หลังจากที่ก่อนหน้านี้ผมได้พาทุกคนไป เที่ยวพังงา 2 วัน 1 คืนแบบที่ไม่เหมือนใคร มาแล้ว วันนี้ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวตัวเมืองภูเก็ตซึ่งเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้ๆ กันต่อครับ โดยสถานที่เที่ยวที่ผมจะนำมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักในบทความนี้จะเน้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ค่อนข้างใหม่และยังไม่ค่อยมีคนรู้จักกันซักเท่าไหร่นะครับ นอกจากนี้ผมยังจะพาทุกคนไปรู้จักกับร้านอาหารอร่อยๆ ในภูเก็ตที่ได้รับการการันตีรสชาติความอร่อยจาก Michelin Bib Gourmand (มิชลิน บิบ กูร์มองด์) รวมไปถึงการแนะนำโรงแรมสวยๆ สไตล์ชิโนโปรตุกีส* ที่มีราคาต่อคืนไม่แพงอีกด้วยครับ ถ้าใครพร้อมที่จะออกเดินทางไปกับผมแล้วก็เดินไปขึ้นเครื่องบินสู่ภูเก็ตพร้อมๆ กันได้เลยคร้าบบบบบบ
หมายเหตุ : จริงๆ แล้วสถาปัตยกรรม Sino-Portuguese (ชิโนโปรตุกีส) ที่คนไทยหลายคนเรียกกันติดปากนั้นเป็นการเรียกที่คลาดเคลื่อนจากความจริงพอควรครับ เพราะหมู่ตึกดังกล่าวไม่มีองค์ประกอบของความเป็นสถาปัตยกรรมโปรตุเกสผสมอยู่เลย โดยหากจะเรียกให้ถูกต้องแล้วหมู่ตึกเก่าๆ ที่เราเห็นในเขตเมืองเก่าภูเก็ตนั้นควรจะเรียกว่าสถาปัตยกรรม “Sino – European (ชิโน-ยูโรเปียน)” หรือ “Neo Classic (นีโอคลาสสิค)” มากกว่า แต่ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คนที่อ่านบทความนี้เกิดความสับสน ผมจึงขอเรียกตามที่คนส่วนใหญ่คุ้นชินว่าชิโนโปรตุกีสไปก่อนนะครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
โดยสายการบินที่ผมจะพาทุกคนเดินทางไปภูเก็ตในครั้งนี้นั่นก็คือสายการบิน Bangkok Airways (บางกอก แอร์เวย์) ครับ ใครที่เคยใช้บริการสายการบินนี้มาจะรู้ดีว่ามันมีอะไรที่ทำให้เราประทับใจหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องของการเป็น Full Service, มีอาหารเสิร์ฟบนเครื่อง, มีน้ำหนักกระเป๋าให้ รวมไปถึงการมีเลาจ์ดีๆ ไว้ให้เรานั่งคอยระหว่างที่รอเวลาเครื่องออก ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าขนมภายในเลาจ์ของทาง Bangkok Airways นั้นรสชาติดีเลยครับ โดยเฉพาะข้าวต้มมัดกับพวกเบเกอรี่ที่มีแยมหรือลูกเกดเป็นส่วนประกอบ มันเป็นอะไรที่ผมมักจะหยิบมาทานเสมอๆ เลย
เอาล่ะ หลังจากที่เราอิ่มหนำสำราญกับขนมทั้งหลายที่อยู่ในเลาจ์ของ Bangkok Airways และที่ทางแอร์โฮสเตสเสิร์ฟให้เราบนเครื่องแล้ว ตอนนี้เราก็เดินทางมาถึงจังหวัดภูเก็ตกันแล้วครับ และคราวนี้ก็ได้เวลาที่เราจะเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์และความเป็นมาที่น่าสนใจของเมืองนี้กันแล้ว ว่าแล้วก็เริ่มออกเดินกันได้เลยยยยยยย
1. Museum Phuket (มิวเซียม ภูเก็ต)
หากอยากจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองไหน สถานที่แรกที่เราควรจะต้องเดินเข้าไปนั้นก็คงหนีไม่พ้นพวกพิพิธภัณฑ์ต่างๆ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะครับว่าพิพิธภัณฑ์ที่ผมจะพาทุกคนไปนั้นมันจะน่าเบื่อ เพราะปัจจุบันนี้ Museum Phuket (มิวเซียม ภูเก็ต) แห่งนี้นั้นอยู่ภายใต้การดูแลของทีมงาน Museum Siam (มิวเซียมสยาม) ผู้ที่ทำให้พิพิธภัณฑ์ของเมืองไทยนั้นมีความสนุก มีสาระ เพลินเพลิน และไม่น่าเบื่อ ตามสโลแกนหลักของเค้าที่ว่า Play + Learn = เพลิน นั่นเองครับ
โดยที่ตั้งของ Museum Phuket นั้นจะอยู่ที่ถนนพังงา บริเวณตึกที่เคยเป็นสถานีตำรวจและธนาคารชาร์เตอร์เก่า โดยทางเทศบาลนครภูเก็ตนั้นได้มีความคิดที่จะปรับปรุงพื้นที่บริเวณนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าถึงความเป็นมาของนครภูเก็ต รวมไปถึงการเล่าเรื่องราวของชาวเพอรานากันซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีการผสมผสานทางสายเลือดระหว่างชาวจีนกับชาวพื้นถิ่นในแถบประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และทางภาคใต้ของประเทศไทยครับ
และด้วยความที่พื้นที่ของ Museum Phuket นั้นครอบคลุมตึก 2 ตึกที่อยู่คนละฝั่งของถนน ดังนั้นทาง Museum Phuket ก็เลยทำการแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 2 เรื่องใหญ่ๆ ดังนี้ครับ
- ภูเก็ตนครา (Phuketnagara) พื้นที่จัดแสดงส่วนนี้จะอยู่ในอาคารที่เคยเป็นสถานีตำรวจเก่า โดยเราจะสามารถสังเกตเห็นอาคารนี้ได้ง่ายๆ เพราะเค้าจะเป็นอาคารที่มีนาฬิกาเรือนใหญ่อยู่ด้านบนครับ ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีการเล่าเรื่องถึงการกำเนิดของนครภูเก็ตผ่านการพัฒนาการเมือง 4 ยุค (ป่า – เหมือง – เมือง – ท่องเที่ยว) โดยมี “ดีบุก” เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเมือง ทั้งนี้ทางพิพิธภัณฑ์จะมีการเล่าเรื่องต่างๆ ออกเป็นทั้งหมด 8 โซนด้วยกัน ได้แก่ ภูเก็ตนครา, สถาปนานคร, ตำนานนคร, ย้ายนคร, นครบนเหมือง, นครรุ่งเรือง, อวสานดีบุก และมิวเซียมรีวิว
- เพอรานากันนิทัศน์ (Peranakannitat) พื้นที่จัดแสดงส่วนนี้จะอยู่ในอาคารธนาคารชาร์เตอร์เก่า ภายในพิพิธภัณฑ์ส่วนนี้จะมีการเล่าถึงเรื่องราววิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเพอรานากันผ่านการจัดแสดง 6 ห้อง ได้แก่ พลัดพราก, รากใหม่, ฉิมแจ้, ผ้า, อาหาร และมั่นคง โดยแต่ละห้องนั้นนอกจากจะมีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายให้ข้อมูลต่างๆ ที่น่าสนใจแล้ว เค้ายังมีลูกเล่นและการนำเสนอที่ชวนให้เราติดตามมากๆ ด้วย โดยเฉพาะห้องที่เคยเป็นตู้เซฟเก่าของธนาคารชาร์เตอร์นั้นถือเป็นห้องที่ผมเข้าไปแล้วรู้สึกประทับใจที่สุดเลยครับ
ใครที่เป็นสายข้อมูลหรือสนใจเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ อยากจะเรียนรู้เรื่องราวของภูเก็ตอย่างลึกซึ้งก็สามารถมาที่ Museum Phuket ได้เลยนะครับ เค้าเปิดให้เข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยทาง Museum Phuket จะเปิดให้บริการในวันอังคาร – วันอาทิตย์ (หยุดทุกวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 16.30 น. และในส่วนของเพอรากันนิทัศน์นั้นจะมีเจ้าหน้าที่นำชมวันละ 5 รอบตามภาพด้านล่างนี้ ส่วนในโซนของภูเก็ตนครานั้นเราสามารถที่จะเดินชมด้วยตัวเองได้เลยครับ
เบอร์ติดต่อ : 094-8077873
Fanpage : มิวเซียมภูเก็ต Museum Phuket
ระยะเวลาการเที่ยวที่เหมาะสม : 2 ชั่วโมง
2. Woo Gallery & Boutique Hotel
หลังจากที่เราได้เรียนรู้ความเป็นมาของภูเก็ตรวมทั้งเรื่องราวของชาวเพอรานากันใน Museum Phuket มาแล้ว ผมเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเกิดอาการสงสัยหรืออยากจะรู้เรื่องราวบางอย่างเพิ่มเติม เพราะแม้ทาง Museum Phuket จะนำเสนอข้อมูลต่างๆ ออกมาได้ดีเพียงใด แต่ของส่วนใหญ่ที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์นั้นมันก็ยังไม่ใช่ของจริงอยู่ดี ดังนั้นสถานที่ถัดไปที่ผมจะพาทุกคนไปรู้จักนั่นก็คือสถานที่ที่เราจะได้ไปสัมผัสกับรูปแบบบ้านและเครื่องใช้เก่าๆ ของชาวภูเก็ตอย่างแท้จริง โดยสถานที่นี้มีชื่อว่า Woo Gallery & Boutique Hotel (หวู แกลอรี่ แอนด์ บูทีค โฮเทล) ครับ
Woo Gallery & Boutique Hotel เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่มีเสน่ห์และมีความเป็นภูเก็ตแบบดั้งเดิมอยู่เยอะมาก โดยโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่เขตเมืองเก่าของภูเก็ต สามารถเข้าออกได้ 2 ทาง คือบริเวณด้านถนนพังงาและด้านถนนถลาง มีห้องพักให้บริการทั้งหมดเพียง 12 ห้องเท่านั้น ส่วนค่าบริการต่อคืนก็ถือว่าไม่แพงเลย เพราะราคาห้องเริ่มต้นของเค้าอยู่ที่พันกว่าบาทเท่านั้นเองครับ
และนอกจากในส่วนของห้องพักที่มีให้บริการแล้ว ทาง Woo Gallery & Boutique Hotel ยังมีอีก 2 สิ่งที่น่าสนใจคือ ส่วนของร้านกาแฟและส่วนของแกลอรี่ที่เปิดให้ทุกคนที่สนใจสามารถเข้าไปใช้บริการหรือไปดูได้ทุกวัน โดยมีค่าใช้จ่ายดังนี้ครับ
ผู้ใหญ่ชาวไทย : คนละ 100 บาท
ชาวต่างชาติ : คนละ 200 บาท
เด็กและนักศึกษา : คนละ 50 บาท
หมายเหตุ : ภาพด้านล่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้คือภาพของประตูทางเข้า Woo Gallery & Boutique Hotel ด้านที่อยู่ติดกับถนนถลางครับ โดยตำแหน่งที่ตั้งของเค้าจะอยู่เยื้องๆ กับภาพของน้องมาร์ดีในชุดขนมเต่าสีแดง รับรองว่าหาไม่ยากครับ
ทั้งนี้สิ่งที่ทุกคนจะได้เห็นจากการเดินชมแกลอรี่ของ Woo Gallery & Boutique Hotel นั้นก็จะมีมากมายเลย ตั้งแต่รูปแบบของบ้านสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่มีอายุมากกว่า 130 ปี มีความยาวของตัวบ้านมากกว่า 100 เมตร, ของใช้โบราณต่างๆ, เสื้อผ้าและภาพถ่ายเก่าๆ รวมไปถึงการได้เห็นฉิมแจ้ หรือช่องโปร่งระหว่างตัวบ้านสไตล์นี้แบบชัดๆ ด้วยตาของตัวเองครับ โดยในระหว่างการเดิมชมนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ของทาง Woo Gallery & Boutique Hotel คอยบรรยายให้ความรู้ตลอด ซึ่งผมบอกเลยว่าเนื้อหาและรายละเอียดนั้นมันเยอะมากกกก ใครที่ชอบเรื่องราวเหล่านี้ต้องประทับใจแน่ๆ ครับ
และสำหรับใครที่สงสัยว่าบ้านเก่าแก่อายุกว่า 130 ปีแบบนี้ ทำไมมันถึงไม่โทรมเลย ผมขอบอกว่าจริงๆ แล้วเมื่อ 2 ปีก่อนนั้นพื้นที่บ้านตรงนี้มันโทรมมากครับ โทรมแบบสุดๆ จนแทบไม่เหลือเค้าความงามอะไรเลย เพราะแต่เดิมนั้นพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นร้านขายนาฬิกามาก่อน แต่ก็ได้หยุดกิจการไปตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จากนั้นลูกหลานของครอบครัวนี้ก็แยกย้ายกันไปทำธุรกิจต่างๆ และปล่อยให้อาคารแห่งนี้ร้างลง หรือไม่ก็เปิดให้คนอื่นมาเช่าเป็นบางช่วงเวลา จนกระทั่งทางเจ้าของคนปัจจุบันเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ตึกรามบ้านช่องเก่าๆ ที่มีประวัติศาสตร์และความเป็นมาแบบนี้หากเราไม่ดูแลหรือรักษาไว้ วันนึงมันก็คงจะสูญหายไปจนหมดสิ้น ลูกหลานของเราก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพเหมือนที่เราได้เคยเห็นในอดีต ดังนั้นทางเจ้าของคนปัจจุบันก็เลยตัดสินใจบูรณะอาคารหลังนี้ครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณมากกว่า 10 ล้านบาท ใช้เวลาในการบูรณะมากกว่า 2 ปี โดยศึกษาโครงสร้างของตึกและสถาปัตยกรรมในสมัยก่อนอย่างละเอียด เพื่อให้การบูรณะครั้งนี้ออกมาสวยงามและสมบูรณ์มีความใกล้เคียงกับในอดีตมากที่สุด และมันก็ได้ออกมาเป็น Woo Gallery & Boutique Hotel ที่มีความสวยงามแบบที่เราได้เห็นอยู่ในทุกวันนี้ครับ
ใครที่ไม่เชื่อผมว่าเค้าบูรณะด้วยเงินก้อนโตขนาดนี้ ใช้ความทุ่มเทขนาดนี้จริงเหรอ ผมแนะนำให้เข้าไปดูด้วยตาของตัวเองเลยครับ เค้าจะมีภาพสมัยก่อนบูรณะและสมัยปัจจุบันนี้ให้เราดูเปรียบเทียบกันอยู่ บอกเลยว่าดูแล้วคุณจะต้องอ้าปากค้างและทึ่งในความทุ่มเทของเจ้าของ Woo Gallery & Boutique Hotel แน่ๆ และคุณจะรู้สึกเลยว่าเงิน 100 บาทที่จ่ายค่าเข้าชมนั้นมันคุ้มค่ามากๆ แล้ว
ใครที่สนใจอยากจะไปเยี่ยมชม Woo Gallery & Boutique Hotel และสัมผัสกับอาคารสมัยก่อน รวมทั้งเครื่องใช้เก่าๆ ทั้งหลายแบบนี้ ก็สามารถไปที่ Woo Gallery & Boutique Hotel บริเวณถนนถลางได้เลยครับ เค้าเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 – 17.00 น. โดยหากเราไปถึงแล้วเจอประตูปิดอยู่ไม่ต้องตกใจไปนะครับ ให้เรากดกริ่งที่อยู่บริเวณข้างๆ ประตูและเดี๋ยวซักพักจะมีเจ้าหน้าที่ออกมาต้อนรับครับ ส่วนถ้าใครอยากจะไปนอนพักที่โรงแรมแห่งนี้ก็สามารถติดต่อตามช่องทางด้านล่างนี้ได้เลย โดยแขกที่ใช้บริการห้องพักทุกคนจะสามารถเดิมชมในส่วนของแกลอรี่ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ เพียงแต่ว่าใครที่อยากจะเข้าพักที่นี่นั้นควรจะต้องเข้าประตูทางด้านถนนพังงามากกว่านะครับ เนื่องจากส่วนของแกลอรี่และส่วนของที่พักมันจะอยู่ติดกับถนนคนละเส้นกัน ^^
เบอร์ติดต่อ : 076-353719
Fanpage : WOO Gallery & Boutique Hotel,The Old Town, Phuket
จองที่พัก Woo Gallery & Boutique Hotel ราคาพิเศษคลิกที่นี่
ระยะเวลาการเที่ยวที่เหมาะสม : 1.30 – 2 ชั่วโมง
3. Street Art Phuket
ภูเก็ตเป็นอีกจังหวัดนึงที่มีงาน Street Art สวยๆ เยอะมาก โดยเฉพาะในเขตเมืองเก่า ซึ่งผมแนะนำเลยว่าสำหรับใครที่มีเวลาและชอบเดินดูตึกรามบ้านช่องสวยๆ ชอบถ่ายรูปชิคๆ เก๋ๆ ควรจะเผื่อเวลามาเดินเล่นชม Street Art เหล่านี้ พร้อมชิมของอร่อยๆ ตามข้างทางซัก 2-3 ชั่วโมงครับ รับรองว่าคุณจะฟินและประทับใจกับการมาเที่ยวภูเก็ตอีกเยอะเลย
โดยตัวผมเองนั้นเคยได้มีโอกาสเดิมชมและถ่ายรูปภาพ Street Art ของเขตเมืองเก่าภูเก็ตมาซักพักแล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้ทางภูเก็ตเองก็ได้มีภาพใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาจากตอนนั้นพอควร แต่ทุกคนก็ยังคงสามารถดูรายละเอียดตามบทความด้านล่างนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเดินหาภาพต่างๆ ได้อยู่ครับ
และสำหรับใครที่ได้มีโอกาสไปเที่ยว Woo Gallery & Boutique Hotel ก็สามารถที่จะเดินข้ามถนนแล้วเริ่มดูภาพ Street Art ต่างๆ กันได้เลย เพราะบริเวณนั้นมีภาพสวยๆ อยู่เยอะมากครับ ^^
ระยะเวลาการเที่ยวที่เหมาะสม : 1-2 ชั่วโมง (หากไม่แวะนั่งทานอาหาร)
4. Suuko Wellness & Spa Resort
เดินท่องเที่ยวยาวๆ มาตั้งแต่เช้าแล้ว แถมตอนที่เดินตะลุยถ่ายภาพ Street Art ในเขตเมืองเก่านั้นเรายังต้องเดินท่ามกลางแดดที่ร้อนเปรี้ยงๆ อีก ดังนั้นสถานที่ที่ผมจะพาทุกคนไปลำดับต่อไปก็คือสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการผ่อนคลายร่างกายและฟื้นฟูสภาพผิวอย่าง Suuko Wellness & Spa Resort (สุโข เวลเนส แอนด์ สปา รีสอร์ท) นั่นเองครับ
Suuko Wellness & Spa Resort เป็นสปารีสอร์ทขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามมากแห่งนึงของจังหวัดภูเก็ต โดยนอกจากสปาแห่งนี้จะมีพื้นที่กว้างขวาง มีธรรมชาติที่ร่มรื่นแล้ว เค้ายังมีการออกแบบสถาปัตยกรรมและอาคารต่างๆ ให้มีความสวยงามตามแบบศิลปะไทยในสมัยสุโขทัยอีกด้วย เรียกว่าชาวภูเก็ตท่านใดอยากจะพาชาวต่างชาติไปชมสถาปัตยกรรมไทยสไตล์สุโขทัยก็สามารถพาไปที่นี่ได้เลยครับ ไม่ต้องเสียเวลาหรือเสียค่าเดินทางไปไหนไกลๆ เลย
และนอกจากจุดเด่นต่างๆ ของ Suuko Wellness & Spa Resort ที่ผมได้พูดไปแล้ว ในเรื่องของสปาหรือการทำทรีทเม้นท์นั้นก็เป็นสิ่งที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงมากของที่นี่ โดยเค้าจะมีการบริการหลายรูปแบบมาก อาทิเช่น นวดแผนไทย, Aroma, After Sun Course รวมทั้งยังได้มีการผสมผสานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเข้ามาในหลายๆ คอร์สด้วย ทำให้คนที่เคยมาใช้บริการที่นี่ล้วนแต่ติดใจในคุณภาพของเค้าครับ เพราะที่ Suuko Wellness & Spa Resort นั้นเค้าใส่ใจในทุกเรื่องจริงๆ อย่างน้ำยาหรือทรีทเม้นท์ต่างๆ ที่เค้าใช้นั้นก็จะเป็นการทำขึ้นมาเองแทบทั้งหมด และมีการศึกษาสมบัติต่างๆ เป็นอย่างดีว่ามีกลิ่นเป็นอย่างไรหรือมีสรรพคุณอะไรบ้าง มีการสอบถามลูกค้าทุกคนก่อนใช้บริการว่ามีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า ส่วน Therapist หรือพนักงานที่คอยบำบัดและนวดให้เรานั้นก็จะต้องผ่านการเรียนและฝึกมาหลายร้อยชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มทำงานจริง ซึ่งจากสิ่งต่างๆ ที่ผมเล่ามานี้มันก็เลยทำให้ Suuko Wellness & Spa Resort กลายเป็นสปารีสอร์ทที่ได้รับรางวัลกินรีอวอร์ดจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยถึง 3 สมัยซ้อนเลยครับ ไม่ดีจริงทำแบบนี้ไม่ได้นะเนี่ยยยย
ก็เอาเป็นว่าใครที่ชื่นชอบเรื่องของการทำสปา หรืออยากจะผ่อนคลายและฟื้นฟูร่างกายตัวเองจากการทำงานต่างๆ ก็ลองมาใช้บริการที่นี่ดูได้นะครับ เค้ามีหลายคอร์สให้เลือกเลย ส่วนจำนวนห้องที่เค้ามีบริการนั้นก็มีมากกว่า 100 ห้อง รวมทั้งมีห้องส่วนตัวที่เป็นรูปแบบของวิลล่าด้วยครับ
เบอร์ติดต่อ : 076-530456
Fanpage : Suuko Wellness & Spa Resort
ระยะเวลาการเที่ยวที่เหมาะสม : 2-3 ชั่วโมง
เอาล่ะ พูดถึงเรื่องที่เที่ยวมาเยอะแล้ว ลำดับต่อไปผมจะเอาใจสายกินกันบ้างดีกว่า เพราะตอนนี้ในจังหวัดภูเก็ตนั้นมีร้านอาหารดีๆ อร่อยๆ ที่ได้รับการการันตีจาก Michelin Bib Gourmand (มิชลิน บิบ กูร์มองด์) เพียบเลย แต่ด้วยเวลาที่จำกัดประกอบกับกระเพาะผมมันไม่สามารถยัดอะไรลงไปได้ตลอดเวลา ดังนั้นวันนี้ผมก็เลยจะเอามาแนะนำกันแค่ 3 ร้านพอนะครับ ส่วนจะมีร้านไหนกันบ้างก็ตามไปอ่านกันได้เลยครับ ^^
ปากน้ำ ซีฟู้ด
หนึ่งในร้านอาหารที่เก่าแก่ร้านนึงของจังหวัดภูเก็ต เรียกว่าหลายๆ คนกินตั้งแต่เด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่เลยครับ และแน่นอนว่าถ้าอาหารไม่อร่อยจริงร้านก็คงไม่สามารถเปิดมาได้ยาวนานขนาดนี้ รวมทั้งคงไม่ได้รับการการันตีจากทางมิชลินแน่ๆ ซึ่งจากที่ผมกับเพื่อนๆ ได้มีโอกาสลองทานอาหารที่ร้านนี้มาผมว่ารสชาติอาหารของเค้าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยครับ และเหมาะมากสำหรับคนที่อยากจะทานอาหารซีฟู้ดหรืออาหารทะเลแต่ไม่อยากจะเดินทางออกจากตัวเมืองไปไกล
โดยเมนูที่ผมประทับใจเป็นพิเศษในมื้อนั้นก็ได้แก่ ซี่โครงหมูอ่อนสับผัดเครื่องรา, เนื้อปูก้อนผัดพริกไทยดำ, กุ้งแชบ๊วยน้ำมะขาม และปลากะพงยำมะม่วง โดยสองเมนูแรกนั้นเป็นเมนูที่ผมว่าทุกคนห้ามพลาดเลยครับ ซี่โครงหมูอ่อนสับผัดเครื่องรารสชาติจัดจ้านมาก กินแล้วคล้ายๆ กับการทานคั่วกลิ้ง แต่จะมีความกรุบกรอบของกระดูกอ่อนให้เราเคี้ยวด้วย ใครชอบอะไรกรุบๆ นี่ต้องลองเลย ส่วนเนื้อปูก้อนผัดพริกไทยดำ จานนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบทานปูแต่ไม่ชอบแกะเองสุดๆ เนื้อปูก้อนไม่ใหญ่มาก ทานง่าย รสชาติดี กลมกล่อมและหอมกลิ่นพริกไทยดำครับ
ใครที่อยากจะลองทานอาหารที่ร้านนี้ก็ดูรายละเอียดตามด้านล่างแล้วตรงไปได้เลยครับ ร้านเค้าจะมี 2 สาขานะครับ สะดวกสาขาไหนตรงไปที่นั่นได้เลย
เบอร์ติดต่อ : สาขาถนนรัษฎานุสรณ์ (กูกู้) โทร 076-240240, สาขาถลาง โทร 076-313388
เวลาเปิดบริการ : 10.30 – 22.30 น.
The Charm Phuket (เดอะฌาร์ม ภูเก็ต)
เมื่อกี้ผมพาไปชิมร้านอาหารซีฟู้ดอร่อยๆ มาแล้ว คราวนี้ผมจะพาทุกคนไปชิมร้านอาหารที่เน้นความเป็นพื้นถิ่นหรือพื้นบ้านกันบ้าง เพราะไม่งั้นเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงภูเก็ตครับ โดยร้านที่ผมจะพาทุกคนไปรู้จักในครั้งนี้เป็นร้านที่พึ่งเปิดได้ไม่นานและมีชื่อที่แสนเก๋ไก๋ว่า The Charm Phuket (เดอะฌาร์ม ภูเก็ต) ครับ เค้าพึ่งเปิดบริการในช่วงต้นปี พ.ศ. 2561 นี้เอง แต่ด้วยความแซ่บ เด็ดดวงในหลายๆ ด้านทำให้หลังจากที่เค้าเปิดบริการได้เพียงแค่ 6-7 เดือน ร้านแห่งนี้ก็ได้รับการการันตีความอร่อยจาก Michelin Bib Gourmand (มิชลิน บิบ กูร์มองด์) ทันที บอกเลยว่าได้รางวัลไวมากครับ!!
และนอกจากชื่อของร้านนี้จะเก๋ไก๋ปนอ่านยากแล้ว ในเรื่องของรสชาติอาหารและบรรยากาศของร้านก็ยังมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครด้วยครับ เพราะร้านนี้คือร้านอาหารที่คุณปอนด์เค้าตั้งใจทำมาก โดยตัวเค้าเองเป็นคนที่พอจะมีประสบการณ์ในการทำร้านอาหารมาอยู่บ้าง ประกอบกับทางครอบครัวคุณปอนด์เองก็มีสูตรอาหารพื้นถิ่นเด็ดๆ ที่ถูกสืบทอดมานานหลายเมนู ดังนั้นคุณปอนด์ก็เลยตัดสินใจทำร้านนี้ขึ้นมาโดยเริ่มจากการเช่าห้องแถวหนึ่งห้องและทำการตกแต่งให้มีความสวยงามในสไตล์ชิโนโปรตุกีส รวมทั้งนำเฟอร์นิเจอร์กับเครื่องใช้เก่าๆ ที่ตัวเองมีอยู่มาประดับตกแต่งและใช้งานที่ร้าน โดยจานชามที่ทุกคนเห็นในร้านนั้นจะเป็นจานชามเก่าแก่อายุหลายสิบปีที่ทางคุณปอนด์และครอบครัวเก็บไว้มานานนะครับ เรียกว่าการทำร้านเดอะฌาร์ม ภูเก็ตครั้งนี้ คุณปอนด์เค้าทุ่มเทมากจริงๆ
สำหรับเมนูอาหารของร้านเดอะฌาร์ม ภูเก็ตนั้นมีเมนูที่น่าสนใจและรสชาติดีหลายรายการมาก ซึ่งผมกับเพื่อนๆ เองก็ได้ชิมเพียงแค่ไม่ถึง 10% ของเมนูที่ทางร้านมี และยังมีอีกหลายเมนูมากที่พวกเราอยากจะลองชิมครับ แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็เชื่อแล้วว่ารสชาติอาหารแบบนี้ไม่แปลกเลยที่ทางมิชลินจะการันตีความอร่อยให้ และเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้นผมขอให้ความเห็นของผมหลังจากที่ได้กินอาหารต่างๆ จากร้านนี้ดังนี้นะครับ
- ปลาเต้าอิ้ว : หนึ่งใน 7 อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดภูเก็ต รสชาติดี หอมซีอิ๊ว แถมกระเทียมทอดกรอบกับกากหมูที่โรยหน้าด้านบนนั้นก็ช่วยเพิ่มความอร่อยของปลาได้เป็นอย่างดีเลยครับ
- หมูฮ้องสูตรบ้านเลขที่ 93 : อีกหนึ่งเมนูอาหารที่ขึ้นชื่อและเป็นอาหารเอกลักษณ์ของจังหวัดภูเก็ต รสชาติดีมาก เนื้อหมูนุ่ม มันน้อย กินแล้วไม่รู้สึกเลี่ยนเลยครับ สามารถทานได้เรื่อยๆ ใครชอบทานหมูฮ้องผมแนะนำเลย
- เกี้ยนทอดภูเก็ต : เมนูที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายๆ กับไส้กรอก ภายในประกอบไปด้วยวัตถุดิบมากมายทั้งหมูสับ, เผือก, เนื้อปู และเครื่องพะโล้ รสชาติดี โดยเฉพาะตอนที่เค้าพึ่งทอดเสร็จร้อนๆ ครับ
- ถึ้งกระดูกหมูเต้าหู้ปลาเค็ม : หรือซุปกระดูกหมูใส่ปลาเค็มนั่นเอง ถือเป็นซุปที่มีการฟิวชั่นของเนื้อสองชนิดได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับไว้ทานตัดรสเวลาทานอาหารจานอื่นๆ และโดยส่วนตัวแล้วผมไม่เคยทานซุปที่มีลักษณะแบบนี้จากที่ไหนมาก่อนเลยครับ
- น้ำชุบหยำ : หรือน้ำพริกกุ้งสดสูตรโบราณที่ทางร้านใช้กะปิกับเนื้อกุ้งลวกอย่างดีมาทำ รวมทั้งมีการใส่ส้มจี๊ดหรือส้มซ่าลงไปด้วย รสชาติดีเลยนะครับ ทานกับผักเพลินๆ เลย
- แกงปูใส่ไข่เป็ด : เมนูนี้ดีมากครับ เป็นแกงกะทิที่ใส่ปูพร้อมกับไข่เป็ดฟองโต บอกเลยว่าไข่ใบใหญ่มาก สามารถแบ่งกันกิน 3-4 คนได้อย่างสบายๆ รสชาติโดยรวมดีมาก หอมกลิ่นเครื่องแกงและปริมาณของเนื้อปูที่ให้มาก็สมราคาครับ
- แกงปลาตู้มี้ : แกงปลาที่ได้รับอิทธิพลมาจากทางปีนัง รสชาติจะค่อนข้างเผ็ดหน่อย แล้วก็มีการใส่กระเจี๊ยบและน้ำมะขามเปียกลงไปด้วย ใครชอบทานแกงที่มีรสชาติจัดจ้านควรสั่งมาลองทานครับ
- มูสโกยตาราม : เมนูชื่อแปลกๆ นี้คือเมนูของหวานนะครับ ลักษณะของเค้าจะเป็นมูสที่มีรสชาติคล้ายกับตะโก้กับขนมเปียกปูนรวมกัน รสชาติดีมาก แปลก อร่อยแบบที่ไม่เคยกินมาก่อน ที่สำคัญความหวานอยู่ในระดับที่ผมว่ากำลังดีด้วยครับ
- สาคูกะทิน้ำตาลมะพร้าว : เมนูนี้เป็นของหวานอีกเช่นกันครับ รสชาติจะออกหวานพอควร ใครที่ไม่ติดเรื่องนี้ควรสั่งมาลองทานเลยเพราะรสชาติของมันนั้นดีมาก ทั้งหอมกะทิและมีความหวานของมะพร้าวรวมๆ กันอยู่ในจานเดียวครับ
ใครที่กำลังมองหาร้านอาหารพื้นถิ่นอร่อยๆ ในภูเก็ต มีความเป็นเป็นฟิวชั่นฟู้ดเล็กๆ และอยากจะนั่งทานอาหารในร้านที่บรรยากาศดีๆ ได้ความเป็นเมืองเก่าของภูเก็ตด้วย ผมแนะนำร้านนี้เลยครับ The Charm Phuket (เดอะฌาร์ม ภูเก็ต) รับรองคุณต้องประทับใจแน่ โดยใครที่สนใจอยากจะทานอาหารที่ร้านนี้ก็สามารถตรงไปที่ร้านหรือสอบถามรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมได้ตามข้อมูลด้านล่างนี้เลยครับ
เบอร์ติดต่อ : 076-530199
Fanpage : The Charm
เวลาเปิดบริการ : 11.00 – 22.00 น.
ร้านตาทวย
อีกหนึ่งร้านอาหารพื้นถิ่นในจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับรองความอร่อยจาก Michelin Bib Gourmand (มิชลิน บิบ กูร์มองด์) และมีราคาไม่แพง โดยร้านนี้จะมีความแตกต่างจากเดอะฌาร์ม ภูเก็ต ตรงที่ร้านนี้จะอยู่อำเภอถลาง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 1 ชั่วโมง บรรยากาศของร้านจะมีลักษณะเป็นบ้านเล็กๆ ที่อยู่ในสวน ไม่ได้หรูหราอะไรมาก แต่อากาศเย็นสบายและมีน้ำตกเล็กๆ คอยเพิ่มความสดชื่นอยู่ภายในร้าน ส่วนในเรื่องของลักษณะอาหารนั้นจะมีความเป็นพื้นถิ่นมากกว่าร้านเดอะฌาร์ม ภูเก็ต ไม่ค่อยได้มีการฟิวชั่นอะไรกับชาติอื่นมากนักครับ
สำหรับเมนูที่ผมอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ลองทานที่ร้านนี้ก็ได้แก่ ผักลิ้นห่านต้มกะทิใส่กุ้งสดและไข่ดาว, แกงปูเส้นหมี่, ใบเหลียงผัดไข่, ยำสาหร่ายพวงองุ่น และหมูคั่วเกลือครับ โดยเมนูผักลิ้นห่านต้มกะทิใส่กุ้งสดและไข่ดาวนั้นจะมีรสชาติกับหน้าตาคล้ายๆ ต้มข่าไก่ เพียงแต่จะไม่มีการใส่ข่าลงไป รวมทั้งจะมีความข้นของน้ำมากกว่าครับ เวลาที่เราทานจะรู้สึกหอมๆ มันๆ หน่อย ส่วนกุ้งที่อยู่ในแกงนั้นก็สดและใหญ่ดีครับ เมนูนี้เป็นเมนูที่ผมอยากบอกทุกคนเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด ส่วนเมนูอื่นๆ นั้นทุกคนจะลองชิมตามผมก็ได้ หรือจะเปิดเมนูเค้าแล้วเลือกสั่งตามที่ตัวเองอยากชิมก็ได้ ผมมั่นใจว่าอาหารจานอื่นๆ ของเค้านั้นก็น่าจะเด็ดไม่แพ้กัน เพราะได้ข่าวว่าร้านนี้เปิดให้บริการมา 3 ช่วงอายุคนแล้ว ถ้าไม่เด็ดจริงไม่อยู่มานานขนาดนี้แน่นอนครับ!!
เบอร์ติดต่อ : 086-4704807, 087-2632153
เวลาเปิดบริการ : 11.30 – 21.00 น.
เป็นยังไงล่ะครับกับร้านอาหารในภูเก็ตทั้ง 3 ร้านที่ผมนำมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก แต่ละร้านเด็ดๆ อร่อยๆ แถมได้รับการการันตี Michelin Bib Gourmand 2019 (มิชลิน บิบ กูร์มองด์ 2019) กันทั้งนั้น ใครดูแล้วรู้สึกถูกชะตากับร้านไหนเป็นพิเศษก็ตรงไปจัดกันได้เลย แต่ถ้าใครยังไม่รู้สึกโดนใจเท่าไหร่ในภูเก็ตก็ยังมีร้านอาหารอร่อยๆ อีกมากมายให้เราไปตระเวนชิมครับ
และเพื่อให้บทความนี้เป็นบทความแนะนำการเที่ยวภูเก็ตอย่างสมบูรณ์ ผมก็เลยจะขอปิดท้ายบทความนี้กันด้วยการแนะนำสถานที่หรือโรงแรมในภูเก็ตที่น่าสนใจและมีราคาไม่แรง เพื่อให้ทุกคนได้พิจารณาเป็นตัวเลือกหากได้มีโอกาสเดินทางไปที่ภูเก็ตนะครับ โดยโรงแรมที่ผมอยากจะแนะนำก็คือที่นี่เลยครับ
Sino House
Sino House (ซิโน เฮ้าส์) คือที่พักหรือโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตที่ผมว่าหลายๆ คนน่าจะชอบ เพราะที่นี่นอกจากมีขนาดห้องที่กว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมีการตกแต่งสไตล์ชิโนโปรตุกีสซึ่งเป็นเหมือนเอกลักษณ์ของจังหวัดภูเก็ตแล้ว ทำเลที่ตั้งของเค้ายังอยู่ในตัวเมืองภูเก็ต สามารถที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ง่ายด้วยครับ โดยประเภทห้องของ Sino House นั้นจะมีให้เราเลือกมากมายถึง 8 ประเภทด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ห้องพักแบบ Superior ที่มีราคาแบบรวมอาหารเช้าอยู่ที่ประมาณ 1,000-1,200 บาท/คืน จนไปถึงห้องพักแบบ Executive Quadruple ที่สามารถนอนได้ถึง 4 คน และมีราคาแบบรวมอาหารเช้าอยู่ที่ประมาณ 2,700 -3,000 บาท/คืน (ราคาดังกล่าวเป็นราคาใน Agoda และอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ละช่วงเวลาครับ)
นอกจากนี้สำหรับใครที่คิดว่าจะไม่ทานอาหารเช้าของโรงแรม เพราะเป็นคนตื่นสาย หรืออยากจะไปลองชิมอาหารร้านอื่นๆ ในภูเก็ต ก็สามารถเลือกจองห้องพักเป็นแบบที่ไม่รวมอาหารเช้าก็ได้ครับ ราคาจะถูกลงอีกเล็กน้อย แต่หากใครที่ไม่มีเวลาและต้องการความสะดวกสบาย การจองห้องพักแบบรวมอาหารเช้าด้วยก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะอาหารของที่นี่ก็มีให้เลือกทานพอควร ที่สำคัญเค้ามีขนมที่เป็นขนมท้องถิ่นให้เราทานด้วยนะครับ
ใครที่สนใจอยากจะเข้าพักที่นี่ หรืออยากจะสอบถามข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อตามรายละเอียดด้านล่างนี้ได้เลยครับ
เบอร์ติดต่อ : 076-232494
Fanpage : Sino House Phuket Hotel
จองที่พัก Sino House ราคาพิเศษผ่าน Agoda คลิกที่นี่
แต่ถ้าใครดูแล้วยังรู้สึกไม่ค่อยถูกใจกับที่นี่เท่าไหร่ ผมก็มีที่พักอีกแห่งนึงจะแนะนำครับ โดยที่พักแห่งนี้ชื่อว่า O’nya Phuket เป็นที่พักที่ตกแต่งสไตล์ชิโนโปรตุกีสและมีความสวยงามคล้ายๆ กัน เพียงแต่ทำเลที่ตั้งของเค้าจะอยู่นอกตัวเมืองหน่อย ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีรถครับ หากใครสนใจก็ลองกดเข้าไปอ่านรายละเอียด้านล่างนี้เพิ่มเติมนะครับ
และตอนนี้ผมก็พาทุกคนเดินท่องเที่ยวภูเก็ต ชม Street Art กินอาหารอร่อยๆ ที่ได้รับการการันตีจากมิชลิน และเรียนรู้ความเป็นมาของเมืองแห่งนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเรียบร้อยแล้ว ใครรู้สึกถูกใจหรือประทับใจที่ไหนเป็นพิเศษก็อย่าลืมจดไว้ในแผนการเดินทางของตัวเองดีๆ นะครับ ครั้งหน้าที่เราเดินทางไปภูเก็ตจะได้ไม่พลาด
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ สำหรับใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิด ก็สามารถกดติดตามได้ที่แฟนเพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยนะครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้