สวัสดีทุกคนครับ หลังจากที่ผมได้เคยพาทุกคนไปรู้จักกับไลน์บุฟเฟ่ต์ของห้องอาหาร Cuisine Unplugged (ควิซีน อันปลั๊ก) โรงแรม Pullman Bangkok King Power (โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ) ถ.รางน้ำ ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องอาหารประเภทซีฟู้ดและบาร์บีคิวตามลิงก์นี้ไปกันแล้ว
พอปีนี้ทางห้องอาหารแห่งนี้เค้าได้มีการปรับโฉมไลน์บุฟเฟ่ต์ใหม่ โดยมีการปรับเปลี่ยนหลายๆ เมนู ผมก็เลยจะขอพาทุกคนไปตะลุยเจาะลึกไลน์บุฟเฟ่ต์ของห้องอาหารแห่งนี้กันอีกรอบครับ โดยจุดเด่นของไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารทะเลใหม่นี้ตามความคิดของผมก็มีดังนี้เลย
บรรยากาศของห้องอาหารดี มีที่นั่งเยอะ เพดานสูง และสามารถรองรับคนได้มากกว่า 150 คน
มีอาหารให้เลือกทานเยอะ โดยเฉพาะอาหารประเภทซีฟู้ดและบาร์บีคิว โดยรอบนี้เค้าจัดมาให้เราทั้งขาปูอลาสก้า, หอยนางรมฟิน เดอ แคลร์, หอยนางรมนอร์มังดี, หอยนางรมแปซิฟิก, กั้งทะเล, กุ้งแม่น้ำ, ปูม้า, ปูสีน้ำตาล, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์, หอยหวาน, กุ้งแดง, เนื้อวากิว, เนื้อโทมาฮอว์ค, เนื้ออาซาโด้, เนื้อแกะ, ซี่โครงหมู, หมูหัน, เนื้อไก่ออร์แกนิค, ปลาหมึก และปลากะพงเลยครับ เรียกว่าจัดเต็มมากๆ เพราะนี่ยังไม่รวมกับอาหารประเภทอื่นๆ และของหวานที่เค้ามีบริการอีกนับสิบเลยครับ!!
ทำเลที่ตั้งโรงแรมค่อนข้างดี อยู่ไม่ห่างจากรถไฟฟ้า BTS มากนัก และมีบริการรถรับส่งฟรีด้วย
สามารถนั่งทานได้นาน โดยใครที่ไปตั้งแต่ห้องอาหารเปิด จะสามารถนั่งทานได้ถึง 4 ชั่วโมง 30 นาทีเลยครับ
ประเภทอาหารในแต่ละวันจะเหมือนกันทั้งหมดตั้งแต่วันจันทร์ – วันอาทิตย์ ดังนั้นใครอยากจะไปกินวันไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาคอยจัดคิวไปกินเฉพาะวันศุกร์หรือวันเสาร์ เหมือนกับหลายๆ ที่
ราคาน่าสนใจและมีราคาเท่ากันทุกวัน โดยราคาปกติสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 1,599 บาท/คน net รวมชา กาแฟ และน้ำเปล่า 1 ขวด แต่สำหรับใครที่จองผ่านลิงก์นี้ http://bit.ly/2CSuxJp จะได้รับสิทธิ์ทานในราคาลดพิเศษ 30% เหลือเพียง 1,119 บาท/คน net เท่านั้น ใครที่สนใจก็รีบจองเลยนะครับ เพราะโปรโมชั่นนี้เค้าจัดถึงแค่วันที่ 31 ธ.ค. 62 เท่านั้น
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
เอาล่ะครับ หลังจากที่เรารู้จุดเด่นคร่าวๆ ของไลน์บุฟเฟ่ต์ห้องอาหาร Cuisine Unplugged ไลน์ใหม่นี้กันนี้แล้ว คราวนี้เราไปดูรายละเอียดอื่นๆ กันต่อเลยดีกว่า โดยผมจะขอเริ่มจากเรื่องของการเดินทางก่อนเลยนะครับ ห้องอาหาร Cuisine Unplugged นั้นจะตั้งอยู่ที่ชั้น G ของโรงแรม Pullman Bangkok King Power ถ.รางน้ำ ซึ่งจะอยู่ในพื้นที่เดียวกับ King Power Complex แหล่งช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษียอดนิยมของคนไทยนั่นเองครับ โดยใครที่ขับรถส่วนตัวมานั้นก็สามารถดูแผนที่ด้านล่างนี้หรือตาม Google Map มาได้เลยครับ เส้นทางการเดินทางไม่ยากมาก ส่วนเรื่องที่จอดรถนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะที่จอดรถของเค้านั้นมีค่อนข้างเยอะเลยครับ
ส่วนใครที่ไม่มีรถส่วนตัวก็สามารถเดินทางมาที่ห้องอาหารแห่งนี้ได้อย่างไม่ลำบากมากนัก เพราะเราสามารถนั่งรถ BTS ไปลงที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นก็เดินไปนั่งรถตุ๊กๆ ที่ด้านข้างของห้าง Century The Movie Plaza ได้เลยครับ ทางโรงแรม Pullman Bangkok King Power เค้าจะมีรถบริการฟรีจากจุดนี้ไปยังโรงแรม โดยจะเริ่มบริการตั้งแต่เวลา 7.00 น. จนถึง เวลา 23.00 น. ใครที่ไม่อยากเดินหรือมีสัมภาระเยอะก็สามารถไปใช้บริการฟรีได้เลย แต่ถ้าใครอยากจะเดินออกกำลังกายไปเรื่อยๆ ก็สามารถเดินไปเองได้ครับ จาก BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังโรงแรมจะมีระยะทางประมาณ 300-400 เมตร เรียกว่าไม่ไกลมาก เดินแป้บเดียวก็ถึงแล้ว
และนี่ก็คือหน้าตาของห้องอาหาร Cuisine Unplugged ครับ ห้องอาหารแห่งนี้จะอยู่ที่ชั้น G ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับ Lobby เลย ลักษณะของห้องอาหารโดยรวมจะเป็นห้องอาหารที่เพดานสูง มีการจัดวางโต๊ะที่ดี ไม่ติดหรือใกล้กันจนเกินไปนัก แล้วก็มีที่นั่งให้เลือกหลากหลายแบบทั้งโซฟา, โต๊ะกลม, โต๊ะสี่เหลี่ยม ใครที่ชอบที่นั่งสไตล์ไหนก็สามารถแจ้งทางพนักงานได้เลยครับ
ส่วนในเรื่องของราคาและการเปิดบริการของไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารทะเลไลน์ใหม่ของห้องอาหาร Cuisine Unplugged ก็มีตามนี้เลยครับ
วันที่เปิดบริการ : ทุกวัน
เวลาที่เปิดบริการ : 18.00 น. – 22.30 น.
ราคาผู้ใหญ่ : 1,599 บาท/ คน net รวมน้ำเปล่า 1 ขวดและชา กาแฟ
ราคาเด็กอายุ 0 – 5 ปี : รับประทานฟรี
ราคาเด็กอายุ 6-11 ปี : ลด 50% จากราคาเต็ม
ราคาเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป : คิดราคาเดียวกับผู้ใหญ่
โดยตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ทางห้องอาหาร Cuisine Unplugged จะมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาพิเศษ 30% สำหรับผู้ที่ทำการจองผ่านลิงก์นี้ http://bit.ly/2CSuxJp ด้วยครับ โดยราคาสำหรับผู้ใหญ่จะเหลืออยู่เพียงคนละ 1,119 บาท net เท่านั้น ใครที่สนใจไปทานในช่วงนี้ก็อย่าลืมจองผ่านลิงก์ด้วยนะครับ จะได้ประหยัดเงินในกระเป๋าของเรา ^^
ซึ่งจากราคาและรายละเอียดใหม่นี้ เราจะเห็นว่าหากเปรียบเทียบกับไลน์เดิมที่ผมเคยเขียนรีวิวเมื่อปีที่ผ่านมา ราคาของไลน์บุฟเฟ่ต์ใหม่จะปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม 70 บาท/คน (เปรียบเทียบที่ราคาลด 30%) แต่สิ่งที่ได้มาเพิ่มคือน้ำเปล่าคนละ 1 ขวด และอาหารต่างๆ ที่เปลี่ยนไปครับ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมว่าส่วนต่างราคา 70 บาท/คน ที่เพิ่มขึ้นมานั้นเป็นอะไรที่คุ้มมากนะครับ เพราะอาหารที่เค้าเพิ่มมานั้นก็มีหลายอย่างเลย โดยเฉพาะโซน Seafood on ice ที่เค้าจัดเต็มมาก
ผมให้ดูหน้าตาน้ำเปล่าที่ทางห้องอาหารจะให้เราคนละขวดก่อนนะครับ จะเป็นน้ำเปล่าขนาด 500 มิลลิลิตร ซึ่งหากใครทานแล้วไม่พอ ขวดอื่นๆ หลังจากนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ หรือหากใครคิดว่าไม่เป็นไรไม่ต้องกินน้ำเปล่าก็ได้ ทางห้องอาหารก็จะมีชากาแฟให้เราทานฟรีไม่อั้นอยู่ โดยเราสามารถเดินไปกดเองได้เลย ตู้กดชากาแฟนี้จะอยู่บริเวณเดียวกับไลน์ของหวานครับ
เอาล่ะครับ คราวนี้เรามาดูประเภทอาหารที่มีในไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารทะเลนี้กันดีกว่า ทุกคนจะได้เห็นและตัดสินใจด้วยตัวเองว่ามันแตกต่างจากไลน์เดิมตรงไหนบ้าง และมันคุ้มค่าตามที่ผมบอกหรือเปล่า โดยผมขออนุญาตแบ่งประเภทอาหารของไลน์บุฟเฟ่ต์นี้ออกเป็นทั้งหมด 7 หมวด ตามนี้นะครับ
หมวดที่ 1 : Seafood on ice
หมวดที่ 2 : บาร์บีคิว
หมวดที่ 3 : อาหารญี่ปุ่น
หมวดที่ 4 : สลัดและ Cold Cuts
หมวดที่ 5 : ขนมปังและชีส
หมวดที่ 6 : อาหารอื่นๆ
หมวดที่ 7 : ของหวาน, ผลไม้ และไอศกรีม
เริ่มจากหมวดแรก “Seafood on ice” หมวดที่ผมว่าเค้ามีปรับเปลี่ยนขึ้นมาจากเดิมได้ดีหมวดนึงเลยครับ โดยรอบนี้อาหารที่เค้ามีให้บริการก็ได้แก่ ขาปูอลาสก้า, หอยนางรมฟิน เดอ แคลร์, หอยนางรมนอร์มังดี, หอยนางรมแปซิฟิก, กั้งทะเล, ปูม้า, ปูสีน้ำตาล, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์, หอยหวาน และกุ้งแดง ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือคราวนี้มีขาปูอลาสก้าในไลน์, มีการเปลี่ยนกุ้งก้ามแดงเป็นกุ้งแดง และมีการเพิ่มหอยนางรมนอร์มังดีเข้าไปอีกหนึ่งชนิดครับ โดยการเปลี่ยนแปลงนี้สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีหมดเลย เนื่องจากขาปูอลาสก้าที่เค้ามีบริการในไลน์นั้นมีคุณภาพที่ดี ขนาดใหญ่ และมีความสด ส่วนกุ้งแดงนั้นก็เป็นอะไรที่พวกเราคนไทยคุ้นเคย แกะทานง่าย รสชาติถูกปากกว่ากว่ากุ้งก้ามแดง และการที่มีหอยนางรมเพิ่มขึ้นมาจาก 2 ชนิดเป็น 3 ชนิดก็ทำให้หลายๆ คนที่ชอบทานหอยนางรมประทับใจในการทานมากขึ้นครับ
นี่เป็นหน้าตาของขาปูอลาสก้าครับ ขนาดใหญ่ แกะทานง่าย แล้วก็มีความสดอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลย
ส่วนนี่เป็นหอยนางรม 3 สายพันธุ์ ฟิน เดอ แคลร์, นอร์มังดี และแปซิฟิก ใครชอบแบบไหนก็จัดไปครับ ทางห้องอาหารเค้ามีการจัดน้ำจิ้มและเครื่องเคียงไว้ให้เราครบเลย โดยจากที่ผมกับต๋งได้ลองทานมาทั้งหมดประมาณ 10 ตัว ผมว่าขนาดของหอยนางรมทั้ง 3 สายพันธุ์นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีหมดเลย แต่ในเรื่องของความสดผมให้อยู่ในระดับกลางๆ ครับ
และนี่เป็นหน้าตาของอาหาร Seafood on ice ประเภทอื่นๆ ที่เหลือครับ ผมว่าความสดและรสชาติของอาหารส่วนใหญ่นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลย ยกเว้นปูม้ากับปูสีน้ำตาลที่ผมคิดว่าความสดของสองรายการนี้ค่อนข้างด้อยกว่าเพื่อน และด้วยความที่มันสดด้อยกว่าเพื่อนแถมยังแกะทานยากอีก ดังนั้นผมกับต๋งก็เลยหันไปทานอย่างอื่นที่มันแกะง่ายกว่า รสชาติถูกปากกว่าอย่างกั้ง, กุ้งแดง, หอยนางรม, หอยหวาน และหอยแมลงภู่แทนครับ ><
ผมให้ดูขนาดของกั้งและปูสีน้ำตาลครับ ขนาดจะอยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางใหญ่ โดยกั้งบางตัวจะมีไข่ด้วยนะครับ
ส่วนในเรื่องของน้ำจิ้มซีฟู้ดนั้น เค้าจะมีให้บริการทั้งหมด 2 แบบ คือ แบบที่เป็นสีส้มและแบบที่เป็นสีเขียว รสชาติของทั้งสองแบบจะต่างกันพอควร โดยสีส้มจะออกหวานกว่า ส่วนสีเขียวจะออกเปรี้ยวและเผ็ดกว่า แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้เผ็ดมากมายนะครับ อยู่ในระดับที่กำลังกินได้เรื่อยๆ ไม่ถึงขั้นกับออกอาการซี้ดซ้าดอะไร
ก็เป็นอันจบหมวดแรก Seafood on ice นะครับ รวมๆ แล้วหมวดนี้ผมว่าคนที่ชอบทานหอยนางรม, ขาปูอลาสก้า, กั้ง, หอยแมลงภู่, กุ้งแดง น่าจะถูกใจกันพอควร ส่วนคนที่อยากจะทานปูม้าและปูสีน้ำตาลก็อาจจะต้องไปดูเรื่องความสดของเค้าอีกที หากเจอตัวสดๆ ก็น่าจะทำให้ฟินพอควรครับ
มาต่อกันที่หมวดที่สอง “ บาร์บีคิว” โดยในหมวดนี้เค้าจะมีการวางอาหารไว้ทั้งหมด 2 จุดนะครับ จุดแรกจะเป็นจุดที่ทางห้องอาหารเค้าปรุงเสร็จไว้เรียบร้อยแล้ว ใครอยากทานอะไรก็สามารถคีบใส่จานแล้วนำไปทานที่โต๊ะตัวเองได้เลย โดยจุดนี้จะอยู่ใกล้ๆ กับไลน์อาหารจานร้อน (Hot Dish) แล้วก็พาสต้า ซึ่งวันที่ผมไปนั้นเค้าจะมีเนื้อโทมาฮอว์คจากออสเตรเลีย, ไก่ออร์แกนิค, ซี่โครงหมู, เนื้อวากิว แล้วก็เนื้อแกะจากนิวซีแลนด์ไว้บริการครับ
มาดูกันที่เนื้อโทมาฮอว์คจากออสเตรเลีย, ไก่ออร์แกนิค และซี่โครงหมูก่อนนะครับ เพราะทั้ง 3 รายการนี้จะถูกจัดวางไว้รวมกันเลย โดยในเรื่องของรสชาตินั้นผมชอบทั้งเนื้อโทมาฮอว์คแล้วก็เนื้อไก่ออร์แกนิคครับ รสชาติดีถูกปากผมทั้งคู่ เนื้อโทมาฮอว์คนั้นทางเชฟเค้าย่างมาได้กำลังพอดี สีสวยน่าทาน ส่วนไก่นั้นก็นุ่มทานง่าย แต่ในส่วนของซี่โครงหมูนั้นผมรู้สึกว่ามันขาดความหอมไปหน่อยแล้วก็เนื้อยังไม่ค่อยเปื่อยเท่าที่ควร หากทำให้ลงตัวกว่านี้ได้น่าจะทำให้หลายๆ คนถูกปากมากขึ้นครับ
ต่อมาเรามาดูเนื้อวากิว กับเนื้อแกะจากนิวซีแลนด์กันดีกว่าครับ โดยสองเมนูนี้จะถูกวางไว้ใกล้ๆ กับสามเมนูที่ผ่านมา เพียงแต่สองเมนูนี้จะเป็นเมนูที่ทางเชฟเค้าทำใหม่ๆ ณ ตอนนั้นแทบทุกจานครับ การจัดวางจานมีความสวยงามและดูน่ารับประทาน ส่วนในเรื่องของรสชาตินั้นเมนูเนื้อวากิวมีรสชาติที่ดี อร่อยถูกปากผมมากครับ เนื้อนุ่มมาก มีความหนากำลังดี ใครที่ชอบทานเนื้อนุ่มๆ น่าจะถูกใจกันพอควรเลย
แต่ในส่วนของเนื้อแกะนิวซีแลนด์นั้น ผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ครับ ผมรู้สึกว่าเนื้อเหนียวไปนิดแล้วก็มีกลิ่นของเนื้อแกะพอประมาณ ใครที่ไม่ได้เป็นคนที่ชอบทานเนื้อแกะน่าจะไม่ถูกใจซักเท่าไหร่ครับ แต่ถ้าใครเป็นคนที่ชอบทานเนื้อแกะอยู่แล้วก็ลองหยิบมาทานดูก่อนก็ได้ครับ ขนาดของชิ้นกำลังดี ไม่ใหญ่มาก และมีเนื้อให้ทานพอประมาณเลย
ดูจุดแรกของอาหารประเภทบาร์บีคิวกันเสร็จแล้ว คราวนี้เรามาดูจุดที่สองของอาหารหมวดนี้กันดีกว่า โดยจุดที่สองนี้ทางห้องอาหารจะมีการแยก Stand Alone ออกมาต่างหาก และจะวางไว้ที่บริเวณทางเข้าออกของห้องอาหารเลย ซึ่งที่จุดนี้เราจะต้องคีบเอาอาหารที่เราอยากทานใส่จานและยื่นให้พนักงานพร้อมกับหมายเลขโต๊ะของเรา จากนั้นทางพนักงานก็จะนำไปย่างและนำไปเสิร์ฟเราที่โต๊ะอีกทีครับ โดยระยะเวลาในการรอจะอยู่ที่ประมาณ 10-20 นาที แล้วแต่ปริมาณของคนที่มาใช้บริการในตอนนั้น ซึ่งในรอบนี้ในจุดที่สองนี้เค้าจะมีเนื้อให้เราเลือกทานอยู่ทั้งหมด 5 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ เนื้อวากิวออสเตรเลีย, เนื้ออาซาโด้, ปลาหมึก, ปลากะพง และกุ้งแม่น้ำ
ภาพนี้คือภาพของเนื้ออาซาโด้ครับ โดยเนื้อส่วนนี้จะเป็นเนื้อวัวส่วนซี่โครงที่ย่างสไตล์ลาติน โดยทางห้องอาหาร Cuisine Unplugged ได้มีการนำเนื้อส่วนนี้เข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ใครที่ไม่เคยทานเนื้อชนิดนี้มาก่อนก็ลองชิมดูนะครับ แต่โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่ เพราะลักษณะของเนื้อส่วนนี้จะมีความเป็นเอ็นนิดๆ ทำให้เคี้ยวยากและมีความเหนียวกว่าเนื้อวากิวออสเตรเลีย แต่ถ้าใครที่ชอบทานเนื้อที่มีสไตล์แบบนี้ มีความเด้งสู้ฟันนิดๆ ก็น่าจะชอบครับ
สำหรับอาหารในจุดที่สองนี้ผมได้ลองชิมไปแค่ 3 อย่างนะครับ คือเนื้อวากิวออสเตรเลีย, เนื้ออาซาโด้ แล้วก็กุ้งแม่น้ำ ส่วนปลาหมึกกับปลากะพงนั้นผมไม่ได้ลองทานเลยครับ
รสชาติของเนื้อวากิวออสเตรเลียที่เค้าย่างมานั้นผมว่ามันค่อนข้างแข็งและแห้งไปนิด รวมทั้งขนาดของเนื้อนั้นก็มีความบางจนเกินไป หากทางห้องอาหารสามารถปรับให้เนื้อมีความหนามากกว่านี้อีกหน่อยผมว่ามันน่าจะทำให้ทานแล้วรู้สึกนุ่มขึ้นครับ เพราะจริงๆ แล้วคุณภาพของเนื้อนั้นก็อยู่ในระดับที่ดีอยู่แล้ว ส่วนเนื้ออาซาโด้นั้นจะมีขนาดและความหนาที่มากกว่าพอควร แต่ด้วยลักษณะของเนื้อประเภทนี้ที่มีเอ็นผสมอยู่ ก็จะทำให้เวลาที่เราทานมันจะรู้สึกไม่นุ่มหรือเคี้ยวง่ายเหมือนเนื้อส่วนอื่นๆ ครับ
ส่วนกุ้งแม่น้ำนั้นเป็นอะไรที่ผมว่าทางห้องอาหาร Cuisine Unplugged ทำออกมาได้ดีมากครับ ขนาดของกุ้งใหญ่ ความสดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และการนำไปเผาของเชฟก็ทำได้ดีครับ โดยเมนูนี้เป็นเมนูที่ผมกับเพื่อนๆ ปลื้มมาก วันนั้นผมไปทานกันทั้งหมด 6 คน น่าจะจัดกุ้งแม่น้ำเผานี้กันไปเกือบ 60 ตัวได้ครับ และจากที่กินไปเยอะขนาดนี้ผมอยากจะบอกว่า 95% ของกุ้งแม่น้ำที่พวกผมกินไปนั้นถือว่ากุ้งมีความสดที่ดีถึงดีมากเลยครับ
ใครที่ชอบทานกุ้งแม่น้ำเผาก็เดินไปสเตชั่นนี้ได้เลย สั่งมาทีละ 10-15 ตัว จากนั้นก็แกะเปลือกจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บๆ เมาท์มอยกับเพื่อนไปเรื่อยๆ ครับ ^^
อ้อ…..ผมลืมไป ที่ห้องอาหารแห่งนี้เค้าจะมีการนับเอาหมูหันเป็นหนึ่งในอาหารที่อยู่ในหมวดบาร์บีคิวด้วยครับ โดยเมนูหมูหันนี้จะถูกวางไว้ใกล้ๆ กับพิซซ่าและก๋วยเตี๋ยว ใครที่อยากทานก็เดินไปตักได้นะครับ เพราะน้อยที่เหมือนกันที่จะมีหมูหันแบบนี้ให้ทานในไลน์บุฟเฟ่ต์ โดยในเรื่องรสชาตินั้นผมให้อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ค่อนไปทางดีครับ
ต่อกันที่หมวดที่สาม “ อาหารญี่ปุ่น” ที่หมวดนี้จะมีซูชิ, ซาชิมิ, แซลมอน คาปาชโช่ (Salmon Carpaccio) แล้วก็ยำสาหร่ายให้เราทาน ในส่วนของซาชิมินั้นจะมีแซลมอน, ทูน่า, ซาบะ, ปลาหมึกยักษ์, ปูอัด และไข่หวาน ส่วนซูชินั้นก็มีประมาณ 5-6 อย่างครับ
ในเรื่องคุณภาพและรสชาติของอาหารในหมวดนี้ถ้าเทียบกับครั้งที่แล้วที่ผมได้มาทานนั้น ผมว่ารอบนี้คุณภาพดีขึ้นอย่างรู้สึกได้เลยนะครับ โดยเฉพาะแซลมอนและทูน่าซาชิมิรสชาติดีถูกปากผมขึ้นมาก ใครที่ชอบทานปลาดิบสองชนิดนี้น่าจะถูกใจกันพอควร ส่วนอีกเมนูนึงที่ผมไม่อยากให้ทุกคนพลาดก็คือแซลมอน คาปาชโช่ เพราะนี่เป็นเมนูที่เราจะไม่ค่อยได้เจอในไลน์บุฟเฟ่ต์ที่ไหนครับ
มาดูหมวดที่สี่ “ สลัดและ Cold Cuts” กันต่อ โดยครั้งที่แล้วนั้นผมได้มีโอกาสลองทานอาหารประเภท Cold Cuts ของเค้าไป รสชาติที่ได้ชิมถือว่าดีเลย แต่ในส่วนของสลัดนั้น ผมกับต๋งไม่ได้หยิบมาทานเลยครับ ส่วนในรอบนี้นั้นอาหารในหมวดนี้ผมกับต๋งไม่ได้หยิบอะไรมาทานซักอย่างเลย เนื่องจากเราทั้งคู่อิ่มกับเนื้อและอาหารอื่นๆ จนแน่นท้องไปหมด @_@
แต่อย่างไรก็ตามจากที่ผมได้ลองเดินสำรวจดูก็พบว่าหน้าตาอาหารในหมวดนี้ของเค้ายังดูดีน่าทานเหมือนเดิม ผักสด ดูสะอาดสะอ้าน ส่วนน้ำสลัดก็มีให้เลือกทานหลายอย่างดีครับ
นี่เป็นหน้าตาของ Cold Cuts ครับ วันนั้นในไลน์จะมีทั้งหมด 5 อย่างด้วยกัน ได้แก่ เบียร์แฮม, พาร์ม่าแฮม, คอปเปอร์แฮม, เปปโปโรนีหมู และไก่ม้วน ใครที่ชอบทานอาหารประเภทนี้ลองหยิบมาทานดูนะครับ รอบก่อนหน้านี้ที่ผมเคยชิมรสชาติแต่ละอย่างนั้นถือว่าโอเคเลย
หมวดที่ห้า “ ขนมปังและชีส” หมวดนี้เป็นอีกหนึ่งหมวดที่ผมกับต๋งไม่ได้ยิบอะไรมาลองทานเลย ดังนั้นผมก็เลยไม่ขอออกความเห็นเรื่องรสชาตินะครับ แต่อย่างไรก็ตามเท่าที่ได้เดินดูมาก็พบว่าขนมปังเค้ามีหลายชนิดดี แต่ละอย่างก็ดูแล้วน่าทาน ส่วนชีสนั้นก็มีให้เลือกทาน 4-5 ชนิด ใครที่ชอบทานอาหารประเภทนี้ก็ลองแวะไปหยิบมาชิมดูนะครับ
เข้าสู่หมวดที่หก “ อาหารอื่นๆ” อาหารในหมวดนี้จะมีหลากหลายประเภทแล้วก็จะอยู่กระจัดกระจายหลายโซนนิดนึงนะครับ โดยในวันที่ผมไปทานนั้นเค้าจะมีอาหารประเภท Hot Dish, พิซซ่า, พาสต้า, ส้มตำ, ซุป แล้วก็ก๋วยเตี๋ยวให้เราทานครับ
เริ่มจาก Hot Dish หรืออาหารจานร้อนกันก่อนเลย วันที่ผมไปนั้นเค้าจะมีเป็ดย่างกับซอสเห็ด, ไก่อบซอสกะหรี่, ทะเลผัดผงกะหรี่, เนื้อผัดพริกไทยดำ, มัสมั่นไก่, กะหล่ำผัดน้ำปลา แล้วก็ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ซึ่งจะเห็นว่าอาหารในวันนี้ดูจะเน้นไก่เป็นพิเศษเลย รสชาติโดยรวมนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ โดยเมนูที่ผมชอบที่สุดก็คือมัสมั่นไก่, ทะเลผัดผงกะหรี่ แล้วเนื้อผัดพริกไทยดำ มัสมั่นนั้นรสชาติเผ็ดจัดจ้านดี ทะเลผัดผงกะหรี่ก็เนื้อเยอะและสด ส่วนเนื้อผัดพริกไทยดำนั้นเนื้อมีความนุ่มมากกกกก นุ่มจริงๆ และถ้าผมเดาไม่ผิดเค้าน่าจะใช้เนื้อชนิดเดียวกับที่ทำเป็นบาร์บีคิวเสิร์ฟเป็นจานๆ ครับ เพราะความนุ่มและรสชาติของเนื้อนั้นมีความใกล้เคียงกันมาก
ต่อกันด้วยพิซซ่ากับพาสต้า แม้อาหารสองอย่างนี้จะเป็นอาหารชาติเดียวกันแต่เค้ามีการวางไว้คนละที่นะครับ พิซซ่าจะอยู่ข้างๆ กับหมูหัน มีให้เลือกทั้งหมด 4 หน้า ลักษณะของแป้งจะเป็นแบบบางกรอบ รสชาติกลางๆ ไม่ได้เด่นอะไรมาก แต่หากได้มีโอกาสไปหยิบตอนที่เค้าพึ่งทำเสร็จออกจากเตาใหม่ๆ รสชาติจะดีและถูกปากกว่าพอควร เพราะพอทิ้งไว้นานๆ แป้งจะเริ่มมีความแข็งและแห้งขึ้นเรื่อยๆ ครับ
ส่วนนี่เป็นพาสต้าครับ จะมีเส้นกับซอสให้เลือกแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น รอบแรกผมสั่งเป็นเฟตตูชินีคาโบนาร่ามา ผลปรากฏว่าเชฟเค้าทำมาน้ำนองมาก แถมรสชาติยังไม่มัน ไม่เข้มข้นเท่าที่ควรด้วย T_T เพื่อนผมก็เลยลองไปสั่งใหม่เป็นสปาเกตตี้ผัดพริกแห้ง ซึ่งรอบหลังนี้รสชาติดีขึ้น แต่โดยรวมๆ แล้วก็ยังไม่ได้เด่นอะไรมาก รสชาติต่างๆ ยังไม่เข้มข้น ไม่เข้าถึงเส้นเท่าไหร่ครับ
ใครที่อยากจะทานอาหารประเภทพาสต้าก็ลองสั่งมาชิมทีละจานพอนะครับ เพราะขนาดของแต่ละจานนั้นก็ถือว่าใหญ่พอควรเลย เดี๋ยวสั่งมาหลายจานแล้วจะทานไม่หมด @_@
ส่วนนี่เป็นก๋วยเตี๋ยวและซุปครับ ในส่วนของก๋วยเตี๋ยวนั้นผมไม่ได้ลองทานเลย ส่วนซุปนั้นวันนั้นเค้ามีทั้งหมด 2 อย่างคือ ซุปเห็ดทรัฟเฟิล และแกงจืดหมูกุ้งสาหร่าย ต๋งได้ลองตักซุปเห็ดทรัฟเฟิลมาลองทาน รสชาติยังไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่ เพราะมันเข้มข้นและครีมมี่น้อยไปนิดนึงครับ
ปิดท้ายอาหารในหมวดนี้กันด้วยส้มตำและผองเพื่อนครับ โดยอาหารประเภทนี้จะอยู่ข้างๆ กับ Seafood on ice และในส่วนของส้มตำนั้นจะมีพนักงานยืนตำอยู่ ณ ตรงนั้นเลย มีทั้งหมด 3 ชนิดด้วยกัน รสชาติอยู่ในระดับกลางๆ คือ ไม่ได้เน้นที่รสจัดหรือเผ็ดมาก ดังนั้นหลายๆ คนก็น่าจะสามารถทานได้ครับ
นอกจากนี้ที่จุดนี้เค้ายังมีลาบและยำต่างๆ รวมถึงข้าวเหนียวไว้บริการด้วยนะครับ ใครที่ชอบทานอาหารประเภทนี้ก็ลองแวะเวียนมาได้ โดยวันนั้นผมค่อนข้างประทับใจลาบหมูกับตำมะม่วงปลากรอบที่สุดครับ
เอาล่ะครับ ตอนนี้เราก็ดูในส่วนของอาหารคาวกันไปครบหมดแล้ว ต่อไปเราไปดูในส่วนของ “ ของหวาน, ผลไม้ และไอศกรีม” กันดีกว่า โดยในหมวดนี้ทางห้องอาหาร Cuisine Unplugged จัดมาให้เราทานกันเยอะเลยครับ ของหวานต่างๆ ที่มีให้ทานจะประกอบไปด้วยช็อคโกแลต ฟองดู, เค้กมะพร้าว, เค้กสตรอเบอร์รี่, คาราเมลคัสตาร์ด, ทาร์ตบลูเบอร์รี่, ทิรามิสุ, เค้กแครอท, แพนเค้ก, คุกกี้ แล้วก็เค้กอีก 4-5 ชนิด โดยของหวานแต่ละอย่างหน้าตาดูดีและน่าทานมากครับ
ส่วนในเรื่องของรสชาตินั้น จากที่ผมกับต๋งได้หยิบมาลองทานประมาณ 60% ของขนมที่เค้ามีให้บริการ ผมว่ารสชาติอยู่ในเกณฑ์ที่ดีนะครับ หลายๆ อย่างรสชาติถูกปากมาก และมีอยู่หนึ่งเมนูที่ผมกับต๋งต้องขอสั่งซ้ำ นั่นก็คือแพนเค้กครับ!!
แพนเค้กของเค้านั้นแป้งนุ่มและหอมมาก รวมทั้งมีท้อปปิ้งต่างๆ ให้เราเลือกใส่ด้วย เมนูนี้ผมแนะนำเป็นพิเศษเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด โดยจุดที่เราจะสามารถสั่งแพนเค้กได้นั้นจะอยู่บริเวณข้างๆ ไอศกรีมครับ จะมีพนักงานประจำอยู่ตรงนั้นและเราสามารถสั่งได้เลย โดยเค้าจะใช้เวลาในการทำประมาณ 2-3 นาทีต่อชิ้นครับ
ส่วนนี่เป็นหน้าตาของผลไม้ครับ มีให้เลือกทานหลายประเภทเหมือนกัน โดยที่เด่นสุดๆ และไม่ค่อยเจอที่ไหนก็คือเสาวรส แต่หากใครที่ต้องการจะทานเสาวรสนั้นจะต้องแจ้งพนักงานและยืนรอนิดนึงนะครับ เพราะเค้าจะไม่ได้หั่นทิ้งไว้เลย ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ นั้น เราสามารถหยิบใส่จานได้เลย เพราะเค้ามีการหั่นไว้เรียบร้อยหมดแล้ว
ส่วนนี่เป็นไอศกรีมครับ มีทั้งหมด 3 รสด้วยกันคือ ชาเขียว, ชาไทย และเสาวรสซอร์เบต รสชาติดีทั้ง 3 รสเลย แต่รสที่ผมชอบที่สุดก็คือชาเขียวและชาไทย ผมว่าเค้าทำความเข้มออกมาในระดับที่พอดี คือเข้มแบบมีรสชาติแต่ไม่เข้มจนเกินไป ทำให้สามารถเรากินได้เรื่อยๆ ครับ
และทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์ของผมกับต๋งในการไปทานอาหารที่ห้องอาหาร Cuisine Unplugged (ควิซีน อันปลั๊ก) โรงแรม Pullman Bangkok King Power (โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ) ซอยรางน้ำ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2562 ครับ และเพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ผมก็ขอสรุปการรีวิวออกมาเป็นหัวข้อต่างๆ ตามนี้นะครับ
วันที่รับประทาน : วันพุธที่ 23 มกราคม 2562
ช่วงเวลา : 18.00 – 21.30 น.
จำนวน : 6 คน
รสชาติอาหาร : ในส่วนของ Seafood on ice นั้นผมว่าเค้าทำมาได้ดีมากนะครับ ความสดและขนาดของอาหารแต่ละชนิดนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลย อย่างไรก็ตามสำหรับปูสีน้ำตาลและปูม้านั้นดูเหมือนจะมีปัญหาในเรื่องของความสดอยู่เล็กน้อย หากทางห้องอาหารสามารถปรับแก้ไขได้จะเป็นอะไรที่ดีมากครับ นอกจากนี้ในส่วนของบาร์บีคิว, อาหารจานร้อน และของหวาน ก็เป็นอีกสามหมวดที่ผมว่าทาง Cuisine Unplugged ทำออกมาได้ดีเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกุ้งแม่น้ำเผา อันนี้แนะนำเป็นพิเศษเลยครับ ใครที่ชอบกินกุ้งเผาตอนฟินแน่ๆ
ความหลากหลายของอาหาร : ถือว่าเป็นไลน์อาหารที่มีความหลากหลายพอควรครับ Seafood on ice และบาร์บีคิวมีอาหารให้เลือกทานหลายชนิดมาก โดยเฉพาะหอยนางรมที่มีให้เราทานถึง 3 สายพันธุ์ด้วยกัน นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารอื่นๆ ทั้งพาสต้า, พิซซ่า, ส้มตำ, Cold Cuts, สลัด รวมไปถึงอาหารประเภทกับข้าวอื่นให้เราเลือกทานอีกหลายชนิด ดังนั้นผมว่าในเรื่องความหลากหลายของอาหารนั้น ไลน์บุฟเฟ่ต์นี้ถือว่าสอบผ่านครับ แต่มันจะดีกว่านี้อีกนิดหากหมวดอาหารจานร้อนเค้ามีการเพิ่มความหลากหลายของเนื้อสัตว์ให้มากขึ้น เช่น มีเนื้อหมู, เนื้อปลา มากกว่านี้ เพราะวันที่ผมไปทานนั้นเมนูส่วนมากเค้าจะเน้นไปที่ไก่เป็นหลักครับ
ความสะอาดของร้านและบรรยากาศ : ไม่ได้มีประเด็นอะไรในจุดนี้ครับ ห้องอาหารกว้าง เพดานสูง พื้นที่นั่งเยอะ และมีลักษณะโต๊ะเก้าอี้ให้เลือกนั่งหลายประเภท โดยรวมๆ แล้วผมว่าคนที่มาใช้บริการน่าจะไม่มีปัญหาอะไรครับ
การบริการของพนักงาน : ข้อนี้ผมค่อนข้างประทับใจนะครับ เพราะวันที่ผมไปทานนั้นผมไปกันทั้งหมด 6 คน และนั่งทานที่โต๊ะกลมโต๊ะเดียวกัน ซึ่งพอต่างคนต่างตักอาหารมามันก็เลยล้นโต๊ะจนแทบหาที่วางจานไม่ได้เลย แต่ทางพนักงานของห้องอาหารก็เข้ามาช่วยเหลือ และคอยเก็บจานต่างๆ ที่ผมทานเสร็จแล้วได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้พวกผมไม่พบปัญหาในการทานซักเท่าไหร่ครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : ห้องอาหาร Cuisine Unplugged เป็นห้องอาหารนึงที่ผมว่าเดินทางสะดวกพอควรเลยครับ เพราะถึงแม้โรงแรม Pullman Bangkok King Power จะไม่ได้อยู่ใกล้กับ BTS มากนัก แต่ก็ไม่ได้ไกลจนไม่สามารถเดินได้ นอกจากนี้ทางโรงแรมเองก็ได้มีรถตุ๊กๆ บริการรับส่งฟรีระหว่างห้าง Century The Movie Plaza กับโรงแรมด้วย โดยมีจุดจอดรถที่ชัดเจน สามารถหาได้ง่าย ดังนั้นใครที่เดินทางด้วยรถ BTS ก็น่าจะสะดวกในระดับนึงเลยครับ ส่วนคนที่ขับรถไปนั้นแม้อาจจะเจอปัญหาในเรื่องของการจราจรแถวนั้นบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ติดมากมายนัก นอกจากนี้ในเรื่องของที่จอดรถนั้นที่ King Power ก็มีที่จอดรถไว้บริการค่อนข้างมาก ผมก็เลยคิดว่าคนที่ขับรถส่วนตัวไปไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากครับ
ความคุ้มค่า : โดยปกติแล้วไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารทะเลนี้จะมีราคาที่ 1,599 บาท/คน net รวมน้ำเปล่า 1 ขวด และชา กาแฟ ซึ่งในราคาเต็มนี้ผมรู้สึกว่ายังไม่ค่อยคุ้มค่าซักเท่าไหร่ครับ เพราะในระดับราคานี้น่าจะมีเมนูไฮไลท์หรืออาหารที่เด็ดกว่านี้อีกนิด แต่ทั้งนี้ด้วยความที่ทางห้องอาหารเค้ามีการจัดโปรโมชั่นลดราคาพิเศษ 30% สำหรับผู้ที่จองผ่านเวบ ทำให้ราคาต่อคนเหลืออยู่เพียง 1,119 บาท/คน net เท่านั้น มันก็เลยทำให้ความคุ้มค่าของไลน์บุฟเฟ่ต์นี้พุ่งสูงขึ้นมาพอควรเลย เพราะในเรื่องของ Seafood on ice และกุ้งแม่น้ำเผานั้นเค้าทำมาได้ดีจริงๆ ใครที่สนใจอยากจะไปทานอาหารไลน์นี้ก็รีบจองออนไลน์ผ่านเวบเพื่อรับสิทธิ์ส่วนลด 30% ผ่านลิงก์นี้นะครับ http://bit.ly/2CSuxJp เพราะระยะเวลาโปรโมชั่นของเค้านั้นจะมีถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เท่านั้น หากใครพลาดจองไม่ทัน ก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ T_T
สรุป : สำหรับใครที่กำลังมองหาไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารทะเลในโรงแรมที่มีราคาต่อคนอยู่ที่ประมาณ 1,100 – 1,200 บาท/คน, สามารถเดินทางไปมาได้สะดวก, มีที่จอดรถเยอะ, อยู่ไม่ห่างจาก BTS มากนัก, มีประเภทอาหารให้เลือกทานหลากหลาย โดยเฉพาะ Seafood on ice และบาร์บีคิว รวมทั้งอาหารในแต่ละวันนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ไม่จำเป็นต้องไปทานวันธรรมดาหรือวันเสาร์-อาทิตย์ ห้องอาหาร Cuisine Unplugged โรงแรม Pullman Bangkok King Power ถือเป็นตัวเลือกที่ดีและเหมาะสมเลยครับ เพราะจากที่ผมได้ไปทานมา 2 ครั้ง ผมว่าเค้ามีการปรับปรุงไลน์บุฟเฟ่ต์ให้ดีขึ้นกว่าเดิมหลายจุดเลย ทั้งในเรื่องของการเพิ่มหอยนางรม, คุณภาพของกุ้งแม่น้ำ, คุณภาพของอาหารญี่ปุ่น รวมไปถึงเรื่องการที่เพิ่มน้ำเปล่าเข้ามาให้เราด้วย 1 ขวด ก็เอาเป็นว่าใครที่เป็นคนที่ชอบทานอาหารประเภทซีฟู้ด, บาร์บีคิว และของหวาน หรือเป็นคนที่ชอบทานอาหารหลากหลายแต่ไม่สะดวกไปทานอาหารในเย็นวันศุกร์หรือเสาร์ ก็สามารถเลือกไปใช้บริการที่นี่ได้เลยครับ แต่ถ้าใครเป็นคนที่อยากจะทานอาหารพิเศษอย่างเช่น ฟัวกราส์, ล็อปสเตอร์ หรือต้องการทานอาหารนานาชาติเยอะๆ เช่น ติ่มซำ, อาหารอินเดีย เป็นต้น ไลน์บุฟเฟ่ต์นี้น่าจะยังไม่ใช่ตัวเลือกของคุณครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับใครที่อยากจะติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิดก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ ส่วนใครที่ต้องการจะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับห้องอาหารแห่งนี้เพิ่มเติมหรือทำการจองออนไลน์เพื่อรับสิทธิ์ส่วนลด 30% ก็สามารถดูรายละเอียดตามด้านล่างนี้ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
Tel : 02-6809999
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราในวันที่ได้ลองไปใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากนี้ออกไปได้ครับ