สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผม นาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะพาทุกคนไปรู้จักกับเทศกาลหิมะของเมืองทาดามิ (Tadami) จังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) ครับ โดยเทศกาลหิมะของที่นี่นั้นทำให้ผมประทับใจและได้รับประสบการณ์หลายอย่างมากตั้งแต่ความสวยงามของพลุ, ความตระการตาของสิ่งก่อสร้างที่สร้างมาจากหิมะ, ความอร่อยของอาหาร รวมไปถึงความหนาวเย็นสุดขั้วที่หนาวไปจนถึงอุณหภูมิ Real Feel -16 องศาเซลเซียสกันเลย!!
สำหรับเทศกาลหิมะของเมืองทาดามิ หรือ Tadami Snow Festival นั้นถือเป็นเทศกาลใหญ่ประจำปีของจังหวัดฟุกุชิมะ โดยเค้าจะจัดงานทุกวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งในปีนี้ก็ตรงกับวันที่ 10 และ 11 กุมภาพันธ์ 2561 ครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากจังหวัดฟุกุชิมะ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
ในเรื่องของการเดินทางมายังเทศกาลหิมะแห่งนี้ หากเป็นในอดีตนั้นก็ง่ายแสนง่าย เพราะว่าสถานที่จัดงานจะอยู่ที่ข้างๆ กับสถานี Tadami เลยตามรูปนี้ คือเดินออกจากสถานี Tadami แล้วหันไปมองทางขวาก็จะเจอทางเข้างานทันที
หมายเหตุ : เมืองทาดามินอกจากจะเป็นเมืองที่มีความสวยงามทางธรรมชาติแล้วยังเป็นเมืองที่มีปริมาณหิมะตกเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นด้วย ดังนั้นเทศกาลหิมะของที่นี่จึงมีชื่อเสียงมากครับ
แต่เมื่อปี พ.ศ. 2554 จังหวัดฟุกุชิมะได้ประสบปัญหาภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ จนทำให้เส้นทางรถไฟสายทาดามิ (Tadami Line) ในช่วงสถานี Aizu-Kawaguchi จนถึงสถานี Tadami นั้นได้รับผลกระทบอย่างหนักจนไม่สามารถใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นสำหรับใครที่จะมาที่เมือง Tadami ในช่วงนี้ก็ต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Aizu-Kawaguchi ก่อน จากนั้นค่อยนั่งรถบัสต่อมาที่เมืองทาดามิครับ โดยรถบัสนี้จะเป็นรถบัสที่บริการทดแทนการวิ่งของรถไฟในช่วงที่เสียหาย ซึ่งเที่ยวรถบัสนั้นจะสัมพันธ์กับเวลาของรถไฟที่มาถึงที่สถานี Aizu-Kawaguchi อยู่แล้ว เช่น ถ้ารถไฟมาถึงตอน 10.00 น. รถบัสก็จะออกตอน 10.20 น. เป็นต้น ดังนั้นหากวันไหนที่รถไฟที่คุณนั่งมาที่สถานี Aizu-Kawaguchi นั้นเกิดปัญหาเรื่องดีเลย์ รถไฟล่าช้า คุณก็ไม่ต้องตกใจเพราะรถบัสจะจอดรอคุณอยู่ที่หน้าสถานีตามเดิมจนกว่ารถไฟจะมาถึง อย่างวันที่ผมไปนั้นก็เจอปัญหาเรื่องรถไฟล่าช้าไป 1 ชั่วโมง รถบัสก็ยังจอดรอขบวนรถไฟของผมอยู่ครับ
อ้อ สำหรับการนั่งรถบัสจากสถานี Aizu-Kawaguchi ไปยังสถานี Tadami นั้น จะใช้เวลาประมาณ 50 นาทีและมีค่าบริการ 500 เยน/คน แต่สำหรับคนที่ซื้อตั๋วรถไฟไปลงที่สถานี Tadami อยู่แล้วหรือมีบัตร Pass ต่างๆ ที่สามารถใช้งานกับรถ JR ได้ก็ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มในส่วนนี้ครับ และผมขอเตือนไว้นิดนึงว่าขนาดของรถบัสรับส่งนั้นไม่ได้ใหญ่เลย รวมถึงไม่มีที่เก็บของท้ายรถหรือด้านล่างของรถด้วย แถมบางเที่ยวอาจจะมีคนเดินทางไปกับเราเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเราจึงไม่ควรเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปครับ เราควรเลือกใช้เป็นเป้ หรือกระเป๋าเดินทางขนาด 20-25 นิ้วไปจะดีที่สุด หากใครเอาขนาด 28 นิ้วไปนี่อาจจะทุลักทุเล นั่งเบียดกันยาวๆ ได้ T_T
นี่เป็นภาพของสถานี Aizu-Kawaguchi ซึ่งเป็นสถานีที่เราต้องต่อรถบัสไปยังเมืองทาดามิครับ เป็นสถานีเล็กๆ มีร้านสะดวกซื้อขนาดย่อมที่แทบจะไม่มีของกินขาย, ห้องน้ำ, ตู้กดน้ำดื่มอัตโนมัติ แล้วก็มีร้านเบเกอรี่เล็กๆ ตรงข้ามสถานีครับ
บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อนั้นจะมีกระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่อยู่ โดยกระดานนี้จะเป็นกระดานที่ให้นักท่องเที่ยวจากชาติต่างๆ มาเขียนชื่อและแปะสติกเกอร์ลงในช่องที่ตรงกับประเทศของตัวเอง เพื่อที่จะได้ดูว่ามีนักท่องเที่ยวจากประเทศไหนมาเยอะที่สุดครับ โดยตอนนี้ประเทศที่นำลิ่วเลยก็คือไต้หวัน (Taiwan)
หลังจากที่ติดสติกเกอร์ประกาศศักดาประเทศของเราแล้ว สำหรับใครที่จะไปเมืองทาดามิต่อก็ขึ้นรถบัสได้เลย ส่วนใครที่อยากเที่ยวที่เมืองแห่งนี้ก่อนก็ยังไม่ต้องขึ้นรถครับ โดยที่นี่จะมีจุดชมวิวหมู่บ้าน Ooshi (โอโอชิ) ที่อยู่ห่างจากสถานีประมาณ 300 เมตร เป็นจุดชมวิวที่เราจะเห็นหมู่บ้านเล็กๆ เคียงคู่กับแม่น้ำและภูเขาครับ โดยจุดชมวิวนี้จะสวยงามมากในวันที่ไม่มีหิมะตกและสภาพอากาศดี เพราะถ้าเป็นวันที่หิมะตกตลอดทั้งวันแบบผมก็จะได้เห็นภาพเน่าๆ แบบนี้ล่ะครับ T_T
สำหรับใครที่จะไปจุดชมวิวหมู่บ้าน Ooshi นี้ก็ต้องทำใจอย่างนึงนะครับว่า แม้ระยะทางจากสถานีจะไม่ไกลมาก แต่ด้วยเวลาของรถบัสที่จะออกหลังจากที่รถไฟถึงสถานีไม่นาน ดังนั้นโอกาสที่เราจะเดินไปถ่ายรูปที่จุดชมวิวนี้แล้วกลับมาขึ้นรถบัสไปสถานีทาดามิให้ทันนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เราจึงต้องทำใจไว้ล่วงหน้าว่าเราอาจจะต้องนั่งรอยาวๆ ที่สถานีถึง 2-3 ชั่วโมง เพื่อรอรถบัสคันถัดไป และในช่วงฤดูหนาวนั้นที่เมืองแห่งนี้จะเงียบสงบมาก ร้านอาหารแทบจะไม่เปิดบริการ รวมถึงไม่มีอะไรขายเลยครับ T_T
ส่วนในเรื่องของการเดินไปยังจุดชมวิวนั้นก็ง่ายๆ เพียงแค่เราเดินออกจากสถานี Aizu-Kawaguchi แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปตามถนนเรื่อยๆ จนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ จากนั้นก็ให้เดินต่อไปอีกประมาณ 50 เมตรก็จะเห็นจุดชมวิวอยู่ด้านซ้ายมือเราครับ โดยใครที่มีสัมภาระติดตัวมาเยอะก็ไม่ต้องกังวลไปว่าจะเดินลำบาก เพราะเราสามารถฝากของทั้งหมดไว้ที่ร้านสะดวกซื้อในสถานี Aizu-Kawaguchi ได้ เค้าจะมีห้องเก็บของเล็กๆ ไว้บริการเราฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ ><
เอาล่ะ ตัดกลับมาที่การขึ้นรถจากสถานี Aizu-Kawaguchi ไปยังสถานี Tadami กันดีกว่า การนั่งรถนั้นจะใช้เวลาประมาณ 50 นาที รวมถึงมีการแวะจอดระหว่างทาง 2-3 ครั้ง ซึ่งหากใครที่ไปในช่วงฤดูหนาว ในระหว่างที่คุณนั่งรถไปก็จะเห็นทิวทัศน์สองข้างทางที่มีกองหิมะสูงท่วมหัวแบบนี้ล่ะครับ @_@
และนี่ก็คือภาพของสถานีทาดามิ (Tadami) ครับ เป็นสถานีขนาดเล็กเช่นกัน ภายในสถานีมีห้องน้ำ, ที่วางโบวร์ชัวร์ แล้วก็ร้านขายของเล็กๆ น้อยๆ โดยภายในร้านขายของแห่งนี้เราสามารถที่จะฝากกระเป๋าเดินทางและสัมภาระของเราไว้ได้นะครับ เราจะได้เดินเที่ยวงานได้อย่างสบาย เพียงแต่เราต้องอย่าเดินเพลินเพราะทางร้านจะปิดบริการตอน 20.00 น. และสำหรับใครที่เจออากาศหนาวด้านนอกมากๆ แล้วทนไม่ไหว ก็สามารถเข้ามาหลบในสถานีได้นะครับ บอกเลยว่ามันอุ่นกว่าข้างนอกเยอะมากกกกกก
เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนก็คงพร้อมแล้ว เราเข้าไปดูในงาน Tadami Snow Festival กันเลยดีกว่า เริ่มจากประตูทางเข้า และวิวด้านหน้า ซึ่งเราจะเห็นได้เลยว่าประตูและกำแพงของงานนั้นสูงมาก สูงแบบต๋งยืดแขนแล้วยังห่างอีกเยอะเลยครับ @_@
พอเข้าไปในงานแล้วเราก็จะเห็นสิ่งก่อสร้างจากหิมะมากมาย ตั้งแต่ตุ๊กตาแกะสลัก, บ้านเอสกิโม, ปราสาท, สไลเดอร์ และสนามเด็กเล่น โดยสิ่งก่อสร้างที่ทำจากหิมะเหล่านี้จะกระจายอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีกำแพงหิมะล้อมรอบ และมีร้านขายของกิน ร้านกิจกรรมละเล่นต่างๆ อยู่บริเวณริมกำแพง ซึ่งภาพพวกนี้มันเป็นภาพที่คนที่ไม่ค่อยได้เจอหิมะอย่างผมกับต๋งรู้สึกประทับใจจนต้องร้องว้าวออกมาดังๆ เลยครับ
สำหรับใครที่ไม่เคยเข้าบ้านเอสกิโมมาก่อน ผมอยากให้ทุกคนได้ลองเข้าไปดูซักครั้ง แล้วจะรู้ว่าบ้านที่สร้างจากหิมะทั้งหลังแบบนี้ มันดีและอุ่นกว่าอากาศข้างนอกมากกกกกก คือเข้าไปอยู่แล้วไม่อยากจะออกมาข้างนอกเลย มันอุ่นกว่ามาก T_T
แต่ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปในบ้านแต่ละหลังเนี่ย ผมแนะนำให้ดูให้ดีๆ ก่อนนะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวพอเลี้ยวเข้าไปแล้วอาจจะเจอแบบนี้ได้ ><
ส่วนนี่เป็นภาพของปราสาทหิมะและเวทีหลักของงานรวมถึงวิวรอบๆ โดยที่เวทีหลักแห่งนี้จะมีการแสดงต่างๆ มากมายตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงประมาณ 3 ทุ่มเลยครับ ใครสนใจอยากดูก็ไปดูโปรแกรมการแสดงที่บริเวณประตูทางเข้างานได้เลย ^^
ส่วนนี่เป็นภาพบรรยากาศของซุ้มรอบๆ งาน มีทั้งร้านขายน้ำ, เครื่องดื่ม, เล่นเกมส์, ที่นั่งพัก ไปจนถึงการให้เราชิมสาเกฟรีครับ การได้กินสาเกซักแก้วในภาวะที่อากาศหนาวมากๆ มันช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากเลย ><
สำหรับราคาอาหารในงานโดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 500 เยน เรื่องรสชาตินั้นอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนความหลากหลายนั้นสอบผ่านเลยครับ มีให้เลือกทานหลายอย่างมาก
และหลังจากที่พระอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้าไปในช่วงประมาณ 18.00 น. ท้องฟ้าก็เริ่มมืด ลมพายุเริ่มแรงขึ้น หิมะก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งสายตาเราก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย และในที่สุดอุณภูมิรอบๆ ตัวเราก็ลดลงไปต่ำกว่า -10 องศาเซลเซียส จนทำให้เราทั้งสองคนไม่สามารถยืนอยู่ในที่โล่งได้ ต้องรีบวิ่งเข้าไปหลบในบ้านเอสกิโมจึงพอจะทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นครับ
และถ้าถามว่าทำไมเราต้องทนหนาวถึงขนาดนั้น ทนไปเพื่ออะไร ภาพข้างล่างเหล่านี้คือคำตอบครับ เพราะในช่วงเวลา 21.00 น. – 21.30 น. ของงาน Tadami Snow Festival นั้น จะมีการจุดพลุขนาดใหญ่และสวยงามขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นจำนวนมาก โดยการจุดพลุของที่นี่ถือเป็นการจุดพลุที่สวยงาม อลังการเต็มฟ้าที่สุดเท่าที่ผมกับต๋งเคยเห็นในชีวิตเลย พลุหลากหลายสี หลากหลายรูปแบบถูกยิงขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่องแทบจะตลอดทั้ง 30 นาที มันเป็นการดูพลุที่ทำให้พวกเรารู้สึกฟินมากและรู้สึกคุ้มค่าสุดๆ ที่ตัดสินใจมาที่งานนี้ครับ
สำหรับใครที่อ่านแล้วคิดว่าผมกับต๋งพูดเว่อร์ โม้เกินจริง รูปที่ถ่ายมาด้านบนก็งั้นๆ ไม่เห็นสวยซักเท่าไหร่เลย ผมก็ต้องยอมรับตามตรงว่าผมถ่ายมาได้ไม่ถึงเศษเสี้ยวความสวยของพลุในวันนั้นเลย เพราะมันเป็นการถ่ายรูปที่ลำบากมากทั้งสภาพอากาศที่หนาว, ลมแรงและมีพายุหิมะพัดเป็นระยะ ที่สำคัญขนาดของพลุในงานวันนั้นใหญ่มากจริงๆ ครับ ใหญ่มากจนเต็มท้องฟ้าครอบคลุมทั้งบริเวณงานเลย
ก็เอาเป็นว่าใครที่ไม่เชื่อก็ลองดูคลิปด้านท้ายรีวิวนี้เพิ่มก็ได้ครับ เผื่อจะได้เห็นความอลังการของพลุที่นี่มากขึ้น โดยใครที่ดูแล้วสนใจอยากจะมางานเทศกาลหิมะของที่นี่ซักครั้งก็จดไว้เลยว่าเสาร์-อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ที่นี่จะมีงาน Snow Festival ครับ และถ้าใครวางแผนตั้งใจจะมางานนี้แล้วแต่ยังไม่รู้ว่าจะพักค้างคืนที่ไหนดีผมแนะนำให้ลองไปพักที่ Yunoyado Matsuya นะครับ ที่พักดีและใหม่มากๆ เลยครับ
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ ส่วนใครที่อยากจะติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิดก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้