สวัสดีทุกท่านครับ วันนี้ผมมีรีวิวร้านอาหารมาฝากกันอีกแล้วนะครับ โดยรีวิวในครั้งนี้มันมีความทรงจำและประสบการณ์ที่ดีๆ กับผมหลายอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น
1. เป็นการรีวิวแบบ SR (Sponsor Review) ร้านอาหารร้านแรกของผมเลย ซึ่งผมต้องขอบคุณมากๆ ที่ทางร้านให้โอกาสดีๆ กับผมแบบนี้มาครับ ทั้งๆ ที่เงื่อนไขในการทำ SR ของผมที่เรียกร้องไปนั้นถือว่าจุกจิก และเรื่องมากพอสมควร (เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังอีกทีนะครับว่าจุกจิกและเรื่องมากยังไง แต่สิ่งที่ผมเรียกร้องไปนั้นเพื่อความสบายใจในการเขียนรีวิวของผมจริงๆ และผมอยากจะให้ทุกท่านได้อ่านรีวิวที่จริง ตรงๆ ไม่มีหมกเม็ดครับ)
2. เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้มีโอกาสกินเมนูอาหารที่คิดค้นโดยเชฟกะทะเหล็กชื่อก้องโลกครับ ถึงเค้าจะไม่ได้มาทำด้วยตัวเอง แต่ผมก็คิดว่ามันก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากแล้วนะครับ
เอาล่ะครับ เกริ่นมาขนาดนี้ผมคิดว่าหลายๆ ท่านก็คงจะพอรู้กันบ้างแล้วใช่มั้ยครับว่าวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปพบกับการรีวิวอาหารของร้าน “Oishi Buffet กับแคมเปญตำนานเชฟกะทะเหล็ก ฮิโรยูกิ ซาไก” นั่นเองครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
ก่อนที่จะเข้าไปสู่เนื้อหาของการรีวิว ผมจะชี้แจงให้ทุกท่านทราบถึงเงื่อนไขในการทำ SR ของผมในครั้งนี้ให้ทุกท่านอ่านก่อน เพื่อความสบายใจในการอ่าน และตัดสินใจว่าจะเชื่อถือรีวิวในครั้งนี้มากและน้อยแค่ไหนนะครับ
1. ในการทำ SR ครั้งนี้ผมขอแค่ Voucher สำหรับไปทานแค่ 2 ใบเท่านั้น และไม่ขอค่าตอบแทนอย่างอื่นอีกเลย
2. ผมจะขอเขียนรีวิวทุกอย่างตามจริง เท่าที่ผมเห็นด้วยตา และเท่าที่ผมสัมผัสในวันที่ผมไป ในรูปแบบการเขียนของผมครับ
3. ผมจะส่งเนื้อหาที่เขียนเสร็จพร้อมรูปให้ทีมงานตรวจสอบก่อนจะเผยแพร่ โดยผมจะทำการแก้ไขเนื้อหาให้เฉพาะส่วนที่ผมเขียนผิด อาทิ ชื่ออาหาร, ส่วนประกอบของอาหาร, ชื่อเชฟ ชื่อแคมเปญ ราคา เท่านั้น แต่จะไม่แก้ไขเนื้อหาในส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากนี้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องของรสชาติและการบริการต่างๆ ครับ
4. หากทางทีมงานไม่พอใจเนื้อหาส่วนอื่นๆ ที่ผมเขียน สามารถเลือกได้แค่ไม่ให้ผมเผยแพร่ออกสู่สาธารณะเท่านั้นครับ
และทั้งหมดนี่คือเงื่อนไขของผมในการทำ SR ครั้งนี้ครับ ซึ่งทางทีมงานก็รับกับเงื่อนไขพวกนี้ได้ ดังนั้นผมจึงกล้าที่จะพูดว่านี่คือ SR ที่มีความจริงไม่ต่างจากที่ผมทำ CR ร้านอื่นๆ ในอดีตครับ ^^
ครับ เมื่อเล่าถึงที่มาที่ไปครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ทีนี้ก็เริ่มการรีวิวแบบจริงจังได้ซักทีล่ะครับ โดยหลังจากที่ผมได้ Voucher ของทางร้านมา 2 ใบ ผมกับภรรยาก็ปรึกษากันและเลือกที่จะไปทานที่สาขา “เมเจอร์ ปิ่นเกล้า” ในวันเสาร์ที่ 2 พ.ค. 58 ครับ โดยผมได้ทำการโทรไปจองโต๊ะไว้ ในเวลา 13.00 น. ครับ
เมื่อถึงเวลา ผมก็เดินทางไปที่ร้าน และก็เจอคุณลุงฮิโรยูกิ ซาไก ยืนยิ้มแฉ่งรอต้อนรับอยู่ที่หน้าร้านแบบนี้ครับ (สำหรับสาขานี้ ร้านอยู่ชั้น G นะครับ และอยู่บริเวณด้านหลังของห้างครับ)
นอกเหนือจากคุณลุงฮิโรยูกิ ซาไก ที่ยืนอยู่หน้าร้านแล้ว ก็ยังมีป้ายไฟแสดงราคาอันใหญ่ๆ ตั้งไว้อีก 1 อันครับ โดยราคาปกติของที่นี่ก็คือ 539 บาท/ท่าน (เป็นราคา Net แล้วครับ) มีเวลาให้ทาน 1 ชั่วโมงกับ 45 นาที ครับ
สำหรับเด็กจะมีราคาพิเศษ 2 ราคาตามนี้ครับ
– เด็กสูง 80-100 ซม. จะราคา 160 บาท/ท่าน (ราคา Net)
– เด็กสูง 101-130 ซม. จะราคา 270 บาท/ท่าน (ราคา Net)
หลังจากที่ผมบอกพนักงานที่หน้าร้านว่าได้ทำการจองไว้ พนักงานก็ทำการตรวจสอบรายชื่อกับเวลาและก็พาเดินไปที่โต๊ะครับ ต้องบอกตามตรงว่าสาเหตุที่ผมเลือกมาที่สาขานี้เพราะจุดประสงค์หลักๆ อยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ ผมคิดว่าสาขานี้คนน่าจะไม่ค่อยรู้จัก ไม่น่าจะมีคนเยอะเท่าไหร่ ผมน่าจะนั่งทานได้สบายๆ ไม่ต้องแย่งกับใครมาก กับอย่างที่สองซึ่งสำคัญกว่ามากๆ ก็คือ ผมตั้งใจจะมาดู The Avenger2 ต่อครับ ฮาๆๆๆ
และเมื่อผมเดินเข้าไปในร้าน ต้องบอกเลยว่าเรื่องที่ผมคิดไว้เรื่องแรกนั้น ผมคิดผิดถนัดเลยครับ เนื่องจากคนนั่งกันเต็มร้านแบบไม่มีที่ว่างเลย!! มีว่างเฉพาะโต๊ะผมที่จองไว้เท่านั้น ซึ่งเป็นโต๊ะที่อยู่มุมในสุดของร้านด้วย เข้าใจว่าน่าจะเป็นโต๊ะตัวสุดท้ายของร้านพอดี โดยหมายเลขของโต๊ะผมก็คือหมายเลข 80 กับ 81 ครับ จากการคำนวนคร่าวๆ ในใจผมคิดว่าร้านนี้น่าจะสามารถรับคนได้ราวๆ 200 คนเลยครับ ซึ่งถือว่าใหญ่กว่าที่ผมคิดไว้เล็กน้อยครับ
เมื่อพนักงานพามาถึงโต๊ะ ก็ทำการจัดแจงแจ้งรายละเอียดว่า ผม 2 คนจะมีเวลาทานอาหารกัน 1 ชั่วโมงกับ 45 นาที โดยสามารถเริ่มตักได้เลย และช่วงนี้ทางร้านจะมีเมนูพิเศษจากเชฟกะทะเหล็กให้คนละ 1 จาน แล้วแต่ว่าจะรับหรือไม่ก็ได้ สำหรับเดือนนี้เมนูเชฟกะทะเหล็กก็คือ “น่องไก่กงฟีต์ กับมันฝรั่งทอด” ซึ่งผมก็บอกพนักงานไปว่าขอรับเต็มโควต้า คนละ 1 จานครับ
หลังจากที่พนักงานไปแล้ว ภรรยาผมก็ทำหน้าที่เดินไปตักอาหารมาให้ผมถ่ายรูป ส่วนผมก็ทำการเฝ้าของ และเริ่มถ่ายรูปของที่มีบนโต๊ะไปเรื่อยๆ ครับ
ปล. ตอนที่พนักงานพาเดินมาที่โต๊ะนั้น เค้ามีถือป้ายอันนี้มาด้วยนะครับ คงเป็นกิมมิคในช่วงนี้
Now my wife is “Iron Chef”!!
มาดูของบนโต๊ะกันครับ จากในภาพแรกๆ จะเห็นว่า แผ่นกระดาษรองจานจะมีการเขียนว่า “10 สุดยอดเมนู สไตล์ โออิชิ บุฟเฟต์” ผมก็เลยหยิบมาตั้งถ่ายให้เห็นชัดๆ ครับ….. กว่าจะหาที่ตั้งได้ ต้องใช้ทรัพยากรบนโต๊ะมาหนุนหลังเยอะมาก ><
10 รายการในแผ่นกระดาษนี้มีดังนี้ครับ
1. ข้าวปั้นหน้าปลาไหลญี่ปุ่นย่างซีอิ๊ว
2. ซูชิแซลมอนลาวา
3. ข้าวปั้นหน้าปลาแซลมอนย่างไฟ
4. หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ๊ว
5. แซลมอน ซาซิมิ
6. กุ้งเทมปุระ
7. สเต็กปลาแซลมอน
8. ผักโขมอบชีส
9. ไข่ตุ๋น
10. บานอฟฟี่
โดยใน 10 รายการนี้ มีเพียงรายการที่ 2 เพียงรายการเดียวเท่านั้นที่ผมกับภรรยาไม่ได้ลองชิม ที่เหลือพวกเราซัดหมดครับ คร่าวๆ ทั้ง 9 รายการนี้ เราสองคนประทับใจเกือบหมด โดยเฉพาะ แซลมอน ซาซิมิ, กุ้งเทมปุระ, เสต็กปลาแซลมอน แล้วก็บานอฟฟี่ครับ ส่วนที่ไม่ค่อยประทับใจก็คือ ข้าวปั้นหน้าปลาไหลญี่ปุ่นย่างซีอิ๊ว ครับ เพราะขนาดปลาไหล และหน้าตาแตกต่างกับในรูปที่ถ่ายโฆษณาเยอะไปหน่อยครับ @_@
เอาล่ะครับ ตอนนี้ภรรยาผมก็เริ่มลำเลียงอาหารกลับมาที่โต๊ะแล้วครับ มาเริ่มไล่ดูรูปกันไปทีละรายการนะครับ
จานนี้คือ แซลมอน ซาชิมิ, ปลามารีน ซาชิมิ, ไข่หวาน แล้วก็ยำสาหร่ายครับ
รสชาติโดยรวมๆ จานนี้ผมประทับใจกับแซลมอน ซาซิมิมากนะครับ ถึงจะชิ้นไม่ใหญ่ ไม่หนามาก แต่รสชาติดีสอบผ่านครับ และถือว่าดีกว่าหลายร้านที่เป็นบุฟเฟต์ในราคาใกล้เคียงกันครับ (ขออนุญาติไม่เอ่ยชื่อร้านนะครับ เพราะเกรงว่าเดี๋ยวจะมีมาม่า – -“)
ส่วนเมนูที่เหลือในจานทั้งไข่หวาน และ ยำสาหร่าย รสชาติสอบผ่าน ครับ มีเพียงปลามารีนที่ผมไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ครับ
หมายเหตุ : ขอย้ำนะครับ ว่าแซลมอน ซาชิมินี้ผมเทียบเฉพาะเกรดที่อยู่ในร้านบุฟเฟ่ต์เท่านั้น เพราะหากเทียบรสชาติแล้วคงยังไม่สามารถสู้แบบที่สั่งมาเป็นจานๆ ได้อยู่แล้วครับ
หลังจากจานแรกที่เป็นการเดินหยิบคีบในไลน์อาหารด้วยตัวเองผ่านไป ตอนนี้เมนูอาหารอื่นๆ ที่ภรรยาผมใช้ไม้หนีบไปสั่งไว้ก็เริ่มทยอยมาแล้วครับ
เมนูอาหารของโออิชิ บุฟเฟต์นี้ โดยรวมๆ น่าจะมีเกิน 100 รายการนะครับ มีทั้งซาซิมิ, ข้าวปั้น, ของทานเล่น, เทปันยากิ (ปิ้ง-ย่าง), ชาบู, ขนมจีบ, ซาลาเปา แล้วก็ปิดท้ายด้วยของหวาน, ไอศครีม และผลไม้ครับ โดยบางรายการก็จะอยู่ในไลน์อาหารอยู่แล้ว ให้เราเดินไปหยิบใส่จานมาทานที่โต๊ะเองได้เลย ส่วนบางรายการก็ใช้การสั่งให้ทำใหม่ๆ ร้อนๆ ด้วยการเอาไม้หนีบที่มีเบอร์โต๊ะของเราไปหย่อนไว้ แล้วเดี๋ยวพนักงานก็จะเดินมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะครับ
สำหรับเบอร์โต๊ะผมก็คือ 80 กับ 81 ครับ
มาดูรายการที่พวกเราหนีบกันมาดีกว่าครับ
เริ่มที่สเต็กปลาแซลมอน จานนี้ผมชอบครับ ให้ผ่านในเรื่องรสชาติ
ถัดมาผัดผักน้ำมันหอยครับ ถ้าจำไม่ผิดภรรยาผมหยิบใส่ไป 3 อย่างได้แก่ ผักโขม, บล็อคโคลี่ และคะน้าฮ่องกงครับ
จานนี้ผมตั้งใจเอามาทานตัดแก้เลี่ยนจากการกินพวกเนื้อหรืออย่างอื่นครับ
เรื่องรสชาติ ผมว่าจืดไปนิดนะครับ โดยส่วนตัวอยากให้ปรุงออกมาเข้มข้นกว่านี้นิดนึงครับ
ต่อมาเป็นปลาดอลลี่นึ่งมะนาวครับ จานนี้ดี มีรสชาติเปรี้ยวนำ เอาไว้ตัดแก้เลี่ยนได้ดีเลยครับ
จานนี้เป็นกุ้งเทมปุระ ขนาดกุ้งกลางๆ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ทอดมาดีไม่อมน้ำมันครับ
จานนี้เป็นเสต็กเนื้อครับ ไม่รู้ว่าผมเลือกใส่ผักเยอะไปหรือยังไง เลยออกมาค่อนข้างไหม้ โดยเฉพาะผักครับ ไหม้ไปครึ่งนึงเลย – -“
สารภาพตามตรงว่าผมเลยเลือกกินแต่เนื้อ ไม่กินผักเลยเพราะไหม้ไปครับ สำหรับเนื้อที่ได้ก็รสชาติกลางๆ เหนียวนิดนึงสไตล์เนื้อแต่ไม่ถึงขั้นแบบเคี้ยวไม่ได้ กัดไม่ขาดครับ
ต่อมาคือปลาหมึกผัดน้ำพริกเผาครับ จานนี้ผมชอบสุดในการทานวันนี้เลยครับ ปลาหมึกตัวเล็กดีพอดีคำ ความสดอยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ (ผมไม่รู้ว่าเรียกปลาหมึกอะไรนะครับ แต่ตัวเล็ก เคี้ยวกรุบกรอบดี)
ปล. ต้องบอกไว้ก่อนว่า โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบทานปลาหมึกผัดน้ำพริกเผาอยู่แล้วด้วยนะครับ ดังนั้นจานนี้อาจจะมีคะแนนพิศวาสเพิ่มเข้าไปด้วย 55555
หลังจากที่ดูเป็นจานๆ มาหลายอันแล้ว มาเปลี่ยนบรรยากาศดูแบบอื่นบ้างดีกว่าครับ เมนูนี้คือแคลิฟอร์เนียร์ โรล ครับ รู้สึกว่ามีทั้งหมด 3 แบบนะครับ ที่ผมสั่งมาก็คือ แซลมอน 1 อัน แล้วก็ไข่หวาน 1 อันครับ
สำหรับเมนูนี้ต้องบอกว่าค่อนข้างมาเสิรฟ์ช้ากว่าเมนูอื่นๆ มากครับ เข้าใจว่าคงมีการรอทำเป็นรอบๆ โดยรอหลายๆ ชิ้นก่อนค่อยทำทีเดียว ซึ่งรอบที่ 2 ที่ผมสั่งไปนี่ น่าจะรอเกือบ 20 นาทีได้ครับ – -“
ดังนั้นใครที่อยากทาน ผมแนะนำว่าเมื่อไปถึงร้านแล้วก็หย่อนไว้ก่อนเลยครับ เผื่อเจอรอนานแบบผมครับ
เมนูต่อมา มาดูที่เป็นพวกข้าวปั้นบ้างดีกว่าครับ รอบนี้เปลี่ยนเวรเป็นภรรยาผมเฝ้าโต๊ะ และผมเดินมาตักอาหารแทนครับ โดยตอนแรกผมตั้งใจจะเดินมาถ่ายบรรยากาศไลน์อาหารด้วย แต่พอเดินมาถึงต้องบอกว่าคนเยอะมาก – -“ ก็เลยถ่ายแค่รูปเดียว แล้วก็ไม่ถ่ายอีกเลย เพราะไม่อยากจะรบกวน เกะกะลูกค้าท่านอื่นๆ ครับ
ภาพนี้เป็นภาพของข้าวปั้นหน้าปลาไหลญี่ปุ่นย่างซีอิ๊ว กับ ข้าวปั้นหน้าปลาแซลมอนย่างไฟ ครับ น่าจะพึ่งเอามาลงพอดี เพราะยังเต็มๆ ถาดอยู่เลย
สำหรับเมนูพวกข้าวปั้นต่างๆ นั้น ผมว่าน่าจะมีเกิน 10 ชนิดได้ครับ โดยผมเลือกหยิบมาประมาณ 5-6 อย่างครับ ส่วนพวกซาชิมิเท่าที่ผมดูน่าจะมีแค่ 3 อย่างครับ ได้แก่ แซลมอน, ปลามารีนแล้วก็ปลาซาบะครับ
ขอตัดมาที่โต๊ะเลยแล้วกันนะครับ ภาพนี้เป็นภาพข้าวปั้นหน้าต่างๆ ที่ผมหยิบมาครับ โดยรวมๆ รสชาติกลางๆ ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษครับ และมีจุดนึงที่ไม่ประทับใจมากก็คือ ข้าวปั้นหน้าปลาไหลครับ ไม่รู้เนื้อปลาไหลจะบางไปไหน แถมหน้าตาผิดกับรูปในแผ่นรองจานมากเลย รู้มั้ยว่าผมชอบทานปลาไหลมาก เสียใจ T_____T
มาดูเมนูถัดไปกันดีกว่าครับ จานนี้ถือว่าเป็นทีเด็ดของร้านในช่วงนี้เลย นั่นก็คือ “น่องไก่กงฟีต์ กับ มันฝรั่งทอด” เมนูจากเชฟกะทะเหล็ก ฮิโรยูกิ ซาไกนั่นเองครับ
อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่แรกครับว่า เมื่อเรามานั่งที่โต๊ะพนักงานก็จะถามเราเลยว่าจะรับเมนูพิเศษนี้มั้ย ซึ่งหลังจากที่พนักงานรับ order ไป น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีเท่านั้นในการมาเสิร์ฟ ซึ่งถือว่าเร็วมากๆ ครับ และจากที่ผมสัมผัสดูน่าจะเป็นการทำใหม่ด้วยเพราะเนื้อไก่ยังร้อนๆ อยู่ครับ
หน้าตาของเมนูนี้เป็นอย่างนี้ครับ มีน่องไก่ 1 ชิ้น บนกองมันฝรั่งทอด และมีน้ำราดเล็กน้อยบริเวณรอบๆ ครับ โดยน้ำที่ราดนี้น่าจะมีส่วนประกอบของมัสตาร์ดครับ ปิดท้ายด้วยการตกแต่งให้สวยงามด้วยผักสีเขียวและมะเขือเทศ 1 ลูกครับ
ผมขอถ่ายให้ดูอีกมุมนะครับ
สำหรับรูปนี้เทียบกับขนาดช้อนสั้นในร้านครับ จะเห็นว่าน่องไก่ก็ชิ้นใหญ่พอดูครับ
สิ่งที่ผมได้ก็เหมือนกับคนทั่วๆ ไปที่ไปทานนะครับ นั่นคือได้คนละ 1 จานเท่านั้น ผมก็เลยทำการแบ่งแยกมันเล็กน้อย โดยจานแรกก็ชิมเลยตอนที่มันร้อนๆ อยู่ และอีกจานก็เอามาเป็นนายแบบถ่ายรูปครับ การมา 2 คนมันก็ดีแบบนี้แหละครับ….ฮา
สำหรับรสชาตินั้น โดยรวมๆ ต้องบอกว่าตัวน่องไก่รสชาติกลางๆ ไม่ได้มีความเผ็ด หรือรสจัดอะไรครับ แต่เมื่อนำไปจิ้มกับน้ำที่ราดมาด้วยแล้วถือว่าเข้ากันได้ดีเลยทีเดียวครับ
โดยรวมๆ ความอร่อยของเมนูนี้อาจจะไม่ถึงขั้นแบบกัดคำแรกปั๊บ น้ำตาไหลพรากๆ เหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่นนะครับ แต่ก็ถือว่าเป็นเมนูที่คงหาทานทั่วไปไม่ได้ เมื่อมีโอกาสมาแล้วควรจะต้องลองชิมดูซักครั้งครับ
หมายเหตุ : ผมลองเทียบรสชาติกับอีกจานที่ตั้งวางทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงจนมันเย็นชืด ต้องบอกว่ารสขาติแตกต่างกันและความอร่อยลดลงพอควรนะครับ โดยเฉพาะมันฝรั่งทอดที่เหี่ยวเฉาจากการโดนน้ำราดครับ ดังนั้นเมื่อพนักงานมาเสิร์ฟเมนูนี้แล้วผมแนะนำว่าให้รีบทานทันทีครับ
สำหรับเมนูเชฟกะทะเหล็กนี้ ทางโออิชิ บุฟเฟต์มีการจัดแคมเปญไปจนถึงสิ้นปีนี้ โดยจะมีการเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ ทุกเดือน เดือนละ 1 เมนู สำหรับเดือนที่แล้ว (เม.ย. 58) ก็คือ “แซลมอนทาร์ทาร์ฮันนี่ซอส” และของเดือน นี้ (พ.ค. 58) ก็คือ “น่องไก่กงฟีต์กับมันฝรั่งทอด” ครับ
ซึ่งเท่าที่ผมดูจากเมนูทั้ง 2 แล้ว โดยส่วนตัวผมมองว่ามันไม่ใช่เมนูอาหารแบบญี่ปุ่นจ๋า แต่มันเป็นสไตล์ฟิวชั่นที่ค่อนไปทางอาหารฝรั่งเศสนิดๆ นะครับ
ปล. เอาจริงๆ ผมแอบเสียดายนิดๆ ที่ไม่ได้มาชิมเมนูของเดือน เม.ย. เพราะดูหน้าตาแล้วมันน่ากินมากครับ ><
ก่อนจะไปสู่เมนูอื่นๆ ต่อ ผมขอทิ้งท้ายเกี่ยวกับเมนูของเชฟกะทะเหล็กอีกนิดนึงครับ หลายคนอาจจะสงสัยที่บอกว่าได้สิทธิ์แค่คนละ 1 จานนั้น ทางร้านจะรู้ได้ยังไงว่าเรารับสิทธิ์นั้นไปแล้ว
วิธีของทางโออิชิก็คือจะมีเศษกระดาษใบเล็กๆ มาแปะไว้ที่โต๊ะเราครับ โดยจะมาแปะตอนที่เสิร์ฟเมนูกะทะเหล็กว่า โต๊ะเรามีกี่คน รับสิทธิ์ไปแล้วกี่จานครับ ตามรูปนี้เลยครับ
จบเมนูของเชฟกะทะเหล็กแล้ว มาต่อกันที่เมนูอื่นๆ ของร้านกันต่อครับ
สำหรับจานนี้เป็นแบบรวมๆ มาหลากหลายเชื้อชาติครับ โดยในจานจะมีลูกชิ้นพันสาหร่าย, ซาลาเปาไส้หมูแดง, ผักโขมอบชีส แล้วก็อะไรอีกอย่างนึงนี่แหละครับ ผมจำชื่อไม่ได้ – -“
รสชาติจานนี้ผมให้ผ่านทุกรายการครับ โดยที่ชอบสุดน่าจะเป็นลูกชิ้นพันสาหร่ายครับ
เมนูถัดมา อันนี้ไม่ได้มาในรูปแบบจานครับ แต่มาในรูปแบบหม้อไฟแทนครับ นั่นก็คือชาบูนั่นเอง วิธีการจะทานก็ง่ายๆ ครับ แค่หยิบเอาไม้หนีบที่มีเบอร์โต๊ะของเราไปที่ไลน์ชาบู แล้วก็อยากทานอะไรก็หยิบใส่หม้อไฟไว้ เมื่อเสร็จแล้วก็เอาไม้หนีบหนีบไว้ครับ ซักพักพนักงานก็จะมาพร้อมกับหม้อที่เราเลือกวัตถุดิบไว้ พร้อมกับเตาไฟ โดยใส่น้ำในหม้อมาให้เรียบร้อยครับ ที่เหลือก็คือเราก็นั่งรอมันเดือดเท่านั้นครับ
เมนูนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบทานอะไรร้อนๆ หรือชอบซดแกง ซดน้ำซุประหว่างทานข้าว เพราะเมนูอื่นๆ ของร้านจะไม่มีอะไรที่เป็นน้ำๆ แบบนี้อีกเลยครับ
มาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มจะอิ่มแล้วครับ ก่อนจะเข้าสู่ของหวานก็เลยทานของล้างปากแบบเบาๆ ไป 2 รายการครับ
มาดูกันที่เมนูของหวานครับ ในไลน์จะมีทั้งเค้ก ไอศครีม เยลลี่ ถั่วแดงโมจิ แล้วก็ผลไม้ครับ โดยผมกับภรรยาก็เลือกทานแค่บางอย่างเพราะเริ่มอิ่มมากแล้วครับ
มาดูภาพรวมๆ เลยแล้วกันนะครับ ทุกเมนูของของหวานที่ผมตักมานั้นผมชอบหมดเลยนะครับ โดยเฉพาะเยลลี่ กับ บานอฟฟี่ครับ โดยบานอฟฟี่นั้นถึงกับมีเบิ้ลอีกถ้วยครับ
สำหรับไอศรีมนั้น จะมี 2 รสนะครับ คือ วนิลากับชาเขียวครับ
ขอเน้นๆ ที่บานอฟฟี่แล้วกันนะครับ เพราะค่อนข้างชอบมากครับ
เมื่อทานของหวานมาติดๆ กันแล้ว ทีนี้ก็มาถึงเมนูสุดท้าย ท้ายที่สุดจริงๆ แล้วนั่นก็คือผลไม้ครับ โดยมีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ มะม่วง, สับปะรด, แคนตาลูป, ฝรั่ง แล้วก็แตงโมครับ โดยแตงโมผมไม่ได้ทานนะครับ เพราะขี้เกียจแคะเม็ดออก – -“
ภาพรวมจากที่ผมสังเกตหน้าตาผลไม้จากในไลน์ ต้องบอกว่าหน้าตาดีมากทุกอัน โดยเฉพาะสับปะรดและแคนตาลูป ดูชิ้นใหญ่น่ากินมาก มีเพียงฝรั่งเท่านั้นที่ดูแข็งและดำไปนิดนึงครับ
และเมื่อผมเอามาทานที่โต๊ะก็เป็นอย่างนั้นเลยครับ มะม่วง, สับปะรด และแคนตาลูป อร่อยมากกกก โดยเฉพาะมะม่วงกับสับปะรดครับ นานๆ จะเจอไลน์อาหารบุฟเฟต์ที่มีผลไม้อร่อยแบบนี้ มะม่วงนี่มันมากครับ ส่วนสับปะรดก็หวานฉ่ำมากครับ มีสอบตกหนักอยู่รายการเดียวก็คือฝรั่งครับที่รสชาติไม่ผ่าน ซึ่งก็เป็นไปตามที่ผมได้วิเคราะห์ไว้ตั้งแต่เห็นหน้าตาในไลน์อาหารแล้วครับ
เอาล่ะครับ ทีนี้ก็มาถึงตอนจบของการรีวิวในครั้งนี้แล้วนะครับ ผมขอแยกเป็นหัวข้อๆ ตามนี้นะครับ
ความหลากหลายของอาหาร : เป็นร้านบุฟเฟต์ที่มีเมนูอาหารหลากหลายมากๆ น่าจะเกิน 100 รายการตามที่ทางร้านได้โฆษณาไว้จริงๆ และเมนูอาหารนั้นครอบคลุมหลายประเภทและประเทศครับ มีทั้งต้ม ผัด ทอด เนื้อ ผัก ไทย จีน ญี่ปุ่น ครับ ทำให้เหมาะกับการมาทานเป็นหมู่คณะมากๆ เพราะต่างคนต่างก็สามารถเลือกหาเมนูที่ตัวเองชอบทานได้แบบง่ายๆ ครับ
รสชาติ : โดยภาพรวม รสชาติถือว่าสอบผ่านเกือบหมดครับ (เฉพาะเมนูที่ผมได้ลองชิมในการรีวิวครั้งนี้นะครับ) ที่ประทับใจมากๆ ก็คือ แซลมอน ซาชิมิ, ปลาหมึกผัดน้ำพริกเผา แล้วก็บานอฟฟี่ครับ ส่วนที่ผมคิดว่าสอบตกก็คือ ข้าวปั้นหน้าปลาไหล กับสเต็กเนื้อที่ผัดมาไหม้เกินจนทำให้ผมอดกินผัก ไม่รู้เหมือนกันว่าจานอื่นจะผัดดีกว่านี้หรือเปล่าครับ
การบริการ : โดยรวมๆ บริการดีและรวดเร็วใช้ได้ครับ แต่ช่วงแรกๆ ประมาณ 13.00-14.00 น. ที่คนเต็มร้าน นั่งเต็มทุกโต๊ะนี่เห็นได้ว่าจำนวนพนักงานอาจจะยังไม่เพียงพอต่อการบริการแบบเต็มอัตราศึกแบบนี้ครับ เนื่องจากช่วงนั้นผมเจอปัญหาเรื่อง ช้อน ส้อม หลอด จาน ตามจุดที่ให้หยิบนี่ไม่มีของหลายรอบมากครับ และทำให้ผมต้องเดินไปหยิบหลายรอบ หรือต้องเดินไปหยิบจุดอื่นที่ไกลจากโต๊ะผมครับ รวมทั้งเมนูยอดฮิตอย่างแซลมอน ซาชิมิ ที่ลงแป๊บเดียวก็หมดเกลี้ยงต้องนั่งรอรอบใหม่อีกนานครับ แต่หลังจากช่วง 14.00 น.ไปแล้ว คนในร้านก็เริ่มน้อยลงเหลือประมาณ 30% ของโต๊ะทั้งหมด พวกของที่วางไว้จุดเหล่านี้ก็ดีขึ้นครับ ดังนั้นถ้าให้ผมแนะนำก็คือ หากทนหิวได้อย่าไปทานช่วงเวลาพีคๆ อย่างกลางวันหรือช่วงเย็นวันหยุดนะครับ แนะนำให้ไปทานช่วงประมาณ 14.00-16.00 น. จะดีมากๆ เพราะคนน้อยกว่าเยอะ ที่สำคัญ กินมื้อเดียวควบทั้งเที่ยง ทั้งเย็น หรือเผลอๆ อิ่มได้จนถึงเช้าอีกวันเลยครับ ><
ความสะอาดของร้าน : ถือว่าดีครับ สอบผ่าน ไม่ได้เจออะไรที่ทำให้เห็นแล้วรู้สึกไม่น่าทานครับ
ความสะดวกในการเดินทาง : สำหรับสาขาเมเจอร์ ปิ่นเกล้าที่ผมไปทานนั้น เนื่องจากไม่ได้ใกล้แนวรถ BTS หรือ MRT เลย ดังนั้นจึงน่าจะเหมาะกับคนที่มีรถเท่านั้นครับ ซึ่งผมคิดว่ามีที่จอดรถมีเพียงพอครับ ทั้งในเมเจอร์เอง หรือที่ฝั่งตรงข้ามอย่างเซนทรัลครับ
ความคุ้มค่า : เมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไป 539 บาท/คน (ราคา Net) ผมว่าเป็นอีก 1 ร้านนี่ถือว่าคุ้มค่าครับ ด้วยเมนูอาหารที่หลากหลายและรสชาติที่ได้ครับ และสำหรับช่วงนี้มีแคมเปญของเชฟกะทะเหล็กด้วย ใครที่ชอบทานอาหารแปลกๆ ผมว่าไม่ควรพลาดครับ เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้หาทานได้ง่ายๆ ครับ มีเพียงสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะให้ทางร้านปรับก็คือ อยากจะให้เพิ่มเวลาจาก 1 ชั่วโมง 45 นาที เป็น 2 ชั่วโมงแทน เพราะเมนูมันเยอะเกินไป และเวลาไปทานกันหลายๆ คน บางทีมันเสียเวลาเม้าท์กันไปมากโขอยู่ หากสามารถปรับเวลาเป็น 2 ชั่วโมงได้จะดีมากๆ เพราะน่าจะมีเวลานั่งชิวคุยกับเพื่อนได้มากขึ้นอีกนิดครับ และก็จากประสบการณ์ที่เจอวันนี้คือช่วงเวลาคนเยอะๆ เต็มร้านนี่ปริมาณของกินดูจะไม่เพียงพอครับ คนที่กินจุ กินเยอะนี่อาจจะไม่อิ่มได้เพราะต้องเสียเวลารอของนานครับ (ถ้าสายตาผมเห็นไม่ผิด เหมือนที่ร้านจะมีโปรโมชั่นสำหรับบัตรบางประเภทอยู่นะครับ ซึ่งมันน่าสนใจเลยทีเดียวครับ เพราะลดแล้วจะเหลือไม่ถึง 500 บาท/ท่านครับ)
ผมขอทิ้งท้ายไว้ด้วยภาพนี้นะครับ ภาพใบเสร็จแสดงราคาครับ โดยราคาปกติคือ 539 บาท/คน แต่ผมใช้ voucher ที่ได้มาก็เลยขึ้นเป็น 0 บาทครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ ได้เลยครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ