สวัสดีครับ หลังจากที่เราทั้งคู่ได้มีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นมา 3-4 ครั้ง เราก็พบว่ามันมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับการฝากซื้อของที่น่าสนใจอยู่ 2-3 เรื่อง และน่าจะสามารถเอามาแบ่งปันและเป็นประโยชน์กับหลายๆ คนได้ครับ จะเป็นเรื่องอะไรนั้น ลองมาตามไปดูด้วยกันดีกว่าครับ ^^
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น
เรื่องที่ 1 “การฝากซื้อของ”
ปฏิเสธไม่ได้เนอะว่าพวกเราคนไทยไปไหนมาไหนมักจะต้องมีการซื้อของกลับมาฝากคนอื่นอยู่เสมอๆ และบางครั้งคนรอบๆ ตัวเราก็มักจะมีการฝากซื้อของบางอย่างในประเทศที่เราไป เพราะราคามันถูกกว่าในประเทศไทยเยอะ หรือไม่ก็เพราะไม่สามารถหาซื้อสินค้ารายการนั้นในประเทศไทยได้
ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้แหละ เพราะบางคนก็เป็นคนขี้เกรงใจมาก บางคนก็ทำตัวไม่ถูก ไอ้ของน่ะ..ก็อยากจะได้ เพราะประหยัดกว่า ถูกกว่า หรือไม่ก็หาในไทยยากกกกกกกซะเหลือเกิน แต่เกรงใจเพื่อนก็เกรงใจเพื่อนมากเหมือนกัน จะทำยังไงดีเราถึงจะได้ของและไม่ทำให้ความสัมพันธ์เสียไป วันนี้นาย “ภรรยาหา สามีใช้” ก็เลยขอมาแนะนำเทคนิคหรือกระบวนการง่ายๆ ในการที่จะฝากซื้อของโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดดังนี้ครับ
เริ่มจากการสอบถามคนที่เราต้องการจะฝากซื้อของว่าเค้าเดินทางด้วยสายการบินอะไร เพราะบางครั้งเค้าอาจจะเดินทางด้วยสายการบิน Low Cost ซึ่งต้องมีการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม หรือบางสายการบินก็มีน้ำหนักกระเป๋าให้น้อยเหลือเกิน ลำพังแค่เสื้อผ้าและของส่วนตัวของเค้าก็อาจจะเกือบเต็มแล้วก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นกรณีนี้โดยส่วนตัวผมมักจะไม่ฝากเค้า ยกเว้นเจ้าตัวเค้าจะอาสาหรือยืนยันเสียงแข็งว่าสบายมาก เค้ายินดีรับฝากครับ
สอบถามว่าเค้าแพลนการเที่ยวอย่างไรบ้าง เดินทางหลายเมืองหรือเปล่า เพราะบางคนโปรแกรมการเดินทางแน่นมาก แบกเป้ เปลี่ยนที่นอนแทบทุกคืน บางวันเค้ายังอาจจะต้องฝากของไว้ในล็อคเกอร์เพื่อไปเที่ยวก่อนเข้าที่พักเลยก็มี ถ้าเป็นแบบนี้เค้าก็คงไม่สะดวกรับฝากซักเท่าไหร่เนอะ ^^
บอกรายละเอียดสินค้าให้ชัด เช่น ชื่อรุ่น, สี, รูปแบบขวด และถ้ามีรูปภาพ หรือพิกัดการซื้อที่ชัดๆ ก็แจ้งให้ครบ และประเด็นที่สำคัญมากๆ ก็คือ ราคา เราควรจะบอกเค้าไปเลยว่า “ถ้าเกิดราคาไม่เกินเท่านี้บาท เท่านี้เยน สามารถซื้อมาได้เลย ไม่ต้องถามเค้าแล้ว” และโปรดอย่าไประบุราคาแบบที่ต่ำมากๆ แบบที่เราเคยเห็นคนอื่นซื้อได้นะครับ เพราะบางครั้งราคาที่เราเห็นมานั้นอาจจะเป็นราคาเก่า ราคา Promotion หรือราคาพิเศษเฉพาะร้าน ซึ่งคนที่เราฝากซื้ออาจจะไม่มีเวลาไปเดินหาให้เราขนาดนั้นครับ
เงิน ถ้าจะดีควรฝากเงินเค้าไปตั้งแต่แรกเลย ไม่ว่าจะเป็นเงินบาท หรือเงินเยน โดยหากเป็นเงินบาท ควรจะบอกและแจ้งเนิ่นๆ เนื่องจากคนที่เราฝากนั้นเค้าต้องเดินทางไปแลกเปลี่ยนสกุลเงินอีก และควรฝากไปเกินเล็กน้อยด้วย หรือถ้าเค้าบอกว่าเค้าสะดวกรูดบัตร ยังไม่ต้องฝากเงินไปก่อน ให้เค้ารูดเสร็จก่อนและรอดู Exchange Rate อีกที เราก็ควรให้สิทธิ์เค้าในการตัดสินใจครับ
ของที่ควรฝากซื้อนั้น ควรจะเป็นของชิ้นเล็ก มีขนาดไม่ใหญ่ ไม่แตก ไม่พังง่าย และไม่ควรจะหนักครับ อ้อ….จะให้ดีราคาของเหล่านั้นควรจะแตกต่างจากที่หาซื้อในประเทศไทยได้อย่างมีนัยยะนะครับ เพราะของบางอย่างราคาไม่แพง ต่างจากเมืองไทยไม่ถึง 20 บาท/ชิ้น คนรับฝากอาจจะเครียดได้ครับ T____T
ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญมากๆ จนอาจจะต้องคิดถึงเป็นอันดับแรกเลย นั่นคือ “ความสนิท” ครับ ก่อนที่จะฝากใครซื้อของให้ ผมอยากให้เราประเมินเรื่องความสนิทระหว่างเรากับผู้รับฝากดีๆ ก่อนว่าสนิทกันระดับไหน หากแบบว่าไม่เคยรู้จักตัวจริงมาก่อนเลย บ้านอยู่แถวไหนก็ไม่รู้ ชื่อเล่นชื่ออะไรยังเรียกไม่ถูก ประมาณว่ารู้จักกันเพราะ Add Facebook ตามๆ กันมา ผมคิดว่าเราไม่ควรจะฝากซื้อนะครับ ยกเว้นว่าเราจะเห็นคนๆ นั้นประกาศอย่างเป็นทางการว่าเค้าจะเดินทางไปที่ไหน เมื่อไหร่ และเค้ายินดีรับฝากซื้อ รับหิ้วของ เป็นต้น
สุดท้าย ไม่ว่าคนที่เราฝากซื้อนั้นจะได้ของที่เราฝากซื้อมาหรือไม่ก็ตาม เราก็ควรจะกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” กับเค้าครับ บางคนนี่เค้าหาซื้อของมาให้ไม่ได้ นอกจากจะไม่พูดขอบคุณแล้ว ยังมีโกรธ มีงอนเค้าด้วยซะงั้น – -“ และสำหรับกรณีที่เค้าซื้อของมาให้เราได้นั้นตอนที่เราทำการรับเงินทอนคืนหรือเคลียร์ค่าใช้จ่ายกัน นอกจากเราจะต้องรีบไปเอาสินค้าในเวลาและจุดที่คนรับฝากซื้อของให้เราสะดวกที่สุดแล้ว เราควรคำนวนอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรมและปัดเศษกลมๆ ให้เค้าด้วยนะรับ โดยการปัดเศษเป็นตัวเลขกลมๆ นั้นควรปัดขึ้นนะครับ ไม่ใช่ปัดลง……ฮา
เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆ คนที่ไม่รู้จักเราทั้งคู่ อาจจะคิดว่าเราทั้งคู่เป็นคนใจจืด ใจดำ ไม่มีน้ำใจ คิดเล็กคิดน้อย นู่นนี่นั่นมากมาย แต่อยากจะบอกว่าไม่ใช่เลยนะครับ ^^ เราทั้งคู่ยินดีรับฝากซื้อของครับเท่าที่เราสามารถทำได้ครับ และเราก็เคยมีการฝากคนอื่นซื้อของจากต่างประเทศบ้าง โดยเราคิดว่าการที่เราทำแบบนี้มันน่าจะทำให้ทั้งเราและคนที่เราฝากซื้อนั้นสบายใจครับ ซึ่งแนวคิดพวกนี้อาจจะผิดหรือถูกก็ได้นะ เพราะเรื่องพวกนี้ขึ้นอยู่กับนิสัยหรือลักษณะของแต่ละคนด้วยครับ
เรื่องที่ 2 “Item ยอดฮิตจากญี่ปุ่น”
เอาล่ะครับ ทีนี้มาดูเรื่องที่ 2 กันดีกว่าครับ นั่นก็คือเรื่องของ “Top 5 ของฝากซื้อยอดนิยมจากประเทศญี่ปุ่น” โดยรายการทั้ง 5 นี้ มาจากประสบการณ์ตรงของเราทั้งคู่จากที่เราได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นกันมาคนละ 3-4 ครั้งนะครับ ซึ่งการฝากซื้อของเหล่านี้ก็มาจากคนรอบๆ ตัวเรานี่แหละครับ ทั้งพี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหายรวมไปถึงเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ทำงานครับ โดยของทั้ง 5 รายการนี้ ผมไม่ได้เรียงตามความถี่หรือจำนวนที่ได้รับฝากซื้อนะครับ แต่กรุ๊ปรวมว่า 5 รายการนี้แหละที่คนมักจะฝากซื้อจากญี่ปุ่นกันบ่อยๆ
เอาล่ะครับ ไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ทำไมเค้าถึงชอบฝากซื้อ และราคามันต่างจากที่ไทยเท่าไหร่กันนะ
หมายเหตุ : ราคาของสินค้าทั้ง 5 รายการที่จะแสดงหลังจากนี้เ
อันดับที่ 1 ครีมกันแดด Shiseido Anessa สีทอง
ที่สุดของครีมกันแดดเนื้อน้ำนม ที่คนไทยนิยมกวาดซื้อกันมากมายครับ จนที่ตึกม่วง Takeya ต้องติดป้ายว่าห้ามซื้อเกินคนละ 10 ขวดกันเลยทีเดียว ก็แน่ล่ะสิ เพราะซื้อที่นู่นถูกกว่าที่ไทยเยอะเลยครับ โดยเท่าที่ผมเห็นจะมี 2 ขนาด คือ ขนาด 25ml และ ขนาด 60ml ซึ่งขนาดที่เรามักจะโดนฝากซื้อก็คือ ขนาด 60ml ครับ โดยราคาที่หาซื้อได้ล่าสุดก็คือ 2,480 เยน หรือประมาณ 800 บาทครับ สำหรับใครที่สงสัยว่าทำไมผมถึงซื้อมาแพงจัง? จากการสอบถามเพื่อนที่ญี่ปุ่นพบว่า สินค้ารายการนี้พึ่งมีการปรับเปลี่ยนแบรนด์ใหม่ โดยสามารถสังเกตได้ที่ขวดครับ ด้านซ้ายคือขวดเก่า ด้านขวาคือขวดใหม่ ตำแหน่งการวางอักษรและรูปพระอาทิตย์จะต่างจากเดิม และแบบใหม่จะมีคำว่า Aqua booster เพิ่มขึ้นมาด้วยครับ ซึ่งผมเองก็ยังไม่ได้ลองใช้เลยว่าแตกต่างจากเดิมยังไงบ้าง แต่สินค้าโฉมใหม่นี้ได้วางตลาดในญี่ปุ่นมาซักพักในราคาเต็มๆ 2,480 เยน/ขวด (ไม่รวม Tax 8%) และยังไม่มีการลดราคาเลย ส่วนสินค้าตัวเดิมที่ผมเคยหาซื้อได้จากการไปครั้งก่อนๆ จะอยู่ที่ราวๆ 2,000 เยนต่อขวด หรือราวๆ 640 บาท ซึ่งถูกกว่าที่ไทยที่ขายกันราคา 1,100-1,300 บาทเยอะมากเลยทีเดียวครับ
อันดับที่ 2 โฟมล้างหน้า Shiseido Perfect Whip
ล่าสุดที่ผมไปมาเมื่อ เม.ย. 59 นั้น สินค้ารายการนี้ก็ได้มีการเปลี่ยนโฉมใหม่เหมือนกันนะครับ ตอนนี้ไม่มีคำว่า Shiseido อยู่ที่แพคเกจแล้ว แถมราคาก็ขึ้นอีกต่างหาก เอาจริงๆ ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าเนื้อผลิตภัณฑ์ยังเหมือนเดิมมั๊ย เดี๋ยวถ้าภรรยาผมได้ลองใช้แล้วจะเอามาเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ เพราะซื้อมาลองใช้ส่วนตัวเหมือนกันครับ สำหรับสรรพคุณสูตรเดิมของเจ้า Perfect Whip นี้ มันดีงามตรงเนื้อโฟมข้น สีขาว ตีผสมกับน้ำแล้วจะได้โฟมที่นุ่มๆ เนื้อละเอียด ทำความสะอาดได้ดี หน้าไม่แห้งตึงเลยครับ ราคาทั่วไปที่สามารถหาเจอได้ง่ายๆ คือ 398 เยน/หลอด หรือประมาณ 127 บาท แต่รอบล่าสุดนี้ผมเจอราคาต่ำสุดที่ 322 เยน หรือประมาณ 103 บาท/หลอดเท่านั้น ซึ่งถูกว่าประเทศไทยที่ขายกันหลอดละ 290 บาทค่อนข้างมากเลยครับ
หมายเหตุ : จากที่ลองหาข้อมูลมาล่าสุด เหมือนรุ่นแพคเกจใหม่ในไทยจะขายกันที่ 190 บาท/หลอดนะครับ ซึ่งก็จะทำให้มีส่วนต่างเมื่อเทียบกับราคาประเทศญี่ปุ่นน้อยลงกว่าเดิมครับ
อันดับที่ 3 Bifesta Cleansing water
ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางแบบน้ำ มีหลายสีทั้งเขียว ส้ม ชมพู โดยสีที่ผมมักได้รับการฝากซื้อก็คือสีเขียวสำหรับคนผิวมันและคนเป็นสิวครับ ปกติจะขายกันเป็นขวดๆ แต่รอบนี้ไปเจอรุ่นพิเศษที่แถมสำลีมาให้ด้วย โดยที่มีราคาเท่ากับแบบที่ไม่แถมสำลีเลยครับ ราคาตกอยู่ที่ 699 เยน หรือประมาณ 224 บาท สำหรับราคาในไทยจะอยู่ที่ประมาณ 390 บาทต่อขวดครับ
อันดับที่ 4 ถั่ววาซาบิ
ขนมที่หลายๆ คนมักชอบซื้อกลับมาฝาก หรือมักโดนฝากซื้อติดอันดับต้นๆ เลย รสชาติอร่อย เผ็ดจากวาซาบิเล็กๆ เคี้ยวเพลิน กินหมดไว ราคาอยู่ที่ 880 เยน หรือประมาณ 280 บาท/ห่อ สำหรับราคาที่ขายในไทยเท่าที่ผมเห็นก็ราวๆ 400-450 บาท/ห่อครับ
อันดับที่ 5 Nissin บะหมี่ถ้วยกึ่งสำเร็จรูป
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อที่ไม่ค่อยฮิตในไทยซักเท่าไหร่ แต่สำหรับรสแกงกะหรี่นี้ ผมไปญี่ปุ่นทีไรมักโดนฝากซื้อกลับมาด้วยทุกที จนผมอยากรู้ว่ามันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ สุดท้ายหลังจากที่ผมได้ลองชิมก็เลยติดใจและซื้อกลับมาทานเองด้วยตลอดเหมือนกัน เพราะนอกจากรสชาติจะดีถูกปากแล้วที่สำคัญเค้ายังมีเนื้อใส่มาให้ด้วยนะครับ โดยรอบล่าสุดนี้ผมเห็นมีรสแกงกระหรี่ชีสด้วยก็เลยจัดมาชิมดูซักหน่อย ถ้าชิมแล้วได้รสชาติยังไงจะมาเล่าสู่กันฟังอีกทีนะครับ สำหรับราคาโดยทั่วไปของสินค้ารายการนี้อยู่ที่ประมาณ 100-135 เยน หรือประมาณ 32-43 บาทต่อถ้วย ส่วนราคาในไทยที่เคยเห็นก็ราวๆ 70 บาทต่อถ้วยครับ เรียกได้ว่าราคาต่างกันเยอะพอควรเหมือนกันครับ
ตอนนี้ก็จบทั้ง 2 เรื่อง ที่เราอยากมาเล่าสู่กันฟังแล้ว ชอบหรือไม่ชอบยังไงสามารถบอกกันได้เลยนะครับ หรือว่าหากมีข้อมูลตรงไหนที่ผิด ไม่ถูกต้อง ก็สามารถทักท้วงมาได้เลย เรายินดีรับฟังทุกความเห็นครับ และสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ ได้เลยครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เราทั้งสองเขียนจากประสบการณ์ส่วนตัวและอ้างอิงข้อมูลในช่วงเดือนเมษายนของปี 2559 นะครับ