Home Travel Yading Nature Reserve : ในวันที่ใบไม้เปลี่ยนสี กับธรรมชาติประเทศจีนที่สวยงามตระการตา

Yading Nature Reserve : ในวันที่ใบไม้เปลี่ยนสี กับธรรมชาติประเทศจีนที่สวยงามตระการตา

สวัสดีทุกคนครับ หลังจากที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวอุทยานย่าติง (Yading Nature Reserve) ประเทศจีน เมื่อวันที่ 21-30 ตุลาคม ที่ผ่านมา ผมก็เห็นว่าทริปนี้มีหลากหลายเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ ก็เลยเขียนบทความสั้นๆ นี้มาให้อ่านกัน โดยบทความนี้จะเป็นบทความง่ายๆ ไม่ได้เขียนรีวิวอะไรจริงจังนะครับ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปอ่านกันได้เลยครับ

Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
  • อุทยานย่าติง เป็นอุทยานทางธรรมชาติของประเทศจีน มีพื้นที่อยู่ในเมืองเต้าเฉิง มณฑลเสฉวน บนเขตปกครองตนเองของชาวธิเบตกานจือตอนใต้ โดยที่อุทยานแห่งนี้จะมีความสวยงามเป็นอย่างมากในช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนตุลาคมของทุกปี เพราะจะเป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีครับ
  • เมืองเต้าเฉิงนั้นเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่และมีสนามบินเป็นของตัวเองด้วยครับ โดยเราสามารถเลือกเดินทางไปเที่ยวย่าติงด้วยการนั่งเครื่องบินจากไทยไปลงที่เมืองเต้าเฉิงแล้วนั่งรถไปที่อุทยานย่าติงเลยก็ได้ ซึ่งการเดินทางแบบนี้จะช่วยให้เราประหยัดเวลาในการเดินทางได้พอดู แต่ก็ต้องแลกมาด้วยว่าค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และความเสี่ยงที่จะเกิดโรค AMS (High Altitude Sickness) มากขึ้นครับ เพราะปัจจุบันนี้สนามบินเต้าเฉิงนั้นถือเป็นสนามบินพลเรือนที่อยู่บนภูมิประเทศที่สูงที่สุดบนโลก คืออยู่ที่ระดับความสูง 4,411 เมตรจากระดับน้ำทะเลครับ!!
  • สำหรับทริปที่ผมเดินทางไปนั้น พวกเราเดินทางไปลงที่เมืองเฉิงตู จากนั้นก็นั่งรถเที่ยวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงอุทยานย่าติง โดยมีโปรแกรมการเดินทางแต่ละวันตามนี้เลยครับ

วันที่ 1 : กรุงเทพ – เฉิงตู (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง)

วันที่ 2 : เฉิงตู – คังติ้ง (ระยะทาง 330 กิโลเมตร / ความสูง 2,400 เมตร จากระดับน้ำทะเล)

วันที่ 3 : คังติ้ง – มู่วเก่อโช่ว – ชินตูเฉียว (ระยะทาง 150 กิโลเมตร / ความสูง 3,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล)

วันที่ 4 : ชินตูเฉียว – รี่หว่า (ระยะทาง 418 กิโลเมตร / ความสูง 2,800 เมตร จากระดับน้ำทะเล)

วันที่ 5 : รี่หว่า – ย่าติง (ระยะทาง 15 กิโลเมตร / ความสูง 3,900 เมตร จากระดับน้ำทะเล)

วันที่ 6 : ย่าติง – เต้าเฉิง (ระยะทาง 75 กิโลเมตร)

วันที่ 7 : เต้าเฉิง – ถากง (ระยะทาง 370 กิโลเมตร / ความสูง 3,600 เมตร จากระดับน้ำทะเล)

วันที่ 8 : ถากง – ซินตูเฉียว (ระยะทาง 78 กิโลเมตร / ความสูง 3,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล)

วันที่ 9 : ชินตูเฉียว – เฉิงตู (ระยะทาง 400 กิโลเมตร / ความสูง 450 เมตร จากระดับน้ำทะเล)

วันที่ 10 : เฉิงตู – กรุงเทพ

  • สำหรับข้อดีของการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปลงที่นครเฉิงตูนั้น นอกจากจะมีค่าใช้จ่ายที่ประหยัดกว่าแล้ว สิ่งที่เราจะได้เพิ่มอีกก็คือ เรื่องของการได้ท่องเที่ยวระหว่างทางซึ่งมีทัศนียภาพที่สวยงามมาก และเรื่องของการให้เวลาร่างกายเราได้ค่อยๆ ปรับตัวกับการใช้ชีวิตในที่ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่าประเทศไทยไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ระดับ 450 เมตร จนไปถึงระดับ 4,000 เมตร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก และทำให้เรามีโอกาสเกิดอาการ High Altitude Sickness หรือกลุ่มโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ในภาวะที่มีออกซิเจนน้อยได้น้อยลงครับ
  • เนื่องจากอุทยานย่าติงนั้นมีพื้นที่กว้างขวางมากและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย เช่น ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake), ทะเลสาบห้าสี (Five Colors Lake), ทะเลสาบน้ำนม (Milk Lake), ทะเลสาบกบ (Frog Lake), ทุ่งหญ้าชงกู่, ทุ่งหญ้าลั่วหลง ดังนั้นเราจึงควรจะต้องมีเวลาอย่างน้อย 2 วันในการมาเที่ยวที่นี่ ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับทีละวันๆ แล้วกลับไปนอนโรงแรมข้างนอกอุทยาน หรือเลือกที่จะนอนค้างคืนที่หมู่บ้านย่าติงเพื่อเป็นการประหยัดเวลาในการเดินทางก็ได้ครับ แต่ผมต้องบอกให้ทราบก่อนนะครับว่าที่พักในหมู่บ้านย่าติงส่วนใหญ่นั้นจะไม่ได้หรูหราอะไรมาก จะออกแนวเป็น Guest House ที่เป็นห้องนอนรวม ห้องน้ำรวมซะมากกว่า รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็จะไม่สามารถเทียบกับโรงแรมภายนอกได้
  • สำหรับใครที่ต้องการนอนพักในหมู่บ้านย่าติงและต้องการห้องพักที่เป็นแบบโรงแรม มีห้องน้ำในตัว และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ผมก็ต้องบอกว่ามันพอจะหาได้เหมือนกันครับ แต่จะมีน้อยหน่อยและราคาต่อห้องนั้นค่อนข้างสูงมาก โดยราคาของห้องพักแบบนี้จะอยู่ที่ประมาณ 4,000 – 5,000 บาทต่อคืน ในช่วง High Season ใครที่งบถึงๆ หน่อยก็จัดไปครับ
  • สำหรับใครที่มีเวลาเที่ยวที่ย่าติงแค่ 2 วัน ผมแนะนำให้นอนค้างคืนที่หมู่บ้านย่าติง และแบ่งโปรแกรมเป็นวันที่ 1 เที่ยวทุ่งหญ้าลั่วหลง, ทะเลสาบน้ำนม และทะเลสาบห้าสี ส่วนวันที่ 2 ให้เที่ยวทะเลสาบไข่มุกกับทุ่งหญ้าชงกู่ครับ (โปรแกรมวันที่ 1 และ 2 สามารถสลับกันได้ ขึ้นอยู่กับเวลาของแต่ละท่านว่าจะเดินทางไปถึงอุทยานย่าติงตอนไหน) และถ้าใครมีเวลาเหลืออีกวันก็ให้จัดโปรแกรมทะเลสาบกบลงในวันที่ 3 ครับ ซึ่งการจัดโปรแกรมแบบนี้จะทำให้ทุกคนสามารถเที่ยวได้ครบและไม่เหนื่อยกับการเดินทางมากจนเกินไปครับ
  • ในเรื่องของการเดินทางจากหมู่บ้านย่าติงไปยังทุ่งหญ้าชงกู่และทุ่งหญ้าลั่วหลงซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินไปยังทะเลสาบไข่มุก, ทะเลสาบห้าสีและทะเลสาบน้ำนมนั้นจะมีรถบริการครับ โดยเราจะต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มเองนอกเหนือจากค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานย่าติง แต่หากใครเน้นประหยัดก็สามารถที่จะเดินไปเองก็ได้นะครับ แต่เชื่อผมเถอะ ยอมเสียค่ารถบริการดีกว่าครับ มันเซฟพลังงานและเวลาให้เราได้เยอะมากๆ ที่สำคัญมันคุ้มกับเงินที่จ่ายไปอย่างแน่นอนครับ
  • การเดินเท้าจากทุ่งหญ้าลั่วหลงไปยังทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสีนั้น จะมีระยะทางไปกลับรวม 10.6 กิโลเมตร โดยเส้นทางการเดินใน 3 กิโลเมตรแรก จะเป็นเส้นทางราบกึ่งขึ้นเนินเล็กๆ ที่ยังไม่ชันมากนัก ส่วนเส้นทางช่วง 2 กิโลเมตรหลัง จะเป็นทางชันที่ต้องเดินขึ้นอย่างต่อเนื่อง และช่วง 300 เมตรสุดท้าย ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นไปยังทะเลสาบห้าสีนั้นจะเป็นทางเดินขึ้นที่ชันมาก ดังนั้นสิ่งที่เราควรต้องเตรียมตัวให้พร้อมก็คือสภาพร่างกายที่ผ่านการออกกำลังกายมาบ้าง เพราะแม้เส้นทางโดยรวมจะไม่ไกลมากนัก แต่ด้วยระดับความสูงที่อยู่หนือกว่าน้ำทะเลมากทำให้อากาศเบาบางกว่าที่เราเคยเจอในประเทศไทย ประกอบกับอากาศที่หนาว เสื้อผ้าที่หนา ทางเดินที่ชัน ยิ่งทำให้เราเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เหนื่อยง่ายมากๆ ชนิดที่ว่าบางทีเดินได้แค่ 2-3 ก้าวก็ต้องหยุดพักแล้วครับ
  • สำหรับอาการเหนื่อยที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินขึ้นไปยังทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสีนั้น จะไม่ใช่ลักษณะความเหนื่อยแบบที่เราเดินขึ้นภูเขาโหดๆ ในประเทศไทยนะครับ เพราะจริงๆ แล้วเส้นทางแบบนี้หากอยู่ในประเทศไทยนั้นจะถือว่าขึ้นง่ายมากๆ สำหรับหลายๆ คนเลย เรียกว่าขึ้นง่ายกว่าภูสอยดาวและดอยหลวงเชียงดาวเยอะครับ แต่ด้วยระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลที่แตกต่างกันหลายพันเมตร ก็เลยทำให้อากาศที่ย่าติงนั้นเบาบางและทำให้อาการเหนื่อยที่เราเจอคือการที่หัวใจของเราทำงานหนักมากเพื่อสูบฉีดเลือดและออกซิเจนมากกว่าปกติ เรียกว่าหัวใจของแต่ละคนนั้นจะเต้นรัวๆ แรงๆ ที่ระดับ 150 ครั้งต่อนาทีแทบจะตลอดเส้นทางเลยครับ และนั่นก็คือสาเหตุว่าทำไมเดินได้แค่ไม่กี่ก้าวเราก็ต้องหยุดนั่งพักแล้ว เพราะหากเราไม่พักหัวใจเราจะทำงานหนักมากจนอาจจะทำให้เกิดผลเสียที่ร้ายแรงได้นั่นเองครับ
  • สำหรับคนที่คิดว่าสภาพร่างกายตัวเองไม่พร้อมซักเท่าไหร่ ผมแนะนำว่าอย่าแบกของขึ้นไปเยอะเกินความจำเป็นครับ และอาจจะต้องยอมเสียเงินนั่งม้าใน 3 กิโลเมตรแรก (ราคาประมาณ 330 หยวน/เที่ยว) เพราะถึงแม้จะเป็นราคาที่สูงพอควร แต่มันก็แลกมากับการประหยัดแรงให้เราได้ระดับนึงเลยครับ โดยระยะเวลาโดยเฉลี่ยสำหรับบุคคลทั่วๆ ไป ในการเดินขึ้นทะเลสาบน้ำนมแบบไม่นั่งม้านั้นน่าจะประมาณ 3.5 – 4 ชั่วโมง ส่วนระยะเวลาในการเดินลงนั้นน่าจะประมาณ 1.5 -2 ชั่วโมงครับ
  • การเดินทางจากทะเลสาบนน้ำนมไปยังทะเลสาบห้าสีนั้น จะมีสองเส้นทางคือเส้นทางที่สั้นแต่ชันมาก กับเส้นทางที่ชันน้อยหน่อยแต่ต้องเดินอ้อม ซึ่งผมแนะนำให้ทุกคนเลือกเส้นทางหลังจะดีกว่านะครับ โดยเมื่อเราขึ้นไปถึงข้างบนแล้วให้เราเลือกเดินไปที่ทะเลสาบน้ำนมก่อน จากนั้นเราก็จะเห็นเส้นทางที่สองที่เราจะสามารถเดินไปยังทะเลสาบห้าสีได้ หรือก็คือเส้นทางด้านขวามือของภาพด้านบนนั่นแหละครับ
  • ย้ำกันอีกครั้ง เส้นทางการเดินขึ้นทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสีนั้นค่อนข้างที่จะเหนื่อยมากโดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย และหลายๆ คนที่สภาพร่างกายไม่พร้อมก็มักจะเดินกันไม่ถึง ดังนั้นเพื่อให้ชีวิตการท่องเที่ยวของเราสนุกและเดินถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ผมจึงขอแนะนำให้ทุกคนปฏิบัติตามนี้ครับ หมั่นออกกำลังกายก่อนเดินทาง, แบกของให้น้อยที่สุด, อย่าฝืนร่างกายจนเกินไป, ค่อยๆ เดิน และหยุดพักบ่อยๆ, เตรียมของกินและน้ำดื่มไปให้พร้อม และถ้าใครมีปัญหาเรื่องความดันหรือโรคหัวใจควรจะต้องมี Activity Watch ไว้คอยดู Heart Rate ตลอดเวลา” และสำหรับใครที่ไม่มั่นใจตัวเองว่าสภาพร่างกายจะไหวมั้ย ก็ควรจะต้องหาเพื่อนคอยเดินอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา รวมทั้งควรมีออกซิเจนกระป๋องติดตัวไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉินด้วยครับ โดยเราสามารถหาซื้อออกซิเจนกระป๋องได้ที่ร้านสะดวกซื้อในหมู่บ้านย่าติงเลยครับ
  • ทั้งนี้อุทยานย่าติงนั้นได้มีการปรับปรุงเส้นทางบางส่วนให้เดินง่ายขึ้นกว่าในอดีตอยู่ป็นระยะๆ แต่โดยภาพรวมแล้ว ก็ยังถือว่าเหนื่อยและหนักสำหรับคนไทยหลายๆ คนที่ไม่เคยไปเดินขึ้นเขาในระดับความสูงแบบนี้้อยู่ดีครับ ดังนั้นใครที่สนใจจะไปที่นี่ก็ควรจะต้องเตรียมตัวไปให้พร้อมในระดับนึงนะครับ
  • สำหรับเส้นทางการเดินไปทะเลสาบไข่มุกซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากทุ่งหญ้าชงกู่นั้น จะเป็นเส้นทางการเดินที่ง่ายกว่าเส้นทางไปทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสีมาก เพราะเป็นการเดินขึ้นบันไดเหล็กที่มีความแข็งแรง และมีจุดให้นั่งพักตลอดทาง ส่วนระยะเวลาในการเดินขึ้นจะอยู่ที่ 1.5 – 2 ชั่วโมง และระยะเวลาในการเดินลงจะอยู่ที่ 45 นาทีครับ (ระยะทางในการเดินจากทุ่งหญ้าชงกู่ไปยังทะเลสาบไข่มุก ประมาณ 1.5 กิโลเมตร, ไป-กลับ ประมาณ 3 กิโลเมตร)
  • บริเวณทุ่งหญ้าชงกู่นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีความสวยงามมากแห่งหนึ่งในย่าติง ดังนั้นผมแนะนำว่าให้เผื่อเวลาเดินถ่ายรูปและสัมผัสธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้อย่างน้อยซัก 1 ชั่วโมงนะครับ

เอาล่ะครับ ตอนนี้ทุกคนก็คงพอจะรู้ข้อมูลคร่าวๆ ของย่าติงกันแล้ว สำหรับใครที่สนใจที่จะไปเที่ยวที่นี่ก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ มีคนเขียนรีวิวไว้เยอะแยะเลย ส่วนตัวผมเองนั้นก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเป็นการส่งท้ายบทความนี้ตามนี้ครับ

  1. ช่วงที่คนนิยมไปเที่ยวย่าติงมากๆ ก็คือ ช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
  2. ความสวยของใบไม้เปลี่ยนสีในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในปีนั้นๆ โดยปีนี้ที่ผมไปใบไม้เปลี่ยนสีไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะอากาศหนาวมาเร็วกว่าปกติแถมยังเจอหิมะตกอีกด้วยครับ
  3. การไปเที่ยวย่าติงนั้นสามารถไปเที่ยวได้ด้วยตัวเองหรือจะไปกับทัวร์ก็ได้ อย่างทริปที่ผมไปนั้นผมก็เดินทางไปกับ Tripchillchill ทริปถ่ายภาพท่องเที่ยว ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ที่เน้นพาไปถ่ายรูปที่สวยๆ ครับ ใครสนใจทัวร์แบบนี้ก็ลองแวะเข้าไปดูโปรแกรมของเค้าได้ที่ Tripchillchill Fanpage หรือที่ https://www.tripchillchill.com/ ได้เลยครับ เค้าเปิดทริปหลายเส้นทางและหลายประเทศเลย โดยข้อดีของการที่เราไปกับทัวร์นั้นก็คือจะมี Local Guide ที่คอยดูแลช่วยเหลือเราทุกอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากโดยเฉพาะประเทศจีน เพราะประชากรส่วนใหญ่รวมถึงตำรวจในประเทศนี้สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้เลยครับ
  4. เนื่องจากมณฑลเสฉวนและย่าติงนั้นอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ดังนั้นจึงมีโอกาสที่หลายคนจะเจออาการ High Altitude Sickness หรือกลุ่มโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ในภาวะที่มีออกซิเจนน้อย ดังนั้นทุกคนที่ไปจึงต้องพยายามเช็คร่างกายของตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหัว มึนศีรษะ อ่อนเพลีย หรือไม่ ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรรีบพักผ่อนทันที และในการเดินทางไปควรจะต้องมีการเตรียมยา Diamox ติดตัวไปด้วย เพราะยานี้จะสามารถช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้ แต่ทั้งนี้เราจะต้องทานยาให้ถูกต้องตามที่แพทย์แนะนำ และยานี้ไม่สามารถให้คนที่แพ้ซัลฟากินได้นะครับ
  5. ในเรื่องอาหารการกินของมณฑลเสฉวนนั้นโดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างถูกปากนะครับ สามารถกินได้แทบทุกมื้อ แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบทานผัก ไม่ชอบทานของมัน และไม่ชอบทานหมาล่ารวมถึงควาเจียว อาจจะมีปัญหาในเรื่องของการกินได้ โดยใครที่คิดว่าตัวเองอาจจะมีปัญหาในเรื่องของการกินอาหารที่นั่น ผมแนะนำให้เตรียมอาหารแห้งอย่างน้ำพริก, ขนมปัง, มาม่า หรืออาหารสำเร็จรูปอื่นๆ ที่สามารถกินกับข้าวต้มหรือข้าวสวยได้จากไทยไปเยอะๆ นะครับ รับรองว่ามันจะช่วยชีวิตคุณได้เยอะเลย
  6. เรื่องของห้องน้ำ นี่เป็นเรื่องที่ผมต้องบอกทุกคนเลยว่าเราต้องทำใจเป็นอย่างมากนะครับ เพราะแม้ห้องน้ำในโรงแรมต่างๆ จะดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ห้องน้ำระหว่างการเดินทางและในอุทยานย่าติงนั้นจะเป็นห้องน้ำแบบจีนตามที่เราได้ยินเสียงร่ำลือมา ซึ่งห้องน้ำเหล่านี้มันก็มีตั้งแต่ level ที่พอรับได้ จนไปถึง level สุดโหด แบบที่ไม่มีประตูห้องน้ำ และเราต้องปิดตาพร้อมกลั้นหายใจกันรัวๆ จนเสร็จสิ้นภารกิจเลยครับ
  7. กฎหมายเรื่องของความปลอดภัยของประเทศจีนนั้นเคร่งครัดมาก อย่างเช่นการเดินทางด้วยรถบัสนั้นจะต้องมีการคาดเข็ดขัดนิรภัยทุกที่นั่ง, ห้ามเดินไปมาบนรถบัส, การชับรถทางไกลต้องมีคนขับ 2 คน, มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดบนรถเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย, มีการติด GPS ที่รถเพื่อควบคุมความเร็วรถไม่ให้เกิน 60 กม./ชั่วโมง จนไปถึงการที่อนุญาตให้รถบัสสามารถวิ่งบนท้องถนนได้แค่ช่วง 06.00 – 22.00 น. เท่านั้น ใครที่เดินทางด้วยรถพวกนี้ก็ต้องระมัดระวังและเข้าใจกฏระเบียบของเค้าด้วยนะครับ
  8. Internet ในประเทศจีนจะมีการบล็อคไม่ให้เราใช้งาน Google หรือ Social Media อย่าง Facebook, Youtube, line ดังนั้นเพื่อความสะดวกและไม่พลาดการติดต่อกับคนอื่นๆ ที่ไทย เราควรจะซื้อซิมจากประเทศไทยอย่าง True Travel Sim หรือ AIS Sim2Fly ไป เพราะจะทำให้เราสามารถเล่น Social Media ต่างๆ ได้ตามปกติ แต่ทั้งนี้สำหรับบางช่วงของการเดินทางก็อาจจะไม่มีสัญญาณนะครับ เพราะสัญญานนั้นมันขึ้นอยู่กับเครือข่ายของมือถือที่ทำการโรมมิ่งครับ
  9. เพื่อความปลอดภัย เราควรให้ทุกคนในทริปโหลด App WeChat ไว้ติดตัว เพราะเป็นโปรแกรมแชทที่ประเทศจีนนิยมใช้กันเป็นอย่างมาก รวมทั้งเรายังสามารถใช้งานโปรแกรมนี้ผ่าน Free Wifi ต่างๆ ในประเทศจีนได้ด้วย
  10. การขอ Visa เข้าประเทศจีนนั้น ค่อนข้างจุกจิกในเรื่องของเอกสารอยู่พอควร ดังนั้นถ้าใครอยากขอแล้วผ่านสบายๆ ในครั้งเดียว ไม่ต้องเดินทางไปขอหลายรอบก็สามารถอ่านวิธีการขอ Visa จีน ได้ที่นี่เลยครับ

ก็จบลงแล้วสำหรับบทความนี้ ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่ติดตามจนจบ หากสงสัยหรือต้องการข้อมูลอะไรก็สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก
Exit mobile version