนาดที่ใหญ่เลยครับ มีการแยกโซนเปียกโซนแห้งอย่างชัดเจน มี Shower Box ขนาดใหญ่ที่สามารถอาบน้ำได้อย่างสบาย แขนไม่ชนกับผนังง่ายๆ และมี Rain Shower ติดตั้งมาให้ด้วย ส่วนบริเวณโซนแห้งนั้นก็มีพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถแต่งตัว, ล้างหน้า, แต่งหน้า หรือไดร์ผมได้อย่างสบายครับ

อ้อ ประตูห้องน้ำเค้าจะเป็นประตูแบบบานเลื่อนที่มีความกว้างค่อนข้างมากเลยครับ เดินเข้าออกได้สบายมาก รวมทั้งไม่มีปัญหาในเรื่องของการเปิดประตูแล้วจะไปชนอะไรด้วย

ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในห้องน้ำก็ถือว่าเค้าจัดมาได้เต็มและเพียงพอกับการใช้งานเลย มีตั้งแต่ไดร์เป่าผม, กระจกขนาดใหญ่, กระจกขนาดเล็ก, ผ้าเช็ดตัว, ผ้าเช็ดผม, ครีมอาบน้ำ, ยาสระผม, บอดี้โลชั่น, น้ำยาล้างมือ, หมวกคลุมอาบน้ำ, สำลีแผ่น, คัตต้อนบัด แล้วก็ชุดแปรงสีฟันกับยาสีฟันครับ
.
.
.
จัดมาให้ครบๆ แบบนี้ผมว่าต่อให้ใครลืมเอาอะไรมาจากที่บ้านก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรครับ

ในส่วนของชักโครกนั้น ทางโรงแรมก็มีการติดตั้งสายฉีดชำระมาให้เรียบร้อย ใครที่ไม่ชอบเข้าพักโรงแรมที่ไม่มีสายฉีดชำระก็สบายใจได้เลยครับ ^^

และตอนนี้ผมก็พาทุกคนดูภายในห้องดีลักซ์ วิวแม่น้ำกันไปครบทุกซอกทุกมุมแล้ว เดี๋ยวต่อไปผมจะพาทุกคนไปดูห้องแฟมิลี่สวีทและห้องริเวอร์สวีทกันต่อ เผื่อใครมีแผนจะไปที่นี่จะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจเยอะๆ ว่าจะเลือกห้องพักประเภทไหนดี แต่ถ้าใครถูกใจกับห้องประเภทดีลักซ์แล้วก็จัดเลยก็ได้ครับ

อ้อ สำหรับใครที่มาที่โรงแรมแห่งนี้ครั้งแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆ กับโครงสร้างเค้านิดหน่อยนะครับ เพราะโรงแรมแห่งนี้จะไม่ได้มีโครงสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบที่เราคุ้นเคยกัน แต่เค้ามีการออกแบบโครงสร้างของโรงแรมให้เป็นรูปสามเหลี่ยม มีปีกแยกออกไปทั้งหมด 3 ด้าน เพื่อเปรียบเสมือนกับที่นี่คือจุดที่สามเหลี่ยมทองคำมาบรรจบกันโดยมีแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำที่ไหลขนาบผ่านด้านข้างครับ โดยแม่น้ำกกนี้จะเป็นแม่น้ำที่สามารถพาเราไปถึงเชียงใหม่ได้เลย ใครที่มีเวลาและอยากหาประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตก็ลองสอบถามทางโรงแรมดูนะครับ เห็นเค้าบอกว่าใช้เวลานั่งเรือประมาณ 3 ชั่วโมงก็จะถึงเชียงใหม่ครับ ><

แฮะๆ แอบนอกเรื่องไปเล็กน้อย ตอนนี้เราตัดกลับมาดูที่ห้องแฟมีลี่สวีทและห้องรีเวอร์รีสวีทกันต่อดีกว่า เริ่มจากห้องแฟมิลี่สวีทก่อนนะครับ ห้องนี้จะเป็นห้องที่มีขนาดประมาณ 62-75 ตารางเมตร และน่าจะเป็นห้องที่ครอบครัวหลายครอบครัวชอบ เพราะภายในห้องจะสามารถพักได้สูงสุดถึง 4 คน โดยแบ่งเป็น 2 คนในห้องนอนใหญ่ แล้วก็อีก 2 คนในห้องนั่งเล่นซึ่งจะมีเตียง 2 ชั้นตั้งอยู่ครับ

ภายในห้องนี้จะมีพื้นที่กว้างขวางมาก รวมทั้งมีพื้นที่นั่งเล่นหลายจุด ส่วนห้องน้ำนั้นจะมีแค่ห้องเดียวนะครับ โดยห้องน้ำของห้องแฟมิลี่สวีทนั้นจะมีอ่างอาบน้ำด้วย แต่พื้นที่ที่เป็น Shower Box นั้นจะมีขนาดเล็กกว่าห้องดีลักซ์ครับ

ลองดูนะครับ ใครที่เป็นครอบครัวและมีลูกเล็กๆ ไปด้วยน่าจะถูกใจกับห้องนี้ โดยห้องที่ผมได้เข้าไปดูนั้นจะเป็นวิวสวนแบบนี้ แต่เห็นว่าจะมีบางห้องที่เป็นวิวแม่น้ำด้วย ยังไงก็ลองสอบถามกับทางโรงแรมดูอีกทีนะครับ

มาต่อกันที่ห้องริเวิอร์รี่สวีทครับ ห้องนี้จะเป็นห้องที่สามารถเข้าพักได้แค่ 2 คน แต่มีขนาดพื้นที่ใหญ่มาก นอกจากนี้ยังมีระเบียงส่วนตัวขนาดใหญ่ที่สามารถออกไปนั่งชิลๆ นอนอาบแดด หรือดูวิวสวยๆ ได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องไปปะปนกับใครด้วยครับ

ในส่วนของห้องน้ำนั้นก็จะมีขนาดใหญ่ตามพื้นที่ของห้อง โดยห้องน้ำของห้องประเภทนี้จะมีทั้งอ่างอาบน้ำและ Shower Box ซึ่ง Shower Box นั้นจะมีขนาดใหญ่เท่าๆ กับของห้องดีลักซ์ครับ

ส่วนนี่จะเป็นวิวที่เราสามารถมองเห็นได้จากระเบียงห้องครับ โดยขนาดของระเบียงนั้นเรียกว่าใหญ่มาก รวมทั้งวิวที่เราสามารถมองเห็นได้นั้นยังมีความสวยงาม เพราะเราจะสามารถมองเห็นได้ทั้งภูเขา, สระว่ายน้ำ แล้วก็แม่น้ำกกแบบพาโนรามา โดยใครที่สายตาดีๆ หน่อยก็จะเห็นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ของวัดห้วยปลากั้งด้วยครับ

ห้องนี้

ไม่มีอะไรต้องพูดมาก ใครที่งบถึงและเดินทางไปกับคนรู้ใจน่าจะเลือกพักห้องนี้เป็นลำดับแรกๆ เลยครับ โดยเฉพาะช่วงเวลาเช้ากับเย็นนั้น วิวที่เราจะได้เห็นจากระเบียงห้องน่าจะเป็นวิวที่สวยงามและสามารถสร้างความทรงจำที่ดีให้คุณได้เลย

และตอนนี้ผมก็พาทุกคนไปดูห้องพักของโรงแรม The Riverie by Katathani ครบเกือบทุกประเภทแล้ว ขาดก็แต่เพียงห้องรอยัลสวีทที่มีเพียงห้องเดียวเท่านั้น โดยห้องรอยัลสวีทนี้เป็นห้องที่มีพื้นที่มากที่สุด มีพื้นที่มากถึง 291 ตารางเมตร สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบโรงแรมได้อย่างเต็มตา แล้วก็มีห้องน้ำหรูหรากับอ่างจากุชชี่ส่วนตัวด้วย ที่สำคัญห้องแห่งนี้ยังเคยถูกใช้รับรองพระบรมวงศานุงศ์รวมถึงรัฐบุรุษมากมายด้วยครับ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เข้าไปเก็บภาพมาให้ทุกคนดู T_T

เอาล่ะครับ มาถึงตรงนี้ทุกคนเริ่มรู้สึกเหนื่อยกันบ้างหรือยังครับ หากใครเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าบ้างแล้ว ผมมีภาพที่ถ่ายจากรอบๆ โรงแรมมาให้ทุกคนดูเพื่อเป็นการพักสายตาก่อนครับ โดยรอบๆ โรงแรมนั้นจะมีพื้นที่ที่เป็นสวนดอกไม้อยู่หลายที่ รวมทั้งมีทางเดินริมแม่น้ำกกที่มีความสวยงามและเย็นสบายด้วย ใครที่ได้มีโอกาสเข้าไปพักที่โรงแรมแห่งนี้อย่าลืมเผื่อเวลาเดินเล่นในโรงแรมด้วยนะครับโดยเฉพาะช่วงเช้าและเย็น เพราะบรรยากาศของเค้านั้นดีจริงๆ

พักสายตากันเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราไปเจาะลึกส่วนต่างๆ ของโรงแรม The Riverie by Katathani กันต่อ โดยหลังจากนี้ผมจะมีการพูดถึงอีกทั้งหมด 4 หัวข้อย่อย ได้แก่

1. สิ่งอำนวยความสะดวกและ Facilities ต่างๆ ภายในโรงแรม
2. ห้องอาหารที่มีภายในโรงแรม
3. ไลน์อาหารเช้า
4. สถานที่ท่องเที่ยวรอบๆ โรงแรมและกิจกรรมพิเศษ


ถ้าพร้อมแล้วเราไปลุยกันต่อเลยครับ

สิ่งอำนวยความสะดวกและ Facilities ต่างๆ ภายในโรงแรม

ภายในโรงแรม The Riverie by Katathani นั้นมี Facilities หลายอย่างเลยที่ผมคิดว่าน่าสนใจและน่าจะสามารถตอบโจทย์คนได้ทุกกลุ่มครับ เริ่มจากอย่างแรกก็คือ Kids Club หรือห้องเด็กเล่นขนาดใหญ่ที่มีเครื่องเล่นต่างๆ มากมายตามในภาพนี้ครับ

โดย Kids Club แห่งนี้จะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ภายใน Kids Club จะมีของเล่นและหนังสือสำหรับเด็กมากมาย รวมทั้งยังมีสภาพที่ใหม่และสะอาดด้วยครับ

สำหรับจุดเด่นที่ผมชอบมากๆ ของ Kids Club แห่งนี้นอกจากเรื่องของจำนวนของเล่นแล้วก็คือทางโรงแรมเค้ามีความใส่ใจในเรื่องของความปลอดภัยของเด็กมากๆ โดยนอกจากเค้าจะทำการปูพื้นห้องด้วยพื้นยางทั้งหมดแล้ว บริเวณประตูเข้าออก Kids Club แห่งนี้ยังมีการติดตั้งประตูด้วยระบบพิเศษที่ทำให้เด็กๆ ไม่สามารถเปิดเข้าออกห้องได้ด้วยตัวเองไว้ด้วย เรียกว่าคิดมาได้ครบถ้วนและปลอดภัยจริงๆ

อ้อ Kid Club แห่งนี้ทางโรงแรมเค้าเปิดโอกาสให้แขกที่ไม่ได้เข้าพักมาใช้บริการได้ด้วยนะครับ แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ส่วนใครที่เป็นแขกของทางโรงแรมอยู่แล้วก็สามารถไปใช้บริการได้ฟรีเลย ^^

ดู Kids Club กันเสร็จแล้วคราวนี้เรามาดูสระว่ายน้ำกันดีกว่า โดยสระว่ายน้ำของที่นี่เป็นหนึ่งในสระว่ายน้ำภายในโรงแรมที่ผมประทับใจมากที่นึงเลยครับ เพราะนอกจากขนาดของสระที่ใหญ่ รูปร่างของสระที่แปลกตา รวมทั้งมีทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับริมแม่น้ำกกที่มีความสวยงามแล้ว สระว่ายน้ำแห่งนี้ยังมีเครื่องเล่นสนุกๆ อย่างนี้ตั้งอยู่ด้วยครับ บอกเลยว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่เห็นแล้วต่างก็ต้องอยากเล่นแน่ๆ

ผมให้ดูภาพของบรรยากาศรอบสระว่ายน้ำเพิ่มเติมอีกหน่อยนะครับ จะเห็นว่ารอบๆ สระว่ายน้ำแห่งนี้นอกจากจะมีที่ล้างตัว, โต๊ะเก้าอี้ให้นั่งหรือนอนพักผ่อน และบาร์ริมสระที่ชื่อจูจูบีแล้ว เค้ายังมีหอระฆังรวมถึงศาลาสปาอยู่ด้วย โดยสองอย่างหลังนี้จะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นศิลปะล้านนาที่มีความสวยงามครับ

ใครที่ไม่ชอบเล่นน้ำก็สามารถที่จะมานั่งชิลๆ หรือนอนนวดในศาลาริมน้ำแห่งนี้ได้เลย ปล่อยให้คนที่เล่นน้ำเค้าสนุกกันไป ส่วนเราก็มีความสุขในมุมของเราเหมือนกัน ^^

ดูสระว่ายน้ำซึ่งเป็น Facilities ที่อยู่กลางแจ้งไปแล้ว คราวนี้เรามาดูอีกสอง Facilities ที่อยู่ในร่มกันดีกว่า โดยสองอย่างนี้จะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะมันคือฟิตเนสกับร้านสะดวกซื้อครับ!!

ฟิตเนสของโรงแรม The Riverie by Katathani นั้นจะเปิดให้บริการอยู่ที่ชั้น B โดยจะเปิดบริการตั้งแต่เวลา 7.00 น. – 20.00 น. และมีพื้นที่กว้างขวาง รวมทั้งอุปกรณ์เยอะมากครับ ใครที่ชอบออกกำลังกายและเป็นกังวลว่ามาเที่ยวต่างจังหวัดแบบนี้จะได้ออกกำลังกายหรือเปล่าก็สบายใจได้เลย อุปกรณ์เค้าเพียบ หรือถ้าใครที่เป็นสายวิ่ง ผมแนะนำเลยว่าให้ไปวิ่งบริเวณทางเดินริมแม่น้ำกกที่อยู่ด้านข้างของโรงแรม มันจะเป็นอะไรที่แจ่มมากครับ

ส่วนนี่จะเป็น Melon Shop (เมล่อนช็อป) หรือร้านสะดวกซื้อภายในโรงแรมครับ โดยร้านสะดวกซื้อแห่งนี้จะไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อธรรมดานะ เพราะเค้ามีของจำหน่ายหลายอย่างมากทั้งขนม, เครื่องดื่ม รวมไปถึงของที่ระลึก, เสื้อผ้า และเครื่องเงินต่างๆ อีกมากมาย ใครที่ได้มีโอกาสมาพักที่โรงแรมแห่งนี้และไม่มีเวลาออกไปช้อปปิ้งที่ไหนก็สามารถมาเลือกซื้อของที่นี่ได้เลย ของเค้ามีหลายอย่างมาก น่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกันไปอยู่ครับ

ใครที่อยากจะแวะมาซื้อของที่ร้าน Melon Shop แห่งนี้ก็สามารถมาได้ตั้งแต่เวลา 8.00 น. – 20.00 น. ครับ ร้านจะตั้งอยู่ที่ชั้น G ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับล็อบบี้โรงแรมเลย

ห้องอาหารที่มีภายในโรงแรม

ภาพรวมคร่าวๆ ภายในโรงแรม The Riverie by Katathani นั้นจะมีห้องอาหารหลักให้บริการทั้งหมด 3 ห้อง และอีกหนึ่ง Outlet พิเศษที่เน้นบริการเครื่องดื่มกับเบเกอรี่นะครับ ซึ่งแต่ละห้องอาหารนั้นต่างก็มีจุดเด่น รวมทั้งประเภทของอาหารที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน ดังนั้นใครที่มาพักที่โรงแรมแห่งนี้ 4-5 วันก็ไม่มีเบื่ออาหารครับ สามารถวนกินไปเรื่อยๆ ได้เลย

เริ่มจากห้องอาหารแรกนะครับ ห้องอาหารนี้จะชื่อว่า Blossom (บลอสซั่ม) โดยห้องอาหารนี้จะเป็นห้องอาหารที่ให้บริการอาหารเช้าสำหรับแขกที่เข้ามาพักที่โรงแรมแห่งนี้ด้วย โดยไลน์อาหารเช้าจะเปิดบริการตั้งแต่เวลา 6.00 น. – 10.30 น. ส่วนเวลาอื่นๆ หลังจากนั้นเค้าจะเปิดบริการเป็นห้องอาหารที่บริการอาหารหลากหลายทั้งไทยและนานาชาติครับ

สำหรับที่นั่งภายในห้องอาหาร Blossom แห่งนี้จะมีทั้งแบบที่เป็น Indoor และ Outdoor พื้นที่ทั้งหมดนั้นกว้างขวางมาก สามารถรองรับคนจำนวน 150 คนได้อย่างสบาย โดยในส่วนที่เป็น Indoor นั้นจะมีเพดานสูงรวมทั้งมีกระจกขนาดใหญ่ที่ทำให้เราสามารถดูวิวสวยๆ ด้านนอกได้ด้วย ใครที่ชอบนั่งตากแอร์เย็นๆ ก็เลือกนั่งในส่วนนี้ได้เลยครับ

ส่วนโต๊ะและบรรยากาศในบริเวณ Outdoor ก็จะเป็นแบบนี้ครับ ใครที่ชอบสัมผัสกับธรรมชาติแบบใกล้ชิดก็เลือกโต๊ะที่ถูกใจแล้วนั่งได้เลย วันไหนที่อากาศดีๆ แดดไม่แรงมาก หรือในช่วงเวลาตอนเย็นของแต่ละวันนั้นมันจะเป็นอีกหนึ่งมุมที่หลายคนต้องประทับใจ

สำหรับตัวผมเองได้มีโอกาสชิมอาหารประเภทขันโตกที่ห้องอาหารแห่งนี้ครับ รสชาติอาหารดีมาก อร่อยถูกปากและไม่ได้เผ็ดอะไรมากนัก นอกจากนั้นบรรยากาศของโต๊ะที่ทางห้องอาหารจัดไว้ก็ได้บรรยากาศของการกินขันโตกมาก วิวทิวทัศน์ก็สวยงามสบายตาอีกด้วยครับ

ใครที่สนใจอยากจะชิมอาหารประเภทขันโตกและไม่มีเวลาไปหาที่ทานข้างนอกก็ลองมาใช้บริการที่ห้องอาหาร Blossom ได้นะครับ ราคาไม่แรง รสชาติดี โดยเค้าจะมีทั้งโตกสำหรับ 2 คน และโตกสำหรับ 4 คน เฉลี่ยแล้วราคาจะอยู่ที่คนละ 300-400 บาทเท่านั้นเอง

มาต่อกันที่ห้องอาหารที่สองครับ คราวนี้ผมจะพาทุกคนเปลี่ยนบรรยากาศไปลิ้มลองอาหารจีนกันบ้าง โดยห้องอาหารแห่งนี้จะมีชื่อว่า China Garden (ไชน่า การ์เด้น) และเป็นห้องอาหารที่ตั้งอยู่ข้างๆ กับห้องอาหาร Blossom เลย

สำหรับจุดเด่นของห้องอาหารแห่งนี้ก็คือเป็นห้องอาหารจีนที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงรายมานานหลายปี โดยตั้งแต่ที่ห้องอาหารแห่งนี้เปิดบริการในนามของโรงแรมดุสิตธานี เชียงราย ก็ได้มีบุคคลภายนอกแวะเวียนเข้ามาทานเป็นจำนวนมาก และหากไปลองถามคนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงรายว่าหากเราต้องการทานอาหารจีนอร่อยๆ ติ่มซำดีๆ ควรไปทานที่ไหน หนึ่งในคำตอบที่คนเชียงรายจะแนะนำเราก็คือห้องอาหารแห่งนี้นี่แหละครับ

และเมื่อทางโรงแรมได้มีการปรับปรุงรวมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น The Riverie by Katathani ห้องอาหาร China Garden ก็ยังคงเป็นที่นิยมของชาวเมืองเชียงรายอยู่เช่นเดิม เพราะนอกจากเชฟและพนักงานที่ให้บริการนั้นจะเป็นชุดเดิมทั้งหมดแล้ว ทาง The Riverie by Katathani ยังได้มีการปรับโฉมห้องอาหารใหม่ให้มีความสวยงามมากขึ้น มีความเป็น Modern China เน้นตกแต่งด้วยโทนสีทองที่มีความหรูหราเป็นหลัก รวมทั้งยังได้มีการตกแต่งห้องอาหารด้วยดอกไม้ประจำฤดูทั้ง 4 ของประเทศจีน อันประกอบไปด้วย ดอกเบญจมาศ (ฤดูใบไม้ร่วง), ดอกเหมย (ฤดูหนาว), ดอกกล้วยไม้ (ฤดูใบไม้ผลิ) และดอกบัว (ฤดูร้อน)

ใครที่ชอบทานอาหารจีนโดยเฉพาะอาหารประเภทติ่มซำที่เป็นสูตรกวางตุ้งก็ลองมาใช้บริการได้นะครับ หรือหากใครอยากจะนัดคุยงานกับใครที่ต้องการความหรูหราหน่อยในเมืองเชียงราย ที่นี่ก็ถือว่าตอบโจทย์เลย เพราะเค้ามีห้องส่วนตัวที่สามารถรองรับคนได้ประมาณ 20 คนด้วยครับ

หมายเหตุ : ห้องอาหาร China Garden จะเปิดบริการเฉพาะช่วงเวลา 11.00 น. – 14.00 น. และ 18.30 น. – 22.30 น. เท่านั้น โดยหากใครที่ต้องการทานติ่มซำจะต้องมาทานในรอบกลางวันนะครับ ส่วนในรอบเย็นนั้นเค้าจะมีบริการเฉพาะอาหารจีนประเภทอื่นๆ

ลุยอาหารหนักๆ มาสองห้องแล้ว คราวนี้ผมจะพาทุกคนเปลี่ยนบรรยากาศไปทานอาหารเบาๆ สบายๆ ไม่หนักท้องมากอย่างพวกเครื่องดื่มแล้วก็เบเกอรี่กันดีกว่า โดยสถานที่ที่ผมจะพาทุกคนไปนั้นมีชื่อว่า Lobby Lounge (ล็อบบี้ เลาจน์) ซึ่งเป็น Outlet พิเศษของโรงแรมแห่งนี้และจะตั้งอยู่บริเวณชั้น G ใกล้ๆ กับล็อบบี้โรงแรมตามชื่อเลยครับ

ลักษณะของห้องอาหาร Lobby Lounge จะเป็นห้องอาหารที่เรียกว่าคาเฟ่หรือบาร์น่าจะเหมาะกว่า เพราะประเภทของอาหารที่เค้ามีบริการนั้นจะเน้นไปที่เครื่องดื่มประเภทต่างๆ รวมไปถึงขนมและเบเกอรี่เป็นหลัก โดยเค้าจะเปิดบริการตั้งแต่เวลา 7.00 น. จนถึง 24.00 น. เลย เรียกว่าเป็นห้องอาหารที่เปิดแทบจะตลอดทั้งวัน แถมในช่วงเวลากลางคืนนั้นเค้ายังมีการบรรเลงเพลงเพราะๆ จากเปียโนให้ฟังอีกด้วยนะครับ

ใครที่อยากหาที่นั่งชิลๆ ฟังเพลงเพราะๆ พร้อมเครื่องดื่มอร่อยๆ ก็สามารถมานั่งที่นี่ยาวๆ ได้เลย

นี่เป็นส่วนที่นั่งของห้องอาหาร Lobby Lounge ครับ เค้าจะมีทั้งส่วนที่เป็น Indoor และ Outdoor ใครที่ชอบบรรยากาศแบบไหนก็เลือกนั่งได้ตามใจชอบเลย แต่โดยส่วนตัวแล้วผมแนะนำว่าถ้าวันนั้นอากาศด้านนอกไม่ร้อนมาก ออกไปนั่งบริเวณ Outdoor ด้านนอกจะเป็นอะไรที่ได้บรรยากาศดีมากครับ

ส่วนใครที่ชอบกินชา ที่ Lobby Lounge เค้าจะเลือกใช้ชาหงษ์ฝู่ซึ่งเป็นชาอีกหนึ่งยี่ห้อที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงราย โดยชายี่ห้อนี้จะเป็นชายี่ห้อเดียวกับที่มีวางอยู่ในห้องเราเลย ใครสนใจก็ลองชิมดูนะครับ จะชงเองที่ห้องหรือจะสั่งที่ Lobby Lounge ทานก็ได้ ^^

และที่เป็นทีเด็ดสุดๆ ของห้องอาหาร Lobby Lounge แห่งนี้ก็คือ ในช่วงบ่ายของแต่ละวันเค้าจะมีบริการ Afternoon Tea ด้วย โดยราคานั้นก็ถูกแสนถูก เพียงแค่คนละ 250 บาทเท่านั้น ซึ่งในราคานี้ทุกคนจะได้ทานขนมอร่อยๆ แล้วก็เครื่องดื่มอีกคนละ 1 แก้ว ซึ่งอันนี้ผมแนะนำเลยนะครับว่าหากใครมีเวลาว่างตอนบ่ายๆ ควรหาเวลามานั่งทานซักครั้งครับ ถูก อร่อย วิวดี คุ้มค่ามาก

โดยหากวันนั้นเราไปรับประทานกันเพียงแค่กลุ่มเล็กๆ 2-4 คน ทาง Lobby Lounge เค้าจะจัดมาเป็นเซ็ต Afternoon Tea ที่เป็นจาน 2 ชั้นแบบในรูปข้างบนครับ แต่ถ้าเราไปใช้บริการเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ทางพนักงานเค้าจะจัดวางในรูปแบบนี้แทน เพื่อที่ทุกคนจะได้หยิบมาทานง่ายๆ หน่อย ^^

ครับ และตอนนี้เราก็เดินทางมาถึงห้องอาหารหลักห้องสุดท้ายของโรงแรม The Riverie by Katathani กันแล้ว โดยห้องอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า The Peak Wine and Grill และนี่คือห้องอาหารที่ผมชอบที่สุดเลยครับ
.
.
.
.
จะไม่ชอบ ไม่ประทับใจได้ยังไงล่ะ ลองดูวิวที่เราจะได้เห็นที่ห้องอาหารแห่งนี้สิครับ สวยงามอลังการมาก!!

สำหรับห้องอาหาร The Peak Wine and Grill นี้จะตั้งอยู่ที่ชั้น 10 ซึ่งเป็นชั้น Rooftop ของโรงแรมครับ โดยเค้าจะเปิดบริการตั้งแต่เวลา 17.30 น. – 24.00 น. ส่วนอาหารนั้นจะเน้นบริการไปที่อาหารสไตล์ตะวันตก (Western) เป็นหลัก ใครที่ชอบอาหารสไตล์นี้และไม่ได้มีปัญหาเรื่องงบประมาณ อยากจะหาที่ทานข้าวดีๆ ในเชียงรายกับคนรู้ใจ อาหารอร่อย วิวสวย บรรยากาศเยี่ยม ห้องอาหารนี้ตอบโจทย์แน่นอนครับ

นี่เป็นภาพของด้านหน้าห้องอาหารครับ ตกแต่งสวยงามดูหรูหราดี

ส่วนของพื้นที่นั่งนั้น ทางห้องอาหาร The Peak Wine and Grill ก็จะมีที่นั่งทั้ง Indoor และ Outdoor ให้เราเลือกเหมือนกัน แต่พอดีผมไม่ได้ถ่ายภาพที่นั่งในส่วน Indoor มาให้ดู เพราะแสงมันค่อนข้างน้อยมาก ยังไงก็ลองดูภาพของที่นั่งในส่วนของ Outdoor ไปก่อนนะครับว่าถูกใจโดนใจกันหรือเปล่า

เป็นยังไงครับ วิวจากที่นั่งบริเวณ Outdoor นี้ถูกใจกันหรือเปล่าครับ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่านี่เป็นวิวที่สวยงามและดูได้เต็มตามาก มันไม่มีตึกสูงอะไรมาบดบังสายตาเราเลย แนะนำเป็นพิเศษเลยว่าถ้าใครได้มีโอกาสไปที่โรงแรมแห่งนี้ต้องแวะขึ้นมาดูโดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนที่พระอาทิตย์จะตก มันสวยงามมากๆ ครับ

สำหรับในช่วงอากาศหนาวๆ นั้น ในส่วนที่นั่งด้านนอกนี้จะเย็นมาก และทางห้องอาหารรู้ว่าทุกคนจะต้องประทับใจในการนั่งบริเวณนี้แน่ๆ เพราะบรรยากาศมันดีจริงๆ ดังนั้นทางห้องอาหารเค้าก็เลยมีการเตรียมผ้าห่มไว้ให้เราด้วย บอกเลยว่าแค่ฟังก็รู้สึกว่ามันโรแมนติคจั๊กจี้หัวใจแล้ว เสียดายนิดหน่อยก็ตรงที่ผมไปคนเดียวและวันนั้นอากาศก็ไม่หนาวซักเท่าไหร่ ผมก็เลยพลาดโอกาสฟินๆ แบบนี้ไปครับ ><

เอาล่ะ มาดูหน้าตาของอาหารที่เค้ามีบริการในห้องอาหารแห่งนี้กันดีกว่า อย่างที่ผมบอกไปครับว่าเค้าจะเน้นไปที่อาหารสไตล์ตะวันตก ดังนั้นอาหารของเค้าก็เลยจะประกอบไปด้วย Appetizer, Salad, Soup, Main Course และของหวาน แต่ทั้งนี้เราไม่จำเป็นต้องกินครบทุกประเภทหรือกินให้ครบคอร์สก็ได้นะครับ เราสามารถเลือกสั่งเฉพาะเมนูที่เราต้องการทานได้เลย

รสชาติและหน้าตาของอาหารส่วนใหญ่นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยครับ ยิ่งเมื่อมีดนตรีสดเพราะๆ บรรเลงให้ฟังแทบจะตลอดเวลาด้วยยิ่งทำให้อาหารเหล่านี้รสชาติดีขึ้นไปอีก

สำหรับอาหารบางเมนูนั้นเค้าจะมีเชฟมาปรุงให้เราดูใกล้ๆ ด้วยนะครับ ดูตื่นตาตื่นใจ และสร้างประสบการณ์ในการทานอาหารที่ดีเลย ^^

ไลน์อาหารเช้า

จบไปสองเรื่องแล้ว คราวนี้มาดูเรื่องที่สาม ไลน์อาหารเช้า กันนะครับ โดยไลน์อาหารเช้าของ The Riverie by Katathani จะเปิดบริการที่ห้องอาหาร Blossom ในเวลา 6.00 น. – 10.30 น. ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมว่าไลน์อาหารเช้าของที่นี่นั้นดีมากๆ ครับ ดีทั้งด้านรสชาติ ปริมาณ และความหลากหลายเลย

ผมให้ดูรูปไปยาวๆ เลยนะครับว่าหน้าตาอาหารเช้าของเค้าในวันที่ผมไปใช้บริการนั้นมีอะไรบ้าง โดยประเภทอาหารคร่าวๆ นั้นจะประกอบไปด้วยอาหารไทย 5-6 อย่าง, แฮม, เบคอน, ไส้กรอก, สลัด, Cold Cut, ชีส, Egg Station, ข้าวต้ม, โจ๊ก, ต้มเลือดหมู, น้ำเต้าหู้, น้ำฟักทอง, ซีเรียล, ขนมปัง, ผลไม้, ของทางเล่น, ชา-กาแฟ, นม และน้ำต่างๆ

หมายเหตุ : หลังจากที่ผมกลับมาได้ไม่นาน ทางโรงแรมได้มีการเพิ่มซุ้มอาหารเหนือเข้ามาในไลน์อาหารเช้าด้วยนะครับ ซึ่งผมว่ามันน่าจะสามารถสร้างความประทับใจให้แขกที่มาเข้าพักได้ดีเลย

ในส่วนของอาหารไทยนั้นหากวันที่คุณไปเค้ามีการทำกระเพราเนื้อ ผมแนะนำเลยนะครับว่านี่คือหนึ่งในเมนูที่คุณห้ามพลาดเด็ดขาด รสชาติมันดีมาก!!

ส่วนนี่เป็นหน้าตาของเบเกอรี่ต่างๆ ที่เค้ามีบริการครับ มีความหลากหลายดี ขนมปังมีหลายประเภท ส่วนพวกแยมก็มีให้เลือกเยอะทั้งแยมบลูเบอร์รี่, แยมสับปะรด, แยมสตอร์เบอร์รี่, ช็อคโกแลต, เนยกาแฟ, เนยเบคอน, เนยมัสตาร์ด, น้ำผึ้ง แล้วก็เมเปิ้ลไซรัป โดยจากที่ผมได้ลองชิมมาเกือบทั้งหมด รสชาติของเบเกอรี่ส่วนใหญ่อร่อยถูกปากผมนะครับ นอกจากนี้เค้ายังมีเครื่องทำแพนเค้กด้วย ใครที่สนใจอยากลองทำก็สามารถไปลองกดดูได้ครับ ทำง่ายๆ กดแค่ปุ่มเดียวก็เรียบร้อยเลย ><

มาดูกันในส่วนของไส้กรอก, แฮม, เบคอน, Cold Cuts และอาหารประเภทไข่กันดีกว่า วันที่ผมไปนั้นไส้กรอกเค้าจะมีทั้งไส้กรอกหมูและไส้กรอกลูกวัวครับ รสชาติกลางๆ ไม่ได้เด่นมาก แต่ที่ผมว่าเด่นและน่าประทับใจเลยก็คือเบคอนและ Egg Station โดยเค้าจะมีให้เบคอนเราเลือกทานทั้งแบบกรอบและไม่กรอบ กินแล้วฟินเว่อร์ อร่อยโดนใจทั้งคู่ ส่วน Egg Station นั้นก็มีอาหารประเภทไข่ให้เลือกทานเยอะดี อย่างไข่ดาวนั้นทางเชฟก็จะมีการเตรียมไว้ให้เราตักทั้งแบบสุกและไม่สุกเลยครับ ใครชอบทานแบบไหนก็เดินไปตักได้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลาสั่งและยืนคอย

ส่วนนี่คือหน้าตาของอาหารทานเล่นครับ รสชาติดีเลย โดยเฉพาะขนมครกไข่นกกระทา กินเพลินๆ แป๊บเดียวหมดไปสิบอัน หรือใครจะหยิบปาท่องโก๋จิ้มนมแล้วกินกับเครื่องดื่มโบราณอย่างชา, กาแฟ, โอวัลติน ก็ดูเข้ากันอีกแบบ

ส่วนนี่เป็นสองเมนูอาหารที่ผมอยากจะแนะนำให้ทุกคนลองทานมากๆ ต้มเลือดหมูจิงจูฉ่ายและโจ๊กครับ รสชาติดีทั้งคู่เลย แต่ถ้าใครเป็นคนที่ไม่ชอบทานเค็มอาจจะติดว่าต้มเลือดหมูเค็มไปนิดนึงนะครับ

ต่อด้วยอาหารที่คล้ายๆ กัน นั่นก็คือข้าวต้ม โดยวันที่ผมไปนั้นเค้ามีบริการทั้งข้าวต้มมันปู, ข้าวต้มหมู และข้าวต้มขาว ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมว่าข้าวต้มมันปูเป็นอะไรที่แปลกและอร่อยดีครับ กินกับเครื่องต่างๆ ที่เค้าเตรียมไว้ข้างๆ กันทำให้รสชาติดีขึ้นอีกเยอะเลย

ปิดท้ายไลน์อาหารเช้ากันด้วยเครื่องดื่มแล้วกันนะครับ โดยไลน์อาหารเช้าของโรงแรม The Riverie by Katathani นอกจากจะมีเครื่องดื่มพื้นฐานอย่างชา, กาแฟ, น้ำผลไม้และนมแล้ว ที่นี่เค้ายังมีน้ำ Infused water, น้ำเต้าหู้และน้ำฟักทองให้เราทานด้วย ซึ่งเครื่องที่ใส่น้ำเต้าหู้นั้นเค้าก็จัดมาให้เต็มมาก ผมนี่ใส่จนล้นถ้วยเลยทีเดียว ><

เป็นยังไงล่ะครับกับไลน์อาหารเช้าของที่นี่ เยอะแยะจัดเต็มและดูน่าทานมากๆ ใช่มั้ยครับ แต่ทีเด็ดของการมากินอาหารเช้าที่โรงแรม The Riverie by Katathani ยังไม่หมดแค่นี้นะครับ เพราะช่วงเวลาเช้าๆ ตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น เราจะได้เห็นวิวที่สวยงามมากๆ จากห้องอาหารแห่งนี้ โดยเฉพาะคนที่นั่งทานอาหารบริเวณ Outdoor บรรยากาศและวิวมันสวยจริงๆ ครับ

ถ้าใครตื่นไหว ผมแนะนำให้รีบตื่นนะครับ แล้วคุณจะรู้สึกประทับใจกับการมาพักที่โรงแรมแห่งนี้ขึ้นอีกเยอะเลย

สถานที่ท่องเที่ยวรอบๆ โรงแรมและกิจกรรมพิเศษ

ในที่สุดก็ถึงเรื่องที่สี่ซึ่งเป็นเรื่องสุดท้ายของเรากันแล้วครับกับเรื่อง สถานที่ท่องเที่ยวรอบๆ โรงแรมและกิจกรรมพิเศษ เพราะด้วยความที่โรงแรมแห่งนี้อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายมากนัก ดังนั้นสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจรอบโรงแรมจึงมีมากมายทั้งวัดพระสิงห์, วัดพระแก้ว, อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช, หอนาฬิกา, วัดดอยงำเมือง จนไปถึงถนนคนเดินและเชียงรายไนท์บาร์ซาร์ โดยสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้เราสามารถที่จะเดินทางไปด้วยตัวเองได้ด้วยการเดินหรือเช่ารถขับ แต่ถ้าใครที่ต้องการอะไรที่เก๋แหวกแนวกว่าใครเพื่อน ผมขอแนะนำนี่เลยครับ “การนั่งรถสามล้อถีบ!!” โดยการนั่งรถสามล้อถีบนี้เราสามารถให้ทางโรงแรมช่วยประสานงานและเรียกให้ได้ ส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับระยะทางและเวลาที่เราใช้บริการครับ

ตัวผมเองก็ได้มีโอกาสลองใช้บริการโดยการนั่งรถสามล้อถีบเที่ยวรอบๆ โรงแรมประมาณ 2 ชั่วโมง มันทำให้ผมได้เห็นอะไรแปลกใหม่ ได้ประสบการณ์ที่ดี และยังได้คิดถึงสมัยที่ผมเด็กๆ ตอนที่ยังอยู่ต่างจังหวัดด้วยครับ

หรือถ้าใครอยากจะไปเที่ยวที่ไกลๆ กว่านี้ ผมก็ขอบอกเลยว่าที่เชียงรายนั้นมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายทั้งดอยตุง, ไร่บุญรอด (สิงห์พาร์ค), วัดห้วยปลากั้ง, วัดร่องขุ่น, พิพิธภัณฑ์บ้านดำ, ดอยแม่สลอง, ภูชี้ฟ้า, วัดร่องเสือเต้น หรือไร่ชาฉุยฟง ซึ่งเดี๋ยวเรื่องราวของสถานที่เที่ยวในเชียงรายที่น่าสนใจเหล่านี้ผมจะแยกไปเขียนในอีกบทความนึงนะครับ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวรีวิวนี้มันจะยาวไป ^^

ส่วนใครที่เป็นสายบุญต้องห้ามพลาดนี่เลยกับกิจกรรมใส่บาตรที่ด้านหน้าโรงแรม โดยทุกวันพระทาง The Riverie by Katathani จะมีการนิมนต์พระมาบิณฑบาตรที่ด้านหน้าโรงแรมในเวลา 7.00 น. หากใครต้องการใส่บาตรก็สามารถมายืนรอได้เลยครับ โดยเราสามารถที่จะซื้อชุดใส่บาตรจากร้าน Melon Shop ได้ในราคาชุดละ 100 บาท นอกจากนี้ทางโรงแรมยังมีการเตรียมโต๊ะและชุดกรวดน้ำไว้ให้เราด้วย

ใครที่คิดว่าตัวเองตื่นไหวและไปพักที่นี่ตรงกับวันพระพอดีก็สามารถสอบถามรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมกับพนักงานโรงแรมได้เลยครับ

และทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์ที่ผมได้รับและมุมมองที่ผมมีต่อโรงแรม The Riverie by Katathani (เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี) จังหวัดเชียงรายครับ และเพื่อให้ทุกคนได้ข้อมูลกันแบบชัดๆ ผมก็เลยจะขอสรุปประเด็นต่างๆ ออกมาดังนี้เป็นการส่งท้ายครับ

วันที่เข้าพัก : วันที่ 11-13 มกราคม 2562
จำนวน : 1 คน

การออกแบบ : ที่นี่เป็นโรงแรมที่มีการออกแบบสวยงามดีครับ แม้โครงสร้างหลักจะเป็นโครงสร้างเดิมที่เป็นปูนขาวๆ ธรรมดา แต่ทาง The Riverie by Katathani ก็ได้ปรับปรุงโฉมยกใหญ่ทั้งภายในและภายนอก มีการเอาศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยล้านนามาผสมผสานกับโครงสร้างเดิมได้อย่างลงตัว ส่วนภายในห้องนั้นก็ดูโปร่ง สะอาด สบายตา และมีความทันสมัยกว่าเดิมมาก โดยรวมๆ แล้วผมว่าการออกแบบนี้น่าจะได้ใจทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเลยครับ แต่ทั้งนี้กลุ่มคนไทยที่ชอบอาจจะต้องอายุประมาณซัก 30 ปีขึ้นไปนะครับ เพราะกลุ่มวัยรุ่นน่าจะไม่ชอบสไตล์นี้ซักเท่าไหร่

ความสะอาด : ข้อนี้สอบผ่านสบายๆ ไม่มีปัญหาอะไรครับ โดยเท่าที่ผมได้ใช้บริการมา 3 วัน 2 คืน ก็ไม่พบปัญหาเรื่องความสะอาดทั้งบริเวณส่วนกลางและภายในห้องเลย

สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้อง : ผมว่าเค้ามีมาให้ครบถ้วนเลยนะครับ อย่างแปรงสีฟัน ยาสีฟันก็มีมาให้ สายชาร์จแบบ USB ก็มี ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานอื่นๆ ก็ถือว่าอยู่ในมาตรฐานโรงแรมระดับนี้ และที่ผมประทับใจเป็นพิเศษก็คือเรื่องของสัญญาณ Wifi ที่เสถียรและเร็วดีครับ ผมสามารถใช้งานได้ครอบคลุมเป็นบริเวณกว้างเลย เพราะแม้กระทั่งบริเวณสระว่ายน้ำหรือทางเดินริมน้ำก็ยังมีสัญญาณครับ

สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง : ข้อนี้เรียกว่าเค้าจัดมาเต็มที่มาก มีห้องอาหาร 4 ห้องที่มีสไตล์แตกต่างกัน มีสระว่ายน้ำที่มีเครื่องเล่นแสนสนุก, Kids Club ขนาดใหญ่, ฟิตเนสที่มีอุปกรณ์เยอะ, สปา, ร้านสะดวกซื้อ, ห้องสัมมนา และห้องจัดเลี้ยง เรียกว่าคนที่มาเข้าพักหรือใช้บริการที่นี่น่าจะไม่อยากได้อะไรเพิ่มแล้วล่ะครับ และสำหรับคนที่มีเด็กๆ มาด้วยน่าจะประทับใจกับ Kids Club และสระว่ายน้ำเป็นพิเศษแน่ๆ

การนอนหลับพักผ่อน : ข้อนี้ก็ดีครับ ผมนอนสองคืนหลับสบายมาก เตียงดี หมอนนุ่ม แอร์เย็นสบายแถมปรับได้ง่าย นอกจากนี้ด้วยขนาดห้องน้ำที่ใหญ่มีการแยกส่วนเปียกส่วนแห้งชัดเจนก็ทำให้เราสามารถอาบน้ำได้อย่างสบายครับ ^^

การบริการของพนักงาน : ถือว่าบริการได้ดีนะครับ รวดเร็วและเต็มใจบริการมาก พนักงานส่วนใหญ่ยิ้มแย้มแจ่มใสและพูดจาสุภาพ โดยหลายๆ ครั้งเค้าจะพูดภาษาเหนือกับเราด้วย ฟังแล้วก็รื่นหูดีครับ

อาหารเช้า : เป็นอีกเรื่องที่ผมประทับใจครับ โดยผมประทับใจตั้งแต่พื้นที่ห้องอาหารที่กว้าง มีโต๊ะให้เลือกนั่งทั้ง Indoor และ Outdoor มีอาหารให้เลือกทานเยอะ และที่สำคัญอาหารส่วนใหญ่รสชาติดีถูกปากผมด้วย ใครที่ได้ไปพักที่นี่อย่าพลาดที่จะตื่นเช้ามาดูวิวสวยๆ แล้วก็นั่งทานอาหารเช้าของเค้านะครับ ผมเชื่อว่าถ้าคุณตื่นมาดูแสงแรกของวันทัน มันจะทำให้วันนั้นคุณรู้สึกดีมากอย่างแน่นอน

สรุป : โรงแรม The Riverie by Katathani (เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี) ถือเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ผมเข้าพักแล้วประทับใจเลยครับ ด้วยรูปแบบของโรงแรมที่มีการผสมผสานเอาความเป็นล้านนามารวมกับความโมเดิร์น, ความเอาใจใส่และความสุภาพของพนักงาน, ขนาดของห้อง, ตำแหน่งทำเลที่ตั้ง, รสชาติและความหลากหลายของอาหาร รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เค้ามีให้ มันเป็นอะไรที่ลงตัวและถูกใจผมครับ ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่ได้มีโอกาสเข้าพักที่นี่น่าจะรู้สึกคล้ายๆ กับผม โดยเฉพาะคนที่พักห้องวิวแม่น้ำ และมีเวลาที่จะใช้ชีวิตแบบ Slow Life ที่โรงแรม เพราะจุดเด่นมากๆ ของเค้าคือความสงบและธรรมชาติรอบตัวที่สวยงาม ก็เอาเป็นว่าใครที่กำลังจะเดินทางไปเชียงรายและมองหาโรงแรมดีๆ ที่มีราคาอยู่ในช่วง 3,000 – 5,000 บาท/คืน ผมว่าที่นี่น่าจะตอบโจทย์คุณได้เลย แต่หากคุณเป็นวัยรุ่นหรือคนที่ชอบอะไรที่เฟี้ยวๆ หน่อย รวมทั้งมีงบประมาณที่พักต่อคืนไม่มากนัก หรือเป็นคนที่คิดว่าจะไม่ได้ใช้เวลาอยู่ในโรงแรมซักเท่าไหร่ มีตารางกิจกรรมแน่นไปหมด ที่แห่งนี้อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะกับคุณครับ

ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับท่านใดที่ต้องการติดตามเรื่องราวการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิดก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ ส่วนผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงแรมแห่งนี้ หรือต้องการจองที่พักราคาพิเศษผ่าน Agoda ก็สามารถกดที่นี่ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ

ช่องทางติดต่อ The Riverie by Katathani

Fanpage : The Riverie by Katathani

Tel : 053-607999

จองที่พักราคาพิเศษกับ Agoda คลิกที่นี่

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราในวันที่ได้ลองไปใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากนี้ออกไปได้ครับ