สวัสดีครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้มีโอกาสไปทำธุระแถวๆ สี่แยกคอกวัวและก็เหลือบไปเห็นว่าหอสมุดเมืองกรุงเทพมหานคร (Bangkok City Library) กำลังเปิดบริการอยู่ ผมจึงได้ลองเข้าไปสอบถามทางเจ้าหน้าที่แล้วก็พบว่าวันนั้นเป็นการเปิดบริการแบบไม่เป็นทางการ โดยเป็นการเปิดเพื่อทดสอบระบบต่างๆ เท่านั้น แต่ทางหอสมุดเองก็เปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้งานและถ่ายรูปได้ ผมก็เลยถือโอกาสเข้าไปสำรวจสถานที่แห่งนี้มา และนี่ก็คือเรื่องราวของหอสมุดแห่งนี้ผ่านมุมมองของผมครับ
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น
เท่าที่ผมทราบมา หอสมุดเมืองกรุงเทพมหานครแห่งนี้เป็นหอสมุดที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องการให้พวกเราคนไทยโดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในกทม. ได้มีที่อ่านหนังสือดีๆ เพิ่มมากขึ้นจากที่มีอยู่ในทุกวันนี้ จึงได้ทำการเช่าตึกบริเวณถนนราชดำเนินกลางที่มีความสวยงาม สะท้อนความเป็นไทยในอดีต มาปรับปรุงเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ 4 ชั้น โดยตามข่าวที่ออกมานั้นบอกว่าค่าเช่าตึกนี้ 30 ปี มีมูลค่า 600 ล้านบาท และค่าดำเนินการปรับปรุงตกแต่งต่างๆ อีกทั้งหมด 296 ล้านบาทครับ
สำหรับกำหนดการเปิดอย่างเป็นทางการของหอสมุดแห่งนี้คือวันที่ 28 เม.ย. 60 แต่ในวันดังกล่าวสมเด็จพระเทพฯ จะเสด็จมาด้วย ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็เลยแนะนำว่าบุคคลทั่วไปที่ต้องการมาใช้บริการควรมาวันที่ 29 เม.ย. เป็นต้นไปมากกว่าครับ โดยเวลาเปิดปิดก็ตามนี้เลยครับ
เวลาเปิด-ปิด :
วันอังคาร – วันเสาร์ เวลา 08.00 – 21.00 น.
วันอาทิตย์ เวลา 09.00 – 20.00 น.
(ปิดทำการวันจันทร์ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์)
โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยเห็นด้วยที่หอสมุดแห่งนี้จะปิดวันหยุดนักขัตฤกษ์นะครับ เพราะผมคิดว่ามันน่าจะเป็นวันที่คนวัยทำงานหรือครอบครัวส่วนใหญ่จะมีโอกาสได้มากันครับ อย่างไรก็ตามในเมื่อเค้ากำหนดมาแล้วก็คงต้องตามนั้นไปก่อนและหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำไปพิจารณาอีกทีนะครับ
พิกัดสถานที่ตั้งของที่นี่แบบชัดๆ ก็คือ บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยครับ โดยการเดินทางมาที่นี่ผมแนะนำว่าควรมาด้วยรถเมล์หรือ Taxi เท่านั้น เพราะแถวนี้หาที่จอดยากกมากกกก โดยรถเมล์สายที่ผ่านก็ตามนี้เลยครับ 2, 2ส, 15,32, 33ร, 35ร, 44ร, 47, 59, 60, 68, 70, 79, 82, 157ร, 171ร, 183ร, 201ร, 203, 503, 509, 511, 511ส, 556
ก่อนที่จะเข้าไปชมหอสมุดแห่งนี้ ผมขออนุญาตชี้แจงตามนี้ก่อนนะครับ
1. วันที่ผมไปนั้น คือวันที่ 9 เม.ย. 60 ซึ่งเป็นวันที่เปิดทดสอบระบบเท่านั้น ดังนั้นอาจจะมีอะไรหลายอย่างที่ไม่เรียบร้อยครับ
2. วันที่เปิดจริงคือวันที่ 28 เม.ย. 60 แต่แนะนำว่าควรไปวันที่ 29 เม.ย. เป็นต้นไปดีกว่า โดยระหว่างนี้ทางหอสมุดอาจจะมีการเปิดทดสอบระบบอยู่เป็นระยะๆ แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นวันไหนบ้าง เอาเป็นว่าหากไม่มีความจำเป็นต้องรีบไปก็รอเค้าเปิดอย่างเป็นทางการก่อนแล้วกันครับ
3. วันที่ผมไปนั้นทางหอสมุดอนุญาตให้ถ่ายภาพได้ แต่ห้ามใช้แฟลช และผมไม่ทราบว่านะครับว่าหลังจากที่เปิดอย่างเป็นทางการแล้วจะยังจะอนุญาตให้ถ่ายภาพได้อีกหรือเปล่า
4. ภาพทั้งหมดในบทความนี้ หากมีภาพไหนที่คิดว่าไม่เหมาะสม สามารถแจ้งให้ผมเอาออกได้ และผมขอความร่วมมือทุกคนงดวิจารณ์บุคคลที่อยู่ในภาพด้วยนะครับ
เอาล่ะครับตอนนี้เรามาเปิดประตูหอสมุดเมืองกรุงเทพมหานครไปพร้อมๆ กันเลยครับ โดยสิ่งแรกที่เราจะเห็นหลังจากที่ผลักประตูกระจกเข้าไปก็คือโต๊ะประชาสัมพันธ์แล้วก็ประตูทางเข้าออกอีกชั้นเพื่อไปยังส่วนที่เป็นหอสมุดจริงๆ ครับ ซึ่งการผ่านเข้าออกประตูนี้ก็ไม่ยากอะไร ไม่ต้องสมัครหรือเสียค่าใช้จ่ายใดใดทั้งสิ้น เพียงแค่เรามีบัตรประชาชนแบบ Smart Card จากนั้นก็คือเสียบบัตรประชาชนที่ประตู แล้วกดเบาๆ เดี๋ยวประตูก็เปิดออกครับ
ทุกคนที่เข้าไปข้างในหอสมุดจะสามารถหยิบอ่านหนังสือและใช้งานในส่วนต่างๆ ได้ทั้งหมด แต่จะไม่สามารถยืมหนังสือออกมาข้างนอกได้ โดยหากเราต้องการจะยืมหนังสือออกมานั้นจะต้องทำบัตรสมาชิกก่อนซึ่งอัตราค่าสมาชิกก็ถูกมากๆ ครับ
อัตราค่าสมาชิก : ผู้ใหญ่ 10 บาท/ปี (ค่าประกันหนังสือ 40 บาท)
เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ค่าสมาชิก 5 บาท/ปี (ค่าประกันหนังสือ 20 บาท)
โดยค่าสมาชิกนั้นจะต้องจ่ายต่ออายุทุกปี ส่วนค่าประกันหนังสือจ่ายแค่ทีแรกทีเดียวแล้วจบเลย และเราจะได้รับเงินค่าประกันหนังสือคืนด้วยเมื่อวันที่เราลาออกจากการเป็นสมาชิกหอสมุดและไม่มีหนังสือที่ยังค้างไม่ได้คืนครับ
ข้อควรระวังและสิ่งที่อยากจะเตือนมากๆ ก็คือ ทางหอสมุดแห่งนี้เค้าห้ามเอากระเป๋าใบใหญ่แบบที่พอจะใส่หนังสือได้เข้าไปข้างในโดยเด็ดขาดนะครับ เราจะเอาเข้าได้เฉพาะพวกกระเป๋าเล็กๆ แล้วก็กระเป๋าเงินเท่านั้น (กระเป๋ากล้องก็ไม่มีข้อยกเว้นนะครับ) ดังนั้นเราจะต้องฝากกระเป๋าของเราไว้ที่ locker และถือของที่เราต้องการเอาเข้าไปใช้งานเองด้วยมือตัวเองทั้งหมด โดยตอนนี้ตู้ locker ที่มีบริการถือว่าใหม่และสภาพดีอยู่ การใช้งานตู้ locker เราจะต้องใช้เหรียญ 10 บาท หยอดลงไป 1 เหรียญ พอเราเอากุญแจมาไขของออกก็จะได้เงินของเราคืนครับ แต่ปัญหาสำคัญในตอนนี้ก็คือตู้ lockerตอนนี้มีน้อยมาก ถ้าคนฝากเยอะตู้จะไม่พอ และต้องใช้การฝากวางไว้ที่พื้นและให้เจ้าหน้าที่ดูแลให้แทน ดังนั้นผมจึงไม่แนะนำให้เอากระเป๋าสวยๆ แพงๆ รวมทั้งของมีค่าต่างๆ ไปยังที่แห่งนี้นะครับ
หมายเหตุ : จริงๆ ระหว่างที่ผมเดินข้างในหอสมุด ผมก็พบว่ามีบางคนที่ถือกระเป๋าใหญ่เข้ามาได้นะครับ แต่คิดว่ามันเป็นช่วงแรกๆ หรืออาจจะมีกรณีพิเศษอะไรบางอย่าง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เราเตรียมตัวของเราไปให้พร้อมตั้งแต่แรกจะดีกว่าครับ
พอเราเข้ามาข้างในหอสมุดแล้ว เราจะพบว่าหอสมุดที่นี่จะมีทั้งหมด 4 ชั้น แบ่งเป็นชั้น 1, ชั้น M, ชั้น 2 แล้วก็ชั้น 3 โดยในหอสมุดมีลิฟท์ด้วยนะครับ สำหรับหน้าตาชั้น 1 เป็นแบบนี้ครับ โปร่งโล่งสบายตามาก มีเก้าอี้ให้เรานั่งอ่านหนังสือเยอะแยะมากมายสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบโซฟา เป็นโต๊ะเก้าอี้พร้อมปลั๊กไฟก็มี หรือจะเป็นโต๊ะยาวติดริมหน้าต่างที่เห็นวิวถนนราชดำเนินกลางก็มี โดยวันที่ผมไปนั้นมีหลายๆ คนที่เอาคอมมานั่งทำงานหรือค้นคว้าหาข้อมูลอะไรอยู่แทบทุกบริเวณเลยครับ
ส่วนใครที่ไม่มีคอมส่วนตัวมา แต่อยากจะเข้าเวบหรือค้นข้อมูลอะไร ทางหอสมุดเค้าก็มีคอมแบบตั้งโต๊ะไว้ให้ใช้ด้วยนะครับ มีจำนวนหลายสิบเครื่องเลยแล้วก็มีหลายมุมด้วยครับ
ประเภทหนังสือที่ชั้น 1 นั้นจะเน้นเป็นพวกหนังสือท่องเที่ยวแล้วก็นิตยสารต่างๆ เป็นหลัก โดยจำนวนหนังสือที่มีตอนนี้ น่าจะมีแค่ราวๆ 20% ของพื้นที่ชั้นหนังสือได้ครับ ยังเหลือพื้นที่ให้นำหนังสือมาเติมได้อีกเยอะเลย
สำหรับใครที่เลือกหนังสือที่ต้องการจะอ่านได้แล้วก็ไปหาที่นั่งในมุมและรูปแบบที่ตัวเองชอบได้เลยครับ
ปล. สิ่งที่ผมคิดว่าประหลาดและเพี้ยนมากๆ อย่างนึงของที่นี่ก็คือ มันจะมีโคมไฟวางไว้บนโต๊ะเยอะมากกกก แทบจะทุกโต๊ะเลย แต่ประมาณครึ่งนึงของโต๊ะเหล่านั้น ไม่มีช่องเสียบปลั๊กไฟครับ ผมก็เลยไม่รู้ว่าเค้าเอาโคมไฟมาวางไว้ทำไม เอามาเพื่อเป็นพร็อพเก๋ๆ เฉยๆ หรือตอนนี้อาจจะเป็นแค่การทดสอบระบบอยู่จึงยังไม่มีปลั๊กไฟให้เสียบหรือเปล่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอดูตอนเปิดจริงอีกที มันอาจจะมีปลั๊กไฟต่างๆ พร้อมมากกว่านี้ครับ
มุมเก๋ๆ อีกมุมนึงที่ชั้น 1
ส่วนอันนี้เป็นมุม Top view ที่มองมาจากชั้น M ครับ
จบจากชั้น 1 แล้ว ทีนี้เรามาดูที่ชั้น M กันดีกว่า ที่ชั้นนี้ก็ยังมีโต๊ะและโซฟาให้นั่งจำนวนมากเช่นกันครับ โดยบันไดที่จะขึ้นชั้น M และชั้น 2 นั้นจะเป็นคนละบันไดกันนะครับ บันไดที่ขึ้นชั้น M จะเป็นบันไดพิเศษโดยเฉพาะที่สามารถมาได้แค่ชั้นนี้ชั้นเดียวเท่านั้นครับ แต่สำหรับใครที่ขึ้นลิฟท์มาก็จะสามารถไปได้ทุกชั้นครับ
หนังสือชั้นนี้จะเป็นหนังสือสำหรับเด็กครับ
และนอกจากจะมีหนังสือสำหรับเด็กแล้ว เค้าก็ยังมีห้องให้เด็กเล่นแบบนี้ด้วย ซึ่งห้องเด็กเล่นนี่กว้างขวางมากเลยครับ
ระหว่างที่เด็กๆ เล่น ผู้ปกครองที่มาก็สามารถไปนั่งเล่นอ่านหนังสือตามมุมต่างๆ ได้ครับ ซึ่งที่นั่งชั้นนี้มีหลายแบบมาก ทั้งโซฟายาวๆ หรือโซฟาเก๋ๆ ที่สามารถนั่งนอนอ่านได้อย่างเอกเขนก หรือไม่ก็มุมส่วนตัวที่สงบกับโต๊ะแบบนี้ครับ
เอาล่ะ เรามาต่อที่ชั้น 2 กันดีกว่าครับ ชั้น 2 เป็นชั้นที่มีหนังสือเยอะมาก และน่าจะเป็นหนังสือแนวที่ผมชอบที่สุดแล้ว เพราะมันคือพวกนิยายต่างๆ เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นแนวแจ่มใส รักวัยรุ่นกุ๊กกิ๊ก, แนวนิยายแปลต่างประเทศอย่างแฮรี่ พอตเตอร์ หรือหัวขโมยแห่งบารามอส หรือนิยายจีนกำลังภายในโดยเฉพาะจากปรมาจารย์หวงอี้ผู้ล่วงลับไปแล้วก็มีให้อ่านแบบครบๆ โดยหนังสือแต่ละเรื่องนั้นจะมีหลายเล่มและยังมีสภาพใหม่อยู่ครับ
การเรียงหนังสือตอนนี้เหมือนเค้าจะใช้การเรียงตามตัวอักษรนะครับ ยังไงลองไล่ๆ หากันดูนะครับ
ส่วนอันนี้ตอนแรกผมก็งงๆ ว่ามันคืออะไร มันเป็นตู้ไม้ขนาดใหญ่มาก แต่พอมีคนเดินไปลองเปิดเท่านั้นก็เลยรู้ว่าข้างในคือหนังสือจีนเล่มใหญ่ๆ อยู่เต็มตู้เลยครับ
มุมอ่านหนังสือในชั้นนี้มีมากมายเลยครับ เรียกว่าเยอะไม่แพ้ชั้นที่ผ่านๆ มาเลย
แต่สิ่งที่พิเศษสุดของชั้นนี้ก็คือเค้ามีห้องส่วนตัวแบบนี้ด้วยอีก 3-4 ห้อง โดยเค้าตั้งชื่อเก๋ดีนะครับว่า “ห้องค้นคว้า” ผมว่ามันเป็นห้องที่ดีมากๆ เลย เพราะเป็นส่วนตัวและสงบมาก ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะมีระเบียบและวิธีป้องกันไม่ให้พวกขายตรงหรือกลุ่มที่สอนพิเศษมาใช้ห้องนี้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวนะครับ T___T
อ้อ นอกจากหนังสือนิยายต่างๆ แล้วที่ชั้น 2 นี้ก็มีหนังสือท่องเที่ยวรวมไปถึงหนังสือที่เกี่ยวกับการออกแบบหรือศิลปะหน่อยๆ ด้วยครับ
เราไปดูที่ชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายกันดีกว่าครับ ตรงบริเวณมุมๆ ของชั้น 2 และ 3 นั้นจะมีเวิ้งที่นั่งคล้ายๆ แบบนี้ทั้ง 2 ชั้นเลย บรรยากาศน่านั่งดีครับ ส่วนเรื่องห้องน้ำนั้นผมลืมบอกไปเลยว่า มันมีทุกชั้นเลย ที่สำคัญห้องน้ำแต่ละชั้นใหญ่ สะอาด และดีงามมากมาย ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้เลยครับ ^^
สำหรับใครที่ไม่ชอบนั่งโซฟาแบบในเวิ้งนั้น เค้าก็มีโต๊ะแบบนี้ให้นั่ง มีปลั๊กไฟพร้อมเสร็จสรรพ ซึ่งเห็นแล้วก็ชื่นใจนะครับที่มีคนเข้ามาใช้บริการกันเยอะดี
หนังสือที่ชั้นนี้จะเน้นเกี่ยวกับจดหมายเหตุ, ในหลวงแล้วก็ราชวงศ์เป็นหลัก โดยสภาพหนังสือแต่ละเล่มยังใหม่และน่าอ่านมากๆ
และแน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้ที่ใครหลายคนอยากเห็นด้วยตาตัวเอง อยากลองสัมผัสเปิดด้วยมือตัวเองอย่างเล่มนี้ก็มีด้วยครับ “เพียงพ่อก็พอเพียง” ที่สำคัญมีหลายเล่มด้วยนะครับ เปิดวางให้เราดูได้สบายๆ เลย แต่รบกวนหน่อยนะครับ ใครที่ไปเปิดดูช่วยเปิดเบาๆ และถนอมๆ ด้วย คนที่มาหลังเราจะได้ดูหนังสือดีๆ แบบนี้ไปนานๆ ครับ
ลักษณะโต๊ะอ่านหนังสือบริเวณชั้น 3 ผมว่าจะออกแนวขรึมๆ และดูเป็นผู้ใหญ่กว่าชั้นอื่นๆ ครับ
ที่ชั้นนี้นอกจากจะมีหนังสือเกี่ยวกับในหลวงและราชวงศ์แล้ว ยังมีนิทรรศการที่เล่าถึงพระอัจฉริยภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยนะครับ ทำออกมาสวยงามและน่าอ่านมาก
สำหรับมุมนี้ เป็นมุมนึงที่ผมคิดว่าสวยมากๆ ครับ
ภาพที่เราเห็นตรงผนังนี่เป็นภาพจากจอดิจิทัลนะครับ จะเปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้ เค้ายังมีภาพถ่ายสวยๆ แบบนี้ให้เราดูด้วยครับ
เอาล่ะครับ ตอนนี้ผมก็พาทุกคนเดินชมหอสมุดเมืองกรุงเทพมหานครครบแล้ว ทีนี้เรามาดูเรื่องสุดท้ายกันดีกว่า นั่นก็คือการยืมหนังสือนั่นเอง เพราะเป็นหอสมุดมันก็ควรจะยืมหนังสือได้ใช่มั้ยครับ สำหรับวิธีการยืมนั้นผมไม่มั่นใจ 100% นะครับว่าทำยังไง แต่เดาว่าคงเกี่ยวกับเครื่องนี้แหละครับ โดยคนที่จะยืมได้ต้องเป็นสมาชิกก่อนซึ่งค่าทำบัตรสมาชิกถูกมาก นั่นคือ ผู้ใหญ่ 10 บาท/ปี ส่วนเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี แค่ 5 บาท/ปี เท่านั้น โดยจะต้องมีค่าประกันหนังสือด้วย 40 บาท (สำหรับเด็กจะเสียค่าประกันหนังสือ 20 บาทนะครับ) โดยค่าประกันหนังสือนั้นจะจ่ายเพียงครั้งเดียวและจะได้คืนเมื่อตอนเรายกเลิกการเป็นสมาชิกหอสมุดและไม่มีการค้างหนังสือที่ไม่คืนอยู่ครับ
สำหรับระเบียบการยืมนั้นจะยืมได้นาน 7 วัน โดยเท่าที่ผมทราบมาคือไม่ใช่หนังสือทุกเล่มที่เราจะสามารถยืมได้ พวกหนังสือหายากนั้นจะไม่สามารถยืมได้ครับ แต่เค้าจะมีบริการถ่ายเอกสารให้แทน
ครับ ก็จบแล้วสำหรับการเดินสำรวจหอสมุดเมืองกรุงเทพมหานครของผม เอาเป็นว่าใครที่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ควรพลาดเด็ดขาด สถานที่ดี, หนังสือใหม่, ที่นั่งมากมาย, มีคอมพิวเตอร์บริการ, ห้องน้ำสะอาด, แอร์เย็น, แถมมี Free Wifi ด้วย เรียกว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบถ้วนเลย สิ่งที่จะขาดไปก็มีแค่เรื่องที่จอดรถแล้วก็ปริมาณหนังสือที่ยังน้อยไปหน่อยเท่านั้น ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกซักพักในการเติมหนังสือเข้ามา ดังนั้นผมก็เลยอยากจะขอให้ทุกคนที่ได้มีโอกาสเข้ามาใช้บริการสถานที่แห่งนี้นั้นดูแลดีๆ ทั้งหนังสือและสถานที่ รวมทั้งเคารพกติกาการใช้งานของหอสมุดอย่างเคร่งครัด ไม่เอาพื้นที่แบบนี้มาประกอบธุรกิจส่วนตนของตัวเองจนมากเกินไป สถานที่ดีๆ แบบนี้จะได้อยู่กับเราไปนานๆ และคนที่ต้องการจะใช้บริการจะได้ใช้งานมันจริงๆ ครับ
ส่วนใครที่ผ่านไปแถวนั้นแล้วรู้สึกร้อนๆ หมดพลัง อยากจะหาที่นั่งพักซักครู่ก็ลองแวะเวียนเข้าไปได้ครับ ไม่แน่คุณอาจจะเพลินจนลืมเวลาก็ได้ แต่ยังไงก็อย่าลืมนะครับว่าที่นี่คือห้องสมุด จะทำอะไรก็ต้องเงียบๆ และเกรงใจส่วนรวมด้วยนะครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ และสำหรับท่านที่อยากจะได้ข้อมูลของสถานที่แห่งนี้เพิ่มเติม ก็สามารถเข้าไปดูข้อมูลตามลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป