Home Travel แนะนำวิธีจองและการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นด้วยตัวเองอย่างละเอียด!!

แนะนำวิธีจองและการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นด้วยตัวเองอย่างละเอียด!!

สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผมกับต๋งจะพาทุกคนไปรู้จักกับวิธีการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นด้วยตัวเองกันอย่างละเอียดแบบ Step by step กันนะครับ โดยก่อนอื่นเลยผมต้องขอเล่าให้ทุกคนฟังก่อนนะครับว่า ก่อนที่ผมกับต๋งจะทำการเช่ารถขับที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น เราทั้งคู่เคยมีประสบการณ์ในการมาเที่ยวที่ประเทศแห่งนี้แล้ว 5-6 ครั้ง ซึ่งทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาเราสองคนจะใช้วิธีการเดินทางในญี่ปุ่นผ่านรถไฟ, รถบัส แล้วก็ Taxi เป็นหลัก เพราะเราทั้งคู่รู้สึกว่ามันสะดวกสบายดี แถมราคายังย่อมเยาอีกด้วย โดยเฉพาะคนที่เลือกซื้อ Pass ได้เหมาะสมกับทริปนั้นๆ นอกจากนี้ในระหว่างที่เรานั่งรถไฟนานๆ พวกเราก็ยังสามารถงีบนอนหลับพักผ่อนเพื่อเพิ่มพลังไปลุยต่อได้อีกด้วยครับ

แต่แล้วในที่สุดหลังจากที่พวกเราใช้วิธีการเดินทางแบบเดิมๆ ในญี่ปุ่นมานาน มันก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงหรือลองอะไรใหม่ๆ อย่างเช่นการเช่ารถขับเที่ยวด้วยตัวเองบ้าง และทริปใบไม้เปลี่ยนสีที่ Fukushima (ฟุกุชิมะ) ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2561 ของเราจึงเป็นทริปแรกที่ผมกับต๋งตัดสินใจเช่ารถขับครับ เพราะพวกเราดูข้อมูลแล้วพบว่าหากเรามีรถส่วนตัว เราจะสามารถเดินทางไปเที่ยวชมสถานที่สวยๆ ในจังหวัด Fukushima ได้มากกว่าเดิมเยอะเลยครับ

เอาล่ะ เมื่อตัดสินใจได้ดังนี้แล้ว ผมกับต๋งก็เลยเริ่มวางแผนทริป, คำนวณจำนวนวันที่จะเช่ารถ แล้วก็หาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเช่ารถขับที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต้องบอกว่าตอนแรกๆ ที่ผมตัดสินใจว่าจะจองรถและเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นนั้น ผมก็แอบหวั่นๆ ใจอยู่นะครับ เพราะผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบขับรถและไม่ได้ขับรถเก่งอะไรมากนัก แต่พอได้ศึกษาไปเรื่อยๆ ก็พบว่าการขับรถที่ญี่ปุ่นนั้นมันง่ายมากๆ เพราะคนญี่ปุ่นนั้นมีวินัยและเคารพกฎการจราจรสุดๆ

พอได้ข้อมูลแบบนี้มา ประกอบกับมีคำยืนยันของคนรอบข้างที่เคยมีประสบการณ์ในการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นว่ามันขับง่ายกว่าที่เราคิดเยอะ ผมก็สบายใจขึ้นมาก และในที่สุดหลังจากที่ผมได้มีประสบการณ์ในการไปเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นด้วยตัวเองเป็นเวลา 4 วันเต็ม ผมก็พบว่ามันง่ายกว่าที่ผมคิดไว้ตอนแรกเยอะเลยครับ ><

และเพื่อให้ประสบการณ์การเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นด้วยตัวเองของผมได้มีประโยชน์กับหลายๆ คนที่กำลังหาข้อมูล หรือกำลังลังเลอยู่ว่าจะเช่ารถขับดีมั้ย ผมกับต๋งก็เลยเขียนบทความนี้ขึ้นมา โดยจะแบ่งบทความนี้ออกเป็นทั้งหมด 4 เรื่องย่อยดังนี้นะครับ

1. วิธีการทำใบขับขี่สากล
2. วิธีการเช่ารถขับที่ประเทศญี่ปุ่น
3. วิธีการตรวจรับและส่งคืนรถที่เช่ามาขับ
4. กฎจราจรพื้นฐานและเรื่องอื่นๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่น

และถ้าใครพร้อมแล้วก็ตามไปอ่านกันยาวๆ ได้เลยครับ ^^


1. วิธีการทำใบขับขี่สากล

สิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราจะต้องมีและคำนึงถึงในการขับรถที่ประเทศญี่ปุ่น นั่นก็คือเราต้องมีใบขับขี่สากลหรือใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ (International Driving Permit) ก่อนครับ โดยในการทำใบขับขี่สากลเพื่อใช้ขับรถที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นจะต้องเป็นใบขับขี่สากลอนุสัญญา 1949 ซึ่งมีอายุ 1 ปีเท่านั้นนะครับ (ห้ามทำเป็นอนุสัญญา 1968 ซึ่งมีอายุ 3 ปี เป็นอันขาด เพราะจะใช้งานที่ประเทศญี่ปุ่นไม่ได้) ส่วนวิธีการยื่นขอก็มีตามนี้เลยครับ

  1. เตรียมค่าใช้จ่ายและเอกสารต่างๆ เหล่านี้ให้พร้อม
  • สำเนาหนังสือเดินทาง (Passport) เล่มที่จะใช้ในการเดินทาง พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
  • สำเนาใบขับขี่รถส่วนบุคคล พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
  • รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป โดยต้องเป็นรูปถ่ายหน้าตรง, ไม่สวมหมวกหรือแว่นตาสีเข้ม, พื้นหลังภาพเป็นสีอ่อน ไม่มีลวดลายรบกวนสายตา และต้องเป็นรูปที่ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน
  • สำเนาหลักฐานการแก้ไขชื่อ- สกุล, ทะเบียนสมรสหรือใบหย่า (ถ้ามี)
  • ค่าธรรมเนียม 505 บาท
  1. สำหรับ Passport, บัตรประจำตัวประชาชน และใบขับขี่รถส่วนบุคคลนั้น ผมแนะนำให้ทุกคนเอาตัวจริงติดไปด้วยนะครับ เพราะในเวบของกรมการขนส่งตามลิงก์นี้ https://www.dlt.go.th/th/driving-license/view.php?_did=90 ระบุไว้ว่าให้นำตัวจริงไปด้วย แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยขอดูตัวจริงกัน แต่ผมว่าเราเอาไปเผื่อไว้ก่อนดีกว่าครับ หากเกิดถูกเรียกดูขึ้นมาจะได้ไม่เสียเที่ยว ไม่เสียเวลา

  2. เดินทางไปยังกรมการขนส่งทางบกที่อยู่ใกล้บ้านตามวันและเวลาที่เค้าเปิดให้บริการ สำหรับต่างจังหวัดให้ไปทำที่สำนักงานขนส่งจังหวัดนะครับ

  3. นำเอกสารทั้งหมดของเรายื่นให้กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องเอกสาร โดยบางที่จะมีจุดตรวจสอบเอกสารแยกออกมาต่างหาก เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารของเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว เค้าจะคืนเอกสารทั้งหมดให้เราพร้อมกับบัตรคิว หรือไม่ก็จะให้เราไปต่อแถวยื่นเอกสารตามจุดที่เค้ากำหนดไว้ครับ

  4. ยื่นเอกสารทั้งหมดให้กับเจ้าหน้าที่ พร้อมกับเงินจำนวน 505 บาท จากนั้นก็นั่งรอประมาณ 5-15 นาทีแล้วแต่ปริมาณคนที่มาใช้บริการในวันนั้น และเดี๋ยวเราก็จะได้รับใบขับขี่สากลของเราที่มีอายุ 1 ปี พร้อมที่จะนำไปใช้งานที่ต่างประเทศครับ

เป็นยังไงล่ะครับ สำหรับวิธีการทำใบขับขี่สากล มันง่ายมากเลยใช่มั้ยล่ะครับ และผมอยากจะบอกว่าเรายังสามารถที่จะยื่นขอใบขับขี่สากลให้กับบุคคลอื่นได้ด้วยนะครับ โดยกรณีที่เราจะยื่นขอให้กับบุคคลอื่นนั้น เราจะต้องมีเอกสารเพิ่มเติมอีก 3 อย่าง ได้แก่ ใบมอบอำนาจที่ลงรายละเอียดครบถ้วน + ผู้รับมอบอำนาจที่บรรลุนิติภาวะแล้ว,  สำเนาบัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจ ที่ยังไม่หมดอายุ พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง แล้วก็อากรแสตมป์ 10 บาทครับ ใครที่จะไปทำการยื่นให้คนอื่นก็เตรียมเอกสารเหล่านี้ไปให้ครบนะครับ


2. วิธีการเช่ารถขับที่ประเทศญี่ปุ่น

หลังจากที่เรามีใบขับขี่สากลหรือใบขับขี่ระหว่างประเทศเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เรามาดูวิธีการจองรถที่เราจะเช่าขับที่ญี่ปุ่นกันดีกว่าครับ โดยหากใครจะจองก่อนแล้วค่อยไปทำใบขับขี่สากลก็ได้นะครับ เพราะในกระบวนการจองนั้นเราไม่ต้องใช้เอกสารหรือหมายเลขอะไรของใบขับขี่สากลเลย นอกจากนี้ในกระบวนการทำใบขับขี่สากลสำหรับผู้ที่มีใบขับขี่รถส่วนบุคคลอยู่แล้ว มันก็ง่ายแสนง่าย ไม่มีอะไรต้องน่ากังวลว่าจะขอไม่ผ่านครับ

สำหรับวิธีการจองรถที่เราจะเช่าขับในญี่ปุ่นนั้นจะมีอยู่ 2 วิธีหลักๆ ที่คนส่วนใหญ่นิยมกัน ได้แก่

  1. จองผ่านเวบของบริษัทเช่ารถนั้นๆ โดยตรง เช่น Times Car Rental, Nissan Rent a Car, TOYOTA Rent a Car, ORIX Rent-A-Car, Honda Rent a Car, NIPPON Rent a Car เป็นต้น

  2. จองผ่านเวบตัวแทนอย่าง Tocoo! ตามลิงก์นี้ https://www2.tocoo.jp/en/

  3. ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไปครับ โดยเท่าที่ผมสอบถามคนใกล้ตัวมา หลายๆ คนมักจะจองผ่าน Tocoo!  เป็นหลัก เพราะเวบนี้จะเป็นเหมือนเวบที่รวมเอารถของบริษัทต่างๆ มาไว้รวมกัน และมีราคาที่ถูกกว่าการที่เราจะไปจองตรงที่เวบของบริษัทเช่ารถนั้นโดยตรง หรือถ้าพูดง่ายๆ ลักษณะของเวบนี้มันจะคล้ายๆ กับ Agoda ที่เอาไว้จองโรงแรมประมาณนั้นครับ

ผมให้ดูภาพของหน้าเวบ Tocoo! คร่าวๆ ครับ จะเห็นว่าเค้าจะมีให้เราเลือกว่าเราต้องการจะรับรถที่ไหน คืนรถที่ไหน และต้องการใช้รถระหว่างวันที่เท่าไหร่บ้าง ซึ่งเมื่อเรากรอกข้อมูลต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ระบบก็จะแสดงรายชื่อรถทั้งหมดที่เราสามารถจองได้ในช่วงเวลาดังกล่าวขึ้นมาให้เราเลือก โดยจะมีรถหลากหลายแบบ, หลากหลายบริษัท และมีราคาที่แตกต่างกันออกไปครับ ใครที่จะจองผ่านวิธีนี้ก็ค่อยๆ ดูกันไปนะครับ เพราะบางทีมันจะมีให้เราเลือกมากกว่า 15 หน้าอีก  @_@

แต่สำหรับผมในทริปนี้ ผมเลือกจองผ่านเวบของบริษัทเช่ารถรายนั้นโดยตรงแม้จะมีราคาที่สูงกว่าเล็กน้อยก็ตาม เพราะด้วยเหตุผลหลักๆ ก็คือ ผมต้องการใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษีตัวจริงด้วย ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าหากผมจองผ่าน Tocoo! แล้วไปรับรถที่บริษัทเช่ารถนั้นๆ ทางบริษัทเช่ารถจะสามารถออกใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษีตัวจริงให้ผมเลยได้มั้ย หรือผมต้องไปตามขอเอกสารเหล่านั้นจากทาง Tocoo! เอง ดังนั้นเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องนี้ผมเลยตัดสินใจจองผ่านเวบบริษัทเช่ารถโดยตรงดีกว่า โดยบริษัทที่ผมเลือกนั่นก็คือ Toyota Rent a Car ครับ

ส่วนสาเหตุที่ผมเลือก Toyota Rent a Car ทั้งๆ ที่มีผู้ให้บริการเช่ารถที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นอีกตั้งหลายบริษัท นั่นก็เพราะว่าจากที่ผมได้อ่านรีวิวมาก็พบว่า Toyota Rent a Car นั้นมีจุดเด่นตรงที่มีหลายสาขา, พนักงานสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี, รถมีสภาพที่ดีและสะอาด, หน้าเวบที่จองมีภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้เลือก, มีช่องทางการติดต่อฉุกเฉินในกรณีที่เกิดปัญหา แล้วก็สุดท้ายนั่นก็คือ ผมเป็นคนที่ชอบรถ Toyoya อยู่แล้วครับ

เอาล่ะครับ คราวนี้เรามาดูที่หน้าเวบและวิธีการจองรถจาก Toyota Rent a Car กันดีกว่า โดยเริ่มแรกสุดก็ให้ทุกคนพิมพ์ URL ตามนี้ https://rent.toyota.co.jp/eng/index.aspx หลังจากนั้นก็จะเจอกับหน้าตาเวบแบบนี้ครับ

หมายเหตุ : สำหรับวันที่ที่เห็นผมจองในบทความนี้นั้น จะเป็นวันที่ผมสมมุติขึ้นมาใหม่นะครับ เพราะผมทำการ capture ภาพย้อนหลังหลังจากที่ผมกลับมาที่ไทยเรียบร้อยแล้ว

สำหรับใครที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ ก็สามารถไปเปลี่ยนเป็นภาษาไทยที่มุมขวาของเวบ ตามภาพนี้ได้ครับ

เมื่อเปลี่ยนเวบเป็นภาษาไทยแล้ว ก็จะได้หน้าตาของเวบออกมาเป็นแบบนี้ครับ

สำหรับผม ผมขอเลือกเป็นภาษาอังกฤษแล้วกันนะครับ เพราะในส่วนที่เป็นภาษาไทยนั้น หลายๆ คนก็น่าจะสามารถทำการจองเองได้โดยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว โดยอันดับแรกสุดที่เราจะต้องใส่ก่อนก็คือข้อมูลในช่องซ้ายสุดที่เป็นเรื่องของสถานที่รับรถ และวันเวลาที่เราต้องการรับรถครับ โดยสถานที่รับรถนั้นเราจะสามารถเลือกได้ว่าจะรับที่สนามบิน, สถานีรถไฟชินคันเซ็น หรือเลือกเป็นโซนจังหวัดนั้นๆ ซึ่งผมเองเลือกเป็นไปรับรถที่จังหวัด Fukushima โดยเมื่อเราเลือกเป็นจังหวัดแบบนี้แล้ว ที่ช่องด้านล่างก็จะมีข้อมูลของสถานที่ที่สามาถรับรถได้ภายในจังหวัดนั้นมาให้เราเลือก พอเราเลือกเสร็จก็จะมีข้อมูลบอกด้วยว่าสาขานั้นๆ เปิดบริการตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง และปิดวันไหนบ้างครับ

สำหรับใครที่ไม่รู้ว่า Toyota Rent a Car นั้นมีสาขาที่ไหนบ้าง ก็สามารถกดตรงตัวหนังสือสีเขียวที่เขียนว่า Use Map to Find Shops ได้เลยครับ เดี๋ยวมันจะมีแผนที่ประเทศญี่ปุ่นขึ้นมาให้เราเลือก เราก็กดเลือกไปเรื่อยๆ จนถึงโซนที่เราต้องการ จากนั้นก็จะมีข้อมูลของ Toyota Rent a Car ทุกสาขาที่อยู่ในโซนนั้นขึ้นมาให้เราดูหมดเลย

เมื่อเราเลือกสาขาที่จะรับรถได้แล้ว คราวนี้เราก็มาเลือกสาขาและวันเวลาที่เราจะคืนรถครับ โดยเราสามารถที่จะคืนรถที่สาขาใดๆ ก็ได้ เพียงแต่หากเราคืนที่สาขาอื่น มันจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการคืนที่สาขาเดิมครับ ยังไงก็พิจารณาดีๆ ว่าจะเลือกคืนที่ไหนถึงจะดีที่สุด และก็อย่าลืมดูเวลาให้ดีด้วยว่าสาขาที่เราจะคืนรถนั้นปิดบริการกี่โมงครับ

สำหรับผมเองเลือกที่จะคืนที่สาขาเดิมก็เลยเลือกเป็น Return to Pick-up Shop ครับ ส่วนใครที่จะคืนที่สาขาอื่นก็กดเป็น Return to Different Shop แล้วก็เลือกสาขาที่ต้องการได้เลยครับ

จากนั้นเราก็มาดูช่องที่อยู่ทางขวามือสุดกันต่อ ที่ช่องนี้จะมีให้เราเลือกว่ารถที่เราต้องการนั้นจะเลือกเป็นแบบ Non-smoking หรือ Smoking รวมทั้งมีประเภทรถให้เราเลือกด้วย โดยจะมีอยู่ 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่

ประเภทที่ 1 : Hybrid Standard, Compact, Standard, Full Size

ประเภทที่ 2 : Sports, Minivan, Wagon, SUV

ประเภทที่ 3 : Premium

สำหรับคนทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่จะเลือกแบบที่ 1 กันครับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและสไตล์ของแต่ละคนด้วยนะครับ

เมื่อเราเลือกประเภทรถเสร็จแล้วก็กดที่คำว่า Make a Reservation ที่เป็นกรอบสีส้มๆ เพื่อไปหน้าต่อไปได้เลยครับ

เมื่อกดเสร็จแล้ว หน้าตาเวบจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้ครับ เค้าจะสรุปให้เราดูว่าเราเลือกเช่ารถวันไหน, รับรถและคืนรถที่ไหน เวลาอะไร เราก็ตรวจสอบดีๆ นะครับ ถ้าพบว่าข้อมูลตรงไหนไม่ถูกต้องก็สามารถกดแก้ไขได้เลย

จากนั้นเมื่อเราเลื่อนลงมาเราก็จะเจอกับ Option ต่างๆ ของรถ โดยตอนแรกเค้าจะให้เราเลือกอยู่ 4 เรื่อง ได้แก่ ประเภทของรถว่าสูบบุหรี่หรือไม่, ขับเคลื่อน 4 ล้อหรือไม่, เกียร์ธรรมดาหรือเกียร์ออโต้ แล้วก็ต้องการล้อสำหรับการวิ่งบนหิมะหรือเปล่า

เราก็เลือกไปตามการใช้งานของเรานะครับ

เมื่อเลือกเสร็จแล้ว คราวนี้ก็จะเป็นเรื่องของการเลือกประเภทของรถกัน โดยเราจะสามารถเลือกได้ทั้ง 3 ประเภทตามหน้าแรกเลยครับ โดยเมื่อเรากดเลือกรถประเภทไหน มันก็จะมีรูปรถที่มีอยู่ในประเภทนั้นพร้อมกับราคาตามจำนวนวันที่เราเช่าสำหรับรถประเภทนั้นขึ้นมาบอกให้เราทราบด้วยครับ

สำหรับผมเลือกเป็นรถประเภท Compact ซึ่งเป็นรถรุ่นเล็กสุด และเลือกเป็นรถรุ่น P1 Class ที่เป็นโมเดล Toyota Vitz หรือโมเดลอื่นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยค่าเช่ารถรุ่นนี้ระยะเวลา 5 วัน จะอยู่ที่ 26,000 เยน (ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติม) ทั้งนี้ราคาการเช่ารถนั้นอาจจะมีความแตกต่างกันได้ในแต่ละช่วงเวลาครับ

ส่วนในเรื่องของการชำระเงินนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเค้าจะรับชำระเป็นเครดิตการ์ด (Credit Card) โดยเราจะต้องไปชำระเงินในวันที่เรารับรถที่สาขานั้นๆ ครับ ดังนั้นอย่าลืมเปิดใช้งานบัตรเครดิตของเราที่ต่างประเทศก่อนที่จะออกเดินทางด้วยนะครับ เดี๋ยวไปถึงแล้วรูดไม่ได้ยุ่งเลย

หลังจากที่เราเลือกประเภทรถกันเสร็จแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องนึง นั่นก็คือเรื่องของการเลือกซื้อประกันเพิ่มเติมหรือไม่ แล้วก็รายละเอียดไฟล์ทเดินทางของเรา โดยในส่วนของการซื้อประกันนั้นเค้าจะมีให้เราเลือก 3 แบบ ได้แก่

แบบที่ 1 : Toyota Rent a Car Double Protection Package ราคา 1,620 เยน/วัน โดยแบบนี้จะเป็นการรวมทั้งการประกันแบบ Exclusion of Liability Compensation และ NOC exemption เอาไว้ด้วยกัน

แบบที่ 2 : Exclusion of Liability Compensation only ราคา 1,080 เยน/วัน โดยแบบนี้จะครอบคลุมเฉพาะประกันแบบ Exclusion of Liability Compensation เท่านั้น

แบบที่ 3 : ไม่เลือกซื้อประกันใดๆ เลย

และแน่นอนว่าสำหรับมือใหม่อย่างผมก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก กดแบบที่ 1 ไปทันทีครับ แม้ราคาจะสูงกว่าเพื่อน แต่เพื่อความสบายใจและป้องกันเอาไว้ก่อน เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นที่นู่นจริงๆ บางทีเราอาจจะต้องจ่ายเงินเป็นแสนเยนก็ได้ T_T

ส่วนใครที่มีประสบการณ์ในการขับรถที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว และมั่นใจในตัวเองก็สามารถเลือกซื้อประกันแบบต่างๆ ตามที่ตัวเองต้องการได้เลยครับ หรือถ้าใครไม่มั่นใจว่าประกันแต่ละอย่างหมายถึงอะไร ครอบคลุมอะไรบ้างก็สามารถกด Click here ที่เป็นตัวอักษรสีฟ้าเพื่อไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมต่อได้ครับ

เมื่อเลือกประกันเสร็จแล้ว คราวนี้ก็มาเลือกในส่วนของ ETC Card กันต่อครับ โดย ETC Card นั้นจะมีลักษณะเหมือนกับ Easy Pass ที่ใช้ขึ้นทางด่วนที่บ้านเรา หากเราเช่าไป เวลาเราขึ้นทางด่วนต่างๆ เราก็จะสามารถเข้าและออกช่องพิเศษโดยไม่ต้องจ่ายเงินสดที่บริเวณด่าน จากนั้นเมื่อเรานำรถกลับมาคืนในวันสุดท้าย ทางเจ้าหน้าที่ของ Toyota Rent a Car ก็จะสรุปยอดเงินทั้งหมดที่เราใช้ไป และเราค่อยจ่ายเงินจำนวนนั้นทีเดียวครับ

ก็เรียกว่ามีความสะดวกในการใช้งานพอควร ส่วนค่าเช่านั้นก็อยู่ที่ 324 เยน/ครั้ง เท่านั้น (ใช้กี่วันหรือกี่ครั้งก็ได้) ใครที่ขึ้นทางด่วนบ่อยๆ และไม่อยากเสียเวลาจ่ายเงินที่ด่านก็เช่าติดรถไปด้วยก็ดีครับ แต่ถ้าใครคิดว่าใช้น้อย อันนี้ก็ไม่ต้องเช่าก็ได้ เพราะมันจะช่วยให้เราประหยัดเงินไปได้ประมาณ 100 บาทครับ

และสำหรับใครที่กดตรงคำว่า Click here ตรงหัวข้อ ETC Card หน้าเวบเค้าจะพาเราไปอีกหน้านึงที่เล่าถึงประโยชน์และวิธีการใช้งาน ETC Card ครับ รวมทั้งมีการบอกด้วยว่าหากเราไม่มี ETC Card เราจะต้องจ่ายเงินค่าทางด่วนอย่างไร ใครสนใจก็กดไปอ่านดูนะครับ

เมื่อเราเลือกเสร็จแล้วว่าจะเช่า ETC Card หรือไม่ ก็ให้เราเลื่อนหน้าเวบลงมาต่อ จากนั้นเราก็จะพบหัวข้อถัดไปที่เกี่ยวกับการเช่า Child Seat โดยที่ญี่ปุ่นนั้นมีกฎหมายระบุไว้ว่าเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบจะต้องนั่งบน Child Seat เท่านั้น ดังนั้นครอบครัวไหนที่มีเด็กเล็กๆ ไปด้วย และมีแผนจะเช่ารถขับเองก็ต้องดูในส่วนนี้ให้ดีๆ นะครับ ส่วนใครที่ไม่จำเป็นต้องใช้ก็เลื่อนลงไปต่อได้เลยโดยไม่ต้องทำอะไร

เมื่อเราเลื่อนต่อลงมาเราก็จะเจอกับหัวข้อ Multilingual Car Navigation Systems โดยหัวข้อนี้จะเป็นการเลือกภาษาของระบบนาวิเกเตอร์ที่เค้าติดตั้งมาบนรถเรา เราไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติมนะครับ แค่เลือกภาษาที่เราต้องการก็พอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เราก็จะเลือกเป็นภาษาอังกฤษกัน เพราะภาษาอื่นเราฟังไม่ออก T_T

เมื่อเราเลือกเสร็จแล้วก็ให้เรากดคำว่า Continue ที่อยู่ในกรอบสีส้มเพื่อไปหน้าต่อไปได้เลยครับ

หลังจากที่หน้าเวบพาเรามาที่หน้าใหม่ คราวนี้เราก็จะเห็นข้อมูลสรุปการเช่ารถในครั้งนี้ของเราครับ ทั้งวันเวลาที่รับรถ-คืนรถ, สถานที่รับรถ-คืนรถ แล้วก็ options ต่างๆ ตรงนี้เราก็ตรวจกันให้ดีๆ นะครับ หากมีอะไรผิดพลาดก็กดแก้ไขให้เรียบร้อยเลย โดยในหน้านี้เค้าจะมีการสรุปราคาบอกด้วยนะครับ อย่างผมเช่ารถแบบ Compact 5 วัน ซื้อประกันแบบสูงสุด และเช่า ETC Card ด้วย ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการเช่ารถครั้งนี้ทั้งหมด 36,504 เยน (ยังไม่รวมค่าน้ำมันและทางด่วน)

จากนั้นให้เราเลื่อนต่อมายังด้านล่างและเดี๋ยวเราก็จะเห็นช่องที่เค้าให้เรากรอกชื่อ, เบอร์โทร, E-mail และประเภทของใบขับขี่ของเราครับ เราก็กรอกข้อมูลไปตามจริง โดยในส่วนของใบขับขี่นั้นให้เราเลือกที่หัวข้อแรก และเลือกที่ Asia แล้วก็ Thailand ครับ

และตอนนี้เราก็ใกล้เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการจองรถผ่าน Toyota Rent a Car แล้ว โดยที่บริเวณท้ายสุดนี้ทางเวบจะให้เราอ่านข้อมูลต่างๆ อีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องใบขับขี่, ประกันรถยนต์, วิธีการจ่ายเงิน รวมไปถึงการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในกรณีที่เราจองรถแล้วแต่เรายกเลิกครับ โดยทาง Toyota Rent a Car จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมผ่านบัตรเครดิตของเราตามนี้ครับ

กรณีที่เรายกเลิกก่อนถึงวันรับรถ 7 วันขึ้นไป : ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใดๆ

กรณีที่เรายกเลิกระหว่าง 3-6 วันก่อนถึงวันกำหนดรับรถ : เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 20%

กรณีที่เรายกเลิกระหว่าง 1-2 วันก่อนถึงวันกำหนดรับรถ : เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 30%

กรณีที่เรายกเลิกในวันที่ถึงกำหนดรับรถแล้ว : เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 50%

หลังจากที่เราอ่านข้อมูลต่างๆ เรียบร้อยดีแล้ว เราก็กดเครื่องหมายถูกหน้าคำว่า I agree to the term above แล้วก็กดคำว่า Agree and Continue ในกรอบสีส้มได้เลยครับ

จากนั้นเวบจะพาเรามาที่หน้าสุดท้ายของกระบวนการจองรถ โดยหน้านี้จะมีการสรุปข้อมูลต่างๆ ทั้งหมดให้เราดูอีกรอบนึง หากเราพบว่าข้อมูลไหนไม่ถูกต้องก็สามารถกดแก้ไขได้ ส่วนถ้าใครไม่แก้ไขอะไรก็กดคำว่า Submit ที่อยู่บริเวณด้านล่างสุดได้เลยครับ หลังจากนั้นไม่นานจะมี E-mail ที่สรุปรายละเอียดการจองรถของเราในครั้งนี้เข้าไปที่ E-mail ที่เราได้ทำการกรอกไว้ เราก็แค่พิมพ์เอกสารชุดนั้นออกมาและนำไปยื่นให้กับพนักงานของ Toyota Rent a Car ที่สาขาที่เรารับรถได้เลยครับ

และทั้งหมดนี้ก็คือวิธีการจองรถเช่าที่ประเทศญี่ปุ่นผ่านเวบไซต์ของ Toyota Rent a Car ครับ และเดี๋ยวหัวข้อถัดไปผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับวิธีการรับรถที่สาขา และหน้าตาของรถ Toyota Vitz ที่ผมกับต๋งเลือกเช่ามาขับครับ


3. วิธีการตรวจรับและส่งคืนรถที่เช่ามาขับ

หลังจากที่เราทำการจองรถผ่านเวบไซต์และได้รับเอกสารยืนยันผ่านทาง E-mail เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องไปรับรถที่เราเช่ากันแล้ว โดยในการไปรับรถนั้นก็มีขั้นตอนง่ายๆ เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น เริ่มจากอันดับแรกคือพิมพ์เอกสารยืนยันออกมาจาก Email แล้วก็นำไปยื่นให้กับพนักงานของ Toyota Rent a Car ตามเวลาและสาขาที่เราเลือกไว้ครับ

สำหรับผม ผมเลือกไปรับและคืนรถที่ Toyota Rent a Car สาขา Fukushima Sta. Shinkansen Ext. Shop โดยสาขานี้จะอยู่ตรงข้ามกับสถานี Fukushima ฝั่งตะวันตก (West Gate) และสามารถหาเจอได้ง่ายมากๆ เพราะเพียงแค่เราเดินออกจากสถานีมาและมองไปยังฝั่งตรงข้าม เราก็จะเจอกับ Toyota Rent a Car สาขานี้ทันทีเลย

สำหรับใครที่กลัวจะหาไม่เจอ ก็ให้มองสูงๆ ไว้ก่อน Toyota Rent a Car จะอยู่ข้างๆ กับสัญลักษณ์ Seven & iHolding เลยครับ

พอเราเดินเข้าไปในสาขาแล้ว ก็ให้เราเดินเข้าไปในออฟฟิศและยื่นเอกสารการจองของเราพร้อมกับ Passport ให้กับพนักงานได้เลยครับ และเดี๋ยวทางพนักงานเค้าก็จะเอาเอกสารต่างๆ มาให้เราอ่านและกรอกเล็กน้อย จากนั้นเค้าก็จะขอบัตรเครดิตเราเพื่อทำการรูดค่าใช้จ่ายในการเช่ารถทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะยังไม่รวมค่าน้ำมันและค่าทางด่วนนะครับ

เมื่อเราชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย ทางพนักงานก็จะบอกเราว่าก่อนที่จะนำรถมาคืนนั้นให้เราเติมน้ำมันให้เต็มถังด้วย พร้อมทั้งบอกประเภทของน้ำมันที่รถเราจะต้องเติม ซึ่งตรงนี้เราต้องจำให้ดีๆ อย่าจำผิดนะครับ เดี๋ยวงานจะเข้าไม่รู้ตัว โดยน้ำมันรถที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  1. น้ำมันเบนซินธรรมดา (92) หรือที่เรียกว่า Regular : หัวจ่ายส่วนใหญ่มักจะมีสีแดง และในภาษาญี่ปุ่นจะสะกดด้วยตัวอักษรตามนี้ครับ レギュラー

  2. น้ำมันเบนซินแบบออกเทนสูง (98) : หัวจ่ายส่วนใหญ่มักจะมีสีเหลือง และในภาษาญี่ปุ่นจะสะกดด้วยตัวอักษรตามนี้ครับ ハイオク

  3. น้ำมันดีเซล : หัวจ่ายส่วนใหญ่มักจะมีสีเขียว และในภาษาญี่ปุ่นจะสะกดด้วยตัวอักษรตามนี้ครับ 軽油

ทั้งนี้ปั๊มน้ำมันที่ญี่ปุ่นจะมีทั้งปั๊มแบบที่เราต้องเติมเองกับปั๊มที่มีพนักงานบริการให้ แล้วก็บางปั๊มก็อาจจะไม่ได้ยึดสีของหัวจ่ายตามที่ผมเขียนไว้ด้านบน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยผมแนะนำให้ทุกคนถ่ายรูปชนิดน้ำมันจากพนักงานของบริษัทที่เช่ารถ และเลือกเติมน้ำมันเฉพาะปั๊มที่มีพนักงานบริการเท่านั้นครับ พอเราเข้าไปถึงปั๊มก็ยื่นภาพที่เราถ่ายให้พนักงานปั๊มดูเลย รับรองเค้าเติมได้ถูกต้องอย่างแน่นอน

และนี่ก็คือโฉมหน้าของเจ้า Toyota Vitz ที่ผมกับต๋งเช่ามาครับ คันเล็กจิ๋วหลิวดูน่ารักมาก ><

โดยตอนที่พนักงานของ Toyota Rent a Car พาเราไปที่รถนั้น เค้าจะให้เราเดินตรวจรอบรถก่อนครับว่ามีรอยขีดข่วนตรงไหนหรือเปล่า หากไม่มีเราก็เซ็นเอกสารรับรถได้เลย หลังจากนั้นทางพนักงานก็จะเสียบบัตร ETC Card เข้าที่รถเรา และสอนเราใช้เนวิเกเตอร์ ซึ่งการใช้งานก็ไม่ได้มีอะไรยากมากมาย เรียนแป้บๆ ก็เป็นแล้ว และเมื่อเค้าสอนเราเสร็จเรียบร้อย ทางพนักงานก็จะยื่นเอกสารต่างๆ ให้เราชุดนึง จากนั้นเราก็สามารถขับรถออกไปท่องเที่ยวได้เลยครับ ^^

ผมให้ดูภาพของรถ Toyota Vitz ที่ผมเช่ามาในมุมต่างๆ เพิ่มเติมนะครับ เผื่อใครกำลังเล็งรถรุ่นนี้อยู่จะได้รู้ว่ามันเหมาะสมมั้ย

ตัวรถรุ่นนี้จะเป็นรถแบบ Hatchback หรือรถ 5 ประตูนะครับ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนชอบรถประเภทนี้อยู่แล้วครับ

พื้นที่ภายในรถถือว่าค่อนข้างกว้างกว่าที่คิด โดยขนาดของรถน่าจะเท่ากับพวกรถ Eco Car อย่าง Nissan March หรือ Mazda 2 ในเมืองไทยครับ เรียกว่าหากมีสัมภาระไม่มากนักก็สามารถนั่ง 4 คนได้อย่างสบายๆ ไม่อึดอัดเลย

ส่วนนี่เป็นพื้นที่เก็บของด้านหลังครับ พื้นที่ไม่ได้เยอะมาก โดยผมลองกะด้วยสายตาคร่าวๆ คิดว่าหากเป็นกระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วน่าจะสามารถเก็บได้ประมาณ 3 ใบ หากเป็นกระเป๋าขนาด 25 นิ้วน่าจะได้ 2 ใบ และหากเป็นกระเป๋าเดินทางขนาด 28 นิ้วแบบผมก็จะสามารถเก็บได้แค่ใบเดียวครับ

ดังนั้นถ้าใครจะมากันหลายคนและมีกระเป๋าสัมภาระเยอะหน่อยก็ต้องวางแผนดีๆ นะครับว่าจะเอากระเป๋าขนาดไหนมา หรือจะเปลี่ยนไปเช่ารถรุ่นอื่นที่มีรูปทรงอื่น หรือมีขนาดรถที่ใหญ่กว่านี้แทนมั้ย

แต่ด้วยความที่ผมมากันแค่ 2 คน ประกอบกับรถรุ่นนี้สามารถพับเบาะหลังลงได้ ดังนั้นการที่ผมเอากระเป๋าเดินทางขนาด 28 นิ้ว มา 2 ใบแบบนี้จึงไม่มีปัญหาอะไรครับ

นี่เป็นภาพหลังจากที่ผมพับเบาะหลังลงครับ

และนี่เป็นภาพที่ผมเอากระเป๋าเดินทางขนาด 28 นิ้วขึ้นไปไว้บนรถหลังจากที่พับเบาะลงแล้ว โดยผมสามารถจัดวางได้หลายแบบเลย แล้วก็ยังมีพื้นที่เหลือไว้วางของอย่างอื่นอีกเพียบ

ส่วนนี่เป็นภาพของแผงคอนโซลครับ จะเห็นว่าแม้จะเป็นรถรุ่นเล็กๆ ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่อุปกรณ์ต่างๆ เค้าก็จัดมาให้เต็มที่มาก ทั้งพวงมาลัยที่ควบคุมเครื่องเสียง, การกดรับโทรศัพท์ผ่านบลูทูธ, เนวิเกเตอร์ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ สามารถดูได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงระบบที่ช่วยให้เราขับรถได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบเบรกอัตโนมัติ, กล้องมองหลัง เป็นต้น

มาดูที่หน้าจอเนวิเกเตอร์ซึ่งจะเป็นพระเอกในการพาเราเที่ยวญี่ปุ่นอย่างถูกที่ถูกเป้าหมายกันดีกว่าครับ โดยหน้าจอนี้นอกจากจะเป็นเนวิเกเตอร์แล้ว ในเวลาที่เราใส่เกียร์ถอยหลัง มันจะมีภาพของกล้องหลังขึ้นมาให้เราดูด้วยนะครับ คุณภาพของภาพที่ได้นั้นดูดีเลย สามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนครับ

ส่วนระบบเนวิเกเตอร์นั้นก็ใช้งานง่ายแสนง่าย เพียงแค่เราใส่ข้อมูลสถานที่ที่เราต้องการจะไป และเดี๋ยวมันก็จะนำทางเราไปถึงที่หมายได้เอง โดยผมต้องบอกเลยนะครับว่าระบบเนวิเกเตอร์หรือ GPS ของรถเค้านี่มันแม่นและดีมากจริงๆ บอกระยะเป๊ะสุดๆ และมีการบอกเราล่วงหน้าสองระดับด้วย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ค้นหาร้านสะดวกซื้อ, ห้องน้ำได้ด้วย และที่ผมชอบสุดๆ นั่นก็คือ เวลาที่เราขึ้นทางด่วน มันจะมีข้อมูลมาบอกเราหมดเลยว่าเราจะต้องจ่ายค่าทางด่วนเท่าไหร่ จะมีทางออกอะไรบ้าง ระยะห่างแต่ละที่เหลือเท่าไหร่ และแต่ละที่มีอะไรน่าสนใจบ้าง

อ้อ แล้วก็เวลาที่เราขับรถในเมืองหรือต้องผ่านแยกไฟแดงต่างๆ ระบบเนวิเกเตอร์นี้จะมีการซูมหรือแบ่งจอให้เราเห็นชัดๆ ด้วยนะครับว่าแยกนั้นเลนไหนสามารถตรงได้ เลี้ยวได้ มันเป็นอะไรที่ดีและสะดวกมากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยรู้จักเส้นทางอย่างผมครับ

สำหรับในเรื่องของการใส่พิกัดจุดหมายปลายทางนั้น เราจะสามารถใส่ได้หลายวิธีมากทั้งชื่อสถานที่, ที่อยู่, เบอร์โทร หรือ Mapcode โดยสิ่งที่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมกันมากที่สุดก็คือการใส่ Mapcode แล้วก็เบอร์โทรของสถานที่นั้นๆ ครับ เพราะมันจะเป็นอะไรที่แม่นยำที่สุด ซึ่งผมเองก็เน้นไปที่การใส่ Mapcode เป็นหลัก โดยจะมีบางที่เท่านั้นที่ผมเลือกใส่เป็นชื่อแทนเพราะผมไม่มี Mapcode ครับ แต่ทั้งนี้การจะเลือกใส่เป็นชื่อสถานที่นั้นมันจะต้องเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างใหญ่หรือเป็นที่นิยมพอควรนะครับ ไม่งั้นมันอาจจะไม่มีในระบบ T_T

ทั้งนี้สำหรับกรณีที่เราเลือกใส่พิกัดจุดหมายปลายทางเป็นเบอร์โทรศัพท์นั้น ให้เราตัดหมายเลขที่อยู่ด้านสุดของเบอร์โทรออก แล้วใส่เลข 0 ลงไปแทนนะครับ เช่น หมายเลขที่เรามีคือ +81555842109 ก็ให้เราใส่เป็น 0155584210 แทน ส่วนในกรณีที่เราไม่มีทั้ง Mapcode, เบอร์โทรศัพท์ และลองใส่ชื่อสถานที่แล้วพบว่าไม่มีในระบบ ผมแนะนำให้ทุกคนใช้ Google Map ในมือถือนำทางแทนครับ เพราะฐานข้อมูลของชื่อในสถานที่ใน Google Map นั้นจะมีเยอะกว่ามากครับ

และหลังจากที่ทุกคนเรียนรู้การใช้เนวิเกเตอร์บนรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะขับรถออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ กันได้แล้วครับ โดยหากใครที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการขับรถด้วยตัวเองที่ประเทศญี่ปุ่นก็สามารถติดตามอ่านต่อได้ในหัวข้อถัดไปได้เลย ส่วนในกระบวนการคืนรถนั้นก็ง่ายแสนง่าย เพียงเรานำรถที่มีสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขีดข่วน และมีน้ำมันเต็มถังกลับมาคืนที่สาขาตามที่เราได้เลือกไว้ เดี๋ยวทางพนักงานก็จะเดินมาตรวจร่องรอยต่างๆ รอบรถ หากไม่มีรอยอะไรก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ ส่วนถ้าใครที่เช่า ETC Card มาด้วย ทางพนักงานก็จะแจ้งยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เราก็ชำระเงินไปก็เป็นอันเรียบร้อยครับ ^^

หมายเหตุ : ในระหว่างที่รถเคลื่อนที่ หรือไม่ได้จอดสนิทอยู่ในเกียร์ P เราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขพิกัดในเนวิเกเตอร์ได้นะครับ


4. กฎจราจรพื้นฐาน

และเรื่องอื่นๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่น

และในที่สุดตอนนี้เราก็มาถึงเรื่องสุดท้ายในบทความนี้แล้วครับ โดยเรื่องนี้ก็คือเรื่องของกฎจราจรพื้นฐานและเรื่องอื่นๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่น และเพื่อไม่ให้เนื้อหามันดูซีเรียสเกินไปผมก็เลยจะสรุปออกมาเป็น 20 ข้อง่ายๆ ดังนี้นะครับ

  1. รถที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นจะเป็นพวงมาลัยขวาและขับรถเลนซ้ายแบบประเทศไทย และเกือบจะ 100% ของรถจะเป็นรถแบบเกียร์ออโต้ ดังนั้นสำหรับใครที่ขับรถเป็นอยู่แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ต้องน่าเป็นห่วงมากครับ

  2. น้ำมันรถที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ น้ำมันเบนซินธรรมดา (92) หรือที่เรียกว่า Regular, น้ำมันเบนซินแบบออกเทนสูง (98) และน้ำมันดีเซล ดังนั้นทุกครั้งที่เราเช่ารถมาเราควรถามประเภทของน้ำมันให้ชัดเจนและห้ามเติมผิดเด็ดขาด

  3. ปั๊มน้ำมันที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีทั้งแบบที่เราต้องบริการตัวเอง กับแบบที่มีพนักงานของปั๊มคอยดูแลให้ ซึ่งผมแนะนำให้คนที่ยังไม่มีประสบการณ์มากนักเติมที่ปั๊มที่มีพนักงานดูแลให้ดีกว่าครับ

  4. ราคาน้ำมันเบนซินธรรมดา (92) หรือที่เรียกว่า Regular นั้น ในช่วงที่ผมไป (ตุลาคม 2561) จะอยู่ที่ลิตรละประมาณ 150 เยนสำหรับพื้นที่ที่อยู่ในเมือง และอยู่ที่ลิตรละประมาณ 180 เยน สำหรับพื้นที่ที่อยู่ไกลๆ หน่อย ดังนั้นผมแนะนำว่าให้เราเติมน้ำมันในเขตเมืองจะดีกว่า เพราะเราจะสามารถประหยัดเงินได้ 15-20% เลย

  5. รถแบบ Compact หรือรถเช่าที่มีขนาดเล็กนั้น จะเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันพอควร โดยอย่างรถ Toyota Vitz ที่ผมขับนั้นจะมีถังน้ำมันอยู่ที่ 45 ลิตร และผมสามารถขับได้ทั้งหมดประมาณ 600 กิโลเมตร (เส้นทางที่ขับเน้นไปที่การขึ้นลงเขาประมาณ 30%) คิดเป็นอัตราการสิ้นเปลืองประมาณ 13.33 กิโลเมตร/ลิตร หรือหากคิดกับค่าน้ำมันที่ผมเติมลิตรละประมาณ 150 เยน ก็จะตกอยู่ที่กิโลเมตรละ 3.38 บาทครับ (คิดอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 0.30)

  6. ในกรณีที่เราขับรถขึ้นทางด่วนนั้นหากใครที่มี ETC Card ก็จะสามารถเข้าและออกช่องพิเศษได้เลย เดี๋ยวระบบจะทำการตัดเงินเอง แต่หากใครที่ไม่มี ETC Card ก็ให้รับบัตรจากพนักงานและไปจ่ายเงินที่ทางออกที่เราต้องการครับ

  7. การจราจรที่ประเทศญี่ปุ่นจะไม่มีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด เราต้องรอสัญญาณไฟจราจรทุกครั้งที่เลี้ยวซ้ายครับ

  8. สำหรับรถที่จะทำการเลี้ยวขวาจะต้องให้ทางรถที่เลี้ยวซ้ายผ่านก่อนเสมอ

  9. ทุกครั้งที่เจอทางม้าลายและมีคนรอจะข้ามถนน คุณจะต้องหยุดรถให้คนเดินข้ามก่อนเสมอ เพราะในญี่ปุ่นคนเดินเท้าสำคัญที่สุด ดังนั้นทุกครั้งที่คุณเห็นทางม้าลาย โปรดขับช้าๆ ชะลอความเร็ว และมองซ้ายขวาก่อนทุกครั้งนะครับ

  10. ทุกครั้งที่เจอทางรถไฟ คุณจะต้องหยุดก่อนถึงรางรถไฟ และมองซ้ายขวาให้เรียบร้อยก่อนที่จะขับข้ามทางรถไฟเสมอ แม้ว่าคุณจะรู้ก็ตามว่าตอนนั้นจะไม่มีรถไฟมา (ข้อนี้เป็นอะไรที่ต้องระวังมากๆ เพราะคนไทยส่วนใหญ่จะไม่ชินกับพฤติกรรมการขับรถแบบนี้ครับ)

  11. สัญญาณไฟจราจรที่ประเทศญี่ปุ่นจะไม่มีการนับเวลาถอยหลังหรือไฟกะพริบเตือนเรานะครับ มันจะเปลี่ยนจากเขียว เหลือง เป็นแดงเลย ดังนั้นโปรดระมัดระวังทุกครั้งที่จะผ่านไฟแดง อย่าขับรถเร็วจนเกินไป เพราะเดี๋ยวจะเบรกไม่ทันเส้นหยุดเค้าครับ ^^

  12. เมื่อเจอแยกที่ไม่มีไฟจราจร และมีป้ายหรือตัวอักษรที่พื้นว่า 止まれ (tomare) เราจะต้องหยุดรถให้นิ่งสนิท และมองซ้ายขวาให้ดีก่อนที่จะเคลื่อนรถต่อไปครับ

  13. ห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่โดยเด็ดขาด แม้กระทั่งติดไฟแดงอยู่ก็ห้ามใช้ครับ

  14. ห้ามขับขี่หลังจากที่ดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด

  15. สำหรับใครที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ เดินทางไปด้วย ต้องให้เด็กนั่ง Child Seat เสมอ

  16. ทุกคนบนรถต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง

  17. การจอดรถริมถนนนั้นเกือบทุกที่จะห้ามจอดครับ แนะนำว่าให้เราจอดรถเฉพาะที่เป็นจุดจอดรถเท่านั้น มิฉะนั้นคุณอาจจะเจอค่าปรับจำนวนมากได้

  18. ประเทศญี่ปุ่นจะเคร่งครัดในเรื่องของความเร็วในการขับรถมากๆ ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศไทยแล้ว คนญี่ปุ่นจะขับรถช้ามากครับ แม้ถนนจะโล่งแค่ไหนเค้าก็จะขับอยู่ในความเร็วที่กฎหมายหรือป้ายกำหนด หรือเต็มที่คือบวกไม่เกิน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยความเร็วในพื้นที่ต่างๆ ของการขับรถในญี่ปุ่นส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ประมาณนี้ครับ

  • บนทางด่วน : ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

  • บนถนนใหญ่ระหว่างเมือง : ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง

  • ในเขตเมือง : ความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง

  • ตามตรอกซอกซอยเล็กๆ : ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง

  1. สัญญาณการจราจรต่างๆ ภายในประเทศญี่ปุ่น โดยส่วนมากจะเป็นสัญญาณที่เราเข้าใจได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่หากใครที่ต้องการศึกษาก่อนเพื่อความมั่นใจก็สามารถไปอ่านเพิ่มเติมที่ลิงก์นี้ได้เลยครับกับ 61 เครื่องหมายจราจรต่างๆที่ควรรู้ ก่อนไปเช่ารถขับเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น

  2. หากกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เราสามารถติดต่อช่องทางต่างๆ ได้ดังนี้ครับ

  • กรณีที่มีผู้บาดเจ็บ ให้ติดต่อ 119 เพื่อเรียกรถพยาบาล

  • กรณีต้องการติดต่อตำรวจ ให้ติดต่อ 110

  • กรณีที่รถเสีย หรือน้ำมันหมด เราสามารถติดต่อกับบริษัทที่เช่ารถโดยตรงได้เลย

และตอนนี้ผมก็พาทุกคนไปรู้จักกับวิธีการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นด้วยตัวเอง รวมทั้งกฎจราจรพื้นฐานต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ก็หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากบทความนี้กันไปบ้างนะครับ และสำหรับใครที่อยากจะรู้ว่าผมกับต๋งขับรถไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหนบ้างในจังหวัด Fukushima (ฟุกุชิมะ) ก็สามารถกดลิงก์ด้านล่างเพื่อไปอ่านต่อกันได้เลยครับ รับรองว่าแต่ละที่สวยงามถูกใจทุกคนแน่ๆ ^^

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับใครที่ไม่อยากพลาดเรื่องราวการกินและเที่ยวของผมกับต๋ง ก็สามารถกดติดตามได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก
Exit mobile version