กรุงเทพเป็นเมืองที่มีเสน่ห์และมีสถานที่ดีๆ ซ่อนเร้นอยู่ในที่เราคาดไม่ถึงมากมาย
.
.
.
ใครจะไปคาดคิดว่ากลางสามเสน เขตดุสิตที่ดูจะจอแจวุ่นวายนั้น กลับมีสถานที่แห่งนึงที่มีความสงบ มีความร่มรื่นของธรรมชาติ มีความสวยงามของบ้านสไตล์โคโลเนียลอายุกว่า 100 ปี และมีร้านชากับขนมอร่อยๆ แอบซ่อนอยู่ และสถานที่แห่งนี้นั้นมีชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้”
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น
พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ หรือ The Museum of Floral Culture นั้น ก่อตั้งขึ้นจากความตั้งใจของคุณสกุล อินทกุล นักออกแบบและนักจัดดอกไม้ชื่อดังของไทย ที่ต้องการให้มีสถานที่ที่รวบรวมและเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของดอกไม้โดยเฉพาะของประเทศไทยและทวีปเอเชีย โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมการจัดดอกไม้แห่งแรกของโลกด้วยนะครับ!!
สำหรับประวัติคร่าวๆ ของคุณสกุล อินทกุล นั้น ท่านจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และได้ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นซึ่งอยู่ในเครือของฮิตาชิ แต่ด้วยโชคชะตาวาสนาหลายๆ อย่าง ประกอบกับตอนเด็กๆ ท่านก็ได้คลุกคลีกับดอกไม้ต้นไม้มาโดยตลอด ทำให้สุดท้ายแล้วท่านพบว่าตัวเองเป็นคนชอบการจัดดอกไม้มาก จึงได้ตัดสินใจลาออกมาเดินบนเส้นทางสายนี้อย่างเต็มตัว และมีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับโลกรวมถึงได้มีโอกาสถวายงานให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ พร้อมพระราชวงศานุวงศ์อีกด้วยครับ
ซึ่งด้วยความที่คุณสกุลได้คลุกคลีกับแวดวงการจัดดอกไม้มาหลายสิบปี รวมทั้งมีความรักในศิลปะประเภทนี้มาก ท่านจึงได้ตั้งใจไว้ว่าวันนึงท่านจะสร้างพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ขึ้นมา และในที่สุดเมื่อปี พ.ศ. 2555 ความฝันของท่านก็เป็นจริง เมื่อท่านได้พบกับบ้านเก่าสไตล์โคโลเนียลหลังหนึ่งในซอยองครักษ์ บริเวณศรีย่าน ใกล้ๆ กับโรงเรียนราชินีบน บ้านที่มีอายุ 100 ปี บ้านที่สร้างขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ และบ้านที่สร้างจากไม้สักทั้งหลัง!!
สำหรับการเดินทางมายังพิพิธวัฒนธรรมดอกไม้นี้ก็สามารถมาง่ายๆ ได้ 2 วิธีดังนี้ครับ
รถเมล์ : สาย 3, 9, 16, 30, 32, 33, 49, 51, 64, 65, 66, 110, 505, 516 และ 524 จากนั้นให้ลงรถที่ป้ายแมคโครสามเสน หรือสุพรีมสามเสน แล้วเดินเข้าซอยสามเสน 28 ไปเรื่อยๆ จนเจอซอยองครักษ์ 13 อยู่ทางซ้ายมือ จากนั้นก็ให้เลี้ยวเข้าไปในซอยนี้ เดินต่ออีกประมาณ 30 เมตรก็จะเจอพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้อยู่ทางขวามือครับ
หมายเหตุ : แมคโครสามเสนกับสุพรีมสามเสนนั้นจะอยู่ตรงข้ามกันเลยครับ โดยระยะทางจากป้ายรถเมล์ถึงพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้จะประมาณ 500 เมตร สามารถเดินตาม Google Map ไปได้เลย ไม่มีหลงแน่นอน
รถ Taxi หรือ รถส่วนตัว : สำหรับใครที่นั่ง Taxi ก็สามารถบอกพิกัดคร่าวๆ ได้เลยว่าไปสุพรีมสามเสน จากนั้นก็ให้รถเลี้ยวเข้าซอยสามเสน 28 และซอยองครักษ์ 13 ไป แล้วเดี๋ยวก็จะเจอพิพิธภัณฑ์เองครับ ส่วนคนที่ขับรถไปเองนั้นอาจจะต้องปวดหัวกับเรื่องที่จอดรถหน่อย เพราะบริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้นั้นจะมีที่จอดรถแค่ 2 คันเท่านั้น หากใครไปวันธรรมดาก็คงพอจะมีที่จอดอยู่ แต่ถ้าใครไปเสาร์อาทิตย์นี่ ผมแนะนำว่าให้จอดรถที่สุพรีมสามเสน หรือในซอยสามเสน 28 แล้วเดินมาดีกว่าครับ โดยอัตราที่จอดรถของสุพรีมสามเสนนั้น 3 ชั่วโมงแรกจะฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนชั่วโมงที่ 4 และ 5 จะชั่วโมงละ 20 บาทครับ
นี่เป็นหน้าตาของพิพิธภัณฑ์ดอกไม้ครับ ดูร่มรื่นและน่านั่งชิวมากๆ บอกเลยว่าตอนที่ผมเห็นครั้งแรก ผมรู้สึกประทับใจมากเลยครับ มันดูสงบ ร่มรื่นจนอยากจะมีบ้านแบบนี้ซักหลังเลย
เมื่อเราก้าวผ่านประตูเข้าไปแล้ว เราก็จะพบว่าภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่
ส่วนของพิพิธภัณฑ์ : ส่วนนี้จะเป็นการเดินเข้าไปชมเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ ผ่านห้อง 7 ห้องที่อยู่ในบ้านสไตล์โคโลเนียลที่มีความสวยงาม โดยในการเดินชมนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์นำชมเป็นรอบ รอบละประมาณ 30 นาที มีค่าใช้จ่าย 150 บาท/คน
ส่วนของร้านดอกไม้ไทย ชาลง ดู เต : ส่วนนี้จะเป็นเหมือนคาเฟ่เล็กๆ ที่มีการจำหน่ายชา, กาแฟ, เครื่องดื่ม, ขนม และของที่ระลึกต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ โดยใครก็สามารถเข้ามาใช้บริการในส่วนนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็ได้ครับ
สำหรับเวลาในการเปิดบริการของทั้งสองส่วนนี้ก็คือ 10.00 – 18.00 น. ของวันอังคาร-วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) แต่สำหรับคนที่ต้องการเข้าไปชมภายในพิพิธภัณฑ์ด้วยนั้นก็จะต้องเข้าตามรอบที่เค้ากำหนด โดยจะมีทั้งรอบที่บรรยายภาษาไทยและรอบที่บรรยายด้วยภาษาอังกฤษ และหากใครที่ต้องการฟังการบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็มีบริการเช่นเดียวกัน แต่จะมีการบริการเฉพาะวันพุธเท่านั้นครับ
และนี่เป็นบรรยากาศของร้านดอกไม้ไทย ชาลง ดู เต ร้านคาเฟ่เล็กๆ ในพิพิธภัณฑ์ที่ผมว่ามีความสงบและน่านั่งมากๆ การตกแต่งต่างๆ ดูสวยงาม สะท้อนความเป็นไทยในสมัยโบราณ บรรยากาศรอบข้างดูสงบและร่มรื่น และถึงแม้จะไม่มีแอร์ แต่การได้นั่งท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ ผมว่าแค่พัดลมที่พัดเบาๆ ก็เพียงพอแล้วครับ
ส่วนนี่เป็นผลิตภัณฑ์และของที่ระลึกต่างๆ ที่ทางพิพิธภัณฑ์ดอกไม้มีการจำหน่ายครับ หลายๆ อย่างก็ดูแล้วน่าซื้อไปใช้ดีเหมือนกัน
และถ้าใครเป็นคนชื่นชอบการจัดดอกไม้มากๆ หรืออยากจะเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้ให้มากขึ้นก็สามารถเข้าร่วม Workshop ต่างๆ ที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดได้นะครับ เค้าจะมีการลงตารางกิจกรรมไว้ในแฟนเพจเค้าอยู่เป็นระยะๆ สนใจอันไหนก็สมัครได้เลย
มาถึงตรงนี้หากใครที่ไม่มีแผนจะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ก็สามารถเลือกสั่งชา สั่งขนมมานั่งทานกันได้เลย แต่สำหรับผมซึ่งตั้งใจจะเข้าไปดูข้างในพิพิธภัณฑ์ซักครั้ง ก็ได้ทำการจัดการซื้อตั๋วค่าเข้าราคา 150 บาทเรียบร้อยแล้ว ส่วนขนมกับชาไว้เดี๋ยวชมพิพิธภัณฑ์เสร็จค่อยออกมาทานครับ ><
สำหรับจุดจำหน่ายบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์นั้น จะอยู่จุดเดียวกับจุดสั่งขนมของร้านดอกไม้ไทยเลยครับ พนักงานของเค้าจะประจำอยู่ที่นี่เป็นหลัก
สำหรับการชมภายในพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้นั้นเค้าจะมีการแบ่งเป็นรอบตามที่ผมได้บอกไว้ โดยรอบนึงจะรับไม่เกิน 15 คน เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับตัวบ้านมากจนเกินไป ซึ่งหากใครไปวันธรรมดานั้นผมบอกเลยว่าชิวและเดินสบายมาก เพราะคนไปน้อยสุดๆ อย่างรอบที่ผมไปนั้นก็มีผมแค่คนเดียวเองครับ!!!
ในการชมพิพิธภัณฑ์นั้นจะมีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะเป็นการชมภายในบ้านโดยจะแบ่งห้องออกเป็นทั้งหมด 7 ห้อง ซึ่งในส่วนนี้เราจะไม่สามารถถ่ายรูปได้เลยครับ ส่วนในส่วนที่สองนั้นจะเป็นการชมสวนรอบๆ บริเวณบ้าน โดยส่วนนี้เราสามารถถ่ายรูปได้ตามสบายเลย
และนี่ก็คือบริเวณทางเข้าชมพิพิธภัณฑ์ครับ ใครจะเข้าชมรอบไหนก็มายืนรอด้านหน้าได้เลย เมื่อถึงเวลาจะมีเจ้าหน้าที่พาเราเดินเข้าไปในบ้าน โดยก่อนที่จะเข้าไปในตัวบ้านนั้นเราต้องถอดรองเท้าก่อนด้วยนะครับ
ภายในบ้านจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 7 ห้องตามนี้ครับ
ห้องที่ 1 “ หอภาพดุสิต ” ภาพของการจัดดอกไม้ในสมัยรัชกาลที่ ๔ และ ๕ โดยที่ห้องนี้จะมีภาพประวัติศาสตร์หลายๆ ภาพที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนครับ
ห้องที่ 2 “ โลกแห่งวัฒนธรรมดอกไม้ ” ห้องนี้จะเป็นการรวบรวมการจัดดอกไม้ของประเทศต่างๆ มาให้เราดู โดยเฉพาะในโซนเอเชียอย่างอินเดีย, ญี่ปุ่น, บาหลี, ธิเบต และลาว โดยภายในห้องนี้จะมี “ตำราลับแห่งการจัดดอกไม้แบบโชกะของอิเคโนโบะ” หนังสือม้วนโบราณปี ค.ศ.1756 หรือถ้าจะพูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเลยครับ
ห้องที่ 3 “ ประเพณีแห่ต้นดอกไม้ ” ประเพณีเก่าแก่ที่เชื่อว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศลาว แต่ในปัจจุบันนี้ได้สูญหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงที่สุดท้ายคือที่จังหวัดเลย ประเทศไทยเท่านั้น
ห้องที่ 4 และ 5 “ งานดอกไม้ไทย ” ห้องที่รวบรวมเทคนิคต่างๆ ในการจัดดอกไม้ไทย เพราะด้วยความที่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ดังนั้นจึงต้องมีเทคนิคในการจัดดอกไม้ต่างๆ ให้มีความสวยงามและสามารถคงทนอยู่ได้นาน
ห้องที่ 6 “ ปากกา ดินสอ ความเป็นไปได้ ” ห้องที่นำตัวอย่างการสเก็ตภาพของคุณสกุลมาให้ดูว่าท่านนำความรู้ด้านวิศวกรรมมาผสมผสานกับการจัดดอกไม้ได้อย่างไร
ห้องที่ 7 “ ความลับหมายเลข 9” ห้องที่รวบรวม 9 เทคนิคการจัดดอกไม้ของคุณสกุลโดยเน้นที่ความสวยงามของดอกไม้ที่แท้จริง ไม่ต้องลงทุนหรือใช้เงินเยอะ
โดยภาพรวมของทั้ง 7 ห้องนี้ถือว่าเหมาะมากสำหรับผู้ที่มีความสนใจในเรื่องราวเหล่านี้ เพราะหลายๆ เรื่องเป็นเรื่องเชิงลึกที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และถึงแม้หลายๆ ชิ้นงานจะเป็นการจำลองทั้งขนาดและวัสดุเพื่อให้หมาะสมกับการแสดงในพิพิธภัณฑ์ ผมก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ควรค่าแก่การไปดูซักครั้งครับ เพราะนอกจากเราจะได้ความรู้ ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ แล้ว ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีงานจริงที่คุณสกุลได้ถวายงานให้พระบรมวงศานุวงศ์อยู่ด้วยครับ
หลังจากที่เราชมพิพิธภัณฑ์ภายในตัวบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จะพาเรากลับมาที่ประตูทางเข้าและพาเราเดินชมความงามของสวนรอบๆ ตัวบ้าน พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับพืชพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ภายในสวนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นกล้วยไม้, กรรณิการ์, พู่ระหง, คลิโทเรีย, เข็มอินเดีย เป็นต้น
ในส่วนของสวนรอบๆ บริเวณบ้านนั้น แม้เราจะไม่ได้ซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เราก็สามารถเดินดูและถ่ายรูปได้ตามสบายเลยนะครับ เพียงแต่เราจะไม่มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้เท่านั้น โดยบริเวณสวนหลังบ้านนั้นจะมีมุมศาลาไทยเล็กๆ ที่สวยงามซ่อนอยู่ และศาลาไทยนี้เราสามารถไปนั่งเล่น นอนเล่นได้ตามสบายเลยนะครับ เพียงแต่ต้องถอดรองเท้าก่อนขึ้นไปเท่านั้นเอง
ซึ่งถ้าใครได้ไปนั่งเล่นที่ศาลาไทยก็จะได้เห็นมุมภาพแบบนี้ครับ ดูสวยงาม สงบ และร่มรื่นมากๆ ใครที่ชอบบ้านสไตล์นี้ บรรยากาศแบบนี้น่าจะถูกใจมากแน่ๆ
และยิ่งถ้าใครที่ชอบแมวนะ ยิ่งน่าจะยิ่งกรี้ดกร้าดกับการได้ไปที่นี่ เพราะที่นี่จะมีแมวน่ารักอยู่ 3 ตัวด้วยกัน บางจังหวะเค้าเหล่านั้นก็ดูน่ารัก น่าถ่ายรูปมากๆ ครับ
เอาล่ะ หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์กับบริเวณรอบๆ จนเหนื่อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเติมพลังกันแล้ว โดยเมนูที่ผมเลือกทานในวันนี้ก็ได้แก่
Love Rose Tea ราคา 140 บาท
Homemade Scone ราคา 180 บาท
Selection Thai, Indian and Chinese Dessert ราคา 140 บาท
ส่วนใครที่ไม่ถูกใจกับเมนูที่ผมเลือกก็ลองดูเมนูอื่นๆ ของเค้าได้ตามด้านล่างนี้เลย เค้าจะมีพวกเครื่องดื่มเย็นกับขนมอีกหลายอย่างให้เราเลือกสั่งครับ
โดยใครที่เลือกจะกินชาแต่ไม่รู้ว่าจะสั่งชาแบบไหนดี ก็สามารถดมใบชาที่เค้าใส่ไว้ในกระปุกได้เลยครับ ผมเองก็ลองดมอยู่นานเหมือนกัน เพราะแต่ละอย่างนั้นหอม น่าลองชิมไปหมดเลย ><
ผมใช้เวลานั่งรออยู่ประมาณ 10 นาที อาหารต่างๆ ที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟครบถ้วน ถือว่าเร็วใช้ได้เลย และนี่ก็คือหน้าตาของอาหารที่ผมสั่งในวันนี้ครับ
เรามาเริ่มชิมกันไปทีละอย่างเลยนะครับ เริ่มจากอันแรก Love Rose Tea หรือชากุหลาบจากอินเดีย ชากานี้หอมกุหลาบอ่อนๆ รสชาติกำลังดี ไม่ขม ไม่เข้มเกินไป จิบได้เรื่อยๆ และเมื่อทานคู่กับขนมที่สั่งมานั้นก็สามารถเข้ากันได้ดีเลย
รายการที่สอง “สโคนลูกเกด” รายการนี้จะมาเสิร์ฟ 2 ชิ้น พร้อมแยมสตรอเบอรี่และคอทเทจครีม หรือคิดง่ายๆ ก็เฉลี่ยชิ้นละ 90 บาท ซึ่งถือว่าราคาแรงใช้ได้เลย แต่หลังจากที่ผมได้ลองชิมก็พบว่าอร่อยคุ้มราคาดีครับ สโคนชิ้นใหญ่ เนื้อไม่ร่วน ทานคู่กับแยมสตรอเบอร์รี่แล้วเข้ากัน หวานนิดๆ กำลังดี ส่วนคอทเทจครีมนั้นต้องบอกว่าโดยปกติผมเป็นคนที่ไม่ชอบทานอยู่แล้วนะครับ ดังนั้นวันนี้ผมก็เลยลองชิมให้พอรู้รสชาติพอ ใครที่ชอบทานอะไรมันๆ นมๆ น่าจะถูกใจครับ
อ้อ สำหรับเมนูสโคนนี้ผมได้มารู้เพิ่มทีหลังว่านี่เป็นเมนูยอดฮิตของที่นี่เลย หลายๆ คนติดใจในรสชาติมากจนตอนนี้ทางร้านได้เปิดการขายแบบ Delivery แล้ว ใครสนใจก็ลองโทรสอบถามหรือสั่งได้ที่เบอร์ 02-6693633-4 นะครับ ทางร้านเค้าบอกว่าสโคนของเค้าเป็นโฮมเมด ใช้สูตรจากไอร์แลนด์และใช้แป้งสาลีชั้นดีจากอังกฤษ อบใหม่จากเตาทุกวัน ส่วน Homemade Clotted Cream นั้นก็เป็นการทำด้วยใจกว่า 24 ชั่วโมง และแยมสตรอเบอร์รี่ก็ใช้การนำเข้ามาจากสก๊อตแลนด์ก็เลยทำให้มีรสชาติที่ดี หาทานที่อื่นๆ ในไทยได้ยากมากครับ
ปิดท้ายด้วย Selection Thai, Indian and Chinese Dessert หรือขนมหวานจาก 3 ประเทศอย่างไทย, จีน และอินเดีย สำหรับเมนูนี้จะมาเสิร์ฟในพานทองที่มีกรวยใบตองปิดอยู่ที่ด้านบน ถือว่าในเรื่องของการจัดจานนั้นทำมาได้ดีเลย
เมื่อเปิดกรวยใบตองออกมาเราจะพบว่ามีขนมอยู่ทั้งหมด 6 อย่างได้แก่ ลูกชุบ, ขนมกล้วย, ขนมต้ม, ถั่วแปบ, ขนมเปี๊ยะ และคารากัน โดยขนมคารากันนี่เป็นขนมของอินเดียที่ทำมาจากนมผสมกับเครื่องเทศ รสชาติจะออกหวานๆ มันๆ ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่ามันหวานเกินไปนิดครับ ไม่รู้ทำไมผมกินขนมของอินเดียทีไรเจอแต่รสหวานแบบแรงๆ ทั้งนั้นเลย สงสัยว่าประเทศนี้เค้าน่าจะชอบทานรสหวานกันเป็นแน่ @_@
ส่วนขนมอื่นๆ ที่อยู่ในพานนั้น ผมว่าขนมต้ม, ถั่วแปบ และขนมเปี๊ยะอร่อยดีนะครับ รสชาติดีจนอยากกินเพิ่มเลย ส่วนลูกชุบนั่นผมว่ารสชาติกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นจากที่อื่นๆ และขนมกล้วยผมรู้สึกว่าความเป็นกล้วยน้อยไปหน่อย แอบอยากให้เข้มกว่านี้อีกนิด ><
ก็จบลงแล้วนะครับสำหรับการนำทุกคนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ อีกหนึ่งสถานที่ที่เป็น The Hidden Gems ในกรุงเทพ สถานที่ที่ทุกคนไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ และเป็นสถานที่ที่ผมได้มีโอกาสไปมาแล้วรู้สึกประทับใจครับ
สำหรับใครที่ชื่นชอบการจิบชาหรือกินขนมอร่อยๆ ในบรรยากาศสวนที่สงบ ร่มรื่น มีบ้านเก่าอายุ 100 ปีเป็นฉากหน้าให้เราดู ผมว่าที่ร้านดอกไม้ไทย ชาลง ดู เต ในพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ถือเป็นอีกหนึ่งร้านที่ดี น่าไปนั่งมากๆ ครับ บรรยากาศดี ราคาอาหารเหมาะสม ที่สำคัญใครไปวันธรรมดานี่เงียบสงบมากๆ จนไม่อยากเชื่อว่าเรากำลังนั่งอยู่ในกรุงเทพเลย เพียงแต่ผมอยากจะเตือนไว้นิดนึงว่าสำหรับใครที่เป็นคนขี้ร้อนมากๆ อาจจะไม่เหมาะที่จะไปที่นี่ในช่วงหน้าร้อนนะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวอาจจะเหงื่อไหลออกมาท่วมตัวได้ ส่วนในเรื่องของการเข้าชมพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ที่ต้องเสียค่าบัตร 150 บาท/คนนั้น ผมว่าถ้าใครที่ชื่นชอบเรื่องราวพวกนี้อยู่แล้ว หรือเป็นคนที่ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การจ่ายเงิน 150 บาทเพื่อเข้าไปดูซักครั้งก็ไม่เสียหายครับ ถือว่าได้ความรู้และช่วยเหลือทางพิพิธภัณฑ์ในการดูแลบ้านหรือสถานที่แบบนี้ไว้ด้วย แต่ถ้าใครจะไม่เข้าไปดูเลยก็ไม่ได้เป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก เพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เฉพาะทางมากๆ เนื้อหาที่จัดแสดงเหมาะสมกับคนที่สนใจเรื่องวัฒนธรรมของการจัดดอกไม้จริงๆ คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เข้าไปแล้วอาจจะรู้สึกเฉยๆ ได้ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วมาดูกันว่า The Hidden Gems ที่ผมจะพาทุกคนไปรู้จักที่ต่อไปนั้นคือที่ไหน มีอะไรที่จะทำให้คุณต้องว้าวบ้าง ส่วนใครที่อ่านเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้แห่งนี้จบแล้วอยากจะไปสัมผัสด้วยตัวเองซักครั้งก็ตามไปดูข้อมูลหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้เลย แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
โทร : 02-6693633-4
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้