เมื่อเอ่ยถึงอาหารอินเดีย ผมเชื่อว่าหลายๆ คนจะต้องแสดงปฏิริยาอะไรออกมาอย่างแน่นอน และส่วนมากก็มักจะเป็นปฏิกิริยาในทางลบซะด้วย เพราะอาหารของประเทศนี้ไม่ได้เป็นที่นิยมในไทยเหมือนกับอาหารญี่ปุ่น, จีน หรือเกาหลี อีกทั้งหลายๆ คนก็มีภาพที่ตัวเองมโนคิดอยู่ในใจว่าอาหารอินเดียนั้นเผ็ด, กลิ่นเครื่องเทศแรง, กินแล้วกลัวท้องเสีย หรืออะไรต่างๆ นานามากมาย แต่รู้มั้ยครับว่าจริงๆ แล้วอาหารอินเดียหลายๆ ร้านนั้นอร่อยและกินง่ายกว่าที่คิด ที่สำคัญมีคนไทยหลายคนมากๆ ที่ชอบกินอาหารประเภทนี้ครับ
สำหรับวันนี้ผม นาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะพาทุกคนไปลองชิมอาหารอินเดียที่ร้านบาวาชิ (Bawarchi) ซึ่งเป็นกลุ่มร้านอาหารอินเดียที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในกรุงเทพฯ โดยร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 หรือเกือบๆ 20 ปีที่แล้ว และนั่นก็เป็นการพิสูจน์ได้อย่างนึงเลยว่าร้านอาหารแห่งนี้คงดีจริงไม่งั้นคงไม่สามารถยืนหยัดมาได้นานขนาดนี้แน่ๆ ครับ
ปัจจุบันร้านบาวาชิ ในประเทศไทยมีด้วยกันทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ สาขาชิดลม, สาขาสาทร, สาขาสุขุมวิทซอย 4, และสาขาสุขุมวิทซอย 11 แต่สำหรับวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปลองชิมที่สาขาชิดลมกันครับ โดยตำแหน่งที่ตั้งของสาขานี้จะอยู่ที่ชั้น B ของโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ซึ่งเราสามารถเดินทางมาได้หลายวิธีทั้งขับรถ, นั่งรถเมล์ หรือไม่ก็นั่ง BTS แล้วลงที่สถานีชิดลม โดยเมื่อเรามาถึงที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลแล้วก็ให้เราลงไปที่ชั้น B จากนั้นก็เดินไปยังโซนทางด้านหน้าของโรงแรมก็จะเห็นห้องอาหารหน้าตาแบบนี้อยู่ครับ ส่วนใครที่เดินลงบันไดหน้าโรงแรมตรงถนนสุขุมวิทก็จะเห็นห้องอาหารนี้อยู่ทางขวามือของเราทันทีเลยครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
พอก้าวเข้ามาในร้านก็พบว่าบรรยากาศนั้นร้านค่อนข้างมืด เดาว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะลักษณะของห้องอาหารที่อยู่ชั้นใต้ดิน ไม่ได้มีแสงธรรมชาติเข้ามาในร้าน ประกอบกับทางร้านคงตั้งใจทำให้ออกมาในโทนนี้เพื่อให้คนที่เข้ามาในร้านรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้นครับ
ลักษณะการตกแต่งของร้านทั้งภายในและภายนอกนั้นได้กลิ่นไอของความเป็นอินเดียลอยออกมาเลย สำหรับจำนวนโต๊ะและเก้าอี้ทั้งหมดในร้านนั้น ผมลองประมาณด้วยสายตาแล้วน่าจะสามารถรองรับได้ราวๆ 80-100 คนครับ
รายการอาหารทั้งหมดในวันนี้ ทางห้องอาหารได้เป็นคนจัดมาให้ผมกับภรรยาทั้งหมดเลยนะครับ เพราะพูดตามตรงต่อให้ผมเปิดเมนูดู ผมก็คงสั่งไม่เป็นอยู่ดี โดยรายการอาหารทั้งหมดมีตามนี้ครับ จะแบ่งออกเป็น Starter, Main Dish แล้วก็ Dessert
Starter
Papadum Cones & Chutney : ข้าวเกรียบอบกรอบทรงกรวย
Papadum Salsa : ข้าวเกรียบปาปาดัมกับซัลซ่าแบบเม็กซิโก
Chicken Masala : ไก่ย่างเครื่องเทศในเตาแทนดูร์
Tandoori Broccoli : บล็อคโครี่ย่างกับครีมชีส
Tandoori Lamb Chop : เนื้อแกะย่าง
Dahi Kebab : เคบับโยเกิร์ตกระเทียม
Main Dish
Rogan Josh : แกงแกะผัดกับเครื่องเทศ
Butter Chicken : แกงอกไก่
Sagg Paneer : แกงชีสอินเดีย (ปานีร์) และผักโขม
Dal Makhani : แกงถั่ว
Saffron Rice : ข้าวอินเดีย
Garlic Naan & Original Naan : นานกระเทียม และนานแบบดั้งเดิม
Dessert
Kulfi Mango Flavor : ไอศกรีมอินเดีย
Gulab Jamun : กุหลาบจามุน
Rasmalai : แป้งห่อคอทเทจชีส
ระหว่างที่นั่งรอทางเชฟเค้าทำอาหารผมก็สั่งเครื่องดื่มมาทานก่อนครับ โดยเครื่องดื่มที่สั่งมาลองก็ได้แก่
Mango Lassi
Pineapple Smoothie
Mojito
ตัว Mango Lassi นั้นถือว่าเป็นเครื่องดื่ม Signature ของร้านเลยครับ รสชาติอร่อยดี ส่วน Pineapple Smoothie รสชาติธรรมดาทั่วไป และสุดท้าย Mojito นี่เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากๆ แบบว่ากินแล้วรับรู้เลยว่าสมุนไพรเพื่อสุขภาพสุดๆ ดังนั้นผมแนะนำเลยว่าใครที่อยากทานอะไรอร่อยๆ และมีความเป็นอินเดียสูงให้จัด Mango Lassi ไปเลยครับ
ปล. น้ำเปล่าของที่นี่ขวดสวยดีครับ ถึงแม้จะเป็นของอิตาลี แต่ผมว่าร้านเค้าก็เลือกยี่ห้อที่โทนสีไปในทางเดียวกับ mood and tone ของร้านดี มันก็เลยทำให้ดูเข้ากันครับ
นั่งรอซักพักอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมขออนุญาตไล่ทีละรายการเลยนะครับ เริ่มจาก Starter กันก่อน โดยผมต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมกับภรรยาเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเลยโดยเฉพาะอาหารอินเดีย ดังนั้นผมก็คงจะบอกเล่าแค่ในส่วนของรสชาติและข้อมูลทั่วๆ ไปที่พอจะรับรู้ได้จากลิ้นผมเท่านั้น หากมีอะไรที่ผิดพลาดไปต้องขออภัยด้วยนะครับ
เริ่มรายการแรกที่ Papadum Cones & Chutney หรือ ข้าวเกรียบอบกรอบทรงกรวย รายการนี้จะมาเสิร์ฟพร้อมกับซอส 4 แบบ ได้แก่ โยเกิร์ตกระเทียม (สีขาว), มะขาม (สีเหลือง), มิ้นต์ (สีเขียว) และบีทรูทพริก (สีแดง) การทานจะต้องนำข้าวเกรียบรูปกรวยไปจิ้มกับซอสที่เค้าให้มาครับ ซึ่งซอสทั้ง 4 แบบต่างก็ให้รสชาติที่ต่างกัน อย่างเช่นบีทรูทจะออกแนวเผ็ดๆ หน่อย ใครชอบแบบไหนก็ลองดูนะครับ ตัวผมเองชอบมะขาม ส่วนภรรยาผมชอบโยเกิร์ตกระเทียมกับบีทรูทครับ
ต่อกันที่ Papadum Salsa หรือ ข้าวเกรียบปาปาดัมกับซัลซ่าแบบเม็กซิโก รายการนี้ลักษณะจะคล้ายๆ กับรายการแรกคือเป็นแป้งในรูปทรงกรวยแต่คราวนี้จะมีซัลซ่าตามสไตล์เม็กซิโกที่เผ็ดร้อนแรงใส่มาในกรวยด้วย บอกเลยว่ารายการนี้เผ็ดใช้ได้ ใครที่ไม่กินเผ็ดห้ามสั่งเด็ดขาด ส่วนใครที่ชอบแนวรสจัดๆ เผ็ดจี๊ดๆ ต้องโดนดูครับ
รายการถัดมา Chicken Masala หรือไก่ย่างเครื่องเทศในเตาแทนดูร์ มาเสิร์ฟทั้งหมด 5 ชิ้นด้วยกัน ชิ้นไม่ใหญ่มาก รสชาติอร่อยดี กินง่าย ไม่มีกระดูก
จานถัดมาเป็น Tandoori Broccoli หรือ บล็อคโครี่ย่างกับครีมชีส รายการนี้เป็นรายการที่ภรรยาผมชอบมาก ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะผสมผสานรสชาติมันได้ลงตัวในหน้าตาอาหารที่แอบดูแปลกประหลาดหน่อยๆ แบบนี้ได้ สำหรับเมนูนี้ขารักชีส รักบลอคโครี่ไม่ควรพลาดเลยครับ
รายการต่อมาคือ Tandoori Lamb Chop หรือเนื้อแกะย่าง จานนี้มาเสิร์ฟด้วยกันทั้งหมด 3 ชิ้น โดยทางร้านบอกว่าเป็นการย่างด้วยเตาพิเศษที่มีความร้อนสูงและควรรีบทานเพราะหากไม่ร้อนแล้วความอร่อยจะลดลงพอควร ซึ่งก็เป็นอย่างที่ร้านว่ามาครับ ผมพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว ดังนั้นแนะนำนำว่าจานนี้ถ้ามาแล้วให้รีบกินครับ
ปิดท้ายเมนู Starter ด้วย Dahi Kebab หรือ เคบับโยเกิร์ตกระเทียม หน้าตาของอาหารจานนี้ลักษณะจะคล้ายๆ กับทอดมันกุ้งเลยครับ ส่วนเนื้อด้านในจะเหมือนกับเต้าหู้ที่เนื้อเนียนๆ มีความเด้งๆ หนึบๆ สูง รสชาติอมเปรี้ยวเล็กน้อย โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยชอบจานนี้เท่าไหร่ แต่ภรรยาผมชอบครับ
ตอนนี้เราก็จบอาหารใน Starter กันไปแล้ว ซึ่งว่ากันตามตรง ผมก็แอบเริ่มอิ่มแล้วครับ เพราะโดยปกติอาหาร 6 จาน กินกัน 3 คนนี่ก็ถือว่าเหมาะสมในแต่ละมื้อแล้ว แต่ไม่เป็นไรครับ ในเมื่อเค้าจัดมาให้เราลอง เราก็ต้องลองให้สุด หากมันกินไม่หมด เราก็ค่อยห่อกลับบ้านเอา ฮา
มาดูกันที่ Main Dish ซึ่งจะมีทั้งหมด 6 รายการด้วยกัน แต่ว่ามันสามารถกินด้วยกันได้หมด ดังนั้นหน้าตามันก็เลยอลังการแบบนี้ล่ะครับ
มาไล่รสชาติกันเลยครับ เริ่มจากนานและข้าวก่อนดีกว่า เพราะเป็นเหมือนสิ่งหลักๆ ที่เราต้องใช้กินกับแกงต่างๆ
นานจะมาทั้งหมด 2 แบบ คือแบบดั้งเดิมและแบบกระเทียม โดยส่วนตัวผมกับภรรยาชอบแบบกระเทียมมากกว่าเพราะมันฟู หนา อีกทั้งมีรสชาติมากกว่าครับ ส่วนข้าวอินเดียนั้นอร่อยดี เม็ดเรียวยาวมาก เป็นข้าวที่เม็ดยาวจริงๆ และเวลาที่ตักเข้าปากจะมีกลิ่นหอมนิดๆ ด้วยครับ
มาดูแกงทั้ง 4 แบบกันครับได้แก่ แกงแกะ, แกงอกไก่, แกงผักโขม แล้วก็แกงถั่ว แกงทั้ง 4 แบบนั้นดูเผินๆ เหมือนจะถ้วยไม่ใหญ่แต่บอกเลยว่าหากคิดว่าคน 3 คนจะกินมันหมด ต้องคิดใหม่นะครับ เพราะกินไปยังไงมันก็ไม่หมดซักที @[email protected]
ในส่วนของแกงแกะ, แกงอกไก่ และแกงผักโขม จะมีขาตั้งรองมาด้วยเพื่อทำการจุดไฟให้มันอุ่นตลอดเวลานะครับ สำหรับรสชาติแต่ละรายการก็ตามนี้เลยครับ
Rogan Josh (แกงแกะผัดกับเครื่องเทศ) : อร่อย ภรรยาผมชอบ ซึ่งปกติแล้วต้องบอกว่าเธอมักไม่กินอาหารที่ปรุงจากแกะหรือแพะซักเท่าไหร่ เพราะเธอรับรู้กลิ่นของมันได้ไวมาก แต่สำหรับจานนี้เชฟปรุงออกมาได้ดีเลย ไม่มีกลิ่น สามารถทานได้เรื่อยๆ เลย
Butter Chicken (แกงอกไก่) : รายการนี้ผมชอบครับ อกไก่นุ่มดี เนื้อแกงก็เข้มข้นถูกปาก เป็นแกงที่ผมชอบที่สุดเลยครับ
Sagg Paneer (แกงชีสอินเดียและผักโขม) : ตอนที่เห็นหน้าตาตอนแรกผมกะว่าจะไม่กินและปล่อยเป็นหน้าที่ของภรรยาผมแล้ว เพราะคิดว่ามันน่าจะผักเข้มข้นมาก แต่พอได้ลองชิมดูต้องบอกว่าอร่อยดีครับ เป็นเมนูที่แปลก ไม่เคยกินมาก่อน และเชฟผสมผสานออกมาได้ดีมาก รสชาติของผักโขมกับชีสลงตัวดีครับ
Dal Makhani (แกงถั่ว) : นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูในตอนแรกที่ผมไม่กล้าลอง แต่พอได้ลองแล้วก็ประทับใจเช่นเดียวกัน อร่อย หอมเล็กๆ โดยเฉพาะเวลาที่เคี้ยวครับ
จาก Main Dish ที่ผมได้ชิมมาทั้งหมดนี้ ก็ต้องยอมรับตามตรงครับว่า ในตอนแรกผมอคติกับหน้าตาของหลายๆ รายการมากเกินไป คิดว่ามันจะไม่อร่อย ไม่ถูกปาก แต่พอได้ลองกินแล้ว มันก็ทำให้ผมประทับใจแทบทุกเมนู ที่สำคัญกลิ่นของเครื่องเทศต่างๆ ก็ไม่ได้แรงเลย เรียกว่าอยู่ในระดับที่พอเหมาะพอดีเลยครับ และนั่นก็เป็นสาเหตุว่าหลังจากที่พวกผม 3 คนวิเคราะห์แล้วว่าเราไม่สามารถกิน Main Dish ทั้งหมดได้แน่ๆ ผมก็เลยขอห่อนานกับแกงที่เหลือกลับมาทานต่อที่บ้านอีกวันครับ เพราะมันอร่อยดี ><
จบจาก Main Dish ต่อไปก็ได้เวลาของหวานกันซักที และเพื่อความครบเครื่องทางร้านก็เลยจัดมาให้ 3 รายการที่ขึ้นชื่อเลยครับ หน้าตาของทั้ง 3 รายการสวยงามน่ากินมาก ส่วนรสชาติก็ตามนี้เลยครับ
Kulfi Mango Flavor (ไอศกรีมอินเดีย) : เป็นไอศกรีมที่ทำมาจากนมแพะ เป็นไอศกรีมที่ไม่ได้เย็นมาก ความเย็นอยู่ในระดับพอดีๆ รสชาติอร่อย ที่สำคัญละลายช้าด้วย
Gulab Jamun (กุหลาบจามุน) : หนึ่งในของหวานอินเดียที่ขึ้นชื่อมากๆ โดยตัวผมนั้นเคยลองชิมเมนูนี้ที่อื่นแล้วรู้สึกว่ามันหวานมากกกกกก แต่สำหรับจานนี้ถือว่าปรุงความหวานออกมาได้ดีกว่าเยอะเลย คือยังหวานอยู่ แต่ไม่ได้เยอะแยะมากมายจนน่าตกใจ
Rasmalai (แป้งห่อคอทเทจชีส) : รสชาติคล้ายๆ กับขนมปังแช่ในน้ำนมครับ แต่ตัวขนมปังจะยังแข็งตัวอยู่ไม่ยุบตัวลงไป รสชาติอร่อยดี
โดยรวมของหวานทั้ง 3 รายการ ผมประทับใจหมดเลยครับ หรือถ้าจะให้พูดตรงๆ 3 รายการหลังสุดนี่เป็นอะไรที่ผมประทับใจที่สุดในมื้อนี้เลยครับ
หลังจากที่ผมทานของหวานเสร็จ และได้ให้ทางห้องอาหารห่อนานพร้อมแกงเพื่อกลับไปกินต่อที่บ้านเรียบร้อยแล้ว @[email protected] ทางห้องอาหารบาวาชิก็ได้นำเอากล่องสีเงินๆ ที่ใส่เครื่องเทศสำหรับไว้รับประทานหลังอาหารมาให้ โดยตัวที่หน้าตาเหมือนน้ำตาลก้อนๆ นั้นโอเคครับ เคี้ยวกรุบๆ เพลินดี แต่ที่เป็นใบเขียวๆ นี่แล้วแต่คนชอบเลยว่าชอบมั้ย มันเป็นใบที่หอมสำหรับบางคนและก็ไม่หอมสำหรับบางคนครับ @[email protected]
เอาล่ะครับ ทีนี้เรามาดูข้อสรุปของมื้อนี้กันดีว่า โดยผมขอแยกเป็นแต่ละหัวข้อดังนี้นะครับ
รสชาติอาหาร : อร่อย ทานง่ายกว่าที่คิดครับ กลิ่นเครื่องเทศไม่แรง ออกจะหอมๆ และมีกลิ่นจางๆ เป็นระยะมากกว่า แต่ทั้งนี้คงเป็นเรื่องความชอบของบุคคล เพราะบางคนหากไม่ชอบอะไรแล้วเพียงแค่จมูกได้กลิ่นนิดหน่อยก็ไม่โอเคแล้วครับ แต่สำหรับมื้อนี้ผมกับภรรยาชอบ ให้สอบผ่านครับ
ความหลากหลายของอาหาร : ต้องบอกตามตรงว่าผมดูเมนูเค้าไม่รู้เรื่องครับ ถึงจะอ่านออกแต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร หรือประเภทไหนอยู่ดี แต่เมื่อดูจากจำนวนหน้าเมนู แล้วก็รายการที่ผมได้กินในวันนี้แล้วก็ถือว่าร้านนี้เป็นร้านอาหารที่มีเมนูเยอะ แล้วก็หลากหลายนะครับ เพราะบางเมนูผมก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีแบบนี้ด้วย
ความสะอาดของร้าน : ถึงร้านจะดูมืดๆ ทึมๆ ไปนิด แต่ในเรื่องความสะอาดนั้นสอบผ่านไม่มีปัญหาครับ
การบริการของพนักงาน : บริการดีครับ รวดเร็วฉับไว แต่มีข้อเสียนิดนึงก็คือพนักงานของที่นี่จะพูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก จะมีบางท่านเท่านั้นที่สามารถพูดไทยได้ แต่ก็ฟังยากเหลือเกิน ยากจนผมคิดว่าสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษต่อไปตามเดิมน่าจะดีกว่า ดังนั้นใครที่จะมาที่นี่ก็ต้องเตรียมใจสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษมาด้วยนะครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : ในเรื่องการเดินทางถือว่าสะดวกดีนะครับ เพราะตำแหน่งร้านอยู่ที่ชั้น B ของโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ทำให้สามารถมาด้วยรถไฟฟ้า BTS แล้วลงที่สถานีชิดลมได้เลย ส่วนคนที่ขับรถมานั้นอาจจะลำบากหน่อยเพราะนอกจากจะเจอเรื่องรถติดแล้ว ผมว่าที่จอดรถของที่นี่ยังแอบงงด้วยครับ
ความคุ้มค่า : ตัวผมเองไม่ทราบราคาอาหารในแต่ละรายการในมื้อนี้เลย ทราบเพียงแค่คร่าวๆ ตอนที่เปิดในเมนูผ่านๆ เท่านั้น ซึ่งราคาส่วนใหญ่ที่ผมเห็นก็จะอยู่ในช่วง 200-300 บาทต่อจาน แต่ก็มีบางเมนูที่กระโดดไปที่ 500-600 บาทต่อจานครับ ดังนั้นในหัวข้อนี้ผมไม่ขอฟันธงในเรื่องความคุ้มค่าแล้วกันครับ แล้วก็อีกเรื่องก็คืออาหารประจำชาติของประเทศแบบนี้โดยทั่วไปแล้วมักจะมีราคาที่สูงกว่าอาหารไทยหรืออาหารชาติอื่นๆ ที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้วครับ แต่ผมเชื่อว่าสำหรับหลายๆ คนก็พร้อมที่จะเข้าไปลองทานและคิดว่ามันคุ้มค่า เพราะมันก็แลกมาด้วยความอร่อยและรสชาติที่ไม่เหมือนอาหารทั่วๆ ไปครับ
สรุป : หากคุณเป็นคนที่ชอบลองทานอาหารแปลกๆ หรือติดใจในอาหารอินเดียอยู่แล้ว ร้านนี้น่าจะเป็นหนึ่งในร้านที่คุณประทับใจครับ ด้วยเมนูที่แปลก กลิ่นเครื่องเทศที่ไม่แรง อีกทั้งยังมีชาวอินเดียหลายท่านเลือกมาใช้บริการที่ร้านนี้เป็นจำนวนมาก น่าจะเป็นการการันตีในเรื่องของรสชาติได้เป็นอย่างดีว่าอาหารร้านนี้อร่อยไม่แตกต่างจากต้นตำรับที่อินเดีย แต่ถ้าหากคุณไม่ใช่สายลอง หรือเป็นคนที่ท้องไส้ไม่ค่อยรับอาหารสไตล์ใหม่ๆ ผมว่าร้านนี้คงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีของคุณครับ แต่คุณเพียงแค่จำชื่อไว้ก็พอว่าหากวันนึงจำเป็นต้องหาร้านอาหารอินเดียไว้รับรองใคร ร้านบาวาชิ (Bawarchi) น่าจะเป็นตัวเลือกที่ช่วยคุณได้ครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ และสำหรับท่านที่อยากจะได้ข้อมูลของร้านนี้เพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูข้อมูลตามลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ
Facebook : Bawarchi
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป
Facebook Comments