ที่ผ่านมาผมมักจะรีวิวแต่อาหารบุฟเฟ่ต์ซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอาหารประเภทปิ้งย่างและชาบู เพราะต้องยอมรับกันจริงๆ ว่าร้านอาหารบุฟเฟ่ต์เหล่านี้มีมากมายเหลือเกิน แถมในแต่ละเดือนก็มีร้านหน้าใหม่เปิดเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แต่วันนี้ผมจะขอเปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนบรรยากาศ พาทุกคนไปรู้จักกับร้าน Momotaro (โมโมทาโร่) ร้านปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่ใช้เนื้อวากิวเกรดดี A4+ นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และเป็นร้านปิ้งย่างที่จำหน่ายเฉพาะเมนู A la carte เท่านั้น ใครที่เป็นคอเนื้อตัวยง อยากกินเนื้อเกรดดี ลายสวยๆ นุ่ม ละลายหายไปในปาก ก็ตามผมไปอ่านกันต่อได้เลยครับ!
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
ร้าน Momotaro เป็นร้านปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่เปิดบริการอยู่ที่ The Paseo Park (เดอะ พาซิโอ พาร์ค) ถ.กาญจนาภิเษก โดยร้านนี้พึ่งเปิดบริการในช่วงกลางปี 2561 นี้เองครับ
สำหรับใครที่ยังไม่เคยมา The Paseo Park ถ.กาญจนาภิเษกมาก่อน ก็สามารถดูแผนที่การเดินทางตามภาพด้านล่างนี้ได้เลยครับ การเดินทางมาไม่ยาก สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากริมถนน และมีที่จอดรถเยอะดีครับ
ลักษณะโดยรวมของ The Paseo Park ถ.กาญจนาภิเษกนั้นจะเป็น Community Mall (คอมมูนิตี้มอลล์) ที่มีธีมและการตกแต่งต่างๆ เป็นสไตล์ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของร้านค้า, ทางเดิน, โคมไฟ, ประตูทางเข้า หรือแม้กระทั่งคลองและการเลี้ยงปลาคาร์ฟ
เอาเป็นว่าใครที่อยากเดินชิลๆ ในบรรยากาศญี่ปุ่นๆ, นั่งชมปลาคาร์ฟสวยๆ หรืออยากจะหาสถานที่ถ่ายรูปเก๋ๆ ก็ลองแวะเวียนมาเดินเล่นที่นี่ได้ครับ ผมว่ามีหลายมุมที่น่าสนใจเลย







ส่วนที่ตั้งของร้าน Momotaro นั้นก็หาไม่ยากครับ เพียงแค่เราเดินเข้าประตูที่มีโคมไฟใหญ่ยักษ์และมีร้าน Au Bon Pain กับร้าน Season ขนาบข้างอยู่แบบนี้ จากนั้นก็เลี้ยวขวาและเดินต่อไปอีกแค่ 20-30 เมตร ก็จะเจอร้าน Momotaro อยู่ทางขวามือของเราแล้วครับ
นี่เป็นหน้าตาของร้านครับ เป็นร้านขนาด 2 คูหา ติดแอร์เย็นสบาย ส่วนภายในร้านนั้นก็มีที่นั่งที่สามารถจุคนได้ประมาณ 60-70 คน




บรรยากาศโดยรวมของร้านถือว่าตกแต่งมาออกมาได้ดีเลย เน้นการใช้สีไม้อ่อนๆ เป็นหลัก ทำให้ดูโล่งและสบายตา การจัดวางโต๊ะเก้าอี้ก็ไม่ได้แน่นจนเกินไป ทำให้คนมานั่งทานอาหารไม่รู้สึกอึดอัด นอกจากนี้ทางร้านก็ยังมีการเตรียมเก้าอี้สำหรับเด็กตัวเล็กๆ เอาไว้ให้ด้วยนะครับ

มาดูกันที่เมนูของร้าน Momotaro กันดีกว่าครับ ด้วยความที่ร้านนี้เป็นร้าน Japanese Premium Yakiniku ดังนั้นเมนูส่วนใหญ่ของเค้าก็เลยจะเน้นที่เนื้อวัวเป็นหลัก โดยร้านเค้ามีเนื้อวัววากิว A4+ ที่นำเข้าจากเมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่นด้วยครับ แต่สำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อก็ไม่เสียใจไปนะครับ เพราะทางร้านเค้าก็มีเมนูหมู, ไก่, ซีฟู้ด แล้วก็อาหารประเภทอื่นๆ ให้เลือกทานอยู่หลายรายการเหมือนกัน ใครสนใจเมนูไหนก็ลองดูราคาคร่าวๆ ได้ตามภาพด้านล่างได้เลยครับ
หมายเหตุ : ราคาในเมนูยังไม่รวม Vat 7% และ Service Charge 10% นะครับ และที่ร้านนี้จะไม่มีน้ำชาเขียวแบบ Refill บริการครับ




และเนื่องจากวันนี้ผมไปกับแก๊งสายเนื้อดังนั้นเมนูที่ผมกับเพื่อนๆ ทานจึงมีแต่เนื้อและซีฟู้ดครับ โดยรายการอาหารทั้งหมดของเราในวันนั้นก็มีตามนี้เลย
-
เนื้อวัว (เนื้อแดง) – Roast ราคา 200 บาท
-
เนื้อวัว (บริเวณท้อง) – Kainomi ราคา 280 บาท
-
ลิ้นวัว (พิเศษ) – Jyo Tan ราคา 350 บาท
-
เนื้อร่องซี่โครง – Nakaoshi Karubi ราคา 220 บาท
-
เนื้อซี่โครงติดกระดูก – Honetsuki Karubi ราคา 390 บาท
-
เสือร้องไห้ – Karubi ราคา 200 บาท
-
ริบอาย (วากิว) – Wagyu Roast ราคา 780 บาท
-
เนื้อวัว (วากิว) – Wagyu Karubi ราคา 780 บาท
-
เนื้อซี่โครง (วากิว) – Wagyu Tokuiyo Karubi ราคา 980 บาท
-
กุ้ง ราคา 280 บาท (รายการนี้สั่งมา 2 ที่)
-
หอยเชลล์ – Hotate ราคา 450 บาท
-
ข้าวยำหม้อร้อน – Ishiyaki Bibimbub ราคา 250 บาท
-
ข้าวผัดกระเทียม ราคา 120 บาท
-
ผักย่างรวม ราคา 120 บาท
-
เห็ดออรินจิ ราคา 80 บาท
-
กระเทียมย่าง ราคา 120 บาท
-
ยำผักรวม ราคา 120 บาท
-
น้ำอัดลม ราคา 30 บาท
-
น้ำชาเขียว ราคา 50 บาท
หมายเหตุ : น้ำหนักของเนื้อแต่ละจานจะอยู่ที่ 100 กรัมครับ



ที่ร้าน Momotaro The Paseo Park ถ.กาญจนาภิเษกนี้ เค้าจะมีบริการผ้ากันเปื้อนแบบนี้ให้กับทุกคนที่มาใช้บริการด้วยนะครับ คุณภาพของผ้าและความสวยงามนั้นดูดีเลย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในความแตกต่างเมื่อเทียบกับหลายๆ ร้านได้เลยครับ
และเมื่อชุดพร้อมแบบนี้ อาหารมาพร้อมเต็มโต๊ะแบบนี้ เราจะรอช้าอยู่ทำไมครับ เดินหน้าทยอยไล่ชิมเลยสิคร้าบบบบบบ



สำหรับกติกาในการชิมของแก๊งค์ผมในวันนี้ เราเห็นตรงกันว่าต่อให้ลายเนื้อวากิวของร้าน Momotaro จะสวยงามและยั่วน้ำลายเราขนาดไหนก็ตาม แต่เราจะต้องลองชิมเนื้อธรรมดาให้หมดไปทีละจานเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยข้ามไปยังเนื้อวากิวทั้ง 3 จานที่เรามี เราจะได้เปรียบเทียบหรือรับรู้รสชาติของเนื้อต่างๆ ได้อย่างชัดเจนที่สุด ดังนั้นจานเริ่มต้นของพวกเราในวันนี้ก็เลยเป็นเนื้อวัว (เนื้อแดง) – Roast และเนื้อวัว (บริเวณท้อง) – Kainomi นั่นเองครับ
หมายเหตุ : ภาพแรกจะเป็นเนื้อวัว (เนื้อแดง) – Roast ส่วนภาพที่สองจะเป็นเนื้อวัว (บริเวณท้อง) – Kainomi นะครับ

สำหรับเนื้อทั้งสองจานนี้คุณภาพโดยรวมๆ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยครับ เนื้อลายสวย รสชาติดี สมกับที่เป็นการจำหน่ายเนื้อแบบ A la carte คุณภาพเนื้อดีกว่าเนื้อบุฟเฟ่ต์ของหลายๆ ร้าน ส่วนความแตกต่างระหว่างส่วนที่เป็นเนื้อธรรมดากับส่วนที่เป็นเนื้อบริเวณท้องนั้น ในสายตาและลิ้นของผมคิดว่าแตกต่างกันไม่มากครับ โดยเนื้อส่วนบริเวณท้องจะมีลายสวยและนุ่มกว่านิดๆ แต่ถ้าเทียบกับส่วนต่าง 80 บาทต่อจานแล้ว ผมแอบเชียร์เนื้อวัว (เนื้อแดง) – Roast ซึ่งเป็นเนื้อธรรมดามากกว่าครับ
อ้อ ผมลืมบอกไปเรื่องนึง ทางร้าน Momotaro เค้าให้ข้อมูลมาว่าในส่วนของเมนูเนื้อที่ไม่ได้เขียนว่าวากิวนั้น ทางร้าน Momotaro จะเลือกใช้เนื้อวัวไทยวากิวซึ่งเป็นวัวที่เลี้ยงในไทยแต่ได้รับการผสมพันธุ์จากน้ำเชื้อของวัววากิวจากประเทศญี่ปุ่นเป็นหลักครับ โดยวัวไทยวากิวนี้จะได้รับการเลี้ยงดูต่างๆ เป็นอย่างดี คล้ายๆ กับการเลี้ยงวัววากิวที่ญี่ปุ่นเลย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่คุณภาพของเนื้อและลายต่างๆ ของเนื้อที่ร้านนี้จะดูดีกว่าหลายๆ ที่ครับ
ต่อกันที่จานที่สาม ลิ้นวัว (พิเศษ) จานนี้นุ่ม อร่อยเลยครับ ลิ้นวัวบางกำลังดี ปิ้งแป๊บเดียวก็สุกแล้ว และตอนที่กินก็ไม่รู้สึกว่าเหนียวหรือทานยากอะไรเลย ใครที่ชอบทานลิ้นวัวลองสั่งมาทานนะครับ ราคานี้ คุณภาพแบบนี้ถือว่าโอเคเลย

จานที่สี่ เนื้อร่องซี่โครง – Nakaoshi Karubi เนื้อส่วนนี้จะเป็นเนื้อส่วนที่ผมชอบที่สุดในบรรดาของเนื้อที่ไม่ใช่เนื้อวากิวญี่ปุ่นเลยครับ ลักษณะของเนื้อนั้นจะนุ่มและหนากว่าเนื้อวัวธรรมดา รวมทั้งมีความเด้งหน่อยๆ กินแล้วเพลินมาก และยิ่งเมื่อคิดว่าเนื้อจานนี้ราคาเพียง 220 บาทเท่านั้น ยิ่งเป็นอะไรที่ผมคิดว่าคุ้มค่ามากครับ


จานที่ห้า เนื้อซี่โครงติดกระดูก – Honetsuki Karubi จะเป็นเนื้อส่วนที่มีมันค่อนข้างน้อย และเด้งสู้ฟันสูง ใครที่ไม่ค่อยชอบอะไรที่เคี้ยวยากๆ หรือเด้งๆ หน่อยน่าจะไม่ถูกใจส่วนนี้ซักเท่าไหร่ แต่ถ้าใครชอบเนื้อสไตล์นี้ก็สั่งมาทานได้เลยครับ โดยก่อนทานผมแนะนำให้เอากรรไกรตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนนะครับ

จานที่หก เสือร้องไห้ – Karubi จานนี้จะเป็นเนื้อวัวธรรมดาจานสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่การชิมเนื้อวากิว A4+ ครับ ลักษณะของเนื้อจานนี้จะมีความมันและเหนียวสูงกว่าเนื้อชนิดอื่นๆ แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สามารถเคี้ยวได้แบบไม่ลำบากมาก ใครที่ชอบทานเนื้อส่วนนี้หรือลักษณะนี้ก็จัดมาได้เลยครับ
และแล้วก็มาถึงจากที่เจ็ด จานแรกของเนื้อวากิว A4+ จากญี่ปุ่น โดยพวกผมขอเริ่มกันที่ริบอาย (วากิว) – Wagyu Roast นะครับ ลักษณะของเนื้อชนิดนี้จะเป็นแผ่นบางๆ ที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่ากับหน้าเลย ลายสวยงามดูน่ากินมาก ส่วนในเรื่องรสชาตินั้นก็ต้องบอกว่าดีกว่าเนื้อหกจานที่ผ่านมาอย่างชัดเจน มีกลิ่นเนื้อค่อนข้างชัด แต่ในเรื่องของความนุ่มนั้นยังไม่ได้มากมายถึงขั้นขนาดกินแล้วละลายในปากนะครับ
สำหรับเนื้อจานนี้ทาง Momotaro จะมีการแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ จำนวน 10 ชิ้นมาให้เรียบร้อยแล้วครับ ตอนทานเราก็แค่คีบชิ้นเล็กๆ ลงไปย่างก็พอ จะได้ลิ้มรสหลายๆ ที หรือไม่ก็จะได้แบ่งกันทานได้ง่ายๆ หน่อย


จานที่แปด เนื้อวัว (วากิว) – Wagyu Karubi จานนี้เป็นเนื้อวากิวญี่ปุ่นที่ผมชอบมากที่สุดใน 3 จานที่ทางร้านมีครับ ราคาจะเท่ากับริบอายวากิวจานเมื่อกี้ แต่ลักษณะของเนื้อจะมีความนุ่ม หนา และมีไขมันแทรกมากกว่า กินแล้วรู้สึกว่าเนื้อละลายหายไปในปากเลยครับ ชอบมาก กินแล้วฟินเลย ><

ต่อกันด้วยจานที่เก้า จานที่มีราคาสูงที่สุดในวันนี้ เนื้อซี่โครง (วากิว) – Wagyu Tokuiyo Karubi จานนี้ต้องบอกตรงๆ ว่าครั้งแรกที่เห็นนั้นผมอึ้งมาก ลายสวย ดูน่ากินสุดๆ และจังหวะแรกที่ผมลองเอาที่คีบคีบเนื้อดูก็รับรู้ได้เลยว่าเนื้อนิ่มมาก ส่วนในเรื่องของรสชาตินั้นก็สมตามราคาครับ นุ่ม อร่อย ละลายหายไปในปากเลย

ทั้งนี้หากพูดถึงเฉพาะเรื่องรสชาติอย่างเดียวนั้น ผมว่าเนื้อซี่โครง (วากิว) จานนี้ รสชาติดีและถูกปากกว่าเนื้อวัว (วากิว) จานที่ผ่านมาทั้งหมดครับ แต่เมื่อผมลองคิดเรื่องส่วนต่างราคา 200 บาท/จานแล้ว ผมรู้สึกว่าเนื้อวัว (วากิว) จานที่แล้ว ดูจะคุ้มค่ากว่านิดๆ แต่ทั้งนี้แต่ละคนอาจจะรู้สึกแตกต่างกับผมก็ได้ครับ เพราะจริงๆ แล้วเนื้อวากิวญี่ปุ่นทั้ง 3 จานนั้น คุณภาพและรสชาติดีหมดเลย เพียงแต่จะมีลักษณะของเนื้อที่แตกต่างกันออกไป โดยริบอายจะได้ความเป็นเนื้อมากกว่า ไม่ค่อยละลายเท่าไหร่ และมีกลิ่นเนื้อค่อนข้างชัด แต่เนื้อซี่โครงนั้นจะนุ่มกว่า ละลายกว่า และเนื้อวัว (วากิว) นั้น จะอยู่ตรงกลางๆ ของเนื้อทั้งสองครับ
ใครที่มีงบจำกัดก็ลองพิจารณาดีๆ นะครับว่าเนื้อประเภทไหนที่น่าจะถูกปากตัวเองมากที่สุด
จบจากเนื้อแล้วคราวนี้เรามาดูซีฟู้ดกันบ้างครับ วันนี้ผมกับเพื่อนทานกุ้งและหอยเชลล์ 2 อย่างครับ โดยทั้งสองจานนั้นความสดต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะหอยเชลล์ (Hotate) นั้น มีขนาดตัวที่ใหญ่ อวบ อ้วนมากครับ
หมายเหตุ : กุ้งที่อยู่ในภาพนั้นจะเป็นการสั่งมา 2 ที่นะครับ โดยในแต่ละวันจะได้จำนวนกุ้งต่อจานไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับขนาดและน้ำหนักของกุ้งในวันนั้นๆ



ต่อกันด้วยข้าวเลยแล้วกันนะครับ วันนี้ผมกับเพื่อนๆ ได้ลองทานสองอย่างคือ ข้าวยำหม้อร้อน – Ishiyaki Bibimbub และข้าวผัดกระเทียม ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะมีรสชาติไปคนละทาง แต่ก็ถือว่าอร่อยทั้งคู่ โดยข้าวยำหม้อร้อนนั้นจะมีความชุ่มและเครื่องต่างๆ มากกว่า ส่วนข้าวผัดกระเทียมนั้นจะออกแห้งๆ และหอมกระเทียมเป็นหลัก ใครที่ชอบทานแบบไหนก็เลือกสั่งได้เลย ปริมาณของแต่ละจานถือว่าเยอะใช้ได้ สามารถแบ่งกันทาน 2-3 คนได้สบายๆ ใครที่เห็นราคาข้าวผัดกระเทียมจานละ 120 บาท ก็ไม่ต้องตกใจไปนะครับ ทางร้านเค้าให้ปริมาณมาสมราคาอยู่ ^^


คราวนี้มาเข้าสู่หมวดผักแล้วก็ของทานเล่นกันดีกว่า คุณภาพของผักในเมนูต่างๆ ที่ผมได้ทานนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สด และมีความสวยงามครับ ส่วนเมนูที่ผมชอบที่สุดก็คือยำผักรวม ซึ่งผมชอบมากจนต้องขอสั่งเพิ่มอีกจานเลย กินเพลินๆ แกล้มกับเนื้อเข้ากันมาก แถมไม่ต้องเสียเวลาปิ้งเหมือนกับจานอื่นๆ ด้วย ><




และหลังจากที่พวกผมจัดการทานอาหารบนโต๊ะเรียบร้อยทุกจานแล้ว ทางร้าน Momotaro ก็ได้นำเอาแตงโมสีเหลืองสวยงามดูน่ากินแบบนี้มาให้พวกผมทานคนละชิ้นครับ ขนาดของแตงโมนั้นถือว่าใหญ่เลย เรียกว่าพอๆ กับ 3-4 ชิ้นของบางร้านเลยครับ รสชาติแตงโมดี มีความหวาน กินแล้วสดชื่นมาก

และก่อนที่จะเข้าไปสู่บทสรุปในช่วงท้ายกัน ผมขออนุญาตแนะนำอีกหนึ่งเมนูพิเศษของร้าน Momotaro ก่อนนะครับ โดยเมนูที่ว่านี้ก็คือเซ็ตอาหารกลางวันที่ทางร้านจะเปิดจำหน่ายเฉพาะในเวลา 11.00 น. – 15.00 น. เท่านั้น ภายในเซ็ตนี้จะประกอบไปด้วยเนื้อ 1 อย่าง, ข้าว 1 ถ้วย, ยำผักรวม, น้ำซุป แล้วก็แตงโม โดยมีราคาเริ่มต้นของชุดอาหารกลางวันนี้ที่ 120 บาท/ชุด ครับ

ทั้งนี้ประเภทของเนื้อที่เราจะสามารถทานในเซ็ตอาหารกลางวันได้นั้น ทาง Momorato จะเปิดโอกาสให้เราเลือกสั่งเนื้อได้ทุกชนิดที่ทางร้านมีบริการเลยครับ โดยราคาของแต่ละเซ็ตจะเท่ากับราคาของเนื้อจานนั้นๆ ในเมนู A la carte ปกติ เช่น เนื้อไก่ ราคา 120 บาท, เนื้อร่องซี่โครง ราคา 220 บาท, เนื้อวัว (วากิว) ราคา 780 บาท, หอยเชลล์ ราคา 450 บาท โดยเราจะได้เนื้อเกรดเดียวและคุณภาพเดียวกับการสั่งอาหาร A la carte ตามปกติเลย และจะได้ข้าว, ซุป, ยำผัก มาทานเพิ่มฟรีๆ โดยจ่ายในราคาเท่าเดิมครับ ^^
สำหรับภาพนี้จะเป็นภาพของชุดเนื้อ Karubi หรือเสือร้องไห้ ราคาชุดละ 200 บาทครับ ลวดลายเนื้อดูสวยงาม ยั่วน้ำลายมาก ใครที่สนใจอยากจะทานชุดเมนูอาหารกลางวันแบบนี้ก็ไปลองทานได้ในช่วงเวลา 11.00 น. – 15.00 น. นะครับ โดยชุดไก่, หมู หลังจากรวมน้ำเปล่า, Vat 7% และ Service Charge 10% แล้ว ก็จะอยู่ที่ประมาณ 180 – 240 บาท เท่านั้นเอง หากใครที่ทานแล้วรู้สึกยังไม่อิ่มก็สามารถสั่งเนื้ออื่นๆ มาเพิ่มอีกซักจานก็ได้ครับ ราคารวมๆ แล้วก็ตกประมาณ 500 บาท/คน แต่ได้ทานเนื้อเกรดที่ดี มีลายสวยๆ แบบนี้ ฟินๆ กันไปครับ


และทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ของผมกับต๋งในการไปทานอาหารที่ร้าน Momotaro (โมโมทาโร่) The Paseo Park (เดอะ พาซิโอ พาร์ค) ถ.กาญจนาภิเษกครับ และเพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพของรีวิวนี้ชัดเจนขึ้น ผมจึงขอสรุปออกมาเป็นหัวข้อต่างๆ ดังนี้นะครับ
วันที่รับประทาน : วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2561
ช่วงเวลา : 14.00 – 16.30 น.
จำนวน : 8 คน
รสชาติอาหาร : รสชาติอาหารส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ โดยเฉพาะบรรดาเนื้อต่างๆ ทั้งเนื้อวากิวญี่ปุ่นแล้วก็เนื้อไทยวากิว ใครที่ชอบทานเนื้อน่าจะถูกอกถูกใจกับการมาทานอาหารที่ร้านนี้พอควร แต่ทั้งนี้ก็ต้องเป็นคนที่พอจะรู้ตัวเองนะครับว่าชอบทานเนื้อส่วนไหนหรือลักษณะไหนเป็นพิเศษ เพราะถ้าสั่งมาแล้วไม่ใช่สไตล์ที่ตัวเองชอบก็จะทำให้ความอร่อยลดลงพอควร อย่างผมเองเป็นคนที่ชอบทานเนื้อส่วนที่มีมันแทรกกลางๆ ไม่เด้งสู้ฟันมากเกินไป รวมทั้งไม่มีเอ็นหรืออะไรเหนียวๆ ก็จะชอบทานเป็นเนื้อร่องซี่โครง – Nakaoshi Karubi, ลิ้นวัว (พิเศษ) แล้วก็เนื้อวัว (วากิว) ครับ
ความหลากหลายของอาหาร : เรื่องนี้ผมให้อยู่กลางๆ แล้วกันครับ เพราะโดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าร้าน Momotaro ให้ความสำคัญกับเมนูเนื้อมากกว่าอย่างอื่น แม้จะมีเมนูซีฟู้ด, หมู หรือไก่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีให้เลือกทานมากนัก ดังนั้นใครที่ไม่ทานเนื้อเลยอาจจะหาเมนูสั่งได้อยากหน่อย ส่วนคนที่เป็นขาเนื้อนั้นก็น่าจะฟินกับเนื้อประเภทต่างๆ ที่เค้ามีให้บริการครับ
ความสะอาดของร้านและบรรยากาศโดยรวม : เรื่องนี้ผมให้สอบผ่านครับ บรรยากาศร้านดูโล่ง สบายตา นั่งทานแล้วไม่อึดอัด การตกแต่งร้านก็ดูดีครับ
การบริการของพนักงาน : อยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ ไม่ได้เจอเคสอะไรที่เห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดหรือคิดว่าควรจะต้องปรับปรุงเลย แต่ทั้งนี้ก็ต้องบอกนะครับว่าโต๊ะที่ผมนั่งนั้นอยู่ใกล้ๆ กับตำแหน่งที่พนักงานยืนประจำ รวมทั้งแขกอื่นๆ ในร้านช่วงนั้นก็ไม่ได้มีเยอะด้วยครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่คนที่ไม่มีรถส่วนตัวคงต้องกลุ้มใจหน่อยนะครับ เพราะ The Paseo Park ถ.กาญจนาภิเษก อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองพอควร รวมทั้งไม่มีรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ผ่านใกล้ๆ เลย คนที่จะไปที่นี่ได้หลักๆ คือต้องมีรถส่วนตัวหรือ Taxi เท่านั้น ซึ่งสำหรับคนที่มีรถส่วนตัวแล้ว การจะไปที่นี่ก็ถือว่าไม่ได้ลำบากอะไรเลยครับ ถนนกว้าง หลายเลน รถไม่ติด สามารถมองเห็นทางเข้าได้ชัดเจน รวมทั้งมีที่จอดรถเยอะด้วยครับ
ความคุ้มค่า : เรื่องนี้เป็นอะไรที่เขียนค่อนข้างยากซักหน่อยเพราะในวันนั้นผมได้มีโอกาสชิมเนื้อหลายชนิด ซึ่งบางชนิดก็เป็นเนื้อที่ดีแต่อาจจะไม่ใช่สไตล์ที่ผมชอบทานซักเท่าไหร่ ดังนั้นความคุ้มค่าของแต่ละจานในความเห็นผมจึงอาจจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าคุณภาพของเนื้อร้านนี้ดี การตั้งราคาต่างๆ ก็ดูเหมาะสมกับคุณภาพของที่ได้ โดยเฉพาะชุดเมนูอาหารกลางวันที่มีข้าว, ซุป, ยำผัก มาให้ครบในราคาที่ย่อมเยา มันเป็นอะไรที่น่าลองมากครับ ส่วนเมนูที่ผมรู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่สุด และจะสั่งเป็นอันดับแรกๆ หากมีโอกาสได้กลับไปทานอีกก็ได้แก่ เนื้อร่องซี่โครง – Nakaoshi Karubi, ลิ้นวัว (พิเศษ) แล้วก็เนื้อวัว (วากิว) ครับ โดยจากที่ผมได้ลองคำนวณดูปริมาณของเนื้อเทียบกับราคา แล้วก็ความสามารถในการกินของแต่ละคนในหนึ่งมื้อก็พบว่า หากจะกินให้อิ่มแบบพอดีๆ น่าจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 500-700 บาท/คน ขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้อที่สั่งครับ ซึ่งพอคำนวนออกมาแบบนี้และเทียบกับคุณภาพของเนื้อโดยรวมๆ แล้ว ผมถือว่าคุ้มค่าในระดับนึงนะครับ เพราะแม้ราคานี้เราจะสามารถกินบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างหลายๆ ที่จนอิ่มท้องแตกได้ แต่คุณภาพของเนื้อโดยรวมของการกินปิ้งย่างแบบ A la carte ที่ร้านนี้ก็ดีกว่าในระดับนึงครับ ก็เรียกว่าแต่ละคนต้องลองชั่งใจดูว่ามื้อนั้นอยากจะกินอร่อยแบบฟินๆ โดยอิ่มพอประมาณ หรือเลือกจะไปเน้นปริมาณกับความหลากหลายของที่อื่นมากกว่าครับ
สรุป : ร้าน Momotaro The Paseo ถ.กาญจนาภิเษก เป็นร้านปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่ใช้เนื้อคุณภาพดีทั้งเนื้อวากิว A4+ จากญี่ปุ่น แล้วก็เนื้อวัวไทยวากิวที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีในประเทศไทย สมแล้วที่ทางร้านตั้ง position ของตัวเองว่าเป็น Japanese Premium Yakiniku คนที่ชอบทานเนื้อแบบที่ไม่ใช่บุฟเฟ่ต์และอยู่ไม่ห่างจากที่นี่มากนักควรหาโอกาสมาลองซักครั้งครับ โดยคนที่งบน้อยหน่อยก็เลือกทานเป็นเนื้อไทยวากิวที่ราคาจานละ 200 – 350 บาทเป็นหลัก แล้วสั่งเนื้อวากิวที่นุ่มโคตรๆ ละลายในปาก ราคาจานละ 780 – 980 บาท มาทานซักจานสองจานก็ได้ครับ ส่วนคนที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องงบประมาณอะไรก็จัดเนื้อวากิวแบบเต็มๆ ได้เลย ทั้งนี้สำหรับขาบุฟเฟ่ต์ ชอบกินอะไรเน้นปริมาณ ต้องการความคุ้มสุดๆ หรือเป็นคนที่ชอบทานหมู, ไก่ และซีฟู้ดเป็นหลัก ร้านนี้คงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีของคุณครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจของผมกับต๋งก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ ส่วนผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลต่างๆ ของร้านแห่งนี้เพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
Tel : 02-1113956

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราในวันที่ลองใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากนี้ได้ครับ