หากไปถามคนที่ชื่นชอบการกินอาหารจีนว่าในกรุงเทพมีห้องอาหารจีนไหนที่แต่ละคนชอบบ้าง ผมเชื่อว่าชื่อของห้องอาหารจีนหลินฟ้า (Lin-Fa) ของโรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพ (The Sukosol Bangkok) น่าจะติดอยู่ในอันดับต้นๆ ที่คนเหล่านั้นเอ่ยปากออกมาอย่างแน่นอนครับ เพราะห้องอาหารจีนหลินฟ้านั้นเป็นห้องอาหารจีนเก่าแก่ที่เปิดบริการมายาวนานเกือบ 30 ปีแล้ว (เริ่มเปิดบริการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2535) และตลอดระยะเวลาที่เปิดบริการมานั้นห้องอาหารแห่งนี้ก็ได้รับคำชมจากผู้ที่มาใช้บริการมากมาย ทั้งจากบุคคลทั่วไป, บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ รวมไปถึงนักการเมืองและดารานักแสดง นอกจากนี้หลายๆ คนยังรู้สึกประทับใจห้องอาหารแห่งนี้มากจนกลับไปใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นแขกประจำและทำให้เกิด “ตะเกียบส่วนบุคคล” ขึ้น โดยทางห้องอาหารจีนหลินฟ้าจะทำการเก็บตะเกียบที่แขกประจำแต่ละท่านใช้เป็นอย่างดี และนำมาเตรียมให้ทุกครั้งเมื่อแขกท่านนั้นมาใช้บริการ
เป็นยังไงล่ะครับ แค่อ่านท่อนแรกแค่นี้หลายๆ คนก็คงรู้สึกเคลิ้มหน่อยๆ แล้วใช่มั้ยล่ะ แต่มันยังไม่พอแค่นั้นนะครับ เพราะนอกจากห้องอาหารจีนหลินฟ้าจะเป็นห้องอาหารจีนกวางตุ้งที่ยึดศาสตร์การปรุงอาหารจีนแบบดั้งเดิมเป็นสิ่งสำคัญจนทำให้หลายๆ คนประทับใจในรสชาติอาหารแล้ว ห้องอาหารแห่งนี้ยังใส่ใจในเรื่องของการบริการและรายละเอียดต่างๆ จนทำให้ได้รับรางวัลมากมาย ทั้งรางวัลห้องอาหารจีนยอดเยี่ยมแห่งปี 2549 และปี 2558 จากนิตยสาร Thailand Tattler, การได้รับเลือกเป็นหนึ่งในห้องอาหารสำหรับหนังสือแนะนำการกิน-ท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ของแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง “หลุยส์ วิตตอง” เป็นต้น และด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังของห้องอาหารแห่งนี้นี่แหละครับทำให้ผมไม่คิดที่จะปฏิเสธเลยเมื่อได้รับคำเชิญให้ไปลองทานอาหารที่นี่ครับ
.
.
.
ป่ะ ตามไปดูกันว่าหน้าตาอาหารและรสชาติของเค้าจะเยี่ยมยุทธ์สมคำร่ำลือหรือไม่ครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
สำหรับใครที่ไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยไปโรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพ มาก่อน ผมจะขออธิบายการเดินทางไปยังโรงแรมแห่งนี้ให้ทราบคร่าวๆ ก่อนนะครับ โดยโรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพนั้นจะตั้งอยู่บนนถนนศรีอยุธยาใกล้ๆ กับถนนพญาไท หรือหากใครที่ไปช้อปปิ้งที่ King Power ถนนรางน้ำบ่อยๆ โรงแรมจะอยู่ข้างๆ กันเลยครับ โดยหากใครที่ไม่มีรถส่วนตัวก็สามารถที่จะเดินทางไปที่โรงแรมแห่งนี้ได้ง่ายๆ ด้วยการลงรถไฟฟ้า BTS ที่สถานีพญาไท จากนั้นออกทางออก 4 และเดินต่ออีกประมาณ 250 เมตรครับ
และเมื่อเรามาถึงโรงแรมแล้วก็ให้เราเปิดประตูและเดินตรงผ่านล็อบบี้โรงแรมไปได้เลย เดี๋ยวเราก็จะเจอกับห้องอาหารจีนหลินฟ้า (Lin-Fa) อยู่ตรงหน้าเราเลยครับ โดยห้องอาหารแห่งนี้จะอยู่ที่ชั้น 1 ของโรงแรม สะดวกสบาย หาง่ายมาก ^^
ลักษณะของห้องอาหารจีนหลินฟ้าจะเป็นห้องอาหารจีนที่ดูมีความโมเดิร์น มีความเก๋ และดูหรูหราร่วมสมัย ภายในห้องอาหารสามารถรองรับคนมาใช้บริการได้ประมาณ 200 คน รวมทั้งยังมีห้องพิเศษที่สามารถรองรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัวได้ตั้งแต่จำนวน 10 คนจนถึง 40 คนครับ ใครที่กำลังมองหาห้องอาหารจีนที่รสชาติดีๆ มีห้องส่วนตัว เดินทางสะดวก ลองพิจารณาที่นี่เป็นตัวเลือกได้เลย
ส่วนในเรื่องของเวลาในการเปิดบริการนั้น ในแต่ละวันห้องอาหารจีนหลินฟ้าจะเปิดบริการเป็น 2 ช่วง ดังนี้ครับ
ช่วงกลางวัน : เปิดระหว่างเวลา 11.30 น. – 14.30 น.
ช่วงกลางคืน : เปิดระหว่างเวลา 18.00 น. – 22.30 น.
โดยหากใครที่มาใช้บริการในช่วงกลางวันของวันเสาร์-อาทิตย์ ทางห้องอาหารเค้าจะมีบุฟเฟ่ต์ติ่มซำบริการด้วยนะครับ ราคาคนละ 795++ บาท/คน (ยังไม่รวมเครื่องดื่ม) ซึ่งเท่าที่ผมลองเปิดดูเมนูบุฟเฟ่ต์ติ่มซำของเค้า รวมทั้งได้มีโอกาสชิมอาหารต่างๆ ภายในห้องอาหารแห่งนี้ ผมว่าการมากินบุฟเฟ่ต์ติ่มซำที่นี่ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจดีนะครับ ราคาไม่แรง อาหารมีให้เลือกพอควร แล้วก็งบไม่บานปลาย ใครสนใจก็ลองสอบถามข้อมูลกับทางห้องอาหารเพิ่มเติมนะครับ โดยผมได้นำเอารายการเมนูบุฟเฟ่ต์ติ่มซำมาให้ทุกคนดูที่ด้านล่างนี้เรียบร้อยแล้ว ^^
ส่วนถ้าใครไม่สะดวกไปทานบุฟเฟ่ต์ติ่มซำกลางวันวันเสาร์-อาทิตย์ ก็สามารถไปทานเป็น A la carte ในวันและเวลาอื่นได้ โดยในส่วนของเมนู A la carte นั้นจะมีให้เลือกสั่งหลากหลายกว่า ส่วนในเรื่องของราคาก็ตามนี้เลยครับ
และนอกจากบรรดาเมนูติ่มซำที่เป็น A la carte แล้ว ห้องอาหารแห่งนี้ก็ยังมีเมนูอาหารจีนให้เราเลือกสั่งอีกมากมาย และมันเยอะมากจนผมถ่ายมาไม่หมด ดังนั้นเอาเป็นว่าทุกคนไปดูเฉพาะในส่วนที่ผมกับต๋งได้ชิมกันก็พอเนอะ และทั้งหมดนี้คือรายการอาหารทั้งหมดที่พวกเราได้ลองครับ
- ฮะเก๋าตับห่านนึ่งน้ำมันทรัฟเฟิล ราคา 140 บาท
- เต้าหู้หอยเชลล์ฮอกไกโดเยื่อไผ่ ราคา 130 บาท
- ฮะเก๋ากุ้งทอดพริกเกลือ ราคา 150 บาท
- เปาะเปี๊ยะหอยเชลล์ฮอกไกโดซอสวาซาบิ ราคา 130 บาท
- ฝั่นโก๋ปู ราคา 150 บาท
- ซาลาเปามันม่วงลาวา ราคา 90 บาท
- ซาลาเปาทุเรียนลาวา ราคา 110 บาท
- เคาหยกเปาบัน ราคา 95 บาท
- ขนมจีบกุ้ง ราคา 130 บาท
- ก๋วยเตี๋ยวหลอดกรอบ ราคา 120 บาท
- พริกหนุ่มยัดไส้เจียนซอสเป๋าฮื้อ ราคา 95 บาท
- เต้าหู้ทอดพริกเกลือ (เล็ก/กลาง/ใหญ่) ราคา 325 / 425 / 595 บาท
- ซุปกระเพาะปลาน้ำแดง ราคา 425 บาท
- กุ้งทอดซอสวาซาบิ (เล็ก/กลาง/ใหญ่) ราคา 555 / 1,055 / 1,385 บาท
- เป็ดปักกิ่ง ราคา 1,275 บาท
- เปาะเปี๊ยะกล้วยหอมมะม่วง ราคา 135 บาท
หมายเหตุ : สำหรับรายการที่ 1 – 7 นั้น จะเป็นรายการพิเศษที่จะมีให้บริการจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2562 เท่านั้น โดยทางห้องอาหารเค้าจะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนเมนูพิเศษไปเรื่อยๆ ครับ
รู้ชื่อและราคาหมดแล้ว คราวนี้เรามาดูหน้าตาและไล่รสชาติอาหารแต่ละรายการกันเลยนะครับ
ฮะเก๋าตับห่านนึ่งน้ำมันทรัฟเฟิล : เปิดตัวเมนูแรกด้วยเมนูที่ชื่อชั้นดูน่าทานมาก และพอถึงตอนที่พนักงานยกมาเสิร์ฟทุกคนในโต๊ะต่างก็ร้องว้าวไปตามๆ กัน หน้าตาดูดี ยั่วน้ำลายสุดๆ ส่วนในเรื่องรสชาตินั้นโดยส่วนตัวผมให้อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ค่อนไปทางดีครับ ยังไม่ว้าวมาก และผมรู้สึกว่าตับห่านที่เค้าใส่มานั้นมันน้อยเกินไปหน่อย พอกินเข้าไปแล้วมันก็เลยไม่รู้สึกถึงรสชาติเท่าที่ควรครับ
เต้าหู้หอยเชลล์ฮอกไกโดเยื่อไผ่ : รายการนี้จะเป็นเต้าหู้แผ่นสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ รองอยู่ด้านล่าง ส่วนด้านบนจะเป็นหอยเชลล์ผสมกับเครื่องต่างๆ โดยมีเยื่อไผ่เป็นเปลือกหุ้มด้านนอก หน้าตาสวยงามดูน่าทานอีกแล้วครับ แต่ละเมนูเชฟเค้าช่างรังสรรค์ออกมาได้เยี่ยมจริงๆ สำหรับเมนูนี้ผมประทับใจรสชาติของเต้าหู้ด้านล่างมาก อร่อยโดนใจ ส่วนหอยเชลล์กับเยื่อไผ่ด้านบนก็ถือว่าทำได้ดี เพียงแต่เต้าหู้ด้านล่างถูกปากถูกใจผมมากกว่าครับ
ฮะเก๋ากุ้งทอดพริกเกลือ : เมนูนี้รสชาติถูกปากผมสุดๆ ฮะเก๋าชิ้นใหญ่และรสชาติดีมาก โดยนอกจากเชฟเค้าจะทำการทอดมาได้ดีไม่อมน้ำมันแล้ว กุ้งด้านในก็ตัวใหญ่เต็มปากเต็มคำด้วย และยิ่งไปกว่านั้นพวกพริกเกลือและเครื่องต่างๆ ที่เค้าเสิร์ฟมาด้วยกันยังรสชาติดีมากด้วยครับ ผมนี่ตักกินเกลี้ยงจานเลย ><
เปาะเปี๊ยะหอยเชลล์ฮอกไกโดซอสวาซาบิ : นี่เป็นการประยุกต์อาหารจีนและญี่ปุ่นเข้ากันได้อย่างลงตัวเลย โดยตัวเปาะเปี๊ยะนั้นทอดมาได้ดี ส่วนไส้ด้านในก็อัดเนื้อมาให้เต็มๆ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมชอบไส้ด้านในของเปาะเปี๊ยะนี้มากกว่าเนื้อส่วนที่อยู่ด้านบนของเต้าหู้หอยเชลล์ฮอกไกโดเยื่อไผ่อีกนะ และเมื่อเราทานเปาะเปี๊ยะนี้คู่กับซอสวาซาบิที่เค้าราดมาด้านบนนั้น มันเป็นการเปิดมิติใหม่ของการกินเปาะเปี๊ยะทอดเลยครับ อร่อย ไม่เลี่ยน และมีความเผ็ดขึ้นจมูกเล็กๆ ด้วย
ฝั่นโก๋ปู : นี่เป็นอีกเมนูนึงที่ผมว่าทางเชฟเค้าทำออกมาได้สวยงามมากๆ สวยจนตอนเห็นทีแรกผมนี่ไม่กล้าชิมเลย ส่วนเรื่องของรสชาตินั้นถือว่าทำได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ ให้เนื้อปูมาแบบอัดแน่น แต่ผมแอบรู้สึกนิดนึงว่าแป้งที่เค้าห่อมานั้นมันหนาไปหน่อย มันก็เลยทำให้รับรู้รสชาติของไส้ด้านในได้น้อยลง หากสามารถทำให้แป้งที่ห่อบางลงได้อีกนิดนึง น่าจะเยี่ยมยอดเลยครับ
ซาลาเปามันม่วงลาวา : เมนูนี้ผมขอสารภาพตามตรงครับว่าผมไม่ได้ลองชิม เพราะมันมีแค่ 2 ลูก ประกอบกับวันนั้นมีเด็กตัวเล็กๆ ไปด้วย และน้องเค้าอยากชิมเมนูนี้มาก พวกเราทั้งโต๊ะก็เลยยกให้น้องเค้าจัดการหมดเลย และน้องเค้าบอกว่ามันแจ่มมาก!!! เอาเป็นว่าใครชอบทานมันม่วงก็ลองสั่งมาทานนะครับ
ซาลาเปาทุเรียนลาวา : พลาดจากเมนูเมื่อกี้ไป ผมกับต๋งก็เลยมาขอซ่อมที่เมนูนี้แทน “ซาลาเปาทุเรียนลาวา” ไส้ซาลาเปาที่แทบไม่ค่อยเจอที่ไหนทำ และหลังจากที่ผมกับต๋งได้ลองชิมแล้ว พวกเราบอกเลยว่ามันแจ่มมากกกก เพราะแค่พวกเราบิดซาลาเปาให้แยกออกจากกัน ไส้ลาวาของทุเรียนก็ค่อยๆ ไหลออกมาทันทีพร้อมกับส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของทุเรียนออกมาด้วย และพอเราหยิบเข้าปากมันก็ทำให้พวกเราทั้งคู่ฟินเลยครับ อร่อยลงตัวมาก ความหอมและรสชาติต่างๆ กำลังดี ไม่ได้รู้สึกเข้มข้นหรือกลิ่นแรงจนทานไม่ได้ เอาเป็นว่าขนาดผมที่ไม่ค่อยชอบทานทุเรียนยังต้องขอเบิ้ลเลยครับ!!
.
.
อ้อ เมนูนี้กับซาลาเปามันม่วงลาวานั้น เค้าจะมีการนำเอาทองคำมาตกแต่งเป็นทอปปิ้งด้านบนด้วยนะ ดูสวยงามและหรูหราดีครับ
เคาหยกเปาบัน : เมนูนี้อาจจะเป็นเมนูติ่มซำที่ห้องอาหารหลายๆ ที่ไม่ได้มีบริการ แต่สำหรับใครที่มาทานที่ห้องอาหารหลินฟ้าแล้วผมว่าควรสั่งมาลองนะ รสชาติดีมากครับ แป้งด้านนอกนิ่มอร่อย ส่วนไส้ด้านในนั้นเค้าก็ยัดหมูตุ๋นมาให้เยอะมาก หอมอร่อย เคี้ยวเพลินเลย
ขนมจีบกุ้ง : มากินติ่มซำและอาหารจีนทั้งที หากจะพลาดเมนูอย่างขนมจีบไปก็คงเหมือนมาไม่ถึง และขนมจีบกุ้งของห้องอาหารจีนหลินฟ้านอกจากจะไม่เพียงแต่ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงการมาทานติ่มซำแล้ว เมนูนี้ยังทำให้ทุกคนประทับใจมากด้วยครับ ขนมจีบลูกโตมาก ส่วนไส้ด้านในก็อัดกุ้งมาให้อย่างเต็มที่ บอกเลยว่าใครชอบขนมจีบกุ้งห้ามพลาดเลยครับ
ก๋วยเตี๋ยวหลอดกรอบ : นี่เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ผมชอบมากๆ แป้งทอดมาได้กรอบดี ทำให้เวลาที่เราเคี้ยวเราจะรู้สึกรุบกรอบอยู่ตลอดเวลา ส่วนไส้ด้านในนั้นก็ปรุงรสมาได้อย่างลงตัว รวมทั้งให้ปริมาณมาเยอะเลยครับ
พริกหนุ่มยัดไส้เจียนซอสเป๋าฮื้อ : เมนูก่อนหน้านี้เราได้ชิมอาหารที่มีการฟิวชั่นกันระหว่างจีนและญี่ปุ่นไปแล้ว เมนูนี้เราจะได้ลองชิมการผสมผสานระหว่างจีนกับไทยตอนเหนือหรือล้านนากันบ้างครับ และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการผสมผสานแบบนี้ทำให้ได้อาหารที่รสชาติดีถูกปากเลยครับ อร่อย เนื้อนุ่ม และมีความเผ็ดของพริกหนุ่มเล็กๆ กินแล้วรู้สึกประทับใจมาก เพราะโดยปกติแล้วอาหารจีนโดยดั้งเดิมนั้นส่วนมากเรามักจะรู้สึกเลี่ยนๆ มันๆ กินเยอะๆ จะรู้สึกเบื่อ แต่พอเจอการผสมผสานแบบนี้มันทำให้เรากินแล้วถูกปากมากขึ้น รวมทั้งสามารถไปลุยทานเมนูอื่นต่อได้ง่ายด้วยครับ
เต้าหู้ทอดพริกเกลือ : นี่คือการผสมผสานของวัตถุดิบ 2-3 อย่างที่ผมชื่นชอบในจานก่อนๆ หน้านี้ นั่นก็คือเต้าหู้กับพริกเกลือทอด ซึ่งก็อย่างที่ผมได้บอกไปครับว่าผมประทับในรสชาติเต้าหู้ของที่นี่ รวมทั้งพริกเกลือทอดของเค้าก็เด็ดมาก ดังนั้นเมื่อสองอย่างนี้มันมารวมกันในจานเดียวผมก็กินเพลินเลยสิครับ จานนี้อร่อยมาก และผมเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะรู้สึกประทับใจแบบผม แต่ถ้าจะให้ทุกคนรู้สึกดีแบบสุดๆ นะ เชฟเค้าน่าจะเพิ่มปริมาณของเครื่องทอดต่างๆ รวมทั้งเพิ่มความเผ็ดลงไปอีกนิด รับรองว่าโดนใจกว่านี้แน่นอนครับ ><
ซุปกระเพาะปลาน้ำแดง : นี่เป็นซุปกระเพาะปลาที่ให้กระเพาะปลากับเนื้อปูมาเยอะมากครับ โดยหนึ่งถ้วยที่เค้าเสิร์ฟนั้นน่าจะสามารถแบ่งทานได้ประมาณ 3-4 ถ้วยเล็ก น้ำข้น เครื่องแน่น และถือว่าราคาต่อถ้วยไม่แพงเลย ใครชอบทานกระเพาะปลาผมแนะนำเลยครับ
กุ้งทอดซอสวาซาบิ : จานนี้เรากลับมากันที่การผสมผสานระหว่างจีนกับญี่ปุ่นกันอีกแล้ว แต่คราวนี้ผมว่ามันจะหนักไปทางญี่ปุ่นมากหน่อย โดยจานนี้เป็นอีกจานที่เค้าปรุงรสมาได้ดีมากครับ และผมรู้สึกว่าหากเป็นกระบวนการปรุงอาหารแบบทอดนั้นที่นี่เค้าทำมาได้เด็ดอร่อยทุกจานเลย ทอดมาได้ดี แป้งต่างๆ กรอบ ไม่มีการอมน้ำมันใดๆ และนั่นก็ทำให้เมนูนี้กลายเป็นอีกหนึ่งในเมนูที่ผมกับต๋งชอบ กุ้งสดตัวโตๆ พร้อมกับไข่ปลาแซลมอนและซอสวาซาบิ มันแจ่มเลยฮะ!!
เป็ดปักกิ่ง : ปิดท้ายอาหารคาวกันด้วยเป็ดปักกิ่ง เมนูที่หลายๆ คนชอบทานรวมทั้งผมกับต๋งด้วย และห้องอาหารจีนหลินฟ้าก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังครับ เป็ดปักกิ่งที่นี่อร่อยมาก หนังกรอบ เคี้ยวเพลิน ส่วนแป้งก็รสชาติดี กินแล้วฟินมาก
.
.
.
ฟินจนให้กินอีก 1-2 ชุดยังได้เลยครับ ><
เปาะเปี๊ยะกล้วยหอมมะม่วง : ชิมของคาวกันมาเยอะแล้ว ผมขอปิดท้ายมื้อกันด้วยของหวานนะครับ โดยเมนูที่ผมกับต๋งได้ลองชิมนั้นชื่อว่าเปาะเปี๊ยะกล้วยหอมมะม่วง ซึ่งจะเป็นของหวานที่มีลักษณะคล้ายๆ กับเปาะเปี๊ยะทอด เพียงแต่ไส้ด้านในนั้นจะเป็นกล้วยและมะม่วง รวมๆ ผมว่ารสชาติดีนะ มีความหวานพอควร ถือว่าเป็นการปิดฉากล้างรสชาติจากการกินอาหารคาวต่างๆ ได้ดี แต่สำหรับใครที่ไม่ค่อยชอบทานมะม่วงหรืออะไรหวานๆ เมนูนี้อาจจะไม่ค่อยถูกใจซักเท่าไหร่ครับ
อ่านมาจนถึงตอนนี้ทุกๆ คนก็น่าจะพอรู้แล้วว่าห้องอาหารจีนหลินฟ้านั้นเป็นยังไงบ้าง แต่เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพแบบชัดๆ ผมก็เลยจะขอสรุปส่งท้ายรีวิวนี้ออกเป็นหัวข้อต่างๆ นะครับ ทุกคนจะได้รู้ว่าในมุมมองของผมนั้น ห้องอาหารจีนหลินฟ้า (Lin-Fa) ชั้น 1 โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพ (The Sukosol Bangkok) นั้นเป็นอย่างไร น่าไปโดน ไปตามรอยแค่ไหนครับ
วันที่รับประทาน : วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2562
ช่วงเวลา : 18.00 – 20.30 น.
จำนวน : 9 คน (ผู้ใหญ่ 7 คน เด็ก 2 คน)
รสชาติอาหาร : เป็นอะไรที่โดดเด่นและเป็นเอกฉันท์มากครับ วันนั้นผมและเพื่อนๆ ที่ไปชิมพร้อมๆ กันต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าอาหารจีนที่ห้องอาหารแห่งนี้รสชาติดี อร่อยมาก หลายๆ เมนูถูกปากสุดๆ จนอยากจะสั่งซ้ำ แต่ก็มีบางเมนูเหมือนกันที่เราอาจจะรู้สึกว่ารสชาติธรรมดาไปบ้าง หรืออยากจะให้ทางเชฟปรับนั่นนิดเพิ่มนู่นหน่อย แต่โดยรวมแล้วคุณภาพอาหารของที่นี่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีถึงดีมากเลยครับ และไม่ใช่แค่รสชาติดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในส่วนของหน้าตาอาหารและการจัดจานต่างๆ เค้าก็ทำออกมาได้ดีมากเช่นเดียวกันครับ
ความหลากหลายของอาหาร : เป็นห้องอาหารจีนที่มีความหลากหลายของอาหารพอควรเลยนะครับ เพราะนอกจากจะมีติ่มซำบริการแล้ว เค้ายังมีอาหารจีนประเภทต่างๆ ให้เราเลือกสั่งอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารจีนที่เป็นต้นตำหรับแท้ๆ หรือจะเป็นเมนูสมัยใหม่ที่มีการฟิวชั่นวัตถุดิบจากหลายๆ ประเทศเข้าด้วยกัน นอกจากนี้เค้ายังมีเมนูพิเศษที่ทางเชฟหมุนเวียนเปลี่ยนออกมาให้ทุกคนได้ลิ้มลองเป็นระยะๆ ด้วย ดังนั้นในเรื่องนี้ถือว่าสอบผ่านและไม่ต้องกังวลไปเลย
ความสะอาดของร้านและบรรยากาศโดยรวม : ดูดีเลยนะครับ บรรยากาศโดยรวมดูสงบและแฝงไว้ด้วยความสวยงาม ส่วนประเภทของโต๊ะก็มีหลากหลาย สามารถรองรับคนได้ทุกประเภทตั้งแต่โต๊ะเล็กๆ นั่งทานได้ 2-3 คน, โต๊ะกลมใหญ่ที่สามารถนั่งได้ 10 คน จนไปถึงห้องไพรเวทขนาดใหญ่ที่รองรับคนได้ถึง 40 คนครับ
การบริการของพนักงาน : ถือว่าทำได้ดีอยู่ในมาตรฐานของโรงแรมระดับนี้ครับ พูดเพราะ รู้จักข้อมูลต่างๆ ครบถ้วน รวมทั้งการบริการต่างๆ ไม่มีอะไรตกหล่นเลย
ความสะดวกของการเดินทาง : ข้อนี้ผมให้อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ค่อนไปทางดีนะครับ เพราะแม้ทำเลของโรงแรมจะอยู่ย่านที่เรียกว่าใจกลางเมือง คนไปมาสะดวก หาเจอง่าย มีที่จอดรถเยอะ และยังเป็นโซนที่การจราจรไม่ได้ติดขัดมากเท่าไหร่ด้วย แต่ด้วยความที่โรงแรมแห่งนี้ไม่ได้อยู่ติดกับรถไฟฟ้า BTS หรือ MRT จะต้องเดินเท้าต่ออีกประมาณ 250-300 เมตร ก็เลยอาจจะทำให้คนที่ไม่มีรถส่วนตัวขาดความสะดวกไปนิดนึงครับ
ความคุ้มค่า : หากมองแต่เรื่องของราคาอย่างเดียว ราคาโดยรวมของห้องอาหารจีนหลินฟ้าถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าสูงเหมือนกันครับ แต่บอกเลยว่าไม่ได้สูงมาก และทุกคนอย่าลืมนะครับว่านี่คือห้องอาหารในโรงแรม 5 ดาว ดังนั้นมันก็ต้องมีต้นทุนในการจัดการหลายๆ อย่างมากกว่าร้านอาหารข้างนอก และเชื่อผมเถอะว่าหากคุณได้ลิ้มลองรสชาติอาหารของที่นี่แล้ว คุณจะรู้สึกเลยว่ามันคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปครับ หน้าตาอาหารดูดี ขนาดของจานเหมาะสม วัตถุดิบต่างๆ รวมถึงกระบวนการในการปรุงอาหารและการสรรค์สร้างแต่ละเมนูนั้นล้วนแต่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีหมดเลยครับ และยิ่งใครที่ติดตามข่าวสารจากห้องอาหารอย่างใกล้ชิดและไปทานในช่วงที่เค้ามีโปรโมชั่นกับบัตรเครดิตต่างๆ เช่น ลด 10-20% คุณจะยิ่งรู้สึกคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นครับ ใครที่สนใจก็เกาะติดหน้าเพจเค้าไว้ดีๆ หรือจะโทรไปสอบถามเป็นระยะๆ ก็ได้ครับ
สรุป : ห้องอาหารจีนหลินฟ้าเป็นห้องอาหารจีนที่มีรสชาติอาหารอร่อยถูกปากผมกับต๋งหลายรายการมาก รวมทั้งยังเป็นห้องอาหารที่มีการทำเมนูต่างๆ ออกมาได้สวยงาม มีการฟิวชั่นผสมผสานวัตถุดิบที่น่าสนใจหลายอย่าง ใครที่กำลังมองหาห้องอาหารจีนที่รสชาติดีๆ มีห้องส่วนตัว และมีอาหารให้เลือกทานหลากหลาย ห้องอาหารแห่งนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ และสำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าอาหารของที่นี่จะถูกปากมั้ย หรือเป็นคนที่อยากจะลองทานหลายๆ เมนูแต่งบประมาณจำกัด ผมแนะนำให้ไปลองชิมบุฟเฟ่ต์ติ่มซำในช่วงกลางวันของวันเสาร์และอาทิตย์ดูนะครับ เพราะคุณจะสามารถคุมงบประมาณได้ง่าย รวมทั้งได้ลองชิมอาหารหลายอย่างด้วย ^^
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิดก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ ส่วนผู้ที่สนใจหรือต้องการสอบถามข้อมูลต่างๆ ของห้องอาหารแห่งนี้เพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้ได้เลย แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
Facebook : The Sukosol Hotel, Bangkok
Tel : 02-2470123
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราในวันที่ลองใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากนี้ได้ครับ