จากการเดินทางตอนที่แล้วที่ผมได้พาทุกคนไปอุชกูลี (Ushguli) หมู่บ้านที่ได้รับรองให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO ผมก็ได้พาทุกคนนั่งรถยาวๆ ผ่าน Zagaro Pass มาจนถึงเมืองคูไตซี (Kutaisi) หนึ่งในเมืองที่นักเดินทางหลายคนมักจะแวะเวียนมาพักหรือหาอะไรทาน เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ มีร้านอาหาร มีที่พักให้บริการเยอะ รวมทั้งยังมีสถานที่สวยๆ อย่างวิหารมอสซาเมตา (Mosameta Monastery), มหาวิหารเจลาติ (Gelati Monastery) และโบสถ์บากราติ (Bagrati Cathedral) ให้เราชมด้วย ใครที่ได้มีโอกาสผ่านมาที่เมืองนี้และพอจะมีเวลาก็อย่าลืมจัดแผนไปเที่ยวชมสถานที่เหล่านี้ด้วยนะครับ เพราะบางโบสถ์นั้นได้รับรองว่าเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ด้วยครับ
ทั้งนี้หากใครที่ต้องการอ่านเรื่องราวและสถานที่เที่ยวต่างๆ ในเมืองคูไตซีแบบเต็มๆ ก็สามารถกดอ่านที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลย ผมมีเขียนช้อมูลต่างๆ ที่น่าสนใจของเมืองนี้ไว้เรียบร้อยแล้วครับ
หมายเหตุ : ภาพทั้งหมดในบทความนี้ถ่ายจากกล้อง Nikon Z6 และเลนส์ Nikon 18-35mm F3.5-4.5 G, Nikon 50mm F1.8 S, Nikon 24-70mm F4 S และ Nikon 70-300mm F4.5-5.6 G นะครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ




เอาล่ะ หลังจากที่เราได้ชาร์จพลังด้วยการนอนพักผ่อนและชมวิวสวยๆ ที่เมืองคูไตซีกันเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราต้องนั่งรถยาวๆ ไปยังเมืองอัคคาซิเค่ (Akhaltsikhe) กันครับ โดยระยะทางระหว่าง 2 เมืองนี้จะอยู่ที่ประมาณ 180 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 3-4 ชั่วโมง ส่วนสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจของเมืองอัคคาซิเค่ที่ผมจะพาทุกคนไปดูนั่นก็คือปราสาทราบาติ (Rabati Castle) นั่นเองครับ

ปราสาทราบาตินั้นเป็นปราสาทเก่าแก่ที่มีความสวยงามและมีขนาดใหญ่มาก โดยปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในเมืองอัคคาซิเค่และเราสามารถมองเห็นตัวปราสาทได้ตั้งแต่ไกลเลย ส่วนประวัติคร่าวๆ ของปราสาทแห่งนี้ก็คือเป็นปราสาทเก่าแก่ที่สร้างด้วยศิลา ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 9 โดย Guaram Mampal และมีชื่อปราสาทในตอนแรกว่า Lomisa Castle แห่งแคว้น Samtskhe-Javakheti ซึ่งแคว้นนี้จะเป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์เจียติดกับชายแดนประเทศตุรกีครับ
ตัวปราสาทราบาตินั้นมีการต่อเติมหลายครั้ง รวมทั้งมีกำแพงที่ใหญ่โตมาก เพราะพื้นที่บริเวณนี้ในสมัยอดีตเคยเป็นสถานที่รบพุ่งกับศัตรูต่างๆ อยู่เป็นประจำ โดยในช่วงศตวรรษที่ 13-14 ที่เมืองอัคคาซิเค่ได้กลายเป็นเมืองหลวงของแคว้น Samtskhe-Javakheti ปราสาทแห่งนี้ก็ได้ถูกต่อเติมหลายส่วนเพื่อใช้เป็นที่ประทับของเจ้าชาย Javakheti กับครอบครัว จนกระทั่งช่วงปลายศวตวรรษที่ 15 ดินแดนทั้งหมดของแคว้น Samtskhe-Javakheti ก็ได้ตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน และนั่นทำให้ในปี ค.ศ. 1752 ปราสาทแห่งนี้ได้มีการสร้างมัสยิดไว้ภายใน แต่หลังจากที่จักรวรรดิวรรดิออตโตมันครอบครองปราสาทและพื้นที่เมืองอัคคาซิเค่ได้ประมาณ 200 ปี เจ้าชาย Paskevich แห่งรัสเซียก็ได้ทำการพิชิตปราสาทแห่งนี้และดึงกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต และในเวลาต่อมาก็ได้เกิดการแบ่งแยกดินแดนมีการแยกประเทศจอร์เจียออกมาจากสหภาพโซเวียต ก็เลยทำให้ปราสาทราบาติแห่งเมืองอัคคาซิเค่นี้อยู่ภายใต้การดูแลของประเทศจอร์เจียจวบจนถึงปัจจุบัน และกลายเป็นหนึ่งในปราสาทที่มีความสวยงามมีความอลังการมากของประเทศจอร์เจียครับ

ทั้งนี้ด้วยความที่พื้นที่ของปราสาทราบาตินั้นมีขนาดใหญ่มาก เค้าจึงได้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่เป็นตัวปราสาทกับพิพิธภัณฑ์ และส่วนที่เป็นกำแพงกับพื้นที่รอบนอกครับ โดยส่วนแรกที่เป็นตัวปราสาทกับพิพิธภัณฑ์นั้นจะเป็นส่วนที่เราต้องเสียเงินซื้อตั๋วเข้าชม และจะมีการเปิดปิดเป็นเวลา โดยพื้นที่ในส่วนนี้จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00 น. จนถึง 18.00 น. ครับ ส่วนส่วนที่สองที่เป็นบริเวณกำแพงกับพื้นที่รอบนอกปราสาทนั้น ในส่วนนี้จะเปิดให้ทุกคนเข้าชมได้ฟรีตลอดทั้งวัน และไม่มีเวลาเปิดปิดเลยครับ เราจะเข้าออกตอนไหนก็ได้
นี่เป็นภาพของส่วนที่เป็นปราสาทและพิพิธภัณฑ์ครับ ตัวปราสาทมีขนาดใหญ่มากและตั้งอยู่สูงโดดเด่นกว่าเพื่อนเลย ใครที่ต้องการเดินไปให้ถึงหอคอยด้านบนสุดอาจจะต้องเตรียมขากับรองเท้ามาให้ดีนิดนึงนะ เพราะมันมีบันไดให้เราเดินขึ้นลงเยอะเหมือนกัน







ส่วนนี่เป็นภาพของบริเวณกำแพงและรอบๆ ปราสาทครับ พื้นที่ในส่วนนี้กว้างมาก สามารถเดินถ่ายรูปได้นานเลย





ทั้งนี้จากที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมความงามของปราสาทแห่งนี้มา ผมบอกเลยว่ามันสวยงามมากจริงๆ ครับ ดูอลังการและมีความเป็นยุโรปมาก ใครที่ชอบถ่ายรูปไม่ว่าจะแนว Landscape, Portrait หรืออยากจะเป็นนายแบบนางแบบโพสต์ท่าสวยๆ แอคชั่นเก๋ๆ เท่ๆ กับปราสาทโบราณ ผมบอกเลยว่ามาที่นี่ไม่ผิดหวังครับ มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก คุ้มค่าตั๋วสุดๆ และผมเชื่อว่าหากคุณถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงไปในสื่อโซเชียลต่างๆ ของคุณนะ เพื่อนๆ คุณที่ได้เห็นต้องร้องกรี้ดกร้าดด้วยความอิจฉาและอยากตามรอยคุณอย่างแน่นอนครับ



อ้อ ภายในพื้นที่บริเวณปราสาทนี้เค้าจะมีร้านอาหาร, ร้านกาแฟ แล้วก็ห้องพักไว้บริการด้วยนะ ใครอยากกินอาหาร นั่งจิบชาชมปราสาทสวยๆ หรือไม่ก็นอนค้างในพื้นที่ป้อมปราการเก่าแก่ที่มีความสวยงามซักคืนแบบนี้ก็เตรียมเงินมาด้วยนะ ค่าอาหารและขนมต่างๆ ไม่แพง ส่วนค่าที่พักนั้นโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 – 2,200 บาท/คืนครับ


นี่เป็นภาพต่างๆ ที่ผมถ่ายจากภายในพื้นที่ปราสาทราบาติครับ จะมีทั้งส่วนที่อยู่ภายในตัวปราสาทแล้วก็พื้นที่รอบนอกเลย แต่ละมุมสวยๆ ทั้งนั้น โดยผมชอบปราสาทแห่งนี้มากจนต้องกลับมาซ้ำสองครั้งในทริปเดียว รอบแรกคือช่วงตอนเย็นๆ ก่อนพระอาทิตย์ตก ส่วนอีกรอบนึงคือช่วงเช้ามืดเพื่อมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ชมความสวยงามของปราสาทในตอนเช้าครับ
เริ่มจากภาพในช่วงเย็นๆ ก่อนพระอาทิตย์ตกครับ ช่วงนี้เป็นอีกหนึ่งช่วงที่ตัวปราสาทมีความสวยงามมาก แสงสีทองของพระอาทิตย์สาดส่องไปยังที่ต่างๆ เกิดให้มีมิติและแสงเงาที่งดงามมากมาย แถมหอคอยต่างๆ ที่เราเห็นนั้นเราสามารถยังเดินขึ้นได้หมดเลย ใครมีเวลาและคิดว่าเดินไหวก็เดินสำรวจให้ทั่วนะครับ เพราะหลายๆ มุมมันจะสามารถมองเห็นวิวเมืองอัคคาซิเค่สวยๆ ได้ด้วย











ส่วนนี่เป็นภาพตอนหัวค่ำที่พระอาทิตย์ตกไปแล้ว ตัวปราสาทจะมีการเปิดไฟต่างๆ ขึ้นมา ก็มีความสวยงามไปอีกแบบครับ

และนี่เป็นภาพในช่วงเช้าครับ ผมไปรอถ่ายภาพตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเลย โดยเราสามารถเข้าไปเดินถ่ายรูปในส่วนที่เป็นกำแพงและพื้นที่รอบนอกปราสาทได้ตลอดเวลาเลยครับ บอกเลยว่าใครที่เป็นคนชอบถ่ายรูปรับรองฟินกับการไปปราสาทแห่งนี้อย่างแน่นอน












ใครที่อยากจะได้ภาพของปราสาทราบาติแบบที่ไม่มีคน ผมแนะนำเลยว่าให้รีบมาถ่ายตั้งแต่เช้าครับ เพราะคนส่วนใหญ่เค้ามักจะมาที่ปราสาทแห่งนี้กันตอน 9.00 น. เพื่อเข้าไปชมปราสาทด้านในกันครับ






เป็นยังไงครับ เห็นภาพความสวยงามและความอลังการของปราสาทแห่งนี้กันแล้ว รู้สึกประทับใจและอยากมากันหรือยัง สำหรับตัวผมนั้นยกให้ปราสาทแห่งนี้ติดอันดับต้นๆ ของสถานที่เที่ยวในประเทศจอร์เจียที่ผมประทับใจเลยครับ ใครที่ดูแล้วอยากจะมาบ้างก็ลองวางแผนการเดินทางดีๆ นะ จะมาจากคูไตซีแบบผมก็ได้ หรือจะมาจากทบิลิซีก็ได้ ทั้งสองที่ใช้เวลาเดินทางมาที่ปราสาทเท่าๆ กัน คือประมาณ 3-4 ชั่วโมงครับ
และหากใครได้มีโอกาสเดินทางมาที่ปราสาทราบาติแล้ว ผมแนะนำให้วางแผนการเดินทางต่อไปยังนครถ้ำวาร์ดเซีย (Vardzia Cave Town) ต่อด้วยครับ เพราะทั้งสองสถานที่นี้อยู่ไม่ห่างกันมาก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมงเท่านั้น เราจะได้ไม่เสียเที่ยวในการเดินทางมาครับ

โดยนครถ้ำวาร์ดเซียนั้นจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มนุษย์ในพื้นที่นี้เมื่อเกือบหนึ่งพันปีก่อนเคยอาศัยอยู่ โดยเค้าจะทำการสกัดหน้าผาของภูเขาที่สูงชันทำเป็นถ้ำและสถานที่ต่างๆ จนเกิดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นมา มองไกลๆ แล้วให้อารมณ์เหมือนกับกลุ่มคอนโดมิเดียมสูงใจกลางเมืองกรุงที่แออัดในสมัยนี้เลยครับ ดูแล้วน่าทึ่งมากเพราะมันไม่ใช่งานง่ายๆ เลยที่คนในสมัยนั้นจะสามารถเจาะและสกัดหินอันแข็งแกร่งออกมาเป็นที่อยู่จำนวนมากแบบนี้ได้ โดยจากการสำรวจของนักโบราณคดีพบว่านครถ้ำวาร์ดเซียนั้นเริ่มถูกสร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 12 มีทำเลที่ตั้งอยู่บนเทือกเขา Erusheti ฝั่งซ้ายของแม่น้ำ Kura พื้นที่ของนครถ้ำทั้งหมดทอดตัวยาวไปตามหน้าผาประมาณ 500 เมตร มีความสูงถึง 19 ชั้น และมีห้องมากถึง 600 ห้อง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีระบบชลประทานเพื่อทำการเพาะปลูก, มีทางลับเพื่อการเข้าออก และภายในนครถ้ำยังมีโบสถ์ที่ชื่อว่า The Church of the Dormition อยู่ด้วย โดยโบสถ์แห่งนี้คาดว่าจะถูกสร้างในช่วงปี ค.ศ. 1180 ซึ่งเป็นยุคทองของมหาราชินีทามาร์ กษัตริย์หญิงเพียงพระองค์เดียวของจอร์เจียครับ



สำหรับค่าเข้าชมของนครถ้ำวาร์ดเซียนั้นจะอยู่ที่ 7 ลารี/คน โดยหลังจากที่เราซื้อบัตรผ่านประตูเสร็จเราจะต้องเดินขึ้นเขาประมาณ 15-20 นาที ถึงจะเป็นจุดที่เริ่มเป็นนครถ้ำ แต่ทั้งนี้หากใครไม่อยากจะเดินไกลแบบนี้ เค้าจะมีรถรับส่งบริการจากบริเวณจุดจำหน่ายตั๋วในราคา 1 ลารี/คน/เที่ยว ซึ่งผมแนะนำว่าให้คุณเสียเงินซื้อตั๋วรถนี้ด้วยครับ คุ้มมาก ประหยัดเวลาและแรงของเราได้เยอะเลย แต่ถ้าใครอยากจะเดินผมก็ไม่บังคับนะครับ เอาที่สะดวกและความชอบของใครของมันเลย


และเมื่อเรามาถึงจุดที่เป็นนครถ้ำวาร์ดเซียแล้ว จากจุดนี้ทุกคนจะต้องเดินเท้าเหมือนกันหมด โดยเส้นทางเดินจะมีความยาวพอควร และมีการเดินขึ้นลงบันไดหลายจุด โดยจากการคาดคะเนของผมหากจะเดินให้ครบๆ น่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความใส่ใจประวัติศาสตร์ของแต่ละคน หากใครที่เป็นสายประวัติศาสตร์และอินกับเรื่องพวกนี้มากๆ บางทีอาจจะใช้เวลานานกว่านี้อีกครับ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปแล้ว ผมว่าใช้เวลาอยู่ที่นี้ประมาณ 1.30 – 2 ชั่วโมงกำลังดีครับ โดยให้เริ่มเดินจากจุดเริ่มต้นและไปสุดที่โบสถ์ The Church of the Dormition หรือเลยไปจากนั้นนิดหน่อยก็เพียงพอแล้ว จากนั้นก็ให้เดินกลับไปรอรถที่จุดเดิมเพื่อกลับไปยังประตูทางออกครับ







อ้อ ภายในโบสถ์ The Church of the Dormition นั้นมีความสวยงามและความขลังมากๆ นะครับ ใครเดินไหวผมอยากให้เดินไปให้ถึง แต่ข้างในโบสถ์เค้าจะห้ามถ่ายรูปนะ ยังไงก็ระมัดระวังกันด้วย ส่วนภาพวาดโบราณที่อยู่ด้านหน้าโบสถ์นั้นเราสามารถถ่ายได้ครับ

ยังไงใครที่มีแผนจะเดินทางมาที่นี่ก็แต่งตัวมาให้ทะมัดทะแมงนิดนึงนะครับ เพราะมันต้องเดินเยอะ แล้วก็ถ้าใครมาในช่วงหน้าร้อนก็ควรจะต้องหาน้ำดื่มหรือตัวช่วยต่างๆ ติดตัวมาด้วย เพราะอากาศมันร้อนใช้ได้เลย ส่วนถ้าใครเป็นสายประวัติศาสตร์จ๋าอยากจะรู้เรื่องราวของที่นี่แบบเจาะลึก เค้าก็มีบริการไกด์ที่คอยบรรยายข้อมูลต่างๆ ให้เราฟัง หรือไม่ก็สามารถเช่าเป็นชุดหูฟังแทนก็ได้ เดินไปถึงจุดไหนที่มีป้ายกำกับไว้ เราก็กดฟังข้อมูลในจุดนั้น แต่ว่าในส่วนของไกด์และหูฟังนี้มันจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะครับ



ก็จบลงแล้วนะครับสำหรับการเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ประเทศจอร์เจีย (Autumn Svaneti) ของผมในช่วงวันที่ 11-19 ตุลาคม 2562 ใครที่อยากจะเดินทางตามรอยผมก็สามารถไล่อ่านข้อมูลหรือเรื่องราวต่างๆ ในบทความด้านล่างนี้ได้เลย ผมมีเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศจอร์เจียไว้เยอะมาก
- 60 เรื่องน่ารู้ ก่อนออกเดินทางไปยังจอร์เจีย
- ตะลุยเที่ยวทบิลิซี (Tbilisi)….เมืองหลวงจอร์เจียที่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน
- Georgia in Summer : สถานที่ท่องเที่ยวจอร์เจียในฤดูร้อน ที่ไม่ควรพลาด!!
- Georgia…..Road to Svaneti : มุ่งสู่ดินแดนเทือกเขาสูงเสียดฟ้า
- Georgia, Autumn Svaneti EP.1 : ปฐมบทการเดินทาง ผ่านเมืองอัลมาตี้ คาซัคสถาน
- Georgia, Autumn Svaneti EP.2 : จากทบิลิซีมุ่งหน้าสู่เมสเทีย ดินแดนแห่งขุนเขาสูง
- Georgia, Autumn Svaneti EP.3 : ตะลุยทะเลสาบคอรูลดี และสถานที่น่าสนใจในเมสเทีย
- Georgia, Autumn Svaneti EP.4 : บุกอุชกูลี หมู่บ้านมรดกโลกที่รายล้อมด้วยเทือกเขาสูง

แต่หากใครที่อยากจะเดินทางไปเที่ยวสถานที่เหล่านี้แต่ไม่อยากปวดหัวคิดแผนเอง อยากจะเดินทางไปกับทัวร์ที่พาไปสถานที่เหล่านี้ทั้งหมด และอยากจะไปกับทัวร์ที่มีเวลาเที่ยวแต่ละสถานที่นานๆ พาไปถ่ายภาพสถานที่สวยๆ ในสถานที่ที่ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวชาวไทยไป รวมทั้งมี Staff คอยถ่ายรูปให้ตลอดการเดินทาง ก็ลองติดต่อไปที่ TripChillChill ทริปถ่ายภาพท่องเที่ยว ก็ได้ครับ เค้าเป็นบริษัททัวร์ที่มีประสบการณ์พาคนไปเที่ยวและถ่ายรูปที่ประเทศจอร์เจียเยอะมาก อย่างทริปนี้ผมก็เดินทางไปกับเค้าครับ ใครสนใจก็ลองสอบถามข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้นะครับ
Facebook : Tripchillchill ทริปถ่ายภาพท่องเที่ยว
Website : https://www.tripchillchill.com/
Line@ : @Tripchillchill
Tel : 097-0974652
E-mail : tripchillchilltravel@gmail.com
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบครับ บทความซีรีย์ Autumn Svaneti นี้ถือเป็นอีกหนึ่งซีรีย์ที่ผมใช้เวลาเขียนกับมันเยอะมาก และหวังว่าทุกคนจะชอบกัน ทั้งนี้หากใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวการกินและเที่ยวอื่นๆ ของผมเพิ่มเติมก็สามารถกดติดตามได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น ทั้งนี้แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือความรู้สึกที่แตกต่างจากนี้ได้