นี่นับเป็นครั้งที่ 3 ของผมกับต๋งแล้วครับที่เราได้มาเที่ยวจังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) ประเทศญี่ปุ่น โดยหากนับรวมเวลาทั้งหมดของพวกเราตลอด 3 ทริปแล้ว พวกเราน่าจะใช้เวลาในเมืองนี้กันมากกว่า 20 วันอีกครับ แต่เชื่อมั้ยครับว่าตลอดระยะเวลากว่า 20 วันนี้ พวกเราได้เห็นอะไรใหม่ๆ ได้ไปที่ใหม่ๆ แทบจะทุกวัน มีเพียงแค่ 2-3 สถานที่เท่านั้นที่เราเลือกจะย้อนกลับไปซ้ำ เพื่อไปเก็บภาพบรรยากาศที่เราตกหล่นไป หรือไปเพื่อซึมซับความงามของสถานที่นั้นในฤดูกาลที่แตกต่างกันออกไป และเชื่อมั้ยครับว่าในอนาคตผมกับต๋งก็ยังมีแผนที่จะเดินทางไปยัง Fukushima อีก เพราะยังมีอีกหลายที่เหลือเกินที่พวกเรายังไม่ได้เที่ยวชมในจังหวัดแห่งนี้ โดยเฉพาะความงามของธรรมชาติในช่วงที่ซากุระบานสะพรั่งในเดือนเมษายนครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากจังหวัดฟุกุชิมะ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
สำหรับสองครั้งที่ผ่านมานั้นผมกับต๋งเดินทางมาเที่ยวจังหวัด Fukushima ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน โดยครั้งแรกนั้นเราเดินทางมาในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่นและเป็นช่วงที่หลายๆ คนมักไม่ค่อยเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศแห่งนี้กันครับ แต่ในทริปนั้นปรากฏว่าเราได้เห็นเสน่ห์ของ Fukushima ในฤดูร้อนอย่างมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของการเก็บลูกพีชสดๆ จากต้น, เทศกาลฤดูร้อน แล้วก็การได้ไปว่ายน้ำในสระว่ายน้ำในร่มที่มีขนาดใหญ่มากและเต็มไปด้วยหนุ่มๆ สาวๆ ชาวญี่ปุ่นที่มาเล่นน้ำคลายร้อนกัน!! ใครที่สนใจก็ตามไปอ่านได้ที่ลิงก์ข้างล่างนี้ได้เลยนะครับ
- เที่ยว FUKUSHIMA และ KORIYAMA ตอน เก็บพีชสุดอร่อยที่สวน MARUE แล้วตะลุยโลกอวกาศที่ KORIYAMA SPACE PARK
- เที่ยว IWAKI ตอน ตะลุย SPA RESORT HAWAIIANS และงานเทศกาลฤดูร้อน
- เที่ยว IWAKI ตอน ตะลุย AQUAMARINE FUKUSHIMA และตลาดปลา LALAMEW
ส่วนการมา Fukushima ครั้งที่ 2 ของผมกับต๋งนั้น เรามาในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับฤดูหนาวและเป็นช่วงที่เรียกว่าหนาวสุดๆ ของจังหวัดแห่งนี้เลย โดยเราทั้งคู่ต้องผจญกับความหนาวถึง -18 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว!!! บอกเลยว่ามันหนาวมากกกก แต่สิ่งที่ดีสุดๆ ของการมา Fukushima ในฤดูนี้ก็คือคุณจะได้เจอกับเทศกาลหิมะมากมาย ได้เห็นได้เล่นหิมะขาวๆ นุ่มๆ จนทำให้คนที่อยู่ที่ไทยต้องอิจฉา ได้เห็นวิวสวยๆ ที่เราไม่สามารถหาได้จากการมาเที่ยวในฤดูอื่นๆ และสำหรับคนที่ชอบเล่นสกีหรือสโนวบอร์ดแล้วที่จังหวัด Fukushima แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยสกีรีสอร์ท (Ski Resort) ดีๆ หิมะนุ่มๆ มากมายเต็มไปหมดเลยครับ บอกเลยว่ามันดีและสนุกมาก!!
ใครที่สนใจอยากจะอ่านบทความของทริปที่ผมกับต๋งไป Fukushima ในช่วงฤดูหนาวบางส่วนก็สามารถอ่านได้ตามลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ
- HOSHINO RESORT ALTS BANDAI : สกีรีสอร์ทที่หิมะขาว เนียน นุ่ม และราคาไม่แพง
- PAINTED CANDLE FESTIVAL @ TSURUGA CASTLE : หนึ่งปีมีครั้ง กับเทศกาลเทียนแสนงาม ณ ปราสาทนกกระเรียน
- INAWASHIRO LAKE : ฝูงหงส์งามสง่า กับตำนานบุคคลสำคัญระดับโลก
- SNOW FESTIVAL @ OUCHI JUKU : เทศกาลหิมะของหมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณ กับพลุมากมายเต็มท้องฟ้า
- TADAMI SNOW FESTIVAL : สุดยอดพลุอลังการดาวล้านดวง กับความหนาวสุดขั้วหัวใจ
เอาล่ะครับ เกริ่นมายาวนานมาก คราวนี้เรามาพูดถึงทริปที่ 3 ในจังหวัด Fukushima ของผมกับต๋งกันดีกว่า โดยทริปนี้เราเดินทางกันระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) ของประเทศญี่ปุ่น หรือช่วงที่คนไทยเรียกว่าใบไม้แดงนั่นแหละครับ โดยในช่วงปลายเดือนตุลาคมจนถึงประมาณวันที่ 10 พฤศจิกายนของทุกปีนั้น จะเป็นช่วงที่ใบไม้แดงในจังหวัด Fukushima มีความสวยงามมากที่สุดเลยครับ ใครที่เล็งๆ อยากจะไปชมความงามของใบไม้แดงที่จังหวัดนี้หรือจังหวัดอื่นๆ ในโซนโทโฮคุ ก็มองดูตั๋วเครื่องบินในช่วงนี้ได้เลยครับ โดยเฉพาะช่วงวันที่ 29 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน ผมว่ามันเป็นช่วงที่เรามีโอกาสเจอใบไม้แดงสวยๆ เยอะมากครับ
ผมกับต๋งออกเดินทางจากไทยเช้ามืดวันที่ 25 ตุลาคม ด้วยสายการบิน ANA เที่ยวบิน NH808 โดยเครื่องออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 00.30 น. และไปถึงสนามบินนาริตะ เวลา 08.40 น. โดยนี่นับเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่เราเดินทางไปญี่ปุ่นด้วยสายการบินนี้ครับ และบอกเลยว่าเราประทับใจในการบริการของพนักงาน, อาหารบนเครื่อง รวมถึงความใหม่ของเครื่องบินของสายการบินนี้มากๆ โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่สุดที่จะไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือเรื่องของน้ำหนักสัมภาระที่ทาง ANA เค้าให้เรามากถึง 46 กิโลกรัมต่อคนครับ!! (ผู้โดยสาร 1 คน สามารถโหลดกระเป๋าสัมภาระได้ 2 ใบ โดยน้ำหนักต่อใบสามารถโหลดได้สูงสุด 23 กิโลกรัม) บอกเลยว่าขาช้อป ใครที่ชอบซื้อของเยอะๆ ควรพิจารณาสายการบินนี้ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกเลย ถ้าเจอราคาไปกลับประมาณ 15,000 – 17,000 บาทต่อคนเมื่อไหร่ ผมว่าจัดได้เลยครับ คุ้ม!!
หลังจากที่เราเดินทางมาถึงสนามบินนาริตะ ผมกับต๋งก็นำเอาหลักฐานการซื้อ JR East Tohoku Pass ที่เราซื้อจากไทยไปแลกเป็นบัตรตัวจริงที่ JR East Travel Service Center ซึ่งอยู่บริเวณชั้นล่างสุดของสนามบินครับ โดยเวลาเปิดบริการของเค้าจะอยู่ที่ 8.15 น. – 19.00 น. นะครับ ส่วนระยะเวลาในการแลกนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของคนเลย โดยผมเคยใช้เวลาในการรอแลกตั้งแต่ 15 นาที จนถึง 40 นาทีเลยครับ @_@
นี่เป็นหน้าตาของ JR East Tohoku Pass ที่เราทั้งคู่แลกเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ข้างในจะมีชื่อและข้อมูลต่างๆ ของเรา ส่วนการใช้งานของพาสนี้จะเน้นไปที่การใช้นั่งรถไฟในโซนโทโฮคุเป็นหลักครับ โดยเราจะสามารถเลือกใช้พาสนี้ได้ 5 วัน ภายในระยะเวลา 14 วัน (เราสามารถเลือกใช้วันไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นวันติดกันก็ได้) โดยราคาของพาสชนิดนี้จะมีอยู่ 2 แบบดังนี้ครับ
- ราคาขายนอกประเทศญี่ปุ่น ผู้ใหญ่ราคา 19,000 เยน, เด็กราคา 9,500 เยน
- ราคาขายภายในประเทศญี่ปุ่น ผู้ใหญ่ราคา 20,000 เยน เด็กราคา 10,000 เยน
ใครที่สนใจจะซื้อพาสชนิดนี้มาใช้งานก็สามารถดูรายละเอียดต่างๆ ในลิงก์นี้ https://www.jreast.co.jp/e/eastpass_t/ รวมทั้งดูราคาค่าตั๋วรถไฟเที่ยวต่างๆ ของตัวเองในทริปผ่านทาง http://www.hyperdia.com/ ได้เลยครับ จะได้รู้ว่าซื้อพาสแล้วคุ้มไม่คุ้มครับ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมกับต๋งก็นั่งรถไฟยาวๆ ไปยัง Iizakaonsen (อิอิซากะออนเซน) จังหวัด Fukushima ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของพวกเราในวันนี้ครับ โดยวิธีการเดินทางที่สั้นที่สุดจากสนามบินนาริตะไปยัง Iizakaonsen นั้น จะต้องนั่งรถไฟ 3 ต่อ ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 183 นาที (ไม่รวมเวลารอรถไฟ) โดยจะแบ่งเป็น
- จากสนามบินนาริตะ (Narita Airport) ถึงสถานีโตเกียว (Tokyo) 62 นาที
- จากสถานีโตเกียว (Tokyo) ถึงสถานีฟุกุชิมะ (Fukushima) 98 นาที
- จากสถานีฟุกุชิมะ (Fukushima) ถึงสถานีอิอิซากะออนเซน (Iizakaonsen) 23 นาที
ดังนั้นใครที่จะนั่งยาวๆ ก็ต้องเช็คเวลารถไฟดีๆ และเตรียมอาหารการกินเอาไว้ให้พร้อมนะครับ หรือถ้าใครไม่อยากทานข้าวบนรถไฟ ตอนที่เดินทางไปถึงสถานี Fukushima แล้ว ก็ไปหาข้าวกินในสถานีก็ได้ครับ มีร้านอาหารอร่อยๆ ราคาไม่แรงให้บริการหลายร้านเลย อย่างเช่นร้าน Don Tatu ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านที่ขายพวกซูชิ, ข้าวหน้าปลาดิบราคาเบาๆ ก็มีบริการที่สถานีนี้ครับ
หมายเหตุ : สามารถคลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิวของร้าน Don Tatu ได้เลยครับ แม้จะเป็นคนละสถานี แต่รูปแบบการสั่งและหน้าตาอาหารก็จะเหมือนๆ กัน สามารถอ่านเป็นแนวทางได้เลย
ส่วนนี่เป็นหน้าตาของรถไฟที่จะพาเราเดินทางจากสถานี Fukushima ไปยังสถานี Iizakaonsen ครับ รถไฟสายนี้จะเป็นรถไฟสายท้องถิ่น Kotsu Iizaka Line รถไฟสายสั้นๆ ที่มีปลายทางอยู่ที่ สถานี Iizakaonsen และเป็นรถไฟสายที่เราจะไม่สามารถใช้ JR Pass ได้ครับ เราจะต้องซื้อตั๋วเพิ่มต่างหากในราคา 370 เยน/คน โดยทางขึ้นรถไฟขบวนนี้จะอยู่ข้างๆ กับสถานี Fukushima ลักษณะจะเป็นตรอกเล็กๆ ที่สังเกตค่อนข้างยากซักหน่อย แต่ผมมีวิธีสังเกตง่ายๆ มาบอกก็คือให้เราหาร้าน Matsumoto ที่อยู่บริเวณชั้น 1 ของห้าง S-Pal ให้เจอ จากนั้นให้เดินตรงไปเรื่อยๆ โดยให้ร้าน Matsumoto อยู่ทางซ้ายมือของเรา และเดี๋ยวเราก็จะเจอทางเดินไปขึ้นรถไฟขบวนนี้เองครับ
หมายเหตุ : หากใครไปซื้อตั๋วที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติแล้วเจอแต่ภาษาญี่ปุ่น ไม่สามารถเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาอังกฤษได้ เราสามารถขอให้เจ้าหน้าที่มาช่วยซื้อตั๋วให้ได้ครับ หรือไม่ก็กดไปที่ราคา 370 เยนได้เลย รับรองว่าถูกที่แน่นอน ^^
จากสถานี Fukushima เราก็นั่งรถไฟชมวิวข้างทางเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็มาถึงสถานี Iizakaonsen ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของรถไฟสายนี้ครับ โดยสถานี Iizakaonsen นี้จะเป็นสถานีที่เล็กและเงียบมากๆ ช่วงเวลาที่ไม่มีรถไฟเทียบชานชาลาก็แทบจะไม่มีคนเดินไปมาเลยครับ
เมื่อเราเดินขึ้นจากสถานีมายังด้านบน เราก็จะเจอกับร้านขายผักผลไม้เล็กๆ แบบนี้อยู่ทางซ้ายมือของเราครับ โดยช่วงที่ผมไปนั้นจะตรงกับช่วงที่แอปเปิ้ลกำลังออกผลพอดี ซึ่งผมแนะนำเลยว่าให้ทุกคนลองซื้อมาชิมดูและจะพบว่าแอปเปิ้ลของที่ฟุกุชิมะนี้ นอกจากจะใหญ่แล้วยังหอม หวาน อร่อยมากๆ อีกด้วยครับ แนะนำเลยว่าควรซื้อมาลองชิมซักลูก และหากใครชอบใจในรสชาติก็สามารถที่จะซื้อเก็บไว้กินวันอื่นหรือขนกลับมาไทยก็ได้ครับ ผมกับต๋งลองมาแล้วว่านำกลับมาไทยแล้วแอปเปิ้ลยังมีสภาพที่ดีและอร่อยมากๆ อยู่เลยครับ
อ้อ แล้วก็นอกจากแอปเปิ้ลแล้ว ผมอยากจะบอกว่าพวกผักและผลไม้ต่างๆ ของฟุกุชิมะ รวมทั้งจากพื้นที่โดยส่วนใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นนั้นล้วนแต่มีรสชาติที่ดีมากๆ เลยล่ะครับ ใครที่ชอบทานผักและผลไม้รับรองไปญี่ปุ่นแล้วฟินแน่นอน
สำหรับราคาโดยส่วนใหญ่ของแอปเปิ้ลใน Fukushima ในช่วงที่แอปปิ้ลออกผลเยอะๆ นั้น จะอยู่ที่ลูกละ 100 – 130 เยน แล้วแต่พันธุ์ครับ ใครที่ชอบทานก็ลองซื้อมาชิมหลายๆ แบบนะครับ บางร้านก็ใจดี มีผ่าเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เราลองชิมก่อนด้วย ^^
ผมให้ดูขนาดของแอปเปิ้ลที่ผมกับต๋งซื้อมาครับ หลายๆ คนอาจจะคิดว่าลูกละ 100 เยน หรือประมาณ 30-35 บาทนั้น มันก็ไม่ได้ถูกนี่ แต่ผมบอกเลยว่าลูกมันใหญ่มาก และรสชาติดีกว่าแอปเปิ้ลที่เรากินในไทยมากๆ เลยครับ บอกเลยว่าราคานี้คุ้ม!! คุ้มและดีจนผมต้องซื้อกลับมากินที่ไทยต่อเลย มันหอมอร่อยมากจริงๆ ><
ส่วนใครที่ไม่ชอบทานผักผลไม้ หรืออยากจะหาขนม ของกรุบกริบ เครื่องดื่มอะไรแปลกๆ ทาน ก็ขอเชิญที่ร้าน Family Mart ที่อยู่ด้านข้างของสถานีได้เลยครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนี่น่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อเพียงร้านเดียวภายในเมืองนี้ ใครอยากได้เสบียงอะไรก็ซื้อตุนไว้ได้เลย หรือถ้าใครต้องการจะเดินทางไปไหนด้วย Taxi ก็สามารถใช้บริการที่บริเวณนี้ได้เลยครับ โดยส่วนมากแล้วในช่วงเวลากลางวันจะมี Taxi จอดบริการอยู่ 1-2 คันแทบจะตลอดเวลาครับ
ทั้งนี้โดยส่วนมากแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาที่สถานี Iizakaonsen นั้น จะมีอยู่ 2 จุดประสงค์ใหญ่ๆ คือ การพักผ่อนและเดินเที่ยวในเมืองเล็กๆ ที่แสนสงบแห่งนี้ หรือไม่ก็เดินทางไปยังสวนผลไม้ต่างๆ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับสถานี โดยจากสถานี Iizakaonsen ไปยัง Fruit Line ซึ่งเป็นถนนสายผลไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัด Fukushima นั้น จะมีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรเท่านั้นครับ ใครที่ชอบทานผลไม้สดๆ อร่อยๆ และอยากมีประสบการณ์การเด็ดผลไม้จากต้นมาทาน ก็ลองหาโอกาสไปที่สวนผลไม้ต่างๆ ใน Fruit Line นี้ซักครั้งนะครับ เพราะที่สวนเหล่านี้เค้าจะมีบริการให้เราเด็ดผลไม้จากต้นมาทานได้ไม่อั้นในระยะเวลา 30 นาที โดยจะมีประเภทของผลไม้หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล
สำหรับวันนี้ผมกับต๋งเรามีแผนในใจแล้วว่าเราจะใช้เวลาในการเดินเล่นที่เมืองแห่งนี้ เพราะเราทั้งคู่เคยไปเก็บลูกพีชที่ Fruit Line มาทานกันแล้ว และเราก็อยากรู้ว่าเมือง Iizakaonsen แห่งนี้มีอะไรที่น่าประทับใจ ทำไมหลายๆ คนที่เคยมาที่เมืองนี้แล้วถึงอยากจะกลับมากันอีก โดยจากสถานี Iizakaonsen ผมกับต๋งก็เดินลากกระเป๋าเดินทางไปตามถนนประมาณ 200 เมตร จนกระทั่งเจอ Fukuzumi Ryokan ซึ่งเป็นที่พักของเราในวันนี้ จากนั้นเมื่อพวกเราทำการ Check in และเก็บข้าวของภายในห้องเสร็จเรียบร้อย เราก็เริ่มต้นการสำรวจเมืองแห่งนี้กันครับ
หมายเหตุ : สามารถคลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิวเต็มของ Fukuzumi Ryokan ได้เลยนะครับ
โดยจุดตั้งต้นในการเดินเที่ยวของผมนั้นจะขอเริ่มที่สถานี Iizakaonsen นะครับ เพราะคาดว่าหลายๆ คนน่าเดินทางมาที่เมืองนี้กันมาด้วยรถไฟเป็นหลัก โดยหลังจากที่เรามาอยู่ที่หน้าสถานีเรียบร้อยแล้ว เราจะพบว่าที่บริเวณประตูสถานีนั้นจะมีแผนที่ขนาดใหญ่ของเมืองแสดงอยู่ รวมทั้งมีการแนะนำสถานที่ที่น่าสนใจภายในเมืองด้วย ซึ่งด้วยความที่เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องออนเซนและการอาบน้ำมาตั้งแต่โบราณ ดังนั้นสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจจึงมักจะเป็นโรงอาบน้ำร้อนเป็นหลักครับ
หมายเหตุ : เมือง Iizakaonsen เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงเรื่องแหล่งน้ำพุร้อนมาอย่างยาวนาน โดยชื่อเสียงอันโด่งดังของเมืองนี้มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยเอโดะอีกครับ รวมทั้งยังมีเรื่องเล่าด้วยว่าน้ำแร่ของที่นี่นั้นสามารถช่วยให้หายจากโรคภัยต่างๆ ได้อีกด้วย
สำหรับวันนี้ผมกับต๋งมีเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน พวกเราก็เลยวางแผนคร่าวๆ ที่จะเดินชมวิวเมืองไปเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ 2 ที่คือ Atagoyama Park และ Kyu Horikiri-tei ซึ่งหลังจากที่พวกเรากำหนดเป้าหมายได้แล้วพวกเราก็เริ่มออกเดินไปเรื่อยๆ โดยจากสถานี Iizakaonsen ไปยัง Atagoyama Park นั้นจะมีระยะทางประมาณ 500-600 เมตร แต่ทั้งนี้บางคนอาจจะเดินไกลกว่านี้เพราะใช้เส้นทางการเดินที่ไม่เหมือนกันครับ
นี่เป็นภาพระหว่างทางที่ผมเดินครับ เป็นเมืองที่ดูสวยงามและสงบดีจริงๆ และถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นว่าบางจุดเค้าจะมีที่ให้เราแช่เท้าชมวิวสวยๆ ด้วยนะครับ ซึ่งสถานที่เหล่านี้เราสามารถไปแช่เท้ากันได้ฟรีๆ เลย ^^
ผมกับต๋งเดินได้ประมาณ 10 นาที ก็มาถึง Atagoyama Park ซึ่งที่จุดนี้ถ้าจะให้พูดง่ายๆ มันก็คือภูเขาขนาดเล็กที่อยู่ฟากนึงของเมืองนั่นเองครับ โดยบนสุดของภูเขาแห่งนี้จะมีศาลเจ้าและจุดชมวิวเมืองที่สวยงามอยู่ โดยเฉพาะในช่วงตอนเย็นๆ ก่อนที่พระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าครับ
สำหรับเส้นทางการเดินขึ้นสู่ด้านบนของ Atagoyama Park นั้นจะเป็นบันไดตลอดทาง เดินค่อนข้างง่าย แต่ด้วยจำนวนขั้นที่มากพอควรก็ทำให้ผมต้องหอบไปหลายยก และหยุดเดินไปหลายรอบอยู่เหมือนกัน โดยระหว่างทางเดินขึ้นไปนั้นจะมีสนามเด็กเล่นขนาดเล็กแบบนี้อยู่ ใครที่รู้สึกเหนื่อยก็สามารถนั่งพักนั่งเล่นก่อนได้ และถ้าใครที่มาเที่ยวเมืองนี้ช่วงเดียวกับผมก็จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ แบบนี้ด้วยครับ
หลังจากที่เราพักจนหายเหนื่อยแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ โดยระหว่างทางหากเราเจอทางแยกซ้ายขวาเราก็ไม่ต้องลังเลนะครับ ให้เราเดินขึ้นไปตามทางบันไดเรื่อยๆ จนไปถึงด้านบนสุดได้เลย เพราะทางแยกซ้ายขวาเหล่านั้นจะเป็นทางเดินอ้อมชมวิวเฉยๆ และวิวด้านบนสุดจะสวยกว่าอยู่แล้ว ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องเดินอ้อมให้เสียเวลาครับ
และนี่คือภาพของศาลเจ้าที่อยู่ด้านบนสุดของ Atagoyama Park ครับ
ส่วนนี่เป็นภาพของเมือง Iizakaonsen ที่เราจะมองเห็นได้จากจุดชมวิวด้านบนครับ บอกเลยว่าสวยมาก โดยเฉพาะช่วงเย็นๆ แบบที่ผมไปครับ
สำหรับใบไม้ต่างๆ นั้นโดยส่วนใหญ่ก็เริ่มมีการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีแดงแล้ว ใครที่มาช่วงปลายเดือนตุลาคมหรือต้นเดือนพฤศจิกายนน่าจะเป็นช่วงที่เหมาะมากๆ กับการชมใบไม้เปลี่ยนสีของเมืองนี้ครับ
ผมลองซูมภาพตามจุดต่างๆ ของเมืองให้ดูครับ จะเห็นว่ามีหลายจุดเลยที่สวยงามน่าสนใจดี ^^
ขอทิ้งท้ายภาพจากมุมด้านบน Atagoyama Park นี้อีกซักใบนะครับ ใครที่ชอบถ่ายภาพผมแนะนำเลยว่าห้ามพลาดที่จะมาจุดนี้ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่พระอาทิตย์จะตกดิน ผมว่ามันน่าจะสวยงามมากแน่ๆ แต่สำหรับวันนี้เนื่องจากผมยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่อยากจะไปต่อ ผมก็เลยไม่ได้อยู่รอจนพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าครับ
หลังจากที่ผมชมวิวสวยๆ ของเมือง Iizakaonsen จนอิ่มใจแล้ว ผมกับต๋งก็ตัดสินใจเดินลงจาก Atagoyama Park เพื่อไปยัง Kyu Horikiri-tei โดยระยะทางสองที่นี้ก็ห่างกันประมาณ 400-500 เมตรเท่านั้น และที่สำคัญเราไม่ต้องกลัวหลงหรือเดินไปไม่ถูกเลย เพราะเมือง Iizakaonsen นั้นเป็นเมืองเล็กๆ ถนนหนทางต่างๆ สามารถเชื่อมทะลุถึงกันได้หมด อีกทั้งภายในเมืองแห่งนี้เค้ายังมีการติดตั้งแผนที่เมืองและป้ายบอกทางไว้หลายจุดมาก เดินไปซักพักเดี๋ยวเราก็เจอแผนที่บอกทางแล้วครับ
นี่เป็นภาพของวิวสวยๆ ในระหว่างที่ผมเดินจาก Atagoyama Park ไปยัง Kyu Horikiri-tei ครับ จุดนี้เป็นจุดที่ผมชอบมาก ภูเขา, ลำธาร และใบไม้เปลี่ยนสี มันสวยงามลงตัว ดูแล้วสดชื่นมากๆ ครับ
ส่วนนี่เป็นภาพของประตูทางเข้าของ Kyu Horikiri-tei ครับ โดยที่ข้างๆ ประตูนั้นจะมีป้ายคำอธิบายภาษาอังกฤษบอกไว้ว่าที่นี่คือบ้านคหบดีเก่าที่ยังมีความสมบูรณ์และสวยงามมากอยู่ โดยภายในพื้นที่นี้จะมีอาคารหลายหลังพร้อมทั้งมีเจ้าหน้าที่และข้อมูลต่างๆ ไว้คอยบริการแก่นักท่องเที่ยว และที่เด็ดสุดๆ ก็คือที่นี่จะมีบริการแช่ออนเซนมือและเท้าฟรีด้วย บอกเลยว่าดีมากๆ เลยครับ
สำหรับเวลาเปิด-ปิดของ Kyu Horikiri-tei นั้นจะเปิดตั้งแต่เวลา 9.00 น. จนถึงเวลา 21.00 น. และทุกคนสามารถเข้าชมได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
นี่เป็นภาพของอาคารต่างๆ ภายใน Kyu Horikiri-tei ครับ จะมีอาคารหลายหลังเลย บางหลังก็จะเป็นจุดจัดแสดงเกี่ยวกับการเลี้ยงไหม, ทอผ้า ซึ่งลักษณะก็จะคล้ายๆ กับกระบวนการทอผ้าไหมของคนไทยนี่แหละครับ ส่วนอาคารบางหลังก็จะเป็นห้องรับรองแขก, ห้องพักของคนในครอบครัว รวมไปถึงห้องที่เอาไว้เก็บของมีค่า ซึ่งห้องนี้จะเป็นห้องที่พิเศษกว่าห้องอื่นๆ ตรงที่ประตูจะทำจากดินเพื่อให้สามารถทนความร้อนจากไฟและไม่ติดไฟง่ายๆ เหมือนกับห้องอื่นๆ ที่มักจะทำประตูจากไม้และกระดาษครับ
สำหรับการเข้าชมที่นี่นั้น เราจะต้องเดินชมด้วยตัวเองเป็นหลัก โดยพอเราก้าวผ่านประตูทางเข้าหลักมา ทางขวามือจะมีอาคารเล็กๆ อยู่ ซึ่งที่จุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่พูดคุยให้ข้อมูลกับเราเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ แล้วก็ตามอาคารบางแห่งก็จะมีคนพูดคุยหรือให้ข้อมูลกับเราเพิ่มเติมอีกครับ แต่ด้วยความที่เจ้าหน้าที่เองก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษมากนัก ผมก็เลยแนะนำว่าให้เราแวะเข้าไปเอาแผ่นพับหรือโบรชัวร์ภาษาอังกฤษจากจุดแรกมาก็พอ แล้วหลังจากนั้นเราก็เดินชมเองไปเรื่อยๆ จะดีกว่าครับ ^^
ส่วนนี่จะเป็นบริเวณที่แช่ออนเซนมือและเท้าฟรีครับ ใครที่เดินเที่ยวเมืองมาเหนื่อยๆ ลองมานั่งแช่ดูนะครับ บอกเลยว่ามันช่วยให้ร่างกายคลายความเมื่อยล้าได้ดีมากๆ ^^
และนี่….ดูวิวที่เราจะมองเห็นได้ขณะที่เราแช่เท้าซะก่อน สวยและรู้สึกผ่อนคลายมากเลยใช่มั้ยครับ ^^
หมายเหตุ : สำหรับคนที่ต้องการแช่ออนเซนมือและเท้า ผมแนะนำให้เอาผ้าผืนเล็กๆ ติดมาด้วยนะครับ จะได้เอาไว้เช็ดหลังจากที่เราแช่เสร็จครับ
และหลังจากที่ผมกับต๋งนั่งแช่เท้าชมวิวสวยๆ พร้อมคุยกันชิลๆ ได้ซัก 20 นาที พวกเราก็ออกเดินทางจาก Kyu Horikiri-tei เพื่อไปชมสถานที่อื่นๆ ภายในเมือง Iizakaonsen กันต่อ โดยผมมีเป้าหมายในใจที่อยากจะไปก็คือการไปถ่ายรูปกับแทงค์น้ำรูปทรงถังน้ำไม้โบราณขนาดใหญ่ที่เค้าว่ากันว่าอยู่ใกล้ๆ กับ Kyu Horikiri-tei แห่งนี้ครับ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นพระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว ประกอบกับเราสองคนก็ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดก็เลยหาไม่เจอซักที แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เราสองคนเดินเล่นภายในเมือง Iizakaonsen นั้น เราก็ได้เห็นอะไรที่สวยงามมากมาย โดยเฉพาะความสงบ ความเรียบง่ายของเมืองแห่งนี้ครับ ใครที่อยากจะมาสัมผัสประเทศญี่ปุ่นแบบที่ไม่วุ่นวาย ได้มาเห็นวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นในชนบท ได้มาสัมผัสกับธรรมชาติที่แสนจะบริสุทธิ์ ได้แช่ออนเซ็นดีๆ พร้อมกับเข้าพักในเรียวกังที่ห้องกว้างๆ มีอาหารอร่อยๆ บริการในราคาที่ไม่แพง ผมแนะนำเลยว่าที่เมือง Iizakaonsen (อิอิซากะออนเซน) แห่งนี้ สามารถตอบโจทย์คุณได้อย่างแน่นอน และรับรองว่าคุณจะหลงรักความเรียบง่ายแต่อิ่มใจสุดๆ แบบที่ผมกับต๋งได้รับในวันนี้ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันจนจบนะครับ และเดี๋ยวบทความหน้าผมจะพาทุกคนไปเที่ยวชมความงามของ Fukushima (ฟุกุชิมะ) ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีหรือใบไม้แดงกันต่อ โดยสถานที่หลังจากนี้ผมบอกเลยว่ามีแต่เด็ดๆ ทั้งนั้น และการเที่ยวของผมกับต๋งใน Fukushima หลังจากนี้เราจะเช่ารถจาก Toyota Rent a Car ขับกันถึง 4 วันเต็มๆ
แล้วตามไปลุ้นกันนะครับว่าการขับรถเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองครั้งแรกของผมกับต๋งจะเป็นยังไง มันจะยากหรือทำเอาฟินซักแค่ไหน และสำหรับใครที่ไม่อยากพลาดเรื่องราวการกินและเที่ยวของผมกับต๋ง ก็สามารถกดติดตามได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราในวันที่ลองใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากนี้ได้ครับ