สวัสดีทุกคนครับ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสไปลองทานอาหาร Sunday Brunch ของห้องอาหาร Amaya Food Gallery (อมาญา ฟู้ด แกลเลอรี่) ชั้น 4 โรงแรม Amari Watergate (อมารี วอเตอร์เกท) มา ก็พบว่าห้องอาหารนี้มีสิ่งที่น่าสนใจรวมทั้งมีรสชาติอาหารที่ถูกปากผมหลายอย่างเลย ดังนั้นพอทางห้องอาหาร Amaya Food Gallery เค้าได้ปรับเปลี่ยนธีมบุฟเฟ่ต์คืนวันศุกร์ (Friday Night Buffet) ใหม่ โดยใช้ชื่อธีมว่า Sailor’s Seafood Showdown ที่มาพร้อมกับกะลาสีเรือและอาหารทะเลหลากหลาย รวมทั้งยังมีโปรโมชั่นเด็ดๆ โดนๆ มา 2 จ่าย 1 เหลือเพียงคนละไม่ถึง 1,000 บาทด้วย ก็ทำให้ผมต้องรีบหาวันไปลองชิมบุฟเฟ่ต์ไลน์ใหม่นี้ทันที และหลังจากที่ได้ลองชิมแล้วก็พบว่าไลน์บุฟเฟ่ต์นี้นี้มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายอย่างตามนี้เลยครับ
  1. ห้องอาหารกว้างมาก สามารถจุคนได้ประมาณ 420-450 คน รวมทั้งยังมีเพดานสูง ที่นั่งหลากหลายรูปแบบด้วย
  2. มีไลน์อาหารเยอะและถือว่ามากันพร้อมหน้าเลยทั้ง Seafood on ice, Grilled Station, ญี่ปุ่น, อินเดีย, ไทย, จีน, สลัด, ชีส แล้วก็ของหวาน โดยในส่วนของ Seafood on ice, Grilled Station และของหวานนั้นผมว่าไลน์บุฟเฟ่ต์นี้ให้มาเยอะและหลากหลายดีครับ
  3. ซี่โครงแกะย่างอร่อยมากกกก ผมทานแล้วประทับใจ เนื้อนุ่ม แถมไม่มีกลิ่นเลยครับ
  4. ทุกคนที่มาทานไลน์บุฟเฟ่ต์นี้จะได้รับสิทธิ์ในการทานล็อบสเตอร์คนละครึ่งตัว โดยเราสามารถเลือกปรุงได้ 3 แบบ ได้แก่ นึ่ง, ย่าง หรืออบชีส
  5. สามารถนั่งกินได้ยาวๆ ถึง 4 ชั่วโมงครึ่ง เริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 – 22.30 น. ครับ
  6. มีโปรโมชั่นดีๆ น่าสนใจหลายอย่าง ทั้งมา 4 จ่าย 2 และมา 2 จ่าย 1 โดยใครที่สนใจโปรโมชั่นมา 2 จ่าย 1 นั้นก็สามารถกดไปจองที่ลิงก์นี้ได้เลยครับ  โดยคนที่จองผ่านลิงก์นี้และรับสิทธ์มา 2 จ่าย 1 จะได้ทานบุฟเฟ่ต์ไลน์นี้ในราคาเพียงคนละ 963 บาท net เท่านั้น (ราคารวมเครื่องดื่ม) ซึ่งเป็นราคาที่ผมว่าน่าสนใจมากเลย เพราะราคาปกติของไลน์นี้จะอยู่ที่ 1,500 ++ บาทต่อคน (ราคารวมเครื่องดื่ม) หรือประมาณ 1,765.50 บาท net ใครสนใจโปรโมชั่นเด็ดๆ โดนๆ แบบนี้ก็รีบจองได้เลยนะครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
เอาล่ะ หลังจากที่เรารู้จุดเด่นคร่าวๆ ของไลน์บุฟเฟ่ต์คืนวันศุกร์ของห้องอาหาร Amaya Food Galley ธีมใหม่ที่ชื่อว่า Sailor’s Seafood Showdown กันไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราไปดูเรื่องของการเดินทาง รวมทั้งรายละเอียดเจาะลึกของแต่ละสเตชั่นอาหารกันดีกว่าครับ โดยในเรื่องของการเดินทางมายังห้องอาหารและโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ยากเลย เพราะโรงแรม Amari Watergate นั้นตั้งอยู่ที่ประตูน้ำ ตรงข้ามกับห้าง Platinum (แพลทตินั่ม) เลยครับ ^^
แผนที่ Amari Watergate
โดยคนที่ขับรถส่วนตัวมานั้นรวมๆ ก็ถือว่าสะดวกสบายระดับนึงเลย เพราะทำเลที่ตั้งของเค้าหาง่าย ที่จอดรถก็ค่อนข้างเยอะ แถมยังสามารถประทับตราบัตรจอดรถได้ฟรีนานถึง 4 ชั่วโมงด้วย ส่วนใครที่ไม่มีรถส่วนตัวก็อาจจะลำบากนิดนึงว่าจะเดินทางยังไงดี เพราะโรงแรมแห่งนี้ไม่ได้อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า แต่หากใครต้องการจะมาด้วยรถไฟฟ้านั้น ผมแนะนำให้ลงที่สถานี BTS ชิดลม, BTS ราชเทวี หรือไม่ก็สถานี Airport Link ราชปรารภนะครับ โดยทั้ง 3 สถานีนี้จะอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งพอลงแล้วใครจะเดินเท้าต่อ หรือนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้าง, รถเมล์, Taxi อันนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนเลยครับ
ภาพนี้เป็นภาพหน้าตาของโรงแรมครับ ตัวตึกจะอยู่ตรงข้ามกับห้าง Platinum เลย ส่วนด้านข้างจะอยู่ติดกับ City Complex (ซิตี้ คอมเพล็กซ์) สองแหล่งชอปปิ้งชื่อดังย่านประตูน้ำ รับรองว่าถ้าไปถึงแถวนั้นแล้วเราหาโรงแรมเจออย่างแน่นอน
Amari Watergateแพลทตินั่ม ประตูน้ำและเมื่อเรามาถึงโรงแรมแล้วก็ให้เรากดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้น 4 ได้เลย พอเราออกจากลิฟท์ก็จะเจอกับหน้าตาห้องอาหาร Amaya Food Gallery แบบนี้อยู่ โดยห้องอาหารแห่งนี้เป็นห้องอาหารที่ใหญ่มาก เพดานสูงโปร่ง พื้นที่เยอะสามารถรองรับคนได้มากกว่า 400 คน รวมทั้งในเรื่องของโต๊ะและเก้าอี้นั้นก็มีให้บริการหลายรูปแบบครับ รวมๆ แล้วผมว่าใครที่ต้องการห้องอาหารที่ดูโปร่งๆ โล่ง สบายตา และอยากจะหาสถานที่พาคนกลุ่มใหญ่มานั่งทานอาหารกัน ห้องอาหารนี้ตอบโจทย์ได้ดีเลยครับ
หมายเหตุ : สำหรับภาพบรรยากาศโต๊ะและเก้าอี้ของห้องอาหารนั้น ผมขอเอาภาพเดิมบางส่วนที่เคยถ่ายตอนไปรีวิว Sunday Brunch มาลงเลยนะครับ เพราะวันที่ผมไปรีวิวไลน์นี้ คนไปใช้บริการค่อนข้างเยอะ ผมเลยไม่อยากถ่ายภาพมาครับ ^^
มาดูในเรื่องของราคาอาหารกันบ้าง สำหรับราคาบุฟเฟ่ต์คืนวันศุกร์ของห้องอาหาร Amaya Food Galley ธีม Sailor’s Seafood Showdown นั้นจะมีราคาดังนี้ครับ
ผู้ใหญ่ : ราคา 1,500 บาท ++ ต่อคน หรือประมาณ 1,765.50 บาท net (ราคารวมน้ำเปล่าและ Soft Drink แล้ว)
เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี : รับประทานฟรี
เด็กอายุระหว่าง 6-11 ปี : คิดครึ่งราคา
เด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป : คิดราคาเท่ากับผู้ใหญ่
วันและเวลาที่เปิดบริการ : ทุกคืนวันศุกร์ตั้งแต่เวลา 18.00 – 22.30 น.
แต่ทั้งนี้สำหรับผู้ที่รักความประหยัดและเป็นแฟนเพจของ “ภรรยาหา สามีใช้” ก็สามารถรับสิทธิ์โปรโมชั่นพิเศษมา 2 จ่าย 1 ได้ทันที เพียงแค่ทำการจองผ่านลิงก์นี้ครับ  โดยทุกคนที่จองผ่านลิงก์นี้จะได้ทานบุฟเฟ่ต์ไลน์นี้ในราคาเพียงคนละ 963 บาท net เท่านั้น (ราคารวมเครื่องดื่มแล้ว)
ลำดับต่อไปเดี๋ยวเราไปไล่ดูอาหารต่างๆ ที่มีในไลน์บุฟเฟ่ต์นี้กันนะครับ โดยในความเห็นผมนั้น เราสามารถที่จะแยกหมวดหรือประเภทอาหารของไลน์บุฟเฟ่ต์นี้ออกได้เป็นทั้งหมด 7 หมวดหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่
หมวดที่ 1 : Seafood on ice
หมวดที่ 2 : Grilled Station
หมวดที่ 3 : อาหารไทย
หมวดที่ 4 : อาหารนานาชาติ (จีน, ญี่ปุ่น, อินเดีย)
หมวดที่ 5 : สลัด, Cold Cuts และชีส
หมวดที่ 6 : อาหารพิเศษ
หมวดที่ 7 : ของหวานและผลไม้
เริ่มกันที่หมวดแรก “Seafood on ice” ซึ่งเป็นหมวดไฮไลท์ของเค้าเลยนะครับ โดยหมวดนี้เป็นหมวดที่ทางห้องอาหาร Amaya Food Galley จัดเต็มมากๆ เพราะด้วยความที่บุฟเฟ่ต์นี้มีชื่อว่า Sailor’s Seafood Showdown หรือแปลเป็นไทยแบบง่ายๆ ว่าอาหารทะเลจากกะลาสีเรือ ดังนั้นทางห้องอาหารก็เลยจัดเอาพวกซีฟู้ดมาให้เราเลือกหยิบเลือกทานอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นขาปูอลาสก้า, หอยนางรม 3 สัญชาติ, หอยแมลงภู่ Black Mussel, หอยขาว, หอย periwinkle, หอยหลอด, กั้ง, ปลาหมึก, กุ้งลายเสือ, ปูทะเล และปูม้า เรียกว่าใครชอบทาน Seafood on ice น่าจะรู้สึกละลานตาและฟินกันไปพอควรครับ
และนอกจากทางห้องอาหารจะมีอาหารทะเลให้เราเลือกทานหลากหลายแล้ว เพื่อให้เข้ากับธีม Sailor’s Seafood Showdown เค้าก็ยังมีการตกแต่งสถานที่ต่างๆ ให้สอดคล้องกันด้วย เช่น การนำวัสดุคล้ายแหหรืออวนมาประดับตามจุดต่างๆ, การให้พนักงานของห้องอาหารแต่งกายคล้ายกับกะลาสีเรือ ใครมีเวลาก็ลองสังเกตจุดต่างๆ พวกนี้ดูนะครับ ผมว่าน่ารักดี
หมายเหตุ : ล็อบสเตอร์ที่เราเห็นอยู่ในไลน์นั้นจะเป็นล็อบสเตอร์ที่เค้าเตรียมไว้สำหรับการปรุงสุกนะครับ
นี่เป็นหน้าตาของหอยนางรม 3 สัญชาติแบบชัดๆ โดยวันที่ผมไปนั้นเค้าจะมีบริการเป็น Fine de Claire, Tvarskaya และ Normandy ความสดของหอยอยู่ในระดับกลางๆ แล้วก็รสชาติค่อนข้างเค็มครับ โดยหอยนางรมเค้าตอนแรกที่วางอยู่ในไลน์นั้นจะยังเป็นหอยที่ฝาปิดอยู่ และพอเราเดินไปที่สเตชั่นพร้อมกับบอกพนักงานว่าอยากจะทานชนิดไหนบ้าง กี่ตัว จากนั้นทางพนักงานเค้าจะทำการแงะฝาหอยให้ครับ
ส่วนนี่เป็นน้ำจิ้มซีฟู้ดและเครื่องเคียงต่างๆ ที่เค้ามีครับ ผมกับต๋งลองทานน้ำจิ้มซีฟู้ดมาผมว่ารสชาติอยู่ในระดับกลางๆ นะ ไม่ได้แซ่บและเผ็ดมากนัก ใครที่ชอบน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบเผ็ดๆ จี๊ดจ๊าดอาจจะรู้สึกขัดใจหน่อย
ส่วนในเรื่องของรสชาติและความสดโดยรวมของสเตชั่นนี้ ผมให้อยู่ในระดับกลางๆ นะครับ ไม่ได้รู้สึกโดดเด่นอะไรมาก ส่วนของขาปูอลาสก้านั้นใหญ่และเนื้อเยอะดี แต่ขาดความหวานไปนิดนึงครับ
อ้อ ใครที่ชอบทานปูก็ไม่ต้องกังวลใจไปนะครับว่าจะแกะยากมั้ย เพราะที่โต๊ะเค้าจะมีอุปกรณ์ต่างๆ ในการหนีบ งัด แงะให้เราหมดแล้ว ถือว่าเตรียมมาให้พร้อมเลยครับ
ต่อกันที่หมวดที่สอง “Grilled Station” หมวดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งหมวดที่ทางห้องอาหารเค้าจัดมาเต็มมาก เพราะมาทั้งกั้ง, ปลาหมึก, แซลมอน, หมู, แกะ, เนื้อเทนเดอร์ลอย (Tenderloin), เนื้อเซอร์ลอย (Sirloin), กุ้งแม่น้ำ, หอยแมลงภู่ และปลาหมึก ใครอยากทานเนื้อชนิดไหนก็แจ้งประเภทเนื้อและจำนวนกับพนักงานที่ยืนบริเวณนั้นได้เลย จากนั้นเมื่ออาหารปรุงเสร็จแล้วเค้าก็จะไปเสิร์ฟเราที่โต๊ะครับ
สำหรับจุดเด่นของหมวดนี้ที่ผมชื่นชอบก็คือเรื่องของความหลากหลายของอาหาร แล้วก็ทางห้องอาหารเค้ามีการปรุงอาหารบางประเภทที่คนชอบทานเยอะๆ รวมทั้งรสชาติไม่ค่อยดร็อปมากหากถูกวางทิ้งไว้ซักพักมาทำการปรุงรอไว้เป็นช่วงๆ เลย ดังนั้นในหลายๆ ประเภทอาหารเราก็เลยสามารถเดินไปหยิบใส่จานแล้วถือไปทานที่โต๊ะได้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลารอครับ
นี่เป็นหน้าตาของซอสและน้ำจิ้มต่างๆ ที่เค้ามีครับ ดูหลากหลายเหมือนกันครับ
ส่วนในเรื่องของรสชาติอาหารนั้นจากที่ผมได้ลองทานแทบทุกประเภท ผมให้อยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางดีนะครับ โดยเมนูที่เด่นมากและผมอยากจะแนะนำทุกคนเป็นพิเศษก็คือซี่โครงแกะ มันอร่อยมากกกกกก นุ่มและไม่มีกลิ่นเลย ใครชอบทานเนื้อแกะห้ามพลาดเลยครับ และผมคิดว่านี่คือหนึ่งในเนื้อแกะตามไลน์บุฟเฟ่ต์โรงแรมที่ผมทานแล้วชอบเป็นอันดับต้นๆ เลย ชอบขนาดที่วันนั้นผมซัดไปคนเดียว 4 ชิ้นเลยครับ ><
ส่วนใครที่ชอบทานเนื้อและกุ้งแม่น้ำนั้น ในความเห็นผมจากที่ได้ชิมวันนั้นผมว่าเนื้ออยู่ในระดับกลางๆ ครับ และด้วยความหนาของเนื้อที่ไม่มากเท่าไหร่ก็เลยทำให้ขาดความนุ่มไปพอควร ส่วนกุ้งแม่น้ำนั้นความสดถือว่าดี แต่ขนาดของกุ้งเล็กไปหน่อย หากทางโรงแรมสามารถปรับในสองจุดนี้ได้ ผมว่าหลายๆ คนน่าจะประทับใจในสเตชั่นนี้เพิ่มขึ้นครับ
อ้อ ใกล้ๆ กับ Grilled Station นี้ ทางห้องอาหารเค้าจะมีปลาแซลมอนอบตัวใหญ่ๆ ด้วยนะครับ รายการนี้ผมแนะนำเลยว่าห้ามพลาด อร่อยมาก ดีกว่าแซลมอนใน Grilled Station เยอะเลย
ต่อกันที่หมวดที่สาม อาหารไทย” หมวดนี้ก็เป็นหนึ่งในหมวดอาหารที่ผมว่าเค้ามีความหลากหลายและสร้างความแตกต่างได้ดีเลย โดยนอกจากเค้าจะมีประเภทอาหารไทยให้เราทาน 5-6 อย่าง และยำต่างๆ แบบไลน์บุฟเฟ่ต์ทั่วไปแล้ว เค้ายังมีของที่น่าสนใจอย่างผัดไทย, น้ำพริกหนุ่ม, น้ำพริกตาแดง, แคบหมู, ปลาทอดกรอบ, ผัดตกม และส้มตำให้เราทานด้วย ถือว่ามีความแปลกแหวกแนวและสร้างความน่าสนใจได้ดีเลยครับ นานๆ จะเจอพวกน้ำพริกหนุ่มและแคบหมูในไลน์บุฟเฟ่ต์โรงแรมซักที
ใครสนใจอยากจะลองทานเมนูไหนก็ไปส่องและตักมาชิมนะครับ โดยในความเห็นผมนั้นผมว่าน้ำพริกหนุ่มกับแคบหมูอร่อยดี กินเพลินๆ ไม่เผ็ดมาก ส้มตำก็อร่อยเด็ด น่าจะถูกปากถูกใจหลายคนเลย ส่วนพวกอาหารประเภทยำกับกับข้าวนั้นก็มีรสชาติถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้างปนๆ กันไป ยังไงถ้ามีโอกาสไปทานไลน์นี้ก็ลองชิมดูนะครับ
และสำหรับใครที่เป็นคนทานอาหารยาก หรือแพ้อาหารบางประเภทก็ไม่ต้องกังวลใจไปนะครับ เพราะเมนูส่วนใหญ่ของไลน์บุฟเฟ่ต์นี้เค้าจะมีการติดชื่ออาหารรวมทั้งประเภทของวัตถุดิบไว้อย่างชัดเจนแทบทุกรายการเลย ก็ถือว่าสร้างความสะดวกสบายให้กับแขกที่มาทานได้ดีระดับนึงเลย
หมวดที่สี่ อาหารนานาชาติ” อาหารในหมวดนี้จะมีทั้งหมด 3 สัญชาติได้แก่ จีน, อินเดีย และญี่ปุ่น โดยอาหารทั้ง 3 สัญชาตินี้จะถูกวางกระจายตามจุดต่างๆ ของห้องอาหารครับ ใครที่สนใจอยากลองทานประเภทไหนเป็นพิเศษก็ลองเดินหาดูนะครับ โดยในส่วนของอาหารจีนในวันที่ผมไปนั้นจะประกอบไปด้วยขนมจีบกุ้ง, ซาลาเปาไส้หมูสับ, ซาลาเปาไส้ครีม, ซาลาเปาไส้พุทราจีน, กระเพาะปลา, เป๋าฮื้อน้ำแดง, ผัดหมี่ซั่ว, แมงกระพุนน้ำมันงา แล้วก็ขาหมูยัดไส้ครับ
ผมได้ลองชิมแค่ขนมจีบกุ้งกับซาลาเปานะครับ ขนมจีบรสชาติกลางๆ ส่วนซาลาเปาผมว่าอร่อยดีนะ โดยเฉพาะไส้พุทราจีนผมชอบมาก มันแปลกและหวานนิดๆ กำลังดี แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าไว้พุทราจีนนี้เค้าจะมีบริการทุกวันหรือเปล่า เพราะมันถือว่าเป็นไส้ซาลาเปาที่แปลกไส้นึงเลย
มาดูในส่วนของอาหารอินเดียกันบ้าง โดยโรงแรม Amari Watergate นั้น เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ชาวอินเดียชอบมาใช้บริการกันครับ ดังนั้นทางโรงแรมก็เลยให้ความสำคัญกับประเภทของอาหารอินเดียพอควร และก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมซี่โครงแกะของเค้าถึงได้อร่อยมากขนาดนี้  ><
สำหรับประเภทของอาหารอินเดียที่เค้ามีให้บริการในไลน์บุฟเฟ่ต์ Sailor‘s Seafood Showdown นั้นก็ได้แก่ พาพาดัม และเนื้อสัตว์ย่างเครื่องเทศ (Tikka) อย่างปลา กุ้ง ไก่ แล้วก็ข้าวผัดปู ซึ่งอย่างหลังนี่มันเป็นอะไรที่ผมแอบงงๆ เหมือนกันว่าทำไมเค้าถึงวางไว้ที่นี่ แต่ก็คิดว่าทางโรงแรมเค้าคงมีเหตุผลของเค้าแหละครับ @_@
ในส่วนของรสชาตินั้นพาพาดัมอร่อยดีครับ กินเพลินเลย ส่วนพวกเนื้อสัตว์ย่างเครื่องเทศจริงๆ แล้วผมสั่งมาลองทานทุกประเภท แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นอาหารไม่มาเสิร์ฟที่โต๊ะ และผมก็รู้สึกอิ่มมากก็เลยไม่ได้ตามกับพนักงาน แต่เท่าที่ผมจำได้ตอนที่ผมได้มาลองทานใน Sunday Brunch ผมว่ารสชาติอาหารในส่วนนี้ของเค้าทำออกมาได้ดีเลยนะครับ
สำหรับสเตชั่นอาหารอินเดียนี้ ผมว่าหากทางโรงแรมสามารถเพิ่มพวกแกงกับนานเข้าไปได้อีกนิด น่าจะทำให้ทุกอย่างลงตัว และน่าจะดึงให้คนมาใช้บริการเพิ่มขึ้นได้ เพราะผมเคยทานนานในห้องอาหารแห่งนี้แล้วและรู้สึกว่านี่เป็นอาหารอีกหนึ่งประเภทที่เค้าทำออกมาได้ดีเช่นเดียวกันครับ
ปิดท้ายหมวดนานาชาติด้วยอาหารญี่ปุ่น ในส่วนนี้เค้าจะมีแค่ซูชิกับซาชิมิแค่ไม่กี่อย่างนะครับ ดูจะเป็นประเภทอาหารที่ทางห้องอาหารไม่เน้นซักเท่าไหร่ และถ้าจะพูดตามตรงแล้วผมว่ารสชาติกับคุณภาพอาหารในส่วนนี้ถือว่าไม่ผ่านเลยครับเมื่อเทียบกับราคาต่อคนประมาณนี้ T_T
หมวดที่ห้า “สลัด, Cold Cuts และชีส” หมวดนี้จะมีทั้งในส่วนของผัดสดกับน้ำสลัดต่างๆ ให้เราปรุงเอง แล้วก็สลัดสำเร็จรูปนะครับ หน้าตาของผักโดยดูดี ส่วนพวก Cold Cuts และชีสก็มีให้เลือกทานหลากหลาย ใครเป็นสายชอบทานผักและชีสก็แวะมาที่หมวดนี้ได้เลยครับ ส่วนผมเองไม่ค่อยเน้นกลุ่มนี้เท่าไหร่ก็เลยชิมแค่อย่างละนิดละหน่อย และถือว่ารสชาติเค้าโอเคเลยครับ ^^
หมวดที่หก อาหารพิเศษ” หมวดนี้จะเป็นประเภทอาหารที่ผมไม่รู้ว่าจะจัดไว้ตรงไหนดีนะครับ ก็เลยแยกออกมาต่างหาก โดยอาหารในหมวดนี้จะมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ ล็อบสเตอร์ปรุงสุก และปูแปรรูป โดยในส่วนของล็อบสเตอร์ปรุงสุกนั้นทางห้องอาหารจะจำกัดการสั่งเราที่คนละครึ่งตัวเท่านั้น โดยเราจะสามารถสั่งได้ 3 แบบ คือ นึ่ง, ย่าง หรืออบชีส ใครที่ชอบแบบเนื้อเยอะๆ นุ่มๆ หน่อยก็สั่งเป็นนึ่งหรืออบชีสนะครับ เพราะเนื้อล็อบสเตอร์จะยังคงรูปอยู่เยอะ แต่ถ้าใครสั่งเป็นแบบย่างเนื้อก็จะแห้งและหายไปพอควร
อ้อ นอกจากเราจะสั่งปรุงสุกล็อบสเตอร์ได้ 3 แบบแล้ว เรายังสามารถเลือกซอสได้ 1 อย่างจาก 4 อย่างด้วยนะครับ โดยซอสที่เค้ามีให้เราเลือกก็ได้แก่ ซอส X.O., ซอสเนยกระเทียม, ซอสฮอลแลนเดซ และซอสสไปซี่ชิลลี่ ใครชอบแบบไหนก็ติ๊กในใบสั่งออเดอร์และยื่นให้พนักงานได้เลย
ส่วนในกลุ่มของปูแปรรูปนั้นกลุ่มนี้จะเป็นประเภทอาหารที่เราสามารถสั่งได้เรื่อยๆ กี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัด โดยทางห้องอาหารจะวางสเตชั่นนี้ไว้อยู่ที่จุดเดียวกับอาหารอินเดีย และเมื่อเราเดินไปเราจะเห็นปูนิ่ม, ปูม้า และปูทะเลวางอยู่ตรงนี้เต็มเลยครับ โดยเราสามารถสั่งให้เชฟเค้านำปูเหล่านี้มาแปรรูเป็นอาหารประเภทต่างๆ ได้ทั้งผัดซอสมะขาม, ผัดซอสพริกไทยดำ แล้วก็ผัดผงกะหรี่
ตัวผมเองได้ลองทานมา 2-3 อย่าง รสชาติถือว่าดีครับ และสำหรับใครที่อยากจะทานอาหารประเภทนี้ง่ายๆ หน่อย ผมแนะนำให้เลือกเป็นปูนิ่มนะครับ เพราะเราจะสามารถทานได้เลย ไม่ต้องแกะหรือแทะอะไรให้ยุ่งยาก ><
และตอนนี้เราก็มาถึงหมวดสุดท้าย ของหวานและผลไม้” กันแล้วครับ และหมวดนี้เป็นอีกหนึ่งหมวดที่ผมว่าทางห้องอาหารเค้าทำออกมาได้ดีเลย เมนูมีความหลากหลาย และรสชาติอาหารก็อยู่ในเกณฑ์ดี โดยในส่วนของผลไม้นั้นวันที่ผมไปเค้าก็มีทั้งแอปเปิ้ล, มะละกอ, แตงโม, แคนตาลูป, สับปะรด, องุ่น, ลำไย, ส้ม แล้วก็แก้วมังกร ถือว่าเป็นไลน์บุฟเฟ่ต์ที่มีผลไม้ให้เลือกทานเยอะดีนะครับ หน้าตาผลไม้ก็ดูดีชวนให้หยิบทานด้วย
ส่วนของของหวานนั้นเค้าก็จัดมาให้เต็มที่ทั้งไทยและต่างประเทศเลย ไม่ว่าจะเป็นเค้ก, พุดดิ้ง, บราวนี่, พานาคอตต้า, แพนค้ก, ไอศกรีม, ช็อคโกแลตฟองดู, น้ำแข็งไส, ทองหยิบ, ขนมชั้น, ลูกชุบ, ข้าวต้มมัด, ขนมกล้วย, ขนมเทียน, ลอดช่องสิงคโปร์ และมันแกงบวด เรียกว่าขนกันมามากมายแบบถูกอกถูกใจคนที่ชอบทานของหวานกันอย่างแน่นอน เพราะนอกจากเมนูจะหลากหลายแล้ว รสชาติขนมส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีด้วยครับ
สำหรับเมนูที่ผมอยากจะแนะนำเป็นพิเศษในหมวดนี้ก็คือ ช็อคโกแลตพุดดิ้ง, คัสตาร์ดพุดดิ้ง, ข้าวต้มมัด แล้วก็น้ำแข็งไสครับ โดยเฉพาะน้ำแข็งไสนั้นเค้ามีการจัดเตรียมเครื่องกับน้ำราดต่างๆ ให้เราเลือกเยอะมาก เยอะจนไม่รู้ว่าจะเลือกใส่อะไรดีเลยครับ @_@
ในส่วนของไอศกรีมนั้น วันที่ผมไปทานเค้ามีให้เลือกทั้งหมด 3 รสครับ ได้แก่ มะพร้าว, เสาวรส และแอปเปิ้ลซอร์เบท รสชาติโดยรวมดี และในการทานนั้นเราสามารถเลือกสั่งได้ว่าจะเอาใส่โคนหรือใส่ถ้วย ซึ่งผมลองสั่งมาทานทั้งคู่และแอบรู้สึกว่าโคนไอศกรีมของเค้านิ่มไปหน่อยครับ เวลาทานแล้วก็เลยทำให้ไม่ค่อยโดนใจซักเท่าไหร่
ปิดท้ายด้วยเรื่องสุดท้ายก่อนที่จะเข้าไปถึงบทสรุป นั่นก็คือเรื่องของเครื่องดื่มครับ โดยในการทานไลน์บุฟเฟ่ต์เย็นวันศุกร์ Sailor’s Seafood Showdown ของห้องอาหาร Amaya Food Gallery (อมาญา ฟู้ด แกลเลอรี่) ชั้น 4 โรงแรม Amari Watergate (อมารี วอเตอร์เกท) นั้น ทุกคนจะได้รับน้ำเปล่า, ชา, กาแฟ และ Free Flow Soft Drink ด้วย ดังนั้นแต่ละคนก็สามารถที่จะนั่งทานกันได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องของงบบานปลายเลย
และเพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพของไลน์บุฟเฟ่ต์นี้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมก็เลยขอสรุปการรีวิวเป็นหัวข้อต่างๆ เป็นการทิ้งท้ายรีวิวนี้ดังนี้นะครับ
วันที่รับประทาน : วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2562
ช่วงเวลา : 18.00 – 21.30 น.
จำนวน : 2 คน
รสชาติอาหาร : อันนี้ผมขอแยกเป็น 2 หมวดนะครับ คือหมวดอาหารคาวและของหวาน ในส่วนของอาหารคาวนั้นผมว่ารสชาติอาหารอยู่ในเกณฑ์ปานกลางค่อนไปทางดี เมนูส่วนใหญ่รสชาติอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ยกเว้นโซนอาหารญี่ปุ่นที่ดูดร็อปกว่าเพื่อน โดยเมนูอาหารคาวที่ผมชอบมากที่สุดก็คือซี่โครงแกะย่างกับแซลมอนอบ สองเมนูนี้ทำออกมาได้ดีจริงๆ ครับ โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ เลย ส่วนใครที่ชอบทานพวก Seafood on ice หรืออาหารทะเลทั้งหลายก็อาจจะต้องไปลุ้นเรื่องของความสดกันอีกที เพราะรอบนี้ที่ผมไปทานนั้นความสดถือว่าอยู่ในเกณฑ์กลางๆ แต่ก่อนหน้านี้ที่ผมเคยไปทาน Sunday Brunch มา ผมว่าความสดเค้าดีกว่านี้พอควรเลย ส่วนในเรื่องของหวานนั้นอันนี้ทางห้องอาหารเค้าทำออกมาได้ดีเลยครับ รสชาติส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีและอร่อยถูกปากผมครับ ^^
ความหลากหลายของอาหาร : ถือว่าเป็นไลน์อาหารที่มีความหลากหลายเลยนะครับ เพราะนอกจากจะมีประเภทอาหารที่ครอบคลุมทั้ง Seafood on ice, Grilled Station, ญี่ปุ่น, อินเดีย, ไทย, จีน, สลัด, ชีส, ของหวาน และผลไม้แล้ว เค้ายังมีอาหารพิเศษอย่างล็อปสเตอร์กับปูแปรรูปด้วย นอกจากนี้ในกลุ่มอาหารประเภท Seafood on ice, Grilled Station และของหวานก็ยังมีประเภทของอาหารให้เลือกทานเยอะด้วย รวมๆ แล้วความหลากหลายของไลน์บุฟเฟ่ต์นี้อยู่ในเกณฑ์ดี และเหมาะที่จะพาคนกลุ่มใหญ่ๆ มาทานพร้อมกันได้เลยครับ
ความสะอาดของร้านและบรรยากาศโดยรวม : ในเรื่องนี้ผมให้อยู่ในเกณฑ์ดีเช่นเดียวกันครับ เพราะห้องอาหาร Amaya Food Gallery แห่งนี้มีพื้นที่กว้าง เพดานสูง รวมทั้งมีการตกแต่งสีสันในบางจุดได้สวยงามลงตัว ที่สำคัญทุกๆ วันอาทิตย์หลังจากที่ไลน์ Sunday Brunch ปิดบริการแล้ว ทางห้องอาหารแห่งนี้จะมีการ Deep Cleaning ทำความสะอาดกันแบบทุกซอกทุกมุมด้วยครับ
การบริการของพนักงาน : ก่อนหน้านี้ตอนรอบ Sunday Brunch ผมเคยให้ดีไว้ แต่รอบนี้ผมให้อยู่ในเกณฑ์กลางๆ นะครับ เพราะถึงแม้จะมีพนักงานหลายๆ คนที่ดูกระตือรือร้น ยิ้มแย้มแจ่มใส และเอาใจใส่ลูกค้าดี แต่ก็มีพนักงานบางคนที่ผมคิดว่าเค้าขาด Service Mind ไปนิดครับ และในวันที่ผมไปทานนั้นก็มีปัญหาในเรื่องของออเดอร์ตกๆ หล่นๆ รวมถึงเสิร์ฟผิดโต๊ะด้วย ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากให้ทางโรงแรมปรับปรุงพัฒนาจุดนี้ให้กลับไปอยู่ในจุดเดิมที่เคยทำได้นะครับ ^^
ความสะดวกของการเดินทาง : ข้อนี้ถือเป็นจุดด้อยของห้องอาหารแห่งนี้เลย เพราะถึงแม้ทำเลจะดีอยู่ใจกลางเมือง หาเจอง่าย แต่ด้วยความที่ว่าบริเวณนี้เป็นบริเวณที่การจราจรติดขัดพอควร รวมทั้งที่ตั้งของโรงแรมก็ไม่ได้ใกล้รถไฟฟ้า BTS, MRT หรือ Airport Link มากนัก ก็เลยทำให้คนที่ไม่มีรถอาจจะไม่สะดวกในการเดินทางไปซักเท่าไหร่ ดังนั้นหากใครที่ต้องการจะไปทานอาหารที่นี่ก็ต้องวางแผนและดูเรื่องของการเดินทางให้ดีๆ นะครับ
ความคุ้มค่า : ถ้าเทียบราคาเต็มแบบไม่มีโปรโมชั่นที่ 1,500++ บาทต่อคน หรือ 1,765.50 บาท net นั้น ผมว่าไลน์นี้ยังไม่คุ้มค่าและสู้อีกหลายๆ ที่ไม่ได้ครับ แต่ถ้าใครจองผ่านลิงก์นี้ และได้รับสิทธิ์มา 2 จ่าย 1 ผมว่าเป็นราคาที่น่าสนใจเลย เพราะราคาต่อคนจะเหลืออยู่เพียง 963 บาท net เท่านั้น ซึ่งในไลน์บุฟเฟ่ต์ที่ราคาต่ำกว่า 1,000 บาทนั้น หาได้ยากมากที่จะมีประเภทอาหารหลากหลายแบบนี้ รวมทั้งยังมีล็อบสเตอร์ให้อีกคนละครึ่งตัวให้ด้วยครับ
สรุป : ไลน์บุฟเฟ่ต์คืนวันศุกร์ Sailor’s Seafood Showdown ถือเป็นไลน์บุฟเฟ่ต์นึงที่มีความหลากหลายของอาหาร โดยเฉพาะ Seafood on ice, Grilled Station และของหวาน ใครที่ชอบทานอาหารเหล่านี้รวมทั้งเนื้อแกะ และอยากจะทานอาหารหลายๆ ประเภทในวันเดียวกัน หรือเป็นคนที่กำลังมองหาห้องอาหารขนาดใหญ่ พื้นที่กว้าง นั่งสบาย มีที่นั่งทานเยอะ และมีล็อบสเตอร์ให้ทานฟรี ห้องอาหารแห่งนี้น่าจะตอบโจทย์ได้เลยครับ แต่สำหรับใครที่มองหาอะไรที่สุดๆ ทั้ง Seafood ที่สดเว่อร์, ประเภทของอาหารญี่ปุ่นที่มีให้เลือกทานเยอะและคุณภาพของปลาดิบที่ดี มีล็อบเสตอร์ให้กินไม่อั้น หรือเป็นคนที่กำลังมองหาห้องอาหารที่เดินทางสะดวก ใกล้ BTS และ MRT ไลน์บุฟเฟ่ต์นี้น่าจะยังไม่ตอบโจทย์ที่คุณต้องการครับ อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่พิจารณาแล้วว่าน่าจะถูกชะตากับไลน์บุฟเฟ่ต์นี้ก็อย่าลืมจองผ่านลิงก์นี้ http://bit.ly/2YniDAT ทุกครั้ง เพื่อรับสิทธิ์มา 2 จ่าย 1 ด้วยนะครับ เวลาไปทานจะได้คุ้มๆ ครับ ^^
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการกินและเที่ยวของผมกับต๋งก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ ส่วนผู้ที่สนใจหรือต้องการสอบถามข้อมูลต่างๆ ของไลน์บุฟเฟ่ต์นี้เพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้ได้เลย แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
Facebook : Amaya Food Gallery
Facebook : Amari Watergate Bangkok
Tel : 02-6539000
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราในวันที่ลองใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากนี้ได้ครับ